1

คุณเคยเป็นเหมือนผมไหมครับ?

ระหว่างนั่งกินข้าว หรือดื่มกาแฟแก้วโปรด ในร้านซึ่งตั้งอยู่ริมถนนใหญ่
เช่นซอย ทองหล่อ

ทันใดนั้น Super Cars สีสันฉูดฉาด ก็ส่งเสียงแผดคำรามมาแต่ไกล ก่อนจะ
แล่นผ่านหน้าคุณไปในเสี้ยววินาที มันอดใจไม่ไหวที่จะชี้ชวนให้เพื่อนฝูง
หรือคู่สนทนาร่วมโต๊ะ ร่วมแบ่งปันความรู้สึกตื่นตาตื่นใจ หันไปมองเจ้า
รถสปอร์ตสุดเท่ซึ่งเพิ่งแล่นผ่านไปนั่น ไม่ว่าพวกเขาจะมองตามรถคันนั้น
ทันหรือไม่ก็ตาม

มันต้องเคยบ้างสักครั้งแหละน่า…

แล้วคุณเคยคิดไหมครับว่า…

ถ้าวันหนึ่ง คุณมีโอกาสอันสุดแสนจะ Exclusive ได้ขับรถ Super Car
เหล่านั้นเสียเองละ?

ไม่ใช่แค่ลองขับในสนามแข่งรถ เพียงไม่กี่รอบนะ แต่หมายถึง การรับ
กุญแจ เพื่อนำ Super Car กลับมา นั่งเล่น นอนเล่น ขับเล่น ลูบคลำเล่นๆ
ถึงบ้านคุณถึงเกือบ 1 สัปดาห์!

ขณะขับผ่านผู้คนมากมายริมถนน ทุกสายตาที่จับจ้องมายังคุณ มันจะ
เป็นอย่างไรกันบ้างนะ? เขาจะมองว่ารถที่เราขับมันเท่บ้างหรือเปล่า?
แล้วเราจะรู้สึกอย่างไรบ้าง เมื่อมองจากมุมของคนที่ขับรถแบบนี้อยู่

วันนี้ ผมได้เรียนรู้ และหายคาใจไปแล้ว หลังจากที่ Mercedes-Benz
Thailand เปิดโอกาสให้ผม ลองเปลี่ยนสถานภาพทางสังคมในช่วง
เวลาเพียงข้ามคืน จากคนที่ได้แต่นั่งอยู่ริมถนน มองรถเหล่านี้ แล่น
ผ่านไปมา จนตาละห้อย กลายมาเป็นคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยของ
รถ Super Car รุ่นใหม่เอี่ยมอ่องเสียเอง แถมสีพรรค์สรรพางค์ของมัน
ยังเด่นสะดุดสายตาประชาชีที่สัญจรร่วมไปกับเราบนถนนสายเดียวกัน!

ถึงจะเคยคิดฝัน แต่นี่มัน…”เกินความคาดหมายไปไกลโข”!

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_01

“…ในปีนี้ เราจะมี การเปิดตัว Mercedes AMG GT S ในประเทศไทย… ”

ประโยคนี้ ลอยผ่านหูของผม ในงานแถลงข่าวประจำช่วงต้นปี 2015 ของ
Mercedes-Benz Thailand พี่ดอม คุณอัชฌ์ บุณยประสิทธิ์ ผู้จัดการอาวุโส
ฝ่ายสื่อสารองค์กร ได้กล่าวไว้ พูดออกไมโครโฟนเองเลย

ผมก็ฟังผ่านๆ คิดไปว่าอืม ก็เป็นไปตามคาดนั่นแหละ ยังไงๆ พวกเขาก็ต้อง
เอา AMG GT S เข้ามาอวดโฉม ที่งาน Bangkok Motor Show ปลายเดือน
มีนาคม เป็นครั้งแรกในเมืองไทยกันก่อนอยู่แล้ว ตามธรรมเนียมเดิมๆ

“…และไม่เพียงเท่านั้น เราจะมีรถสปอร์ตรุ่นนี้ ให้ทดลองขับกันด้วย…!”

“ห้ะ!! จริงดิ! เดี๋ยวๆๆ ผมฟังไม่ผิดใช่หรือเปล่า?”

หูผึ่ง หูตั้ง ตาโต ลิ้นห้อย น้ำลายหยดสามแหมะเลยแหละ!…

บอกตรงๆว่า กว่าจะได้คิวรถคันนี้มาลองขับ ผมต้องรอเวลากันนานมาก
รอกันข้ามเดือนไปหลายเดือนเลยละ

หลังเปิดตัวในงาน Bangkok International Motor Show ผ่านพ้นไปแล้ว
Mercedes-Benz Thailand จัดทริป พาสื่อมวลชน ขับรถยนต์สารพัดรุ่น
ลงไปภูเก็ต Hi-Light สำคัญคือ เจ้ากล้วยหอมใบเขื่องคันนี้ อยู่ในขบวน
กับเขาด้วย!

เขาเชิญผมมาครับ แต่ผมไม่ได้ไป เพราะติดงานอื่น และตัดสินใจ ปล่อย
ให้พี่ๆ เขาขับกันไปก่อนเลยแล้วกัน จะได้ไม่ต้องมานั่งบ่นว่า ทำไมให้
สื่อนั้นสื่อนี้ขับ แล้วตนเองไม่ได้ขับ อ่ะ ตามสบายเลยแล้วกัน

จากนั้น รถคันนี้ ถูกปล่อยให้กับ พี่ๆ ผู้ใหญ่ไปอีกเกือบ 10 คน มีช่วงพัก
สั่งเปลี่ยนท่อไอเสีย AMG แท้อีกชุดหนึ่ง เพราะมีคนได้ยินเสียงแปลกๆ
จากเครื่องยนต์ ทั้งที่มันไม่ควรเป็นเช่นนั้น กว่าที่คิวของรถ กับคิวงานผม
จะตรงกัน ก็ปาเข้าไปช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

รอได้ครับ รอจนกระทั่งสภาพของกล้วยหอมใบนี้ สุกงอมกำลังดี จึงค่อย
รับมาลองลิ้มชิมรสกัน เลขไมล์ตอนรับรถ อยู่ที่ 6,015 กิโลเมตร ซึ่งเป็น
สภาพของรถทดสอบ ที่อยู่ในเกณฑ์กำลังเหมาะ ทุกอย่างเข้าที่แล้ว

ที่ไหนได้ พอเอาเข้าจริง เจ้ากล้วยหอมใบเขื่องคันนี้ ทำเอาผมประสาทแดก
อยู่แทบตลอดทุกวันที่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน!

เปล่า! หาใช่ตัวรถมันไม่ดีนะ แต่ผมกำลังหมายถึง ความวิตกกังวล ที่ถูกพัฒนา
จนเข้าสู่ขั้น “วิตกจริต” ต่างหาก

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_02

จะไม่ให้เครียดได้อย่างไรกันละครับคุณผู้อ่าน แค่เริ่มติดเครื่องยนต์ ค่อยๆคลาน
อย่างเชื่องช้า ลงมาจากลานจอดรถชั้น P8 ของอาคาร รัจนากร นิวาสถานใหญ่ของ
Mercedes-Benz Thailand ผมก็ต้องค่อยๆ เลี้ยงพวงมาลัยและแป้นเบรกอย่างดียิ่ง
ก็หน้ารถมันออกจะยาวเสียขนาดนั้น ผมก็กลัวว่าจะพามันไปครูดกำแพงทางลง
ของตึกเขาหนะสิ

ออกมาจนถึงถนนใหญ่ ผมต้องรอให้คุณ รปภ.ให้สัญญาณถนนโล่ง โบกธงปล่อย
ออกจากตึก ผมไม่กล้ากดคันเร่งเต็มๆ เพราะรู้ดีว่า รถจะสะบัดจนท้ายกวาด แล้ว
เราอาจจะได้อ่านพาดหัวข่าวหน้าหนึ่ง หนังสือพิมพ์ไทยรัฐว่า

“เจ้าของเว็บรถชื่อดัง ซิ่งไม่เข้าท่า พาซูเปอร์คาร์คันงาม กวาดชนฝูงมอเตอร์ไซค์
ตายเจ็บเกลื่อนสาทร”

ไปนั่งกินข้าวผัด ซดโอเลี้ยงในคุก หมดอนาคต กันเลยทีเดียว!

คิดได้ดังนั้น ผมก็เลยต้องค่อยๆ แตะคันเร่งอย่างแผ่วเบา ออกสู่เลนขวา เพื่อไป
เลี้ยวกลับรถ ท่ามกลางเสียงก่นด่าของบรรดา พิซซ่าพลีชีพ และแมสเสนเจอร์
เดนตายทั้งหลายว่า “อีห่า ขับชักช้าอยู่ได้ เร็วๆหน่อยโว้ย กูจะรีบไปเก็บเช็ค/
ส่งพิซซ่าแล้ว สาดดดดดด”

ตลอดทางที่ขับกลับบ้าน ก็ต้องคอยระมัดระวัง อย่าให้ บรรดา แว๊นบอย สก๊อย
เกิร์ลที่ไหน มาสแกนกรรมเวรกับสีข้างของเจ้ากล้วยหอมคันนี้ พอขึ้นทางด่วน
ก็ต้องหวาดเสียวกับ ไอ้บ้า Jaguar XJ รุ่นปี 2009 ก่อนเปลี่ยนโฉม ที่ดันทะลึ่ง
แถเข้ามาเกือบจะเบียดให้เจ้ากล้วยเป็นรอยเสียแล้วไหมละนั่น

โอ๊ยยยย นี่กูจะพาอีกล้วยหอมนี่ ถึงบ้านปลอดภัยโดยไม่ต้องโทรเคลมประกัน
ได้ไหมละว้อยยยยยย!!??

อย่างไรก็ตาม 6 วันได้ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว พอๆกับความเร็วสูงสุด ของเจ้า
กล้วยหอมคันนี้ ต่อให้ผมจะพารานอยด์แดกไปถึงไหนต่อไหน แต่ ผมไม่อาจ
ปฏิเสธได้ ว่า มันมีของดีซ่อนอยู่ในร่าง มากมายหลายประเด็น

ขนาดนิตยสาร Car and Driver จากสหรัฐอเมริกา ฉบับ เดือนมิถุนายน 2015
ยังยกให้เป็น “The most exciting Mercedes sports car since the original
Gullwing” (“รถสปอร์ตของ Mercedes-Benz ที่น่าตื่นตะลึงมากสุดนับตั้งแต่
การเปิดตัว 300 SL Gullwing (รถสปอร์ต บานประตูปีกนก ในทศวรรษ 1950)”
เลยทีเดียว!

มันดีขนาดนั้นเชียวเหรอ? ไอ้รถสปอร์ต MB ที่มีบั้นท้าย คล้าย Porsche 911
เนี่ยนะ?

ถึงเวลาแล้วที่ผมจะพาคุณมาร่วมประสบการณ์ สะใจสุดติ่ง ผสมความพารานอยด์
สุดขั้ว กับเจ้ากล้วยหอมใบเขื่อง คันนี้ไปด้วยกัน…

แต่ก่อนอื่น เราต้องมาทำความเข้าใจกันเสียก่อนว่า รถคันนี้ ไม่ใช่รุ่นเปลี่ยนโฉม
Full Model Change ของ Mercedes-Benz SLS AMG อย่างที่หลายคนเข้าใจผิด!

2010_Mercedes_Benz_SLS_AMG_Mix

ท่ามกลางโลกอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันอย่างรุนแรง สิ่งที่
วิศวกรจำนวนมาก วาดฝันไว้และถือเป็นหนึ่งในจุดสูงสุดของอาชีพ คือการเป็น
ส่วนหนึ่งในทีมพัฒนารถสปอร์ตสมรรถนะสูงขึ้นมาสักรุ่น แต่นั่นก็ไม่ง่ายนักที่จะ
ต้องต่อสู้ความคิดกับบรรดานักการบัญชีและผู้บริหารในบริษัทของตนอย่างหนัก
เพื่อให้ความฝันก้อนใหญ่ของพวกเขา ถูกนำไปผลิตออกขายจริง

ขณะเดียวกัน บริษัทผู้ผลิตเองก็อยากได้รถยนต์ประเภท Halo Car หรือรถยนต์
สำหรับส่งเสริมภาพลักษณ์อันเอกอุของตนในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เพื่อ
ช่วยดึงดูดความสนใจ ให้ลูกค้าหันมามองที่แบรนด์ของตน และอุดหนุนรถยนต์
ทั้งรุ่นที่มีราคาถูกกว่า และ/หรือ รถยนต์จำพวก Halo Car เหล่านี้ด้วย

Mercedes-Benz ในเครือ Daimler AG ก็เช่นเดียวกัน พวกเขามีสำนักพัฒนา
ปรับปรุงสมรรถนะรถยนต์ AMG Engine Production and Development, Ltd.
หรือ AMG Motorenbau und Entwicklungsgesellschaft mbH ซึ่งเดิม ถูกตั้ง
ขึ้นมาตั้งแต่ ปี 1967 โดย วิศวกรของ Mercedes-Benz 2 คน ชื่อ Hans Werner
Aufrecht กับ Erhard Melcher เพื่อโมดิฟายรถยนต์ Mercedes-Benz จนสร้าง
ชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับ ทั้งในด้าน Motor Sport และ การยกระดับความแรงให้
บรรดา Mercedes-Benz หลายๆรุ่น บริษัทแม่และ AMG ได้ลงนามในบันทึก
ความร่วมมือ เพื่อขยายตลาด และสร้างรถยนต์ได้ด้วยตนเอง (รถยนต์รุ่นแรก
ที่ออกสู่ตลาดภายใต้ข้อตกลงนี้คือ Mercedes-Benz C36 AMG ในปี 1993)

ต่อมา ภายหลังการควบรวมกิจการกันของ Daimler-Benz AG. และ Chrysler
จนกลายเป็น DaimlerChrysler (1998-2007) วันที่ 1 มกราคม 1999 ซื้อหุ้น
51% ของ AMG และได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท Mercedes-AMG GmbH โดย
งานพัฒนาเครื่องยนต์สำหรับการแข่งรถ ถูกเปลี่ยนไปอยู่ในการดูแลของบริษัท
HWA และต่อมา ในวันที่ 1 มกราคม 2005 Aufrecht ได้ขายหุ้นที่เขาถืออยู่
ทั้งหมด ให้กลุ่ม DaimlerChrysler ทำให้เมื่อถึงเวลาที่ทั้ง 2 ค่าย (Daimler
และ Chrysler) ต้องแยกทางกัน AMG จึงตกเป็นบริษัทในเครือ Daimler AG.
โดยสมบูรณ์ และยังคงนำ Mercedes-Benz รุ่นปกติมายกระดับสมรรถนะ เพิ่ม
ความแรงออกขาย เป็นรายได้หลักอยู่ในปัจจุบัน

หลังจากที่ AMG ได้พัฒนารถสปอร์ต Super Car ประตูปีกนก Gullwing อย่าง
Mercedes-Benz SLS AMG ออกมาเป็นรุ่นแรก และออกสู่ตลาดมาตั้งแต่เดือน
มกราคม 2010 – 2015 จนได้รับความสำเร็จด้านยอดขายเป็นอย่างดี โดยเฉพาะ
ลูกค้าที่อุดหนุนรถคันนี้ มีคนดังระดับโลกมากมาย เช่น Arnold Schwarzenegger,
Al Pacino, Boris Becker, Cristiano Ronaldo,Eddie Murphy,Mark Wahlberg,
Roger Federer, Slyvester Stallone, และ Tom Hanks, รวมถึงกลุ่ม Celebrities
จำพวกบ้ารถ (Car Guy) อย่าง Jay Leno และ Jeremy Clarkson กระทั่งนักแข่ง
รถ Formula 1 อย่าง Lewis Hamilton และผู้ร่วมพัฒนารถคันนี้ David Coulhard
บัดนี้ ได้เวลาที่ AMG จะเดินหน้าต่อไปกับโครงการสร้าง Super Car คันที่ 2 ของ
ตระกูลเสียที

อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลที่ SLS AMG มีต้นทุนการพัฒนาแพงมาก โดยเฉพาะ
การติดตั้ง บานประตูปีกนก Gullwing ทำให้ต้องขายในราคาแพง จนยากที่ลูกค้า
ระดับเศรษฐีทั่วไปจะเอื้อมถึง ดังนั้น ถ้า Daimler AG. ต้องการให้ แบรนด์ AMG
เริ่มติดหูผู้คน และง่ายต่อการทำกำไรกว่านี้ พวกเขาจำเป็นต้องพัฒนารถสปอร์ต
ที่มีขนาดเล็กลงและมีสมรรถนะลดลงจาก SLS AMG เพื่อให้ขายได้มากขึ้น

นั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไม AMG GT และ GT S จึงถูกพัฒนาขึ้นในฐานะของ
รถยนต์รุ่นใหม่ ที่ไม่ใช่ตัวตายตัวแทนของ SLS AMG เลย

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_Design

Gorden Wagener หัวหน้าทีมออกแบบประจำ Mercedes-Benz เล่าว่า “สำหรับ
พวกเราแล้ว นี่เป็นโครงการที่ท้าทายมาก เพราะเราจะต้องสร้างรถสปอร์ตที่จะ
มาเป็น “New icon” หรือรถสปอร์ตรุ่นแรงสุดและแพงสุด อันเป็นสัญลักษณ์
ตัวแทนของ แบรนด์ Mercedes-Benz และ Mercedes-AMG ทั้งหมด เฉกเช่น
Mercedes-Benz 300 SL Gullwing ที่เคยรับหน้าที่เดียวกันนี้ ในช่วงทศวรรษ
ที่ 1950 ที่สำคัญ รถคันนี้ ไม่ได้มาเพื่อแทนที่ SLS แน่นอน มันคือรถคนละพิกัด
ระดับราคาคนละเพดานกัน”

Gorden Wagener อธิบายว่าตัวถังภายนอกของ AMG GT มีสัดส่วน เส้นสาย
ที่ถูกถ่ายทอดมาจากรถสปอร์ตรุ่น 300SL รุ่นดั้งเดิม กระจกหน้าต่างรอบคันมา
ในแนวโค้ง คล้ายกับอากาศยานและมีความ Retro แบบที่ทุกคนเคยสัมผัสได้ใน
300SL

อย่างไรก็ตาม พวกเขาตัดสินใจถอดประตูปีกนก จาก SLS AMG ออกไป แม้ว่า
จะลดความโดดเด่นลงไป แต่เหตุผลสำคัญนั้น มี 2 ประการด้วยกัน

1. พวกเขาต้องการควบคุมต้นทุนการพัฒนา และการผลิตไม่ให้สูงจนต้องขาย
รถคันนี้ในราคาที่แพงเกินเหตุ

2. พวกเขาอยากให้ SLS จบเป็นตำนานจริง ๆ และไม่อยากให้เปรียบเทียบกัน
เพราะทั้งสองคัน มีความแตกต่างกันมากในหลายๆประเด็น

จุดเด่นงานออกแบบของ AMG GT คือสะโพกท้ายที่กว้างขยาย ถือเป็นส่วนที่
ดีที่สุดในสายตา Wagener เพราะมันมีเส้นบ่าขนาดใหญ่ที่ถือเป็นส่วนหนึ่งของ
ปรัชญาการออกแบบใหม่ที่เป็นมากกว่ารถสปอร์ตด้วยแนวเส้นบ่าที่ใหญ่โต

ในขณะที่ดีไซน์ภายนอกนั้นใช้ธีมการออกแบบใหม่ของทางค่ายที่สืบเนื่องมา
ตั้งแต่รุ่น SLK, SL, S-Class Coupe แต่ออกแบบให้ส่วนหน้ายาวเพื่อให้มีบุคลิก
แบบรถแข่ง Hot Rod ในอเมริกาเหนือ ขณะที่ส่วนท้ายโป่งบานออกเพื่อให้ดู
กำยำและสามารถใส่ยางขนาดใหญ่ที่รองรับกับพละกำลังของเครื่องยนต์ได้

ส่วน Jan Kaul นักออกแบบภายในห้องโดยสารก็เปิดเผยว่าแรงบันดาลใจใน
การออกแบบภายใน AMG GT มาจากศิลปะการบินและเครื่องบิน Jet สิ่งที่
เป็นจุดเด่นมากที่สุดคือแผงควบคุมการขับขี่ที่อยู่บริเวณเรือนกลางระหว่าง
คนขับที่ประดับด้วยโลหะและเป็นสัญลักษณ์ที่เข้าใจง่าย อยู่ในตำแหน่งสูง
และใช้งานง่ายซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากฝาสูบเครื่องยนต์ V8

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_03

เมื่อการพัฒนาใกล้เร็จสมบูรณ์ Daimler AG. ก็ส่งภาพถ่ายภายในห้องโดยสาร
ชุดแรกของ AMG GT รวม 2 รูป ออกเผยแพร่สู่สายตาสาธารณชน เป็นครั้งแรก
เมื่อ 16 เมษายน 2014 เพื่อเกริ่นนำให้ผู้คนทั่วโลก รับรู้การมาถึงของสุดยอด
รถสปอร์ต รุ่นสำคัญของค่ายตราดาว

ตลอดเวลาหลายเดือนนับจากนั้น ภาพถ่าย Spyshot ของ AMG GT S ถูกบรรดา
ช่างภาพอิสระ บันทึกไว้ได้ ทั้งในสนามแข่งรถ Nurburgring อันเป็นสถานที่ซึ่ง
ทีมงานของ Mercedes-Benz และ AMG นำรถไปทดสอบสมรรถนะกัน หรือ
ภาพถ่ายและ Video Clip ที่ทาง Daimler AG ปล่อยออกมาเอง

เมื่อทุกกระแสถูกสร้างมาจนได้ที่ Daimler AG จึงเชิญบรรดาแขกคนสำคัญทั้ง
นักการเมือง นักธุรกิจระดับโลก และสื่อมวลชน ไปจนถึงผู้ก่อตั้งแบรนด์ AMG
Hans Werner Aufrecht และ Erhard Melcher รวมทั้งสิ้นราวๆ 400 คน เข้า
ร่วมงานแถลงข่าว เปิดตัว AMG GT และ AMG GT S อย่างเป็นทางการ เมื่อ
วันที่ 9 กันยายน 2014 ณ สำนักงานใหญ่ของ AMG ในเมือง Affalterbach
สหพันธรัฐเยอรมนี ก่อนจะนำไปจัดแสดงในงาน Paris Auto Salon เมื่อวันที่
2 ตุลาคม 2014

หลังจากนั้น เพียง 4 วัน Daimler AG ก็ประกาศราคาขายสำหรับตลาดยุโรป
อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2014 ดังนี้

Mercedes-AMG GT  €115.430.00
Mercedes-AMG GT S  €134,351.00
Mercedes-AMG GT S “Edition 1”  €148,512.00

หลังออกจำหน่าย สารพัดแผนการตลาดที่วางกันไว้ ถูกปล่อยออกมาเพื่อเรียก
ความสนใจจากสาธารณชนทั่วโลกอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะเป็น Print AD.
ทั้งในสื่อสิ่งพิมพ์ โปสเตอร์ และแบนเนอร์ ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ ในสถานที่
ต่างๆ ทั่วยุโรป ที่เริ่มผยแพร่เมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2015 หลังงานเปิดตัว 2 วัน

ตามด้วยภาพยนตร์โฆษณา ที่ออกแนวยียวนอยู่ไม่น้อย เปิดดำเนินเรื่อง ด้วย
ฉากเด็กน้อยกำลังนอนหลับ ฝันถึงรถสปอร์ตในฝันของเขา (แม้จะไม่มีการสื่อ
ออกมาตรงๆ แต่ด้วยภาพรถของเล่น ก็คงพอจะทำให้นึกไปถึงรถสปอร์ตในฝัน
ของเด็กๆอย่าง Porsche 911 ได้ไม่ยากเย็นเลย) จู่ๆ 911 ก็ถูกแซงด้วย AMG
GT S สีเหลือง Solarbeam พร้อมกับ Tag line ที่กวนบาทาสุดๆ “รถสปอร์ตใน
ฝันวัยเด็กของคุณ เพิ่งถูกแซงไปหมาดๆ” (ถ้าสนใจ ลองเข้าไปชมภาพยนตร์
โฆษณาได้ ที่นี่ http://mb4.me/amg_gt_tvc )

รวมทั้งการจับมือกับ Sony Computer Entertainment นำ AMG GT S ไปใส่ไว้
ในเกมขับรถยนต์ สำหรับเครื่องเล่น Playstation 4 ที่ชื่อ DRIVECLUB(TM)
เปิดให้ Download ฟรี ช่วงสัปดาห์แรกที่เกมวางตลาด ตั้งแต่ 8 ตุลาคม 2014
การนำรถสปอร์ตรุ่นใหม่ ไปอยู่ในเกมคอมพิวเตอร์ กลายเป็นเทรนด์ที่บรรดา
ผู้ผลิตรถยนต์ทุกค่าย มักนิยมทำกัน เพื่อสร้างกระแสให้บรรดาเด็กวัยรุ่นที่นิยม
ชมชอบความแรง และคลั่งไคล้เกมส์ ได้สัมผัสประสบการณ์กับรถ ในรูปแบบ
ที่ใกล้เคียงของจริง

ด้วยคุณงามความดีของตัวรถ ทำให้ AMG GT และ GT S เริ่มได้รับรางวัลต่างๆ
จากสื่อมวลชนสายยานยนต์ในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น รางวัลอย่าง
“Auto Trophy 2014 รถสปอร์ตยอดเยี่ยม” จากการ Vote ของกลุ่มผู้อ่านนิตยสาร
Auto Zeitung ในเยอรมนี เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2014 ตามด้วยรางวัล “Best
series-production super sports car” จากการประกาศผลรางวัล “Sports Car
of the Year 2014” จากนิตยสาร Auto Bild ฉบับภาคภาษาเยอรมนี

นอกจากนี้ยังได้รับรางวัล “iF Product Design Award 2015” ในเยอรมนี เมื่อ
วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2015 ตามด้วย รางวัล “Red Dot Design Award 2015” เมื่อ
วันที่ 30 มีนาคม 2015 และล่าสุดกับรางวัล 2015 Best Driver’s Car จากนิตยสาร
Motor Trend สหรัฐอเมริกา

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_04

Mercedes-AMG GT S มีตัวถังยาว 4,546 มิลลิเมตร กว้าง 1,939 มิลลิเมตร
สูงเพียงแค่ 1,288 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,630 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อ
น้ำหนักตัวเปล่าอยู่ที่ 1,645 มิลลิเมตร น้ำหนักรวมบรรทุกเต็มอัตราอยู่ที่ 1,890
กิโลกรัม ความจุถังน้ำมัน 65 ลิตร

เมื่อเปรียบเทียบกับ SLS AMG ที่เพิ่งตกรุ่นไป ซึ่งมีความยาว 4,640 มิลลิเมตร
กว้าง 1,940 มิลลิเมตร สูง 1,260 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,680 มิลลิเมตร แล้ว
จะพบว่า AMG GT และ GT S มีขนาดตัวถัง สั้นกว่าราวๆ 106 มิลลิเมตร แต่ยัง
คงกว้างเท่ากัน สูงขึ้น 28 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อ สั้นลง 50 มิลลิเมตร
ถือได้ว่า ตัวรถมีขนาดสั้นลง กว่า SLS AMG นิดเดียว

Mercedes-AMG GT S คันนี้ ถูกติดตั้งกลุ่มอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ เรียกว่า
AMG Exterior Carbon Package ซึ่งสามารถสั่งซื้อติดตั้งเพิ่มเติมได้ ดังนี้

– สีตัวถังภายนอกจะเป็น สีเหลือง AMG Solar Beam (278)
– สปอยเลอร์หน้า ทำจาก Carbon-Fibre เพิ่มช่องรับอากาศด้านล่าง
– กระจังหน้าลาย Diamond ช่องระบายอากาศบนฝากระโปรงทั้ง 2 ฝั่ง
และช่องระบายอากาศออกทางด้านข้าง ถัดจากล้อคู่หน้า จะถูกพ่นสีดำ
เคลือบเงา (High-gross black)
– ปีกหลัง, ขายึดกระจกมองข้าง, Diffuser หลัง ทำจาก Carbon-Fibre
– ระบบเบรก AMG High-Performance Ceramic Composite Brake
– ล้ออะลูมีเนียมอัลลอย ขึ้นรูปแบบ Forge AMG (659)ขนาด 19 และ
20 นิ้ว แบบ Cross Spoke สีดำเงา พร้อมปัดเงาบริเวณขอบล้อ และมี
ฝาครอบดุมล้อ ในตัว

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_Interior_01

แม้ว่าคุณจะต้องจ่ายเงินมากถึง 15 ล้านบาท เพื่อการครอบครอง AMG GT S
แต่ Mercedes-Benz ยังคงยืนยันที่จะมอบความรู้สึก จากการปฏิบัติต่อลูกค้า
อย่าง “เท่าเทียมกัน” กับทุกๆคนที่อุดหนุนค่ายรถยนต์ตราดาว ตั้งแต่รุ่นถูกสุด
A180 คันละ 1,800,000 บาท….จนถึงรุ่นที่แพงสุดเช่นนี้….

ด้วย….กุญแจ Keyless Go แบบรีโมทคอนโทรลในตัว หน้าตาละม้ายคล้าย
กาวหลอดสำหรับ เด็กประถมศึกษา ซึ่งยังคงตามมาหลอกหลอนให้เห็น ใน
สุดยอดรถสปอร์ตระดับแพงระยับรุ่นนี้ด้วย!!! (ฮา)

เมื่อพกกุญแจรีโมทนี้ เดินเข้าใกล้ตัวรถ ไฟส่องพื้นถนน ซึ่งติดตั้งอยู่ที่ใต้
กระจกมองข้างทั้ง 2 ฝั่ง จะค่อยๆสว่างขึ้นมา เพื่อต้อนรับคุณ เมื่อดึงมือจับ
เพื่อเปิดประตู ระบบกลอนจะปลดล็อกเองโดยอัตโนมัติ ไฟส่องสว่างภายใน
ห้องโดยสาร จะติดขึ้นมาพร้อมกันทุกจุด และในกรณีที่คุณ ลุกออกจากรถ
ปิดประตูแล้ว ใช้แค่นิ้วชี้ แตะลงบนช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่มือจับประตู ระบบ
กลอนไฟฟ้า จะสั่งล็อกทันที ไฟในห้องโดยสารจะค่อยๆ หรี่ลงไปเองใน
ระยะหลังจากนั้น คุณสามารถปรับตั้งค่าของระบบไฟส่องสว่างต่างๆในรถ
เหล่านี้ได้ จากแผงควบคุม บนพวงมาลัย ผ่านหน้าจอ TFT บนมาตรวัด

นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งระบบ Immobilizer และสัญญาณกันขโมยมาให้
จากโรงงานในเยอรมนีอีกด้วย

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_Interior_02

การเข้า – ออกจาก ห้องโดยสารของรถคันนี้ มันก็ไม่แตกต่างไปจากบรรดา
รถสปอร์ต ทั่วๆไป เท่าใดนักหรอก คือยังไงๆ มันก็ไม่สะดวกสบายเหมือน
บรรดารถเก๋งบ้านๆ ที่คุณคุ้นเคยแน่ๆ แม้บานประตูแบบ Frame-less doors
จะกางออกได้กว้างราวๆ เกือบๆ 80 องศา ก็ตาม แต่ขนาดช่องทางเข้าออก
ก็เพียงพอสำหรับมนุษย์ที่มีสรีระร่างปกติธรรมดาทั่วไป ไม่ใช่มนุษย์ไซส์
XXL อย่างผม จนถึง XXXXXXXXLLLLLLL อย่างตาแพน ของเว็บเรา

แหงสิครับ ตำแหน่งเบาะนั่งมันช่างต่ำเตี้ยเรี่ยพื้นขนาดนี้ จะให้เข้าออก
ง่ายดาย เหมือนรถตู้ Minivan คงจะเป็นฝันกลางวันแล้วละ

คุณอาจต้องใช้เท้าซ้าย แหย่เข้าไปวางเท้าบริเวณ แป้นเบรกให้ได้เสียก่อน
ถ้ากลัวพลาด ใช้มือขวาค้ำยันกับเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ไว้พอเป็นพิธี
ก่อนจะหย่อนก้นลงไปนั่งบนเบาะ แล้วค่อยลากเท้าขวา ยกเข้ามาเป็นอัน
เสร็จสมบูรณ์

ฟังดูก็ไม่ยากเย็นเท่าไหร่ เพียงแต่ว่า การก้าวเข้าไปนั่งในรถให้ได้นั่น
ยังไม่ใช่เรื่องใหญ่โต เท่าอีตอนพยายามลุกออกมา!!!

เนื่องจากธรณีประตูด้านข้าง แอบสูงขึ้นมา และมีระยะห่างจากเบาะนั่ง
จนถึงขอบชายล่างของบานประตู หนากว่ารถยนต์ทั่วไปขนาดนี้ ย่อมจะ
ส่งผลถึงการเข้า – ออก จากรถอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ไหนๆ เราจะต้องขับรถสปอร์ตคันงามทั้งที จะลุกเข้า – ออกแต่ละที ถ้า
ไม่ซักซ้อมกันเสียก่อน อาจเสียฟอร์ม เสีย Look ขายขี้หน้าประชาชีเขา
ได้ง่ายๆ อุตส่าห์ขับรถคันละ 14.9 ล้านบาท คงน่าอนาถ ถ้าต้องลุกขึ้นยืน
ด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ ทุลักทุเล เหมือนผู้ประสบภัยไฟไหม้บ้าน

พี่ดอม สอนวิธีการลุกออกมาจากรถให้ผม ว่า ควรก้าวเท้าขวาออกมาวางไว้
บนพื้นถนนก่อน จากนั้น ค่อยๆหมุนตัวมา ยกเท้าซ้ายมาวางควบคู่กับเท้า
ขวา แล้วค่อยใช้มือขวาสอดไปใต้ตัวถังรถ จังหวะนั้น ยกตัวขึ้นยืน จึงจะ
ดูแล้ว งามสง่า สมค่าตัวรถเขาเสียหน่อย

ที่เด็ดสุดตอนท้ายคือ…พี่ดอม กระซิบบอกว่า “อย่าเพิ่งไปบอกตาแพนนะ
ให้เจ้าตัวเค้าลองพยายามดูก่อน แล้วเราค่อยเฉลยว่าที่ถูกควรนั่งยังไง อิอิ”

สุดท้าย คุณผู้อ่านคงได้เห็นกันในคลิป Check Check Out ไปแล้วนะครับ
ว่า ตาแพน ของเว็บเรา ก็ลุกออกจากรถคันนี้ได้ แม้มันจะดูอีหลักอีเหลื่อ
เหมือนเหยื่อที่เพิ่งรอดพ้นจากการโดนจับไปทำไส้กรอกหมูรมควันก็ตาม

เอาเถอะครับ ยังไงๆ การลุกเข้า – ออกจาก AM GT S ก็ยังถือว่าสะดวกและ
ง่ายดายกว่า SLS AMG ก็แล้วกัน รายนั้นหนะเหรอ คุณต้องก้าวข้ามธรณี
ประตูรถ  พยายามหย้อนก้นลงไปนั่งให้ได้ แถมยังต้องตัวสูงพอที่จะดึง
ประตูแบบปีกนก Gullwing ปิดลงมาด้วยนะ ยิ่งถ้าตอนลุกออกมา ยิ่งเป็น
ภาพที่ดูไม่จืดจนน่าหัวร่อเลยเชียวละ!

ตำแหน่งวางแขนบนแผงประตู ออกแบบมาให้วางได้พอดีๆ ด้านล่าง มีช่อง
ใส่ของจุกจิก ขึงกั้นไว้ด้วย วัสดุหนัง เพื่อช่วยให้คุณสามารถเอามือ ล้วงลึก
ลงไปปรับสวิตช์เบาะด้วยไฟฟ้า ได้สะดวกขึ้น โดยไม่ต้องเจอแผงพลาสติก
มาเบียดบังพื้นที่ล้วงมือลงไป

สวิตช์สั่งล็อกและปลดล็อกประตู ติดตั้งอยู่ร่วมกับ ลำโพง Tweeter ของชุด
เครื่องเสียง Burmester (เดี๋ยวจะกล่าวต่อไป) มีมาให้ครบทั้งฝั่งซ้าย – ขวา

มาถึงตรงนี้ ถ้าคุณยังมองหาว่า ไหนละ สวิตช์ปรับตำแหน่งเบาะนั่งไฟฟ้า
มันควรจะอยู่ใกล้มือจับเปิดประตูโครเมียมสิ ขอบอกว่า ด้วยการออกแบบ
พื้นที่อันอัตคัตขนาดนี้ ทีมวิศวกรเขาจับย้ายพวกมันทั้งหมด ไปไว้อยู่
บริเวณด้านข้างของชุดเบาะนั่งกันเลย เหมือนรถยนต์ทั่วๆไปนั่นละครับ

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_Interior_03

เบาะนั่งของรถคันที่เรานำมาทดลองกัน เป็นเบาะนั่งแบบสั่งพิเศษ เรียกว่า
AMG Performance Seat ใช้หนัง Nappa สีดำ ตัดสลับกับ ผ้า DINAMICA
Microfiber เดินด้ายเย้บด้วยตะเข็บสีเหลือง มีสวิตช์ Heater ปรับอุ่นเบาะ
มาให้ ทั้ง 2 ฝั่ง (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะให้มาทำไม แทนที่จะแถมพัดลมปั่นตด เย็นๆ
สบายๆ มายังจะดีกว่า แต่เลือกไม่ได้หรอกครับ ฝรั่งเขาจัดสเป็กมาเพื่อความ
สะดวกในการประกอบของโรงงานเขาแบบนี้แล้วนี่)

เบาะนั่งปรับตำแหน่งได้ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า ทั้งการปรับเอน (แต่ไม่สามารถเอน
จนสุดได้แบบรถทั่วไป เพราะมี โครงสร้างตัวถัง เหล็กค้ำช็อกอัพคู่หลัง ที่ยัง
ค้ำยันตัวรถเอาไว้อยู่ ปรับเลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลัง ยกสูง – กดลงต่ำจนเบาะ
เตี้ยจนแทบจะเรี่ยพื้นดิน มีสวิตช์หน่วยความจำตำแหน่งเบาะนั่ง พวงมาลัย
และกระจกมองข้าง ร่วมกัน 3 ตำแหน่ง อีกทั้งมีระบบถอยร่นเบาะ รวมทั้งยก
พวงมาลัยขึ้น แบบ Comfort Access เพื่อเพิ่มความสะดวกขณะลุกเข้า-ออก

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีสวิตช์ไฟฟ้า แบบวงกลม สำหรับปรับระดับตัวดันหลัง ทั้ง
สูง – ต่ำ และดันมาก – ดันน้อย เหมือน Mercedes-Benz หลายๆรุ่น รวมทั้งยัง
มีสวิตช์ไฟฟ้า 2 จุด ติดตั้งที่ด้านข้างเบาะรองนั่ง เพื่อปรับปีกข้างของพนักพิง
และเบาะรองนั่ง ให้หุบเข้า หรือถ่างออกได้ ช่วยให้เบาะนั่ง กระชับรับกับสรีระ
ของผู้ขับขี่และผู้โดยสารที่แตกต่างกัน ได้ครบถ้วน มีมาให้ครบทั้ง 2 ฝั่ง!

พนักพิงหลังค่อนข้างแข็ง ในสไตล์เบาะรถแข่ง เน้นความกระชับแบบเดียวกับ
เบาะ Bucket Seat ซึ่งเน้นให้ตำแหน่งนั่ง ถูกต้องกับสรีระ มากกว่าเน้นนั่งสบาย
ส่วนเบาะรองนั่ง แน่น แต่ไม่ยุบตัวลงไปง่ายนัก หากคุณเป็นคนตัวผอม สรีระ
ประมาณ คนเอเซียทั่วๆไป สูงไม่เกิน 170 เซ็นติเมตร แต่ผอมบางมากๆ ระดับ
ไม้เสียบผี เบาะนั่ของรถคันนี้ จะแอบหลวมไปนิด หากคุณตัวอ้วนประมาณผม
ถือว่า กำลังดีน แต่ถ้าใหญ่โตระดับพระยาคชสาร อย่าง คุณ Pan ของเว็บเรา
(150 กิโลกรัม) ขอยืนยันว่า นั่งไม่สบายแน่นอน เพราะปีกข้างของเบาะจะทิ่ม
สีข้างของคุณอย่างเมามันส์เลยทีเดียว!

ถ้าเปรียบเทียบกับเบาะของ คู่แข่งแล้ว Aston Martin V12 Vantage S จะมี
เบาะที่แข็งไล่เลี่ยกัน ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก เพียงแต่ว่า ไม่สามารถปรับได้
มากเท่ากับ AMG GT S

พื้นที่วางขา ดูเหมือนเล็ก แต่เมื่อลองนั่งจริงๆ พบว่า การวางขาทำได้กำลังดี
แม้ว่าอุโมงค์เพลากลางจะมีขนาดใหญ้เบ้อเร่อเบ้อร่า ทว่ากลับไม่ได้ทำให้ผม
รำคาญ หรือรู้สึกได้ถึงการเบียดบังพื้นที่วางขา มากเท่า Aston Martin V12
Vantage S ด้วยซ้ำ

พื้นที่เหนือศีรษะ ไม่ต้องห่วงครับ ถึงรถจะเตี้ย หน้าต่างจะตีบ แต่หลังคานั้น
โปร่งในระดับที่เราทุกคนคาดหวังจากรถ Super Car แบบนี้ ผมไม่รู้สึกอึดอัด
ในการขับรถคันนี้เลยแม้แต่น้อย ต่อให้ต้องนั่งรอสัญญาณไฟแดงท่ามกลาง
สภาพการจราจรติดขัดของกรุงเทพมหานครก็ตาม

เข็มขัดนิรภัยเป็นแบบ ELR 3 จุด Pre-tensioner & Load Limiter ดึงกลับ
อัตโนมัติ และลดแรงปะทะ ติดตั้งอยู่ที่ แผงข้างตัวถัง มีสายคล้อง ยึดแป๊ก
กับตัวเบาะ ให้เข็มขัด สามารถลอดผ่านเชือกหนังเส้นเล็กๆด้ังกล่าว มาให้
ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ได้ดึงมาใช้งานกันง่ายขึ้น เพราะรถรุ่นนี้ ไม่มีแขนดึง
เข็มขัดนิรภัย มาให้อย่างที่บรรดาพี่ๆในตระกูลเขาเคยมีให้มาก่อนในอดีต

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_Interior_04

ฝากระโปรงหลัง เปิดยกขึ้น ค้ำยันด้วยช็อกอัพไฮโดรลิก กระจกบังลมหลังไม่มี
ใบปัดน้ำฝนมาให้ แต่นั่นไม่จำเป็น สำหรับรถคันนี้ เพราะมีแผงไล่ฝ้ามาให้แล้ว
มีไฟส่องสว่าง ขนาดเล็ก รวมทั้ง ไฟเตือนให้รถคันข้างหลังที่ขับตามมา เห็นว่า
คุณกำลังเปิดฝากระโปรงท้ายอยู่ (กรณีจอดริมข้างทางยามฉุกเฉิน)

ห้องเก็บของด้านหลัง มีความจุ 350 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA เยอรมนี (หรือ
285 ลิตรตามมาตรฐานทั่วไป) พอให้ใส่กระเป็นเดินทางขนาดใหญ่ และเล็กได้
แค่อย่างละ 1 ใบ รวม 2 ใบเท่านั้น บุด้วยผ้าสักกะหลาดอย่างดี เต็มพื้นที่ อีกทั้ง
ยังมีม่านบังสัมภาระ ติดตั้งมาให้จากโรงงาน ใช้ง่าย แค่ดึงออกมาเกี่ยวไว้กับ
ขอยึดทั้ง 2 ฝั่ง ก็เรียบร้อย เหมือนรถยนต์ท้ายตัด และ Station Wagon ทั่วไป

ถ้าคิดจะใส่ถุงกอล์ฟ บอกเลยว่า หมดสิทธิ์ ในกรณีจำเป็น คุณอาจต้องหาทาง
แบกถุงกอล์ฟ ของคุณ ไปใส่ไว้บนเบาะนั่งฝั่งซ้ายแบบเอียงกะเท่เร่ ซึ่งก็ยัง
ไม่แน่ชัดว่า จะยัดเข้าไปได้เลยหรือเปล่า

แต่เอาเข้าจริง ถ้าคุณมีปัญญาซื้อรถ Super Car ขนาดนี้ คุณคงต้องมีรถคันอื่น
ซึ่งเหมาะกับการขนถุงกอล์ฟมากกว่านี้ จอดรอในโรงรถที่บ้านคุณอยู่บ้างละน่า!

แผงด้านข้างฝั่งซ้าย เป็นช่องตาข่ายสำหรับวางข้าวของจุกจิกเล็กๆน้อยๆ ในยาม
จำเป็น มีชุดอุปกรณ์ปฐมพยาบาล ประจำรถ ฝังอยู่ด้านใน

ส่วนบริเวณขอบล่างของช่องประตูเข้าออกห้องเก็บของ มีอุปกรณ์สะท้อนแสง
ยามต้องจอดรถฉุกเฉินช่วงกลางคื้นติดตั้งซ่อนไว้อยู่ ส่วนแผงด้านข้างฝั่งขวา
เป็นที่อยู่อาศัยของลำโพง Sub Woofer เชื่อมกับชุดเครื่องเสียงติดรถยนต์

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_Interior_05

ห้องโดยสาร ถูกออกแบบโดยเน้นโทนสีดำ หลังคารวมทั้งเสาหลังคา บุด้วย
ผ้าสังเคราะห์ Alcantara สีดำ ตามบุคลิกรถสปอร์ตระดับ Super Car ที่พร้อม
แปรสภาพเป็นพาหนะคู่ชีพในสนามแข่งได้ทันที

แผงหน้าปัด ออกแบบใหม่ทั้งหมด ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก อากาศยาน
หุ้มด้วยหนัง เย็บเข้ารูปด้วยตะเข็บด้ายสีเหลือง ตามมาตรฐานการตกแต่ง
ของรุ่นที่ตกแต่งแบบ AMG Exterior Carbon Package

จุดเด่นในการออกแบบแผงหน้าปัดของ AMG GT S อยู่ที่ ช่องแอร์ตรงกลาง
ซึ่งมีมาให้ มากถึง 4 ช่อง และมีก้านหมุนเปิด-ปิดช่องแอร์ได้ แยกติดตั้งออกมา
จากตัวช่องแอร์ต่างหาก รายล้อมด้วยโครเมียม ส่วนพลาสติกที่ช่องแอร์ เป็นสี
ดำเงา Piano Black ดูท่าทางแล้ว แอบบอบบางนิดนึง ถ้าเจอสภาพอากาศร้อนๆ
อย่างประเทศไทยเข้าไป ก็ยังไม่แน่ใจว่า จะทนทานได้แค่ไหนเชียว

ตำแหน่งพวงมาลัยและะมาตรวัด จะแอบเยื้องไปทางซ้ายนิดๆ ตามปกติของ
Mercedes-Benz ทุกรุ่น แต่ก็ไม่ได้เยื้องเยอะจนเกินเหตุแบบ E-Class รุ่น
เก่าๆ ก่อนหน้านี้

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_Interior_06

จากฝั่งขวา เข้ามาทั้งซ้าย สวิตช์กระจกหน้าต่างๆไฟฟ้า และสวิตช์ปรับ/พับ
กระจกมองข้างไฟฟ้า ยกชุดมาจาก Mercedes-Benz ตัวถัง Coupe 2 ประตู
รุ่นอื่นๆ ถ้าต้องการให้กระจกฝั่งไหน ปรับมุมลงต่ำ เพื่อดูพื้นถนนขณะ
กำลังถอยรถ ก็กดไปที่สวิตช์เลือกปรับฝั่งซ้าย หรือขวา ได้ทันที เหมือนๆ
Mercedes-Benz รุ่นอื่นๆ

แป้นคันเร่งติดตั้งฝังอยู่กับพื้นตัวถัง เป็นแบบ Organ Type หรือแป้นเหยียบ
ของเปียโนออร์แกน และแป้นเบรก ทำจากโลหะอะลูมีเนียม

ใช้ช่องแอร์ฝั่งขวาสุดด้านคนขับ เป็นสวิตช์มือหมุน เปิด – ปิดโคมไฟหน้า
อธิบายนิดนึงว่า ตามปกติ ไฟหน้าของรถรุ่นนี้จะตังไว้ที่ตำแหน่ง AUTO
แปลว่า ต่อให้คุณจะขับใช้งานตอนกลางวัน ยังไงๆ หลอดไฟหน้า LED
Daytime Running Light จะต้องติดสว่างไว้ตลอด ถ้าจะปิดไฟทั้งหมดได้ก็
ต้องดับเครื่องยนต์สถานเดียว ถ้าเปิดไฟเลี้ยวฝั่งไหน ไฟ LED ฝั่งนั้น จะ
กลายสภาพเป็นไฟเลี้ยวกระพริบชั่วคราว หรือถ้าเปิดไฟฉุกเฉิน ก็เปลี่ยน
มาเป็น Hazzard Light กระพริบพร้อมกันทั้ง 2 ฝั่ง

ถ้าจะเปิดไฟหรี่ ในช่วงโพล้เพล้ ใกล้ค่ำ บิดสวิตช์ไปด้านซ้าย ถ้าจะเปิดไฟ
Parking Light ก็บิดสวิตช์ไปฝั่งซ้ายสุด อีก 1 จังหวะ แต่ถ้าจะเปิดไฟหน้าไว้
แช่ตลอดเวลา ให้บิดสวิตช์ไปทางขวา และถ้าจะเปิด – ปิด ไฟตัดหมอก ให้
กดปุ่มฝั่งซ้าย ข้างสวิตช์มือบิด

ถัดลงมา เป็นสวิตช์ เบรกมือไฟฟ้า การใช้งานให้เหยียบเบรกก่อนแล้วกด
สวิตช์ลงไป ถ้าจะปลดเบรกมือ ก็ต้องเหยียบเบรก แล้วค่อยดึงสวิตช์เข้ามา
พร้อมระบบ Comfort ตัดการทำงานทันทีที่คุณเหยียบคันเร่งเพื่อเคลื่อนรถ
ด้านข้างติดกัน เป็นสวิตช์ไฟฟ้า สั้งปลดล็อกเปิดฝากระโปรงหลัง รวมทั้ง
ยังเป็นตำแหน่งติดตั้งถุงลมนิรภัย สำหรับหัวเข่าผู้ขับขี่

พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน หุ้มหนังกลับสังเคราะห์ Alcantara เย็บเข้ารูปด้วย
ด้ายสีขาวเหลือง ออกแบบให้ มีการตัดขอบ ด้านล่าง อีกทั้งมี Grip พวงมาลัย
อวบอูมมาก เหมือนกับรถแข่งทางเรียบในต่างประเทศ หลายๆคัน ที่ผมเคย
เจอมาไม่มีผิด ตกแต่งด้วยวัสดุสีเงินแบบ อะลูมีเนียม เงาๆ พร้อมสัญลักษณ์
AMG ด้านล่าง

ก้านพวงมาลัยทั้ง 2 ฝั่ง มาพร้อมสวิตช์ Multi-Function โดยสวิตช์ฝั่งขวา ใช้
ควบคุมการสั่งงานของชุดเครื่องเสียง ระบบโทรศัพท์ ส่วนสวิตช์ฝั่งซ้าย ไว้
ควบคุมหน้าจอ Multi Infomation บนชุดมาตรวัด และระบบสั่งการด้วยเสียง
Linguatronic ซึ่งอาจต้องเรียนรู้การใช้งานสักเล็กน้อย

พวงมาลัย สามารถปรับระดับได้ ท้้งแบบ สูง – ต่ำ และระยะใกล้ – ห่างจากตัว
(Telescopic) ได้เยอะมากกว่าที่คิด ด้วยสวิตช์ไฟฟ้าขนาดเล็ก ติดตั้งยื่นออกมา
เป็นติ่ง อยู่ที่คอพวงมาลัยฝั่งซ้ายมือ ใกล้กับก้านสวิตช์ ระบบควบคุมความเร็ว
คงที่ Cruise Control และระบบจำกัดความเร็วไม่ให้ขับเกินระดับที่กำหนดไว้
SPEEDTRONIC (ยกชุดมาจากบรรดา Mercedes-Benz รุ่นใหม่ในระยะหลัง
ทั้งหมด) รวมทั้ง ก้านสวิตช์ใบปัดน้ำฝน หมุดฉีดน้ำล้างกระจก ไฟเลี้ยว 2 ฝั่ง
ไฟกระพริบ และไฟสูง รวมอยู่ในก้านสวิตช์เดียวกัน

ก้านสวิตช์ ที่คอพวงมาลัยฝั่งซ้ายทั้งหมด ยังคงถูกติดตั้งไว้ในระยะใกล้ๆกัน
เสี่ยงต่อการใช้งานผิด ในขณะขับขี่ เหมือนเช่น Mercedes-Benz รุ่นใหม่ๆ
ทุกรุ่นเช่นเดิม พวกเขาไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลงมันเลยแหะ…

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_Interior_07

ชุดมาตรวัด เป็นแบบ 2 วงกลม พื้นดำ ซ้อนทับวงกลมลาย Carbon Fibre ไว้
ด้านใน มีสัญลักษณ์ AMG ที่มาตรวัดรอบเครื่องยนต์ ฝั่งขวา ขณะที่ฝั่งซ้าย
เป็นมาตรวัดความเร็ว

Font ตัวเลขที่ใช้ ถือว่าอ่านได้ยาก เมื่อต้องขับขี่ด้วยความเร็วแล้วเหลือบตามา
มองที่มาตรวัด ยังดีที่ว่า มีการเว้นระยะห่างของตัวเลขเอาไว้ในอย่างเหมาะสม
แสงที่ใช้ในยามค่ำคืน เป็นแสงไฟสีขาวนวล แต่ตัวเข็มวัด จะเรืองแสงสีแดง
นอกจากนี้ จะมีแถบสีแดง แสดงขึ้นมาล้อมรอบชุดมาตรวัดความเร็ว ในกรณี
ที่ใช้ระบบล็อกความเร็วคงที่ Cruise Control หรือระบบจำกัดความเร็ว LIM

ตรงกลาง เป็นจอ Multi Information Display ด้านล่างสุด เป็นมาตรวัดอุณหภูมิ
และนาฬิกา Digital ด้านบนสุด แจ้งบอกตำแหน่งเกียร์ และโปรแกรมการขับขี่
รวมทั้งไฟสัญญาณของระบบ Auto Start Stop! (Super Car ก็รักโลกกับเขาด้วย!)

ตามปกติแล้ว หน้าจอ MID ของ Mercedes-Benz รุ่นใหม่ๆ จะควบคุมการทำงาน
ด้วยแผงสวิชต์บนก้านพวงมาลัยฝั่งซ้าย ควบคุมได้ทั้งการเปลี่ยนคลื่นวิทยุ เปลี่ยน
แทร็คเพลง เพิ่มหรือลดระดับเสียงวิทยุ เซ็ตตั้งต่ามาตรวัดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
ทั้งแบบ Real-Time และแบบเฉลี่ย รวมทั้งระยะทางที่รถยังแล่นได้อีกจากน้ำมันที่
เหลืออยู่ในถัง หรือแม้แต่บอกข้อมูลของระบบต่างๆ ในตัวรถ ทั้ง อุณหภูมิน้ำใน
ระบบหล่อเย็น ระบบเตือนความดันลมยาง ระบบเตือนอาการเหนือยล้าให้ผู้ขับขี่
จอดแวะพักถ้าขับมานานเกินไป Attention Assist เชื่อมการแจ้งข้อมูลเข็มทิศและ
ระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS ฯลฯ

แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามา สำหรับบรรดารถยนต์ตระกูล AMG นั่นคือ จอแสดงข้อมูลใน
โหมด “AMG” ซึ่งจะแสดงทั้ง ตัวเลขความเร็วแบบ Digital ควบคู่กับ แถบมาตรวัด
Boost ของ Turbo และแถบมาตรวัดอุณหภูมิของน้ำมันเครื่องกับน้ำมันเกียร์ แถม
แสดงตัวเลขจริงแบบ Real Time เสร็จสรรพ อีกด้วย!

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_Interior_08

จากซ้าย ไล่เข้ามาถึงคอนโซลกลาง ช่องแอร์ทุกตำแหน่ง เป็นแบบวงกลม
ประดับด้วยพลาสติกสีดำเงา ล้อมกรอบด้วยโครเมียม ขอแนะนำว่า ค่อยๆ
ปรับตำแหน่งช่องแอร์ เพราะโอกาสที่จะพังพินาศ หากจำเป็นต้องจอด
ตากแดด หรือจอดอยู่ที่สถานที่อบอ้าว นานๆ มีสูงพอสมควร

ช่องเก็บของฝั่งผู้โดยสาร Glove Compartment มีขนาด เล็กตามแบบฉบับ
รถสปอร์ตทั่วๆไป ในยุคอดีต มันมีพื้นที่ไว้พอให้เก็บแค่คู่มือผู้ใช้รถ และ
เอกสารกรมธรรม์ประกันภัย เท่านั้น หรือถ้าคิดจะใส่ปืนพกสักกระบอก
คงต้องยอมย้ายคู่มือและเอกสารประจำรถ ไปไว้ที่อื่น สถานเดียว คิดดู
ขนาดใส่กล่อง CD ให้คุณเห็น ในภาพนี้ ก็เห็นความลึกของพื้นที่กล่อง
ว่ามีเพียงแค่นี้จริงๆ นับประสาอะไรกับข้าวของอื่นๆกันละ?

แผงควบคุมบนคอนโซลกลาง ใต้ช่องแอร์วงกลมทั้ง 4 ชิ้น มีขนาดใหญ่
ออกแบบมาให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ประกอบไปด้วย สวิตช์เครื่องปรับ
อากาศ แบบแยกฝั่งอัตโนมัติ ซ้าย – ขวา THERMOTRONIC ถ้าต้องการ
ดูภาพการทำงาน ให้ชัดเจนขึ้น ลองกดปุ่ม MENU หน้าจอของระบบ
ปรับอากาศ จะปรากฎขึ้นบนจอมอนิเตอร์สี ด้านบน ให้เลือกปรับกัน
ตามอัธยาศัย แต่ขอแนะนำว่า ปรับไว้ต่ำกว่า 23 องศาเซลเซียส ถ้าคุณ
เป็นคนขี้ร้อน แต่ถ้าปรับเย็นไป ฝ้าขึ้นกระจกได้นะครับ บอกไว้ก่อน

ถัดลงมา เป็นช่องวางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง พร้อมฝาเลื่อนเปิด – ปิดแบบ
Smooth ลวดลาย Carbon Fiber ซึ่งจะมีช่องใส่แผ่น CD มาให้ ติดตั้ง
ในตำแหน่งเหนือช่องวางแก้วน้ำนั่นละครับ หน้าตาคล้ายๆ ปากเป็ด
ตัวอ้วนๆ ยาวๆ นั่นละ ดูเหมือนว่า ทีมออกแบบคงกุมขมับกันมาก
ว่าจะหาตำแหน่งติดตั้งช่องใส่ CD ไว้ตรงไหนดี เลยมาสรุปจบกับ
พื้นที่อันอัตคัตตรงนี้ กันดื้อๆ

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_Interior_09_EDIT

มองลงมาอีก จะเห็น ชุดสวิตช์แบบกดและมือหมุน รวม 8 ชิ้น ติดตั้ง
ขนาบข้าง สวิตช์ควบคุม หน้าจอมอนิเตอร์ และสวิตช์ทั้งแบบมือหมุน
Toggle and Push และ Touchpad ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ
ภายในรถ COMAND On-Line ผ่านทางหน้าจอมอนิเตอร์ สี ขนาด
7 นิ้ว และอาจต้องเรียนรู้จักคำแหน่ง สวิตช์ที่ติดตั้งอยู่บนนี้ทั้งหมด
สักหน่อย

ไล่จากขวา มาทางซ้าย  และบน ลงล่าง เริ่มจากมุมขวาบน เป็นสวิตช์
มือหมุน สำหรับปรับเลือกโหมดการขับขี่ และการตอบสนองของทั้ง
เครื่องยนต์ ช่วงล่าง กับเสียงท่อไอเสีย ถัดลงมาเป็นสวิตช์ติดและดับ
เครื่องยนต์ Push Start / Stop , สวิตช เปิด – ปิด ระบบ ESP Traction
Control และ สวิตช์ปรับระดับความแข็ง-อ่อน ของ ช็อกอัพ 2 ระดับ
(แต่รวมโหมดธรรมดาด้วย ต้องถือว่ามี 3 ระดับ)

ฝั่งซ้าย ไล่จากบนลงล่าง เริ่มด้วย สวิตช์หมุนและกดเปิด – ปิด ชุด
เครื่องเสียง ถัดลงมาเป็น สวิตช์เปิด – ปิด การทำงานของเกียร์ใน
โหมด M (Manual) เพื่อให้ผู้ขับขี่ เล่นเกียร์เองผ่านแป้นเปลี่ยน
เกียร์ Paddle Shift หลังพวงมาลัย , สวิตช์ เปิด – ปิด ระบบดับและ
ติดเครื่องยนต์อัตโนมัติขณะคลานไปตามสภาพการจราจรติดขัด
ECO Start/Stop (ก็คือระบบ Auto Start/Stop นั่นละ แหม ใครจะ
ไปคิดละว่า Super Car สมัยนี้ ก็ต้องรักษ์โลก กับเขาด้วย!)

ล่างสุดฝั่งซ้าย คือ สวิตช์ปรับเสียงท่อไอเสีย เลือกได้ 2 แบบ ทั้ง
แบบนุ่มๆ มาตรฐาน และแบบคำรามโหดขึ้น ซึ่ง ตาแพน เขาให้
นิยามมันเอาไว้ว่า เป็นโหมด J!MMY กรน! เพราะเสียงคราง
ในรอบเดินเบา มันเหมือนเสียงของ J!MMY ตอนนอนกรนดังๆ

อีห่าาาาาาาาาาา!!!! คิดด้ายยยยย กูกรนดังน้อยกว่ามึงละกันเหอะ
ไอ้ฮิปโปอารมณ์หื่น! ถ้าเสียงกูกรน ดังเท่าเครื่อง V8 ของรถคันนี้
เสียงกรนของมึง ก็ดังพอกับเสียงหวูดเรือกลไฟสมัยสงครามโลก
ครั้งที่ 1 ละวะ!!

ตำแหน่งคันเกียร์ ออกจะพิสดารไปสักหน่อย คือ ย้ายถอยร่นไป
อยู่หลังแผงสวิตช์ควบคุมระบบหน้าจอ COMAND เสียอย่างนั้น
การใช้งานเป็นอย่างไร เลื่อนลงไปอ่านได้ข้างล่างในส่วนงาน
วิศวกรรมระบบส่งกำลัง

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_Interior_12

จอมอนิเตอร์สี เป็นแบบ TFT สี 7 นิ้ว แสดงการทำงานของทั้งชุดเครื่องเสียง
ระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS Navigation System แสดงแผนที่เมืองไทย
ได้ทั้งแบบปกติ และแบบ 3 มิติ มีภาพกราฟฟิค อาคารสถานที่จริงมาให้ครบ
อัพเดทแม้กระทั่ง ห้าง Mega Bangna ก็ยังมีแล้ว รวมทั้งยังแสดงภาพจาก
กล้องท้ายรถ เพื่อช่วยแสดงภาพขณะถอยหลังเข้าจอด (ขอบอกว่า กล้อง
ทำงานช้ามากกกก แถมในตอนกลางคืน ยังไม่ค่อยชัดเจนอีกด้วย)

นอกจากจะแสดงผลให้กับระบบนำทางแล้ว จอมอนิเตอร์สี TFT ยังช่วย
แสดงโปรแกรมการขับขี่ Dynamic Select ที่ผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับได้
เอง ว่าต้องการช็อกอัพแข็งหรืออ่อนลง ต้องการเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น
หรือแบบปกติ รวมทั้งการตอบสนองของเครื่องยนต์ให้ไวขึ้น ด้วยแล้ว

จอมอนิเตอร์ ยังแสดงการทำงานของชุดเครื่องเสียง เป็นแบบ 6 ลำโพง
Surround Sound System จาก Burmester ผู้ผลิตเครื่องเสียงชั้นเลิศ
จากเยอรมนี ประกอบด้วย วิทยุ AM/FM พร้อมเครื่องเล่น CD / MP3
เล่นไฟล์เพลงได้ทั้งจาก USB , iPod ,Bluetooth,SD Card หรือจะโหลด
ไฟล์เพลงเข้าไปเก็บไว้ใน Harddisk ก็ได้อีกด้วย

คุณภาพเสียง ออกมาจัดว่าอยู่ในระดับ ยอดเยี่ยมมากๆ แต่คุณควรจะฟัง
เพลงจากเครื่องเสียงชุดนี้ เวลารถจอดอยู่นิ่งๆ เพราะเสียงจากเครื่องยนต์
มันจะคำรามดังเข้ามากลบเสียงเพลงไปพอสมควร นี่หมายถึงแค่การขับขี่
ในเมือง ด้วยความเร็วราวๆ 40 – 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไปตามถนนอึกทึก
ครึกโครมในเขตกรุงเทพมหานคร เท่านั้นนะ

ที่แน่ๆ ต่อให้เครื่องเสียง ในรถคันนี้ จะดีขนาดไหน มันยังต้องยอมพ่าย
ให้กับชุดเครื่องเสียง Burmester ใน S-Class Coupe รุ่นล่าสุด ซึ่งผม
ได้มีโอกาสทดลองฟังมาเรียบร้อยแล้ว ก่อนหน้านี้ จนถึงขั้นกล้ายืนยัน
ว่า รายนั้นหนะ คือเครื่องเสียงติดรถยนต์จากโรงงาน ที่ดีที่สุด เท่าที่เคย
มีการติดตั้งให้กับรถยนต์ที่จำหน่ายในเมืองไทยเลยทีเดียว!

สรุปง่ายๆ อยากฟังเพลงอย่างรื่นรมณ์ ไปหา S-Class Coupe แต่ถ้าอยาก
สุนทรีย์จาก เสียงแผดคำรามของเครื่องยนต์ มาขับ AMG GT S นี่!

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_Interior_13

ถัดลงมาจากคันเกียร์ จะเป็น กล่องคอนโซลกลาง พร้อมฝาปิดด้านบนที่
หุ้มด้วยหนังแท้ ปักและปั้มนูนเป็นตราสัญลักษณ์ประจำตระกูล AMG
ซึ่งออกแบบมาให้มีความสูง พอเหมาะกับการรับงานเป็นพนักวางแขน
ไปด้วยในตัว ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่หรือผู้โดยสาร ก็วางแขนได้สบายพอดี

เมื่อเปิดฝาขึ้นมา จะพบกล่องเก็บของ ด้านในบุด้วยผ้ากำมะหยี่ อย่างดี
มีช่องเสียบกุญแจรีโมท ในกรณีที่คุณหาพื้นที่วางกุญแจรถไม่ได้จริงๆ
ช่องเสียบปลั๊กไฟ 12 V ช่องเสียบ USB มีมาให้ถึง 2 ตำแหน่ง และ
ช่องเสียบการ์ดข้อมูล ขนาดของกล่อง พอให้วางกระเป๋าสตางค์และ
โทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่อชาร์จไฟ และเชื่อมต่อสัญญาณผ่านช่อง USB
และแค่นั้น!

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_Interior_14

มองไปด้านบนเพดานหลังคา ซึ่งบุด้วยผ้าสังเคราะห์ Alcantara
จะพบหลังคากระจก Panoramic Glass Roof ขนาดใหญ่ พร้อม
แผงบังแดดเลื่อนเข้า – ออกได้ด้วยมือคุณเอง หลังคากระจกนั้น
ไม่สามารถเปิดรับอากาศภายนอกรถได้เลย มันถูกเชื่อมจนแนบ
สนิทกับโครงสร้างเสาหลังคาของตัวรถเรียบร้อยแล้ว ด้วยเหตุผล
ด้านความแข็งแรงของตัวถังรถ

นอกจากนี้ ยังมี แผงบังแดด แบบเล็ก สี่เหลี่ยมผืนผ้า สไตล์รถแข่ง
แบบเดียวกับ MINI รุ่นใหม่ๆ รวมทั้ง รถเปิดประทุนอย่าง SL และ
SLK มาพร้อมกับกระจกแต่งหน้า และไฟส่องแต่งหน้าแบบฝังใน
เพดานหลังคา

ไฟส่องสว่างภายในรถ รวมศูนย์อยู่ที่ เหนือกระจกบังลมหน้ารถ
มีทั้งไฟอ่านแผนที่ 2 ตำแหน่ง ใต้กระจกมองหลัง ไฟส่องสว่าง
ภายในเก๋ง แยกฝั่งซ้าย – ขวา สามารถเปิดให้ติดสว่างพร้อมกัน
ได้ มีสวิตช์สั่งปิดการทำงานของทุกระบบในตัวรถ ขณะขนส่ง
หรือเคลื่อนย้ายไปบนรถบรรทุก หรือ รถ Slide-on

ไม่เพียงเท่านั้น ด้านบนสุด เหนือแผงควบคุมไฟส่องสว่าง ยังมี
แผงสวิตช์เรียงกันอีก 1 ชุด ปุ่มริมสุดทั้งฝั่งซ้ายและขวา ควบคุม
ระบบ Heater อุุ่นเบาะ ปุ่มตรงกลาง เป็นปุ่มไฟฉุกเฉิน ซึ่งผมว่า
ติดตั้ในตำแหน่งที่สูงเกินไป จนคลำหาเพื่อใช้งานในยามฉุกเฉิน
ยากมากๆ ปุ่มนี้ ถูกขนาบข้างด้วย สวิตช์สั่งยกหรือปิดการทำงาน
ของสปอยเลอร์หลังแบบไฟฟ้า และสวิตช์เปิด – ปิด เซ็นเซอร์
กะระยะขณะถอยเข้าจอด ซึ่งติดตั้งไว้ ทั้งกันชนหน้า และหลัง

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_Visibility_1

ทัศนวิสัยด้านหน้า อาจต้องทำความคุ้นเคยกันอยู่บ้าง สำหรับคนที่ไม่เคย
ขับรถสปอร์ตแบบหน้ายาวๆ มาก่อน แต่ถ้าใครที่คุ้นชินกับ BMW Z4 แล้ว
นั่นจะช่วยให้ชีวิตคุณง่ายขึ้นอีกเยอะ

ด้วยเหตุที่ ด้านหน้าของรถยาวกว่ารถยนต์ทั่วไป ทำให้การกะระยะห่าง
จากทั้งรถคันข้างหน้า จนถึงการเข้าจอดในโรงรถ ต้องใช้ความระมัดระวัง
มากเป็นพิเศษ เพราะมันจะแตกต่างไปจากเดิมเอาเรื่อง

โชคดีสำหรับคนที่ชอบมองเห็นฝากระโปรงหน้าเวลาขับรถ ต่อให้คุณปรับ
ตำแหน่งเบาะนั่งจนเตี้ยสุดอย่างที่ผมทำอยู่นี้ ถ้าคุณไม่เตี้ยจนเกินกว่าปกติ
คุณก็จะมองเห็นฝากระโปรงหน้าอย่างชัดเจน และนั่นพอจะช่วยให้คุณ
กะเก็งระยะห่างจากรถคันข้างหน้าได้บ้าง นิดหน่อย

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_Visibility_2

เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งขวา ค่อนข้างหนา และบดบังมุมมองขณะ
เข้าโค้งขวา บนถนนสวนกันสองเลน คุณอาจมองไม่เห็น เส้นแบ่งเลน
บนพื้นผิวถนน รวมทั้ง รถยนต์ หรือจักรยานยนต์ที่แล่นสวนทางมา
เสาหลังคาฝั่งขวา จะบดบังพวกเขาไว้จนมิดเลยละ!

กระจกมองข้าง มีเส้นแบ่ง พื้นที่ 1 ใน 3 ของฝั่งขวา ให้มองเห็นรถจาก
อีกเลนหนึ่งที่แล่นมาด้านข้าง แต่ไม่มีการติดตั้งระบบแจ้งเตือนรถยนต์
หรือจักรยานยนต์ที่แล่นมาทาง้านข้างของตัวรถ (Blind Spot Monitoring)
มาให้แต่อย่างใด ทั้งที่ควรจะติดตั้งมาให้ได้แล้ว ในรถยนต์ยุคสมัยนี้

อย่างไรก็ตาม การที่กรอบกระจกมองข้าง บดบังพื้นที่ขอบด้านนอกของ
ตัวกระจก จนแทบเหลือพื้นที่มองเห็นรถคันข้างๆ น้อยลงไปมาก ทำให้
ผมเกิดความสงสัยว่า ถ้าเป็นเช่นนี้ จะแบ่งแถบข้าง มาให้ทำไม?

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_Visibility_3

แม้พื้นที่กระจกรอบคัน ค่อนข้างน้อย แต่ถ้ามองไปยังด้านข้าง จะพบว่า
แอบโปร่งตากว่าที่คิดไว้นิดหน่อย เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งซ้าย นั้น
ค่อนข้างหนา แต่กลับไม่บดบังรถยนต์ หรือจักรยานยนต์ ที่แล่นออกมา
จากซอย การวางตำแหน่ง เสาหลังคา มีผลสำคัญต่อการกำหนดพื้นที่ใน
การใช้สอยภายในห้องโดยสารอย่างยิ่ง

เมื่อปรับกระจกมองข้างให้เห็นพื้นที่ด้านข้างลำตัวรถในระดับเหมาะสม
กระจกมองข้างซึ่งมีขนาดพอเหมาะกับตัวรถ จะช่วยให้คุณเห็นภาพจาก
ฝั่งซ้ายของรถได้ชัดเจน แม้ว่ากรอบกระจกมองข้างจะกินพื้นที่ขอบนอก
เข้ามานิดหน่อยก็ตาม

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_Visibility_4

กระนั้น เมื่อมองไปทางด้านหลัง ทัศนวิสัย ที่โปร่งตาเกินคาดของรถคันนี้
ก็ยังแอบมีจุดบอด บริเวณเสาหลังคาคู่หลังสุด ซึ่งบดบังจักรยานยนต์ได้มิด
เต็มๆคันไปเลย

ดังนั้น ถ้าคิดจะเปลี่ยนเลน เบี่ยงออกทางซ้าย อย่าเพิ่งมั่นใจในสิ่งที่คุณ
เพิ่งเห็นจากกระจกมองข้างนะครับ ควรจะหันชำเลืองมองสักแว่บหนึ่ง
ก่อนจะเริ่มเปิดไฟเลี้ยว แล้วค่อยเบนหัวรถไปเลนซ้ายตามต้องการ

เช่นเดียวกัน การถอยรถเข้าช่องจอด อาจต้องใช้ความระมัดระวังเยอะๆ
เพราะแม้ว่าทัศนวิสัย จะค่อนข้างดีเป็นอันดับต้นๆ เมื่อเทียบกับบรรดา
Super Car คันอื่นๆ แต่ด้วยเหตุที่บั้นท้ายสั้นกุด การมองภาพจากกล้อง
ถอยจอด ซึ่งปรากฎบนจอมอนิเตอร์ระบบ COMAND จะช่วยให้คุณ
ถอยเข้าจอดได้อย่างแม่นยำกว่าการใช้วิธีมองกระจกข้าง และกระจก
มองหลัง ตามปกติในแบบเดิมๆ

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_Engine_01_EDIT

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

ขุมพลังของ Mercedes-AMG GT และ GT S ถูกติดตั้งไว้ด้านหน้าของตัวรถ
ในลักษณะที่เรียกว่า “Front Midship” เหมือนใน SLS และ Mazda RX-8)

” Front Midship” คือ การเลื่อนตัวเครื่องยนต์ให้ถอยร่นเข้ามาชิดกับผนังห้อง
เครื่องยนต์ และห้องโดยสาร มากที่สุด โดยยืดล้อคู่หน้าออกไปให้ไกลจากเดิม
มากขึ้น เพื่อให้แนวเครื่องยนต์ อยู่ด้านหลังล้อคู่หน้า เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพื่อ
การกระจายน้ำหนักรถให้สมดุลย์ ซึ่งจำเป็นมาก สำหรับการพัฒนารถแข่งซึ่ง
มีสมรรถนะสูง

ระบบส่งกำลัง เป็นแบบ Transaxle พูดง่ายๆก็คือยกเอาเกียร์ทั้งลูก ย้ายไปไว้
ด้านหลังของตัวรถนั่นเอง เครื่องยนต์จะส่งกำลังไปที่เกียร์ ผ่านท่อนเพลากลาง
เพลากลางซึ่งหมุนอยู่ข้างในท่อโลหะ ที่เรียกกันว่า Torque Tube

การวางเครื่องยนต์และเกียร์ในลักษณะนี้ ทำให้วิศวกร AMG สามารถออกแบบ
ให้ AMG GT S มีการกระจายน้ำหนัก ในอัตราส่วน หน้า 47% และหลัง 53%
ได้ตามต้องการ

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_Engine_02

ตัวเครื่องยนต์นั้น Mercedes-Benz และ AMG ตัดสินใจ ถอดขุมพลังเดิม V8
6,200 ซีซี รหัส M159 ใน SLS AMG ทิ้งไป วันนี้ พวกเขาตัดสินใจ เดินตาม
เทรนด์การพัฒนาเครื่องยนต์ “Downsizing” หรือการลดความจุกระบอกสูบ
แล้วเพิ่มพละกำลังด้วย Turbocharger ถึง 2 ลูก

Mercedes-AMG GT และ GT S จะมีเครื่องยนต์เพียงแบบเดียวคือรหัส M178
บล็อก V8 DOHC (Quadcam : เพลาราวลิ้นคู่/ฝาสูบ 1 ข้าง) 32 วาล์ว 3,982 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 83.0 x 92.0 ม.ม. กำลังอัด 10.5:1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด
อีเล็กทรอนิกส์

ฝาสูบ และเสื้อสูบ ทำจากอะลูมิเนียม และเป็นแบบเสื้อตัน (Closed Deck) ที่
ทนทานต่อพลังและการใช้งานแบบรุนแรงได้ดี ผนังกระบอกสูบเคลือบด้วยสาร
Nanoslide ซึ่งพัฒนาโดยทาง Mercedes เอง

ติดตั้งระบบอัดอากาศ Twin-Turbocharger ของ BorgWarner ติดตั้งอยู่ระหว่าง
ฝาสูบ (Hot-inside-V) พร้อม Intercooler แบบระบายความร้อนด้วยน้ำ 2 ชุด

ระบบหมุนเวียนน้ำมันหล่อลื่น เป็นแบบ Dry-sump เหมือนรถแข่งทางเรียบ
ทำให้ไม่ต้องมีอ่างน้ำมันเครื่องด้านล่าง ช่วยให้วิศวกรสามารถ กดให้ตำแหน่ง
เครื่องยนต์ ต่ำลงกว่าปกติได้อีก 55 มิลลิเมตร

ถ้าดูขนาดกระบอกสูบและช่วงชักแล้วคุ้นๆ ก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะมันก็เท่ากับ
เครื่องยนต์ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร Turbocharge ของ Mercedes-Benz
A45 AMG นั่นเองครับ

การออกแบบเครื่องยนต์ M178 นั้น เน้นการลดขนาดและลดจำนวนชิ้นส่วนที่
ไม่จำเป็นออกด้วย ดังนั้นตัวเครื่องจึงสั้นลงกว่าเครื่องยนต์ M156 V8 6.2 ลิตร
ใน C63 AMG และ E63 AMG และเครื่องยนต์ M159 ของ SLS AMG เดิมอีก
3.5 นิ้ว

แม้จะมี Turbocharger ถึง 2 ลูก แต่เครื่องยนต์ M178 กลับมีน้ำหนักเปล่าที่ยัง
ไม่รวมของเหลวเพียงแค่ 209 กิโลกรัมเท่านั้น (หนักกว่าเครื่องยนต์แบบ 4 สูบ
อะลูมิเนียม ของ Nissan อย่าง SR20DET แค่ราว 40 กิโลกรัม)

และในอีกไม่นานหลังจากนี้ เครื่องยนต์ M178 ก็จะถูกปรับลดสเป็คให้เหมาะ
กับการใช้ในฐานะรถเก๋งบ้านๆ ทั่วไป แล้วนำไปวางให้กับ C63 AMG รุ่นใหม่
W205 โดยใช้รหัสเครื่องยนต์ว่า M177 อีกด้วย

เครื่องยนต์ M178 ทุกเครื่องยังคงจะประกอบด้วยมือวิศวกรชาวเยอรมัน 1 คน
ต่อ 1 เครื่อง ตามธรรมเนียมดั้งเดิมของ AMG และเมื่อประกอบเสร็จแล้ว จะ
ต้องลงลายเซ็นบนฝาครอบเครื่องยนต์ กำกับไว้เลยว่าประกอบโดยช่างคนไหน

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_Engine_02_Graph

รุ่นพื้นฐานอย่าง AMG GT จะถูกปรับเซ็ตแรง Boost ของ Turboocharger
เอาไว้ที่ 1.1 Bar พละกำลังสูงสุด 462 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด
สูงสุด 600 นิวตันเมตร (61.14 กก.-ม.) ที่รอบเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1,600-5,000
รอบ/นาที กล่องสมองกล ECM สั่งรอบตัดที่ 7,200 รอบ/นาที อัตราเร่งตาม
ที่โรงางนทำไว้ 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในแค่ 4.0 วินาที  ความเร็วสูงสุด
304 กิโลเมตร/ชั่วโมง ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ 216 กรัม / กิโลเมตร
และผ่านมาตรฐานมลพิษ Emission Standard : Euro 6

แต่รุ่น GT “S” คันที่เราลองขับกันนี้ จะถูกปรับจูนเพิ่มพลังไปถึงระดับสูงสุด
510 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด มากถึง 650 นิวตันเมตร
(66.23 กก.-ม.) ที่รอบเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1,750 – 4,750 รอบ/นาที

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_Engine_03_Transmission

พละกำลังทั้งหมดจะถูกถ่ายทอดจากเครื่องยนต์ ผ่านเพลากลาง ไปยังเกียร์
อัตโนมัติ Dual Clutch 7 จังหวะ AMG SPEEDSHIFT DCT 7-speed sports
จาก GETRAG ที่ติดตั้งไว้ด้านท้ายรถ ในสไตล์เดียวกับรถสปอร์ตอย่าง Nissan
GT-R และ Aston Martin บางรุ่น โดยเกียร์ลูกนี้จะติดตั้งทั้งในรุ่น AMG GT
และ GT S มีอัตราทดเกียร์เหมือนกันดังนี้

เกียร์ 1………………..3.40
เกียร์ 2………………..2.19
เกียร์ 3………………..1.63
เกียร์ 4………………..1.29
เกียร์ 5………………..1.03
เกียร์ 6………………..0.84
เกียร์ 7………………..0.63
เกียร์ถอยหลัง………2.79
เฟืองท้าย……………3.67

เกียร์อัตโนมัติ AMG SPEEDSHIFT DCT 7 ลูกนี้มีระบบระบายความร้อนในตัว
โดยมีหม้อน้ำระบายความร้อนอยู่ด้านหลัง ใช้น้ำหล่อเย็นจากระบบไหลเวียนน้ำ
อุณหภูมิต่ำจากเครื่องยนต์ที่อยู่ด้านหน้า ส่วนเฟืองท้าย จะมีระบบ Limited Slip
มาให้ทั้งรุ่น GT และ GT S โดยที่รุ่น GT จะเป็น Limited Slip แบบกลไกธรรมดา
ขณะที่รุ่น GT S จะเปลี่ยนมาเป็น Limited Slip แบบไฟฟ้าซึ่งควบคุมสั่งการด้วย
คอมพิวเตอร์ทำให้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในการขับขี่
ได้รวดเร็วและถ่ายพลังไปสู่ล้อหลังข้างที่มีแรงยึดเกาะสูงได้ดีกว่า

การใช้งานเกียร์ลูกนี้ ไม่ยากครับ แต่ต้องทำความเข้าใจนิดนึง คันเกียร์จะติดตั้ง
บริเวณ ใต้ชุดสวิตช์ควบคุมระบบ COMAND บนแผงคอนโซลกลาง เมื่อกดปุ่ม
ติดเครื่องยนต์ แล้ว เกียร์จะอยู่ในตำแหน่ง P (จอด) ถ้าต้องการจะเคลื่อนรถไป
ข้างหน้า ให้ขยับคันเกียร์ ลงมาจนสุดเข้าล็อก “กรึก” เพื่อเข้าสู่เกียร์ D หาก
ต้องการปลดเกียร์ว่าง ให้เหยียบเบรก แล้วขยับคันเกียร์ขึ้นไป 1 จังหวะ เบาๆ
เป็นเกียร์ N แต่ถ้าต้องการจะถอยรถให้ขยับคันเกียร์ขึ้นไปข้างบนอีกครั้งจน
สุด “กรึก” จึงจะเข้าสู่เกียร์ R (ถอยหลัง) และถ้าต้องการจอดรถ ให้กดลงไป
บนปุ่มตัว P

ส่วนปุ่ม Manual (M) ติดตั้งอยู่เป็นปุ่มที่ 2 จากฝั่งซ้ายของแผงควบคุมกลาง
ก็คือโหมดเล่นเกียร์ +/- เอง ผ่านแป้น Paddle Shift ติดตั้งอยู่หลังพวงมาลัย
แต่วิธีการใช้งานมีอยู่ 2 แบบ

1. หากกดปุ่ม M โดยตรง รถจะเข้าสู่โหมด Fully Manual ซึ่งรถจะไม่ยอม
เปลี่ยนเกียร์ให้คุณแม้ว่าความเร็วจะต่ำ คันเร่งจะจมสักแค่ไหน หรือถ้าลาก
จนเลย 7,200 รอบ/นาที กล่องสมองกลของเครื่องยนต์ ก็จะตัดรอบเครื่อง
แต่ไม่ยอมเปลี่ยนเกียร์ขึ้นให้

2. แต่ถ้าเข้าโหมด M โดยใช้วิธีตบแป้น Paddle shift 1 ครั้งในระหว่างที่อยู่
โหมด C, S หรือ S+ รถก็จะยอมให้คุณเล่นเกียร์เองได้ แต่ถ้าลากรอบจนถึง
ขีดแดง รถก็จะเปลี่ยนเกียร์ขึ้นสูงให้ หรือถ้าความเร็วต่ำไปก็จะเข้าเกียร์ต่ำ
ให้เองโดยที่ผู้ขับไม่ต้องทำอะไร

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_Engine_04_AMG_Dynamic_Select_EDIT

จุดเด่นของ AMG GT S ก็เหมือนกับ Mercedes-Benz ยุคใหม่ๆ ที่มาพร้อม
โปรแกรมปรับเปลี่ยนบุคลิกการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ในตัวรถ ที่เรียกว่า
AMG DYNAMIC SELECT ซึ่งนอกจากควบคุมนิสัยของเกียร์แล้ว ยังรวม
ไปถึงคันเร่งไฟฟ้า, ระบบควบคุมเสถียรภาพ ESP, ระบบ ECO Start/Stop,
ระบบ Sailing ปล่อยรถไหลตอนใกล้หยุดไฟแดง,การยกตัวของสปอยเลอร์
ด้านหลัง และในรุ่น GT S สวิตช์นี้จะคุมการทำงานของเสียงของท่อไอเสีย
และความแข็งของช่วงล่างไปพร้อมๆกันด้วย

AMG DYNAMIC SELECT ในแต่ละโหมด จะมีลักษณะการตอบสนอง
ดังต่อไปนี้

Comfort (C) – ระบบจะสั่งการให้เปลี่ยนเกียร์ไปสูงโดยตลอด เพื่อให้
ประหยัดน้ำมัน สำหรับการขับขี่ในเมือง คันเร่งไฟฟ้า จะตอบสนองแบบ
นุ่มนวล Lag พอสมควร เปิดการทำงานของระบบ ECO Start/Stop และ
Sailing mode (ทำงานโดยตัดการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องกับเกียร์ ปล่อยให้
รถไหลไปข้างหน้า ระบบนี้จะใช้ได้เมื่อปล่อยคันเร่งทั้งหมด ที่ความเร็ว
60-160 กิโลเมตร/ชั่วโมง)

Sport (S) – สั่งให้เกียร์ เปลี่ยนช้าลงนิดนึง ให้ผู้ขับขี่เหยียบคันเร่ง เพื่อ
ลากรอบเครื่องยนต์ให้สูงขึ้น การตอบสนองของคันเร่งจะไวขึ้น ตัดการ
ทำงานของระบบ ECO Start/Stop ไปด้วย การเปลี่ยนเกียร์ก็จะเร็วขึ้น มี
การตัดระบบจุดระเบิดระหว่างเปลี่ยนเกียร์ ทำให้เวลาเปลี่ยนเกียร์จะมี
เสียง “ปรึบ!” ดังขึ้น ช่วงล่างแข็งขึ้น เสียงท่อไอเสียจะเบาเท่าเดิม ระบบ
ESP เปิดทำงานอยู่ “On” และพวงมาลัยจะหน่วงมือขึ้นเล็กน้อย โหมดนี้
จะเหมาะกับการขับขี่บนสนามที่ใช้ความเร็วสูงแต่พื้นถนนไม่เรียบ เช่น
Nurburgring Nordscheife

Sport+ (S+) – เหมือนโหมด Sport แต่เปลี่ยนเกียร์ไวขึ้น ปรับช่วงล่าง
ให้แข็งขึ้น ท่อไอเสียเปลี่ยนไปเป็นโหมดเสียงดังขึ้น พวงมาลัยหนักขึ้น
แต่ระบบ ESP ยังเปิดทำงาน “On” อยู่เหมือนเดิม

Individual (I) – ผู้ขับสามารถบันทึกค่าต่างๆได้ตามใจชอบไว้ในโหมดนี้
เช่น สั่งให้ท่อไอเสียส่งเสียงดังๆ เปิด ESP เป็นแบบ Sport แต่สั่งให้ช่วงล่าง
นุ่มๆเข้าไว้ หรืออยากให้ช่วงล่างแข็ง เกียร์ตอบสนองไวๆ แต่สั่งให้ท่อไอเสีย
หรี่เสียงลงมาเป็นปกติ ก็ได้เช่นกัน เพราะการควบคุมแต่ละอย่างสามารถแยก
ออกจากกันได้เป็นอิสระ ด้วยสวิตช์แต่ละระบบบนคอนโซลกลาง

RACE (มีเฉพาะรุ่น GT S) – เสียงท่อไอเสีย ช่วงล่าง และความไวและหนัก
ของพวงมาลัยจะเท่ากับในโหมด Sport + แต่คันเร่งจะตอบสนองไวยิ่งขึ้น
ระบบ ESP จะเปลี่ยนจาก On เป็นโหมด “SPORT Handling” ซึ่งอนุญาต
ให้ตัวรถสามารถเข้าโค้งแล้วมีอาการท้ายกวาด และล้อหมุนฟรีได้มากขึ้น
เกียร์จะทำงานในแบบ RACE ซึ่งจะพยายามใช้เกียร์ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้
(ตรงข้ามกับโหมด C ที่พยายามใช้เกียร์สูงสุดเท่าที่เป็นไปได้ โดยสิ้นเชิง)

ตัวเลขจากโรงงานระบุว่า Mercedes-AMG GT S ทำอัตราเร่ง 0-100
กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลาเพียงแค่ 3.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้สูงถึง
310 กิโลเมตร/ชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 9.4 ลิตร/100 กิโลเมตร
และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ 219 กรัม/ กิโลเมตร (ซึ่งก็เท่าๆกันกับ
Ford Everest รุ่นใหม่ล่าสุดนะ!!!!)

ตัวเลขโรงงาน กับตัวเลขที่ทำได้จริง บนถนนเมืองไทย ย่อมต่างกันเป็น
ธรรมดา ทว่ามันจะต่างกันมากน้อยแค่ไหนละ?

ผลลัพธ์ มีดังนี้ครับ

อัตราเร่ง 0 – 100 km/h (ใข้ โหมด Race Start)

ครั้งที่ 1   4.45 วินาที
ครั้งที่ 2   4.44 วินาที
ครั้งที่ 3   4.42 วินาที
ครั้งที่ 4   4.44 วินาที

เฉลี่ย 4.43 วินาที!!

—————————————————————————————–

อัตราเร่ง 80 – 120 km/h (Comfort Mode)

ครั้งที่ 1   3.25 วินาที
ครั้งที่ 2   3.23 วินาที
ครั้งที่ 3   3.24 วินาที
ครั้งที่ 4   3.26 วินาที

Comfort Mode ทำได้เฉลี่ย 3.24 วินาที

—————————————————————————————–

อัตราเร่ง 80 – 120 km/h (Race Mode)

ครั้งที่ 1   2.88 วินาที
ครั้งที่ 2   2.83 วินาที
ครั้งที่ 3   2.84 วินาที
ครั้งที่ 4   2.88 วินาที

Race Mode ทำได้เฉลี่ย 2.85 วินาที

—————————————————————————————–

ความเร็ว @ รอบเครื่องยนต์ (ที่ เกียร์ 7 อันเป็นเกียร์สูงสุด)

80 กิโลเมตร/ชั่วโมง @ 1,400 รอบ/นาที
100 กิโลเมตร/ชั่วโมง @ 1,800 รอบ/นาที
110 กิโลเมตร/ชั่วโมง @ 2,000 รอบ/นาที

ความเร็วสูงสุดในแต่ละเกียร์

เกียร์ 1     80 กิโลเมตร/ชั่วโมง @ 7,000 รอบ/นาที
เกียร์ 2   114 กิโลเมตร/ชั่วโมง @ 7,000 รอบ/นาที
เกียร์ 3   152 กิโลเมตร/ชั่วโมง @ 7,000 รอบ/นาที
เกียร์ 4   192 กิโลเมตร/ชั่วโมง @ 7,000 รอบ/นาที
เกียร์ 5   240 กิโลเมตร/ชั่วโมง @ 7,000 รอบ/นาที
เกียร์ 6   290 กิโลเมตร/ชั่วโมง @ 7,000 รอบ/นาที
เกียร์ 7   310 กิโลเมตร/ชั่วโมง @ 5,650 รอบ/นาที
Top Speed : 310 กิโลเมตร/ชั่วโมง ณ 5,650 รอบ/นาที ที่เกียร์ 7

—————————————————————————————–

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_Data_Compare_1

การจับอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง สำหรับรถยนต์ Super Car
ถือว่าเป็นเรื่องยาก เพราะพละกำลังมหาศาล จะถูกถ่ายทอดลงไปยังล้อ
คู่หลัง ในฉับพลันทันที ถ้าพื้นถนนเปียกลื่น หรือแม้แต่พื้นแห้ง แต่กลับมี
แรงเสียดทานน้อย อาจเกิดอาการ ล้อคู่หลังหมุนฟรีทิ้ง จนทำให้ท้ายรถ
กวาดออก เสียการทรงตัว หรือเกิดอันตรายขึ้นได้

ดังนั้น คราวนี้ เราตัดสินใจใช้โปรแกรม ที่เรียกว่า Race Start Launch
Control เพื่อให้ได้ตัวเลขที่ฉับไวที่สุด ลดอาการหมุนฟรีทิ้งเปล่าๆ ของ
ล้อคู่หลังให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อีกทั้งยังช่วยควบคุมรอบ
การทำงานของเครื่องยนต์ในช่วงก่อนออกตัวเอาไว้ให้เหมาะสม

วิธีการก็คือ จอดรถให้นิ่ง ตั้งล้อให้ตรงๆ เหยียบเบรกจนสุด หมุนสวิตช์
โปรแกรมการขับขี่ (สวิตช์ ฝั่งขวา ข้างคันเกียร์ และ ระบบ COMAND
ด้านบนสุด) ไปที่ตำแหน่ง RACE

จากนั้น ตบแป้น Paddle Shift หลังพวงมาลัย ค้างไว้ จนกว่าหน้าจอ
MID บนมาตรวัด จะแสดงข้อความขึ้นมาเป็นภาษาอังกฤษ ว่าพร้อม
ทำงาน ให้เรายืนยันด้วยการปล่อยแป้น Paddle Shift ทั้ง 2 ฝั่ง ออก
แล้วตบแป้นฝั่งขวา 1 ครั้ง

เมื่อพร้อมแล้ว เท้าซ้ายยังคงอยู่ที่แป้นเบรก เหยียบแช่ไว้ แต่เท้าขวา
ให้เหยียบคันเร่งจมมิด แช่จนสุดไปเลย เข็มวัดรอบจะกวาดขึ้นไปอยู่
แถวๆ 4,000 รอบ/นาที พร้อมเมื่อใด ให้ปล่อยเท้าซ้ายจากเบรกทันที
โดยเท้าขวา ยังเหยียบคันเร่งจมมิดอยู่อย่างนั้น

เพียงเท่านี้ รถก็จะพาคุณพุ่งพรวด ออกตัวไปพร้อมกับเกิดอาการล้อ
หมุนฟรี บ้าง ในเสี้ยววินาทีนั้น Traction Control ในโหมด Sport
ของ ESP จะช่วยยับยั้งอาการล้อหมุนฟรี ให้น้อยลง เพื่อให้หน้ายาง
สัมผัสกับพื้นถนนได้เต็มที่ คุณจะสังเกตได้จาก สัญญาณไฟเตือนของ
ระบบ ESP บนมาตรวัดฝั่งซ้าย กระพริบๆ ต่อเนื่องจนรถพุ่งทะยานไป
ข้างหน้าได้เรียบร้อย ระบบจึงจะหยุดการทำงานลง และจะตัดกลับ
เข้าไปเป็น โหมด Comfort ให้ตามเดิม! (และทำให้ระบบ Auto Start/
Stop ติดขึ้่นมาทำงานไปด้วย)

ตัวเลขที่ออกมา ชัดเจนชนิดไม่ต้องสืบต่อนะครับ Mercedes-AMG
GT S กลายเป็นรถยนต์ ที่ทำอัตราเร่ง 0-100 และ 80-120 กิโลเมตร/
ชั่วโมง รวดเร็วมากที่สุด เท่าที่เราเคยทดลองมา แถมยังทำความเร็ว
สูงสุด ได้ สูงที่สุด อีกด้วย

ด้านความเร็วสูงสุด นั้น ตอนแรก ผมยอมรับเลยว่า กังวลกับรถคันนี้
อย่างมากๆ เพราะตัวเลขจากโรงงาน ระบุเพดานสูงสุดเอาไว้มากถึง
310 กิโลเมตร/ชั่วโมง (ล็อกความเร็ว ด้วยการเขียนโปรแกรมไว้ใน
กล่องควบคุมเครื่องยนต์ ECU)

แต่เมื่อเอาเข้าจริง การไต่ความเร็วขึ้นไป ถึง 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เกิดขึ้นเร็วมากๆ ทำให้ผมเริ่มเกิดอยากลองขึ้นมาว่า รถคันนี้จะไต่ขึ้น
ไปได้สูงสุดแค่ไหน

เราต้องนั่งฆ่าเวลา รอกันจนกระทั่งฝนหยุดตก พื้นถนนแห้งไปแล้วสัก
1 ชั่วโมง และนั่นคือช่วงเวลา ดึกถึงดึงสงัด ในคืนที่เราทดลองกัน เพื่อ
ให้มั่นใจว่า เส้นทางที่เราจะใช้ จะปราศจากรถยนต์คันอื่นมาร่วมใช้
เส้นทางจริงๆ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับทั้งตัวผม ผู้ร่วมทดลอง
และเพื่อนผู้ร่วมใช้เส้นทางทุกคนอย่างแท้จริง สรุปว่า ไม่มีรถเลย

ถ้า 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้เวลา 4.43 วินาที
ดังนั้น 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็จะใช้เวลา 13.9 วินาที
และจาก 0-270 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้เวลาแค่เพียง 30 วินาที!!!

โหดพอไหมครับ? อีกนิดเดียวก็จะวิ่งไล่เครื่องบินพาณิชย์ ช่วงเริ่มออกตัว
Take-off กันแล้วนะ!!

เราต้องทำการทดลองกัน 2 รอบ ถึงจะได้ตัวเลขความเร็วสูงสุดตามที่ทาง
โรงงานเขาเคลมไว้ แต่น่าเสียดายว่า ผมต้องใช้ความพยายามอย่างสูที่สุด
เท่าที่เคยใช้วิธีประคับประคองพวงมาลัยไว้ด้วยมือซ้าย ขณะถือกล้องถ่ายรูป
และต้องกระหน่ำ กดชัตเตอร์ ด้วยมือขวา ควบคู่ไปพร้อมๆกัน วิธีการดังกล่าว
เมื่อมาใช้กับรถคันนี้ มันยากกว่าปกติมาก เพราะถ้าพลาดมา นั่นหมายถึงชีวิต
ของผม และน้องเปา ผู้ร่วมทดลองกันเลยทีเดียว

น่าเสียดายว่า ในความเร็วที่สูงระดับนั้น ภาพที่บันทึกมาได้ชัดเจนสุด ทำได้
ที่ตัวเลขระดับ 307 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนตัวเลขที่เกินจากนี้ ยากจนไม่อาจ
บันทึกได้ทัน แต่ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ ผมก็หวาดเสียวจนสยองแล้ว และผมจะ
ขอไม่ขับรถคันนี้ เกิน 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง อีก!

ขอย้ำกันเหมือนเช่นเคยนะครับ เราไม่สนับสนุน ให้ใครก็ตามมาทดลองทำ
ความเร็วสูงสุด เช่นที่เราทำให้คุณผู้อ่านดูนี้ เพราะเป็นเรื่องผิดกฎหมายจราจร
เราทำให้ดูกัน ด้วยเหตุผลของการให้ความรู้ เพื่อการศึกษา เนื่องจากรถยนต์
ระดับนี้ คุณผู้อ่านจำนวนไม่น้อย อยากรู้ตัวเลขสูงสุด ว่าทำได้อย่างที่ผู้ผลิต
เขาเคลมไว้หรือไม่ เราให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้ร่วมใช้เส้นทาง
ผู้ร่วมทดลองขับ และตัวผมเอง เป็นสำคัญ เราระมัดระวังกับเรื่องนี้อย่างมาก
เพราะ เราไม่อยากเห็นใครต้องเสี่ยงชีวิตมาทำตัวเลขแบบนี้กันเอง ดังนั้น
อย่าทำตามอย่างเป็นอันขาด เพราะถ้าพลาดพลั้งขึ้นมา อันตรายถึงชีวิตคุณเอง
และเพื่อนร่วมทาง เราจะไม่รับผิดชอบในความปลอดภัยของคุณ ในทุกกรณี!

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_Engine_05_Jimmy_Drive

ในการขับขี่จริง หากคุณคุ้นเคยกับ Super Car มาก่อน บอกเลยว่า รถคันนี้ น่าจะ
ควบคุมบังคับง่ายกว่า Super Car หลายๆคัน ที่คุณเคยเจอมา ดังนั้น คุณคงรู้แล้ว
ว่า จะกุมบังเหียนรถคันนี้อย่างไร

แต่ถ้าคุณเพิ่งเริ่มขับรถคันนี้เป็นครั้งแรก ขอเตือนว่า คันเร่งไฟฟ้า แม้ไม่ค่อย
หนืดเหมือนกับบรรดา Mercedes-Benz รุ่นใหม่ๆ ทั่วๆไป ก็จริง แต่ถ้าเหยียบ
ลงไปพรวดเดียว แบบรถพวกนั้นที่คุณคุ้นเคยแล้วละก็ มันจะพาคุณพุ่งพรวด
ขึ้นไปอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจมากๆ และบางที อาจเกินการควบคุมของคุณ!

คุณควรจะค่อยๆ แตะคันเร่ง อย่างแผ่วเบาก่อน เพื่อทำความคุ้นชินกับระยะของ
แป้นเหยียบ การขับขี่ไปตามสภาพการจราจรแออัด ให้แตะคันเร่งอย่างแผ่วเบา
พอๆกับการเอามือลูบหัวน้องหมาน้องแมวที่บ้าน มิเช่นนั้น เหยื่อของคุณ อาจ
เป็นบรรดาแว๊นบอย และฝูงแมสเสนเจอร์ เก็บเช็ค / วางบิล พลีชีพ ที่ติดไฟแดง
อยู่ข้างหน้าคุณนั่นแหละ พวกเขาอาจกลายสภาพเป็นพินโบว์ลิงได้เลยทันที!

รอไว้ให้ขึ้นทางด่วน หรือขับออกต่างจังหวัดเสียก่อน คุณจึงจะค่อยเริ่มสนุกกับ
การเพิ่มน้ำหนักเท้าขวาลงบนคันเร่งได้มากขึ้น

อย่าถึงขั้นขยี้คันเร่งในทันทีถ้าไม่คุ้นชินกับรถ เพราะ การเหยียบจมมิดลงไปนั้น
เท่ากับเพิ่มความเสี่ยงในการเดินทางไปพบกับท่านเงี่ยมล่ออ๋อง มากยิ่งขึ้น!

แรงดึงขณะออกตัว ในช่วงเกียร์ 1 สะใจพอๆกับ A45 AMG นั่นละครับ ไม่ได้
แตกต่างกันมากนัก แต่พอหลัง เกียร์ 2 ขึ้นไปนี่ละ ตัวรถจะพาคุณพุ่งกระฉูดปรู๊ด
ไปข้างหน้า อย่างฉับไว ถ้าคุณคิดว่า A45 AMG ก็เพียงพอ ขอบอกเลยว่า หมอนี่
ดึงหนักกว่านั้นเอาเรื่อง!

แหงสิ วัตถุประสงค์ดั้งเดิม และโจทย์ในการทำรถทั้ง 2 รุ่น ก็แตกต่างกัน รายนั้น
เขาตั้งใจให้เป็นแค่ Hot Hatch คันแรกของตระกูล แต่โจทย์ในการสร้างรถคันนี้
เขาตั้งใจไปวัดรอยหน้ายางกับ Porsche 911 อย่างชัดเจน ดังนั้น ถ้าต้องการความ
แรงสะใจแล้ว หากได้ลองขับ AMG GT S สักครั้ง เมื่อลงจากรถคันนี้ พอเดินขึ้น
ห้องนอน เมื่อไหร่ หัวถึงหมอนหลับฝันดีเลยละ!

พละกำลัง มีมาให้คุณได้ใช้งานอย่างเกินพอ ในทุกย่านความเร็ว แทบไม่ต้องห่วง
ว่าจะมีอาการ Lag ของคันเร่งหรือไม่ เพราะถึงแม้คันเร่งในโหมด C จะยังหน่วงๆ
ช้าๆ อยู่ เหมือนกับโหมด ECO แต่มันถูกชดเชยด้วยแรงม้าและแรงบิดจากขุมพลัง
V8 Bi-Turbo ที่พร้อมรอรับคำสั่งจากคุณได้ทุกเมื่อ ทุกที่ ทุกเวลา ยิ่งพอเจอคันเร่ง
ในโหมด Race ด้วยแล้ว เสียงท่อไอเสียที่ครางแหบๆ แบบนั้น มันกลับยิ่งเร้าให้
คุณเผลอกระทืบคันเร่งต่อเนื่องไปอีก จนมารู้ตัวอีกที ชิบหายละ เข็มน้ำมันหล่น
ร่วง หายไป 2 แถบรวด!

เอาเถอะ แรงระเบิดระเบ้อ สะใจขนาดนี้ ถ้าจะให้ขับคลานๆไปแบบอีเรื่อยเฉื่อยแฉะ
ผมว่าไปซื้อ ECO Car ขับเหอะ มีของแรงอยู่กับตัวขนาดนี้ ใครจะอดใจไม่ลองซัด
อัดคันเร่งลงไปเต็มๆ (เมื่อคุ้นชินกับรถแล้ว) สักครั้งกันบ้างวะ?

อย่างไรก็ตาม อาจต้องระมัดระวังสักหน่อย เพราะบนถนนลื่น มีโอกาสสูงมากที่
รถคันนี้อาจจะมีอาการท้ายสะบัดจากการลื่นไถล ในทันทีที่คุณกระทืบคันเร่งแม้
เพียงแค่ครึ่งเดียวก็ตาม ต่อให้มีระบบ ESP มาช่วยแล้วก็ตามเถอะ ฉะนั้น การขับขี่
บนถนนเปียกลื่น ควรใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ

การเก็บเสียง…ลืมไปซะเถอะครับว่า แพงระยับขนาดนี้ จะต้องเงียบสนิท นุ่ม
เบาสบาย เปล่าเลย เข้าใจผิดแล้ว รถแบบนี้ เขาเอาไว้ทำความเร็ว เอาใจคนรัก
ความแรง ดังนั้น เสียงรบกวนจากภายนอกรถ จะดังกระหึ่มตลอดเวลา จาก
ทั่วทั้งคันรถ เริ่มกันตั้งแต่ยาง Michelin Super Sport จากโรงงาน ที่ส่งเสียง
โหวกเหวกเข้ามาในห้องโดยสาร มากพอประมาณ เสียงกระแสลมไหลผ่าน
ตัวรถ ที่ดังเอาเรื่อง

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_Engine_06_Suspension

พวงมาลัยของ AMG GT เป็นแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรง
แบบไฮดรอลิก ฟังดูเป็นข่าวดี เมื่อเทียบกับ คู่แข่งอย่าง Porsche 911 รุ่นใหม่
ซึ่งหันไปใช้ระบบเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า EPS กันแล้ว

ในช่วงความเร็วต่ำ น้ำหนักพวงมาลัยยังคงหนืดพอประมาณ ถึงจะหมุนได้ไว
และเบากว่า MINI Cooper S อยู่สักหน่อย แต่มันก็ไม่ได้เบาจนถึงขั้นโหวงเลย
แม้แต่น้อย ไม่หนักมากจนเกินไป ถ้าจัดระดับจาก 0 คือเบาเกือบโหวง หมุน
ได้คล่องด้วยนิ้วชี้นิ้วเดียว กับ เลข 10 อันหมายถึงหนักอึ้ง เป็นพวงมาลัยแบบ
เพาเยอร์ ไม่มีระบบผ่อนแรงใดๆ นอกจากใช้กล้ามแขนของคุณแล้ว AMG
GT S จะมีความหนืดของพวงมาลัยที่ระดับ 6.5

การบังคับเลี้ยวในขณะถอยเข้าจอด ทำได้ไม่ยากเย็นนัก น้ำหนักเบากำลังดี
และบุคลิกนิสัยพวงมาลัยแบบ Mercedes-benz ทำให้ผมสามารถนำรถเข้า
ชองจอดได้อย่างไม่ยากเย็นจนเกินไปนัก ยิ่งถ้าเป็นการบังคับเลี้ยวในช่วง
เข้าโค้งต่างๆ ยอมรับเลยว่า พวงมาลัยของ AMG GT S ถือว่า เซ็ตมาได้ดี
แม่นยำ ตามสั่งใช้ได้ หากใช้ความเร็วเดินทางตามปกติ น้ำหนักจะเพิ่มขึ้น
นิดหน่อย ตามความเร็วของรถ ภาพรวมถือว่าเป็นพวงมาลัยที่ทำออกมาได้
เหมาะสมกับประเภทของตัวรถ เพียงแต่ว่า ต้องทำความคุ้นเคยกับด้านหน้า
ของรถที่ยาวกว่าปกติอยู่สักหน่อย ในทุกครั้งที่คุณคิดจะหักเลี้ยว

ทว่า ประเด็นที่ผมยังเป็นห่วง อยู่ที่การบังคับรถในช่วงความเร็ว เกินกว่า 200
กิโลเมตร/ชั่วโมง ผมต้องประคองพวงมาลัยตลอดเวลา ไม่สามารถปล่อยมือ
ออกได้เลย

เพราะในขณะที่กำลังไต่ความเร็วขึ้นไปจาก 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง จนสุดนั้น
พวงมาลัยจากเดิมที่มีน้ำหนักกำลังดี On Center Feeling ที่ยังค่อนข้างดี และ
แอบดิ้นนิดๆ ในช่วงความเร็วไม่เกิน 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็เริ่มออกอาการ
ดิ้นไปมา ซ้ายขวา อยู่ตลอด

ไม่แปลกครับ ตามปกติเมื่อรถยนต์แล่นด้วยความเร็วที่สูงขึ้น ขณะที่ตัวรถ
แหวกอากาศอยู่นั้น กระแสลมบริเวณด้านล่าง จะช่วยยกด้านใต้กันชนหน้า
มากขึ้น จนทำให้เกิดอาการ “หน้าลอย” ซึ่งทางแก้ตามปกตินั้น ทำได้ด้วย
การติดตั้ง สปอยเลอร์ด้านหน้า (Air damp) เข้าไป เพื่อช่วยกดและแหวก
ให้กระแสลมไหลออกไปทางด้านข้างมากขึ้น

แต่กรณีนี้ ผมพบว่า อากาศพลศาสตร์มีส่วนนิดหน่อยกับพื้นที่ด้านหน้า
ของตัวรถ ไม่ได้เยอะอย่างที่คิด เพราะอาการพวงมาลัยดิ้นซ้าย-ขวา กัน
ตลอดเวลานี่ต่างหาก ที่บ่งบอกให้ผมรู้ว่า มีกระแสลมปะทะกับหน้ายาง
เยอะมากแม้จะถูกพื้นที่หน้ายาง จัดการและหมุนเพื่อแหวกผ่านออกไป
กระแสลมก็ยังเยอะอยู่ดี อีกทั้งพื้นถนนเองแม้จะเรียบ แต่พอมีลอนคลื่น
แม้เพียงเล็กน้อย พวงมาลัยที่ตอบสนองไวอยู่แล้ว ยิ่งไวขึ้นไปอีก ส่งผล
ให้ความมั่นใจในการขับขี่ หลังพ้นจาก 200 กิโลเมตร/ชั่วโมงไปแล้วนั้น
ลดลงเรื่อยๆ และต้องใช้สมาธิในการควบคุมรถเพิ่มขึ้นมากๆ จนแทบ
ทำให้ความสนุกในการขับขี่ มลายหายไปสิ้น

เท่ากับว่า ถ้าคุณต้องการความสนุกในการควบคุมรถคันนี้ อย่าขับด้วย
ความเร็วสูงเกินกว่า 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็น่าจะเพียงพอแล้ว

ขนาด น้อง Pao Dominic ที่ผมให้ขึ้นมาลองขับในระยะทางสั้นๆ เมื่อ
เจ้าตัวกดคันเร่งมาจนถึง 200 แต่ไม่เกิน 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง แล้ว
ค่อยถอน Pao ถึงกับร้องลั่นรถเลยว่า “พี่จิม ขับรถคันนี้ไป แล้วถ่ายรูป
บนมาตรวัดไปด้วยได้อย่างไร?? มันน่ากลัวมากนะ”

นั่นสิ ทำไปได้ยังไงวะกรู!

ฝาก ทีมวิศวกรปรับปรุงด้วยนะครับ สำหรับการตอบสนองของพวงมาลัยใน
ช่วงความเร็วเกิน 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ประเด็นนี้ ผมแอบซีเรียสนิดๆ ต่อให้
คุณจะบอกว่า ในสากลโลก ไม่มีใครเขาบ้าขับรถแบบที่ผมทำกันนี่สักเท่าไหร่
นักหรอก….ถ้าคิดเช่นนั้น อยากบอกว่า ไม่จริงมั้ครับ เพราะผมเชื่อว่า ต้องมี
ใครสักคน เอา AMG GT S /ปซัด บน Autobahn ในเยอรมนี ที่ความเร็วเกิน
250 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไปแน่ๆ และถ้าเขาพลาดขึ้นมาละ? พินาศเลยนะ!

ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบ ปีกนกคู่ Double Wishbone ด้านหลังเป็นแบบ
Multi-Link พร้อมระบบโช้คอัพปรับความแข็งได้แบบ Adaptive Dampers

ช็อกอัพสามารถแบ่งปรับได้เป็น 3 ระดับความแข็ง เริ่มจาก Comfort เหมาะกับ
การขับขี่ไปตามถนนในเมืองใหญ่ หรือในวันที่คุณต้องการ Sport สำหรับใคร
ที่อยากเพิ่มความมั่นใจขึ้นมามากกว่าเดิมขณะเข้าโค้งเรียบๆ ความตึงตังจะ
เพิ่มขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย และ Sport + ระยะยุบตัวของช็อกอัพจะลดน้อยลง
ความแข็งจะเพิ่มขึ้นชัดเจนมาก เหมาะกับการขับขี่บนสนามแข่ง หรือพื้น
ผิวถนนที่เรียบมากๆ

โหมด Comfort นั้น แอบขับสบายกว่าที่คิด ถึงจะแข็ง ตามสไตล์รถสปอร์ต
แต่กลับไม่ตึงตังมากนัก การตอบสนองช่วงความเร็วต่ำ มันใกล้เคียงกันกับ
ช่วงล่างของ Mercedes-Benz A250 Sport แถมยังนุ่มกว่า A 45 AMG
กับ CLA 45 AMG เสียด้วยซ้ำ! คุณสามารถขับผ่านรอยต่อหรือลูกระนาด
ในซอยหมู่บ้านคุณ ได้อย่างสบายๆ แถมยังแอบหลงเหลือความนุ่ม ในช่วง
ที่ระบบกันสะเทือนหน้าและหลัง กำลังออกจากวงจรการทำงาน ช่วงที่ต้อง
ลาจากเนินหรือพื้นผิวขรุขระออกมา ผมใช้ชีวิตอยู่ด้วยได้โดยไม่มีปัญหา
มันไม่ได้นุ่มดุจแพรไหม แต่มันซับแรงสะเทือนไว้ได้ค่อนข้างดีมาก ถ้าคุณ
เปรียบเทียบกับบรรดารถสปอร์ต หรือพวกรถแต่งทำช่วงล่างมา นี่ถือว่าเซ็ต
แบบ Comfort เหมาะกับการเอาใจนักซิ่ง บนถนนเมืองไทยมาก

หากขยับมาเป็นโหมด Sport ธรรมดา ความแข็งจะเพิ่มขึ้น ในระดับเท่าๆกัน
กับ MINI Cooper S รุ่นล่าสุด 2014 – 2015 ซึ่งผมถือว่า ยอมรับได้ แต่ถ้า
ขับผ่านเนินลูกระนาดต่างๆ อาจจะตึงตังกว่านั้นนิดนึง และเริ่มสะเทือนขึ้น

แต่ในโหมด Sport + ความแข็งนั้น เพิ่มขึ้นจาก Mercedes-Benz A45 AMG
อีกกระจึ๋งนึง นั่นแปลว่า เทียบเท่าได้ระดับม้าเทียมเกวียนตามประสารถแข่ง
ถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว Aston Martin V12 Vantage ก็จะให้ความแข็งใกล้เคียง
กันเลย ถ้าเป็นเช่นนี้ ผมขอลงไปนั่งขับ Nissan GT-R Nismo น่าจะสบายขึ้น
มากกว่านี้อีกนิด คงดีกว่า

บนทางโค้งต่างๆ ทั้งโค้งขวารูปเคียว ของทางด่วนขั้นที่ 2 ช่วงมักกะสัน เชื่อม
กับทางโค้งซ้าย เข้าทางด่วนขั้นที่ 1 ฝั่ตรงข้ามโรงแรมเมอเคียว AMG GT S
พาผมเข้าโค้งดังกล่าวได้ด้วยความเร็ว 110 และ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง สบายๆ
แต่ต้องระวังช่วงรอยต่อของพื้นถนน ซึ่งมักจะลื่นพอสมควร รถมีโอกาสสะบัด
เอาเรื่อง โปรดระมัดระวัง

ขณะเดียวกัน ทางโค้งขวายาว ต่อเนื่องด้วยโค้งซ้าย และขวาอีกครั้ง เชื่อมจาก
ทางด่วนขั้นที่ 1 ย่าน สุขุมวิท 50 ขึ้นไปบน ทางยกระดับ บูรพาวิถี ผมยังคงพา
AMG GT S สาดเข้าโค้งได้ด้วยความเร็ว 100 – 110 และ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ได้อย่างมั่นใจ แต่ด้วยพื้นผิวทางโค้ง ที่มีลักษณะรูปคลื่น ในช่วงโค้งซ้ายยาว
อาจทำให้คุณต้องถือพวงมาลัยดีๆ นิ่งๆ ไม่ต้องไปกลัวว่าระสะบัด เพราะการ
ทำงานของช่วงล่าง จะแอบมีอาการ “แกว่งข้างไปตามพื้นผิวถนน” ให้เห็น
อยู่พอสมควรเลยทีเดียว

ส่วนทางยกระดับโค้งซ้าย – ขวายาว รูปเคียว เชื่อมจากมอเตอร์เวย์ เข้าสนามบิน
สุวรรณภูมิ ผมพา AMG GT S เข้าโค้ง และเปลี่ยนเลนในโค้งได้ด้วยความเร็ว
แถวๆ 105 กิโลเมตร/ชั่วโมง จริงๆมันไปได้มากกว่านี้ แต่ผมไม่มั่นใจกับสภาพ
ของสีทาพื้นถนน ซึ่งดูท่าทางจะไม่หลงเหลือการยึดเกาะใดๆ อีกต่อไป

ท้ายสุด โค้งขวา เชื่อมจาก ถนนสนามบินสุวรรณภูมิ ลงสู่ถนนบางนา – ตราด
กิโลเมตร ที่ 14 ตัวรถยังสามารถเข้าไปในโค้งได้ด้วยความเร็ว 110 กิโลเมตร/
ชั่วโมง โดยมีอาการเพียงแค่ ดิ้นเล็กๆ ไปตามรอยต่อถนนในช่วงปลายทางลง
นิดเดียว เท่านั้น

ภาพรวมของช่วงล่าง AMG GT S ผมมองว่า ไม่ต้องแก้ไขอะไรเพิ่มเติมแล้ว
ทำออกมาได้ลงตัวดี ตามรูปแบบและประเภทของรถอยู่แล้ว ยิ่งสามารถเลือก
ปรับระดับได้ตามใจชอบ ยิ่งช่วยเพิ่งทางเลือกให้เหมาะสมกับความต้องการ
ของผู้ขับขี่ แต่ละคน ในแต่ละสถานการณ์และแต่ละอารมณ์ที่แตกต่างกันได้
อย่างดี

ระบบห้ามล้อ แน่นอนครับว่าต้องเป็น ดิสก์เบรก 4 ล้อ เท่านั้น จานเบรกคู่หน้า
ขนาดใหญ่เท่า นาฬิกาแปะฝาบ้าน เส้นผ่าศูนย์กลาง 15.2 นิ้ว (390 มิลลิเมตร)
จานเบรกคู่หลัง ขนาดใหญ่ไม่แพ้กัน อยู่ที่ 14.2 นิ้ว (360 มิลลิเมตร)

ส่วนตัวช่วยต่างๆ อัดแน่นมาเต็มคันรถตามมาตรฐานของ Mercedes-Benz
ประกอบด้วย ระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock Braking System)
ระบบควบคุมเสถียรภาพ ESP (Electronic Stability Program) ซึ่งรวมเอา
ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake Force Distribution) และ
ระบบ ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชัน HOLD สำหรับเบรกมือแบบ
ไฟฟ้า ตัดการทำงานทันทีที่คุณเหียบคันเร่งเพื่อออกรถ (Comfort function)
และระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist

แป้นเบรก มีระยะเหยียบค่อนข้างตื้นก็จริง แต่หนักแน่น ไว้ใจได้ ตามที่คาด
มันเพียงพอที่จะช่วยให้คุณ หน่วงความเร็วลงมาจาก 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เหลือ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ในเวลาอันสั้น แค่เพียงเหยียบเบรกลงไปราวๆ
60 % ของระยะแป้นเหยียบทั้งหมด (ซึ่งนั่นก็เยอะแล้วนะ)

อีกทั้ง ต่อให้คุณ ต้องเหยียบเบรก ทั้งในลักษณะ ต่อเนื่องกัน หรือเร่งส่งขึ้นไป
แล้วเบรกซ้ำๆ อีกหลายๆรอบ เบรกก็ยังจะไม่ออกอาการ Fade ให้เห็นง่ายนัก
ชุดเบรกที่ Upgrade ขึ้นมาจากปกตินี้ ผมว่า เพียงพอแล้วสำหรับคนที่ต้องการ
ขับรถสปอร์ต แบบทั่วๆไป อัดสนุกๆ บ้าง

อย่างไรก็ตาม ในการขับขี่ใช้งานทั่วไปตามสภาพการจราจรติดขัด ขอเตือนว่า
เบรกจะค่อนข้างไว ในระดับ หัวทิ่มหัวตำ แตะเพียงนิดเดียว เบรกก็ทำงานแล้ว
ฉะนั้น อย่าตกใจจนเหยียบเบรก กระทันหัน เพราะถึงแม้คุณจะหยุดรถได้ทัน
ไม่ต้องชนน้องหมา หรือ มอเตอร์ไซค์ที่เลี้ยวตัดหน้า แต่โอกาสที่รถคันข้างหลัง
จะเบรกไม่ทัน พุ่งมาสอยกันชนบั้นท้ายคุณไป มันจะเกิดขึ้นง่ายมากๆ!

ยิ่งถ้าคุณ เป็นคนที่บ้าพลัง มุดชิบหาย แซงและปาดระดับก่อความวายป่วง จน
ชาวประชาพร้อมใจกันก่นด่าสาบแช่งให้อากงอาม่า สะดุ้งตื่นจากหลุมฝังศพ
ในสุสานละก็ ขอแนะนำว่า เพิ่มเงินอีกหลักไม่กี่แสนบาท ยกระดับ Upgrade
ชุดเบรก Carbon Ceramic Composite ที่จะเบาขึ้นกว่านี้ อีก 40 % และมีเส้น
ผ่าศูนย์กลางจานเบรกคู่หน้าใหญ่ขึ้นเป็น 402 มิลลิเมตร (จานเบรกคู่หลัง
360 มิลลิเมตร เท่าเดิม) คาลิปเปอร์พ่นสีทอง น่าจะสะใจพระเดชพระคุณกว่า

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_Engine_08_Body_Structure

**********โครงสร้างตัวถังและความปลอดภัย*********

โครงสร้างตัวถังของ AMG GT / GT S เป็นแบบ Space Frame Aluminium
เช่นเดียวกับ SLS AMG ที่เพิ่งตกรุ่นไป โดยบริเวณที่รับภาระแรงเค้นสูงมากๆ
จะใช้ Aluminium หล่อที่แข็งแรงเป็นพิเศษ โครงสร้างด้านหน้าของรถทำจาก
Magnisium

ส่วนฝากระโปรงหน้า น่าแปลกตรงที่ทำมาจากเหล็ก ไม่ใช่ Fiber หรือ Alloy
อย่างที่พบในซูเปอร์คาร์ทั่วไป ทางวิศวกร AMG บอกว่าตั้งใจเลือกใช้เหล็ก
เพราะได้ลองทำการทดสอบแล้ว พบว่าถ้าหากใช้ Aluminium ที่แข็งแรงมาก
เท่าๆกับเหล็ก ทำฝากระโปรง ผลที่ออกมาจะกลายเป็นว่า ฝากระโปรงหน้า
ซึ่งทำจาก Aluminium จะหนักกว่า!

ระบบความปลอดภัยที่มีให้ก็แทบจะยกมาจากพี่ใหญ่ในตระกูลอย่าง S-Class
ไม่ว่าจะเป็น ระบบ COLLISION PREVENTION ASSIST PLUS, ,ระบบ
แจ้งเตือนอาการเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ ATTENTION ASSIST , ระบบตรวจ
แรงดันลมยาง Tyre Pressures Monitoring system แจ้งเตือนและปรับค่าได้
จากสวิตช์บนหน้าจอ MID ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง ม่านลมนิรภัยเหนือ
ศีรษะ และถุงลมหัวเข่าคนขับ รวม 7 ใบ เข็มขัดนิรภัยแบบ ELR 3 จุด ปรับ
ระดับสูง – ต่ำได้ พร้อมระบบลดแรงปะทะและดึงกลับอัตโนมัติ (Pretension
& Load Limiter) และระบบ PRE-SAFE (ล็อครถและตรึงเข็มขัดก่อนรถคว่ำ
หรือชน)

ไม่เพียงเท่านั้น ในตลาดต่างประเทศ คุณยังสามารถสั่ง Option เพิ่มได้ดังนี้
– ระบบ Adaptive Highbeam Assist (ไฟสูงอัตโนมัติ)
– ระบบ Lane Keeping และ Blind Spot Assist
– ระบบ TRAFFIC SIGN ASSIST (อ่านป้ายจราจรข้างทางโดยอัตโนมัติ)

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_Fuel_Consumption_1

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย**********

เดี๋ยวๆๆๆๆ คุณ J!MMY ยังจะต้องทดลองหาความประหยัดน้ำมันด้วยเหรอ
คนที่เขาซื้อรถสปอร์ตเครื่องแรงๆ V8 Bi-Turbo ขนาดนี้ เขาไม่มานั่งสนใจ
เรื่องค่าน้ำมันกันหรอก จะทดลองไปทำไมให้เสียเวลา??

เอ้า! ก็ผมอยากรู้นี่นา ว่า รถสปอร์ตแรงๆ ที่ใครๆก็รู้ว่า กินน้ำมันกันอย่างกับ
อูฐจอมกระหายในทะเลทรายซาฮาร่า แบบนี้ มันจะประหยัดแค่ไหน ยิ่งเรา
ต้องอาศัยอยู่บนโลกในภาวะที่ผู้คนต่างตื่นตัว ต่อการใช้ทรัพยากรเชื้อเพลิงที่
มาจากฟอสซิล กันอย่างระมัดระวังมากขึ้น ดังนั้น ถ้าความแรงที่มีมาให้ มัน
ต้องแลกมาด้วยตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่สูง ผมว่ามันก็ไม่เข้าท่านัก

การกำหนดมาตรฐานต่างๆ ทั้งด้านมลพิษ และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง จาก
สหภาพยุโรป ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ทิศทางการพัฒนารถยนต์ของ
ผู้ผลิตทั้งหลาย เปลี่ยนไปมาก รถสปอร์ตแรงๆ แบบนี้ จึงต้องปล่อยมลพิษ
ออกมาน้อยลง เช่นเดียวกับความประหยัดน้ำมันที่จะต้องเพิ่มขึ้น แม้เพียง
เล็กน้อย ก็ยังดี

ดังนั้น มาดูกันดีกว่า ว่า Mercedes-AMG GT S จะกินน้ำมันแค่ไหน?

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_Fuel_Consumption_2

เราทำการทดลองตามมาตรฐานดั้งเดิม ที่ผมใช้มากว่า10 ปี โดย พาเจ้า
กล้วยหอมใบเขื่องคันนี้ ไปเติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron ที่สถานีบริการ
น้ำมัน Caltex พงษ์สวัสดิ์บริการ ริมถนนพหลโยธิน ช่วงสถานีรถไฟฟ้า
BTS อารีย์

เนื่องจาก GT S เป็นรถสปอร์ต ระดับ Super Car กลุ่มลูกค้าที่อุดหนุน มัก
ไม่สนใจเรื่องอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอยู่แล้ว พวกเขามีเงินเติมน้ำมันได้
อย่างสบายๆ ไม่เห็นต้องแคร์หน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน ดังนั้น เราจึง
เติมน้ำมันกันแบบ หัวจ่ายตัดก็พอ ไม่เขย่ารถอัดกรอกน้ำมันลงไปในถัง
ให้เสียเวลา เหมือนเช่น บรรดารถยนต์นั่งผลิตในไทยเครื่องยนต์ไม่เกิน
2,000 ซีซี ค่าตัวต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท หรือรถกระบะ

ผู้ร่วมทดลอง และสักขีพยาน คือ น้อง Pao Dominic สมาชิกในกลุ่มทีม
The Coup ของเรา ผู้ซึ่ง ใช้ข้ออ้างว่า มานัดพบฑันตแพทย์ประจำตัว เพื่อ
การจัดฟัน ยอมนั่งเครื่องบินลงมาจากเชียงราย เพื่อมาร่วมทดลองรถคันนี้
กับเราโดยเฉพาะ!

ทุ่มทุนสร้างไปไหมฮะ เปา?

หลังจากเติมน้ำมันเข้าไปจนเต็มถังขนาด 65 ลิตร เราก็เริ่มต้นการทดลองขับ
คาดเข็มขัดนิรภัย ติดเครื่องยนต์ เปิดเครื่องปรับอากาศ เบอร์ 3 จากทั้งหมดถึง
7 ระดับ ตั้งอุณหภูมิปานกลาง 24 องศา เซลเซียส

เราออกจากปั้ม Caltex เลี้ยวกลับบนถนนพหลโยธิน หน้าปากซอยอารีย์สัมพันธ์
แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าซอยอารีย์ ลัดเลาะไปออกแถวๆปากซอยโรงเรียนเรวดี ถึงถนน
พระราม 6 จากนั้น เลี้ยวขวาขึ้นไปบนทางด่วนสายอุดรรัถยา ขับมุ่งหน้าตรงไปยัง
ปลายสุดทางด่วน ด่านบางปะอิน แล้วเลี้ยวกลับมาขึ้นทางด่วน เส้นเดิม อีกรอบ
รักษาความเร็ว ตามมาตรฐานเดิม คือแล่นไม่เกิน 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดเครื่อง
ปรับอากาศ เปิดไฟหน้ารถ และนั่ง 2 คน

เราเปิดใช้งานระบบ ล็อกความเร็วคงที่อัตโนมัติ Cruise Control ซึ่งติดตั้งที่ก้าน
พวงมาลัยฝั่งซ้าย ถัดลงมาจาก ก้านไฟเลี้ยวและใบปัดน้ำฝน เพื่อรักษาความเร็ว
ให้คงที่ต่อเนื่อง

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_Fuel_Consumption_3

เมื่อลงทางด่วนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ  เราเลี้ยวซ้าย เข้าสู่ถนนพหลโยธิน เลี้ยว
กลับรถที่ใต้สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ แล้ว เลี้ยวเข้าสถานีบริการน้ำมัน Caltex
เพื่อเติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron ให้เต็มถังอีกครั้ง ไม่ต้องเขย่ารถ

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_Fuel_Consumption_4

มาดูผลลัพธ์ที่ได้กันดีกว่า…

ระยะทางที่แล่นไปบนมาตรวัด Trip Meter อยู่ที่ 92.4 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเบนซิน 95 Techron เติมกลับ 9.34 ลิตร
คำนวนแล้ว ได้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉี่ย 9.89 กิโลเมตร/ลิตร

ตัวเลขออกมา เป็นไปตามความคาดหมาย ของหลายๆคน

ความจริงแล้ว AMG GT S ทำตัวเลขออกมาได้ระดับนี้ ถือว่า ค่อนข้างดีกว่า
ความคาดหวังของผมไว้นิดหน่อย เพราะแรกเริ่ม ผมมองเอาไว้ว่า น่าจะทำได้
แถวๆ 8.5 กิโลเมตร/ลิตร การทำตัวเลขออกมาเฉียดๆ 10 กิโลเมตร/ลิตร ได้
ต้องถือว่า น่ายินดี

การใช้งานในชีวิตประจำวัน ด้วยความเร็ว เดินทางในเมือง หากการจราจรไม่
หนาแน่น รถไม่ค่อยติด น้ำมัน 1 ถัง น่าจะอยู่ได้ถึงราวๆ 4 วัน โดยไม่ต้องไป
ดูระยะทางบน Trip Meter แต่ถ้าคุณ ขยันกระทืบคันเร่ง โชว์เพื่อนฝูงบ่อยๆ
น้ำมัน 1 ถัง อาจหมดได้ในไม่ถึง 2 วัน กดคันเร่งจมมิดสัก 2 ครั้ง แถบเกจ์วัด
น้ำมัน จะลดลงฮวบหายไปเลย 1 ช่องไฟ!

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_05

********** สรุป **********
แรงสุด ในสายพันธุ์ค่ายตราดาว / แรงสุดตั้งแต่เราเคยเจอมา
แต่พวงมาลัย หลัง 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ยังไม่นิ่งพอ!

ช่วงเวลา 6 วัน 5 คืน ที่ผมมีเจ้ากล้วยหอมใบเขื่อง มาจอดอยู่ในบ้าน
กลายเป็นประสบการณ์ดีๆในชีวิตที่ยากจะลืมได้ลง

การใช้ชีวิตอยู่กับรถยนต์ที่แรงระดับ Super Car  มันไม่ใช่เรื่องยากเกินไป
เพียงแต่คุณอาจต้องทำใจยอมรับ และหาทางหลีกเลี่ยงปัญหามากมายที่
อาจเกิดขึ้นได้ เช่นว่า ถ้าเจอเนินลูกระนาด ก็ค่อยๆไต่ขึ้นไปอย่างนุ่มๆ
ไม่ใช่เหยียบคันเร่งรูดผ่านกันเลย ช็อกอัพราคาแพงนะครับ ไม่ล้อเล่น!
รวมทั้งไม่เหยียบคันเร่งล้อฟรีบนลานจอดรถตามอาคารต่างๆ เราไม่รู้
ว่าพื้นลื่นขนาดไหน ความเสี่ยงปะทะเสาตึกมันก็มีเยอะอยู่

เวลาเจอทางลาดชัน ก็ค่อยๆ หย่อนล้อลงสู่พื้นราบทีละข้าง ถ้าไม่แน่ใจ
อย่าลงล้อคู่หน้าพร้อมกัน มิเช่นนั้น เปลือกสปอยเลอร์ใต้กันชนหน้าอาจ
ครูดจนแหกถลอกปอกเปิกได้ ขับไปตามสภาพการจราจรติดขัด ก็ควรขับ
อยู่แต่ในเลน ระวังมอเตอร์ไซค์จากทางด้านข้าง พวกเขามักจะหลบเลี่ยง
ไม่อยากเสี่ยงแล่นผ่านข้างรถคุณอยู่แล้ว ถ้าพวกเขารู้ว่ามันแพงแค่ไหน!

ที่สำคัญคือ คุณควรจะรับมือกับความแรงของรถสปอร์ตประเภทนี้ให้ได้
รู้ว่าจังหวะไหนควรจัดเต็ม จังหวะไหนควรผ่อน จังหวะไหนควรเบา และ
ควรถอน ไม่ใช่สักแต่ว่ามีคันเร่งก็ตะบี้ตะบันเหยียบกันตะพรึดตะพรือกัน
เข้าไป

เหมือนคุณเล่นดนตรี มันต้องมีทั้งช่วง Intro ช่วงส่งอารมณ์ ช่วงเร่ง ช่วงดึง
จนขึ้นไปสู่จุด Peak สุด ช่วงคลายอารมณ์ การขับรถสปอร์ต หรือ Super Car
ก็ไม่แตกต่างกัน

เพียงเท่านี้ AMG GT S ก็พร้อมจะพาคุณโลดแล่นไปข้างหน้าราวกับจังหวะ
จากเสียงดนตรีที่คุณชื่นชอบ รถคันนี้มันดุดัน และพร้อมจะเป็นได้ทั้งกีตาร์
ไฟฟ้าชั้นเลิศ หรือเป็นธนูชั้นยอด ที่พร้อมจะพาคุณพุ่งตรงดิ่งไปด้วยความ
แรงสะท้านความรู้สึก มันดิบกว่า Mercedes-Benz ทุกคันที่ผมเคยเจอมา แต่
ควบคุมไม่ยากอย่างที่คิด ถ้าไม้ได้ขับเร็วเกินไป ระบบเบรก มั่นใจได้เลย
แถมช่วงล่าง ในความเร็วต่ำ ก็แอบไม่ได้แข็งมากอย่างที่คาดเดาไว้ตอนแรก
แม้ว่า แผงควบคุมตรงกลาง แอบจะสร้างความมึนงงในครั้งแรกที่ลองขับ
แต่ถ้าคุ้นเคยแล้ว มันใช้งานไม่ยากเท่าไหร่นัก

จุดเด่นอันแข็งแกร่งก็คือ ความแรงสะใจที่ทำให้ AMG GT S คันนี้ พุ่งแซง
นำหน้าชาวบ้านชาวช่อง ขึ้นมาเป็น สุดยดรถยนต์ที่ทำตัวเลขอัตราเร่ง และ
Top Speed  ได้เยอะที่สุดเท่าที่เว็บไซต์ Headlightmag.com ของเราเคยทำ
รีวิวมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอีกตำแหน่งหนึ่งที่รถคันนี้จะได้แชมป์ไป ก็คือ
Mercedes-Benz ที่แรงสุดๆ เท่าที่เราเคยทำบทความมาด้วยเช่นเดียวกัน

กระนั้น การขับขี่ใช้งานในชีวิตประจำวัน กลับไม่ยากเย็นอย่างที่คิด ถ้าต้อง
พาเจ้ากล้วยหอมไปจ่ายกับข้าว สิ่งที่คุณควรระวัง ก็มีเพียงแค่ด้านหน้ารถที่
ยาวยื่นไปสักหน่อย ตอนถอยหลังเข้าจอด ก็อย่าไว้ใจเซ็นเซอร์กะระยะนัก
และอย่าคิดแทรกเลนซ้าย เปิดช่องทางพิเศษ บนทางด่วน วันรถติดขัดระดับ
วินาศสันตะโร เพราะตัวรถมันกว้างมากกว่ารถยนต์ทั่วไป เพียงเท่านี้ คุณก็
จะใช้งาน AMG GT S ได้อย่างปกติสุข

แต่…ต่อให้รถยนต์คันนั้น จะแรงแค่ไหน แพงเท่าไหร่ ดีเลิศเพียงใด ยังไงๆ
มันก็ต้องมีจุดแก้ไขให้ได้พัฒนาปรับปรุงกันต่อไป เพราะในโลกนี้ไม่เคยมี
รถยนต์คันใดที่ Perfect เลยแม้แต่คันเดียว! ต่อให้แพงระดับ Rolls Royce
Bentley หรืออะไรก็ตามแต่ รถยนต์ระดับราคาเหล่านั้น ก็ยังมีจุดให้ท้วงติง
ได้เสมอ ขึ้นอยู่กับว่า ผู้ผลิตจะยอมรับและนำไปปรับปรุงแก้ไข หรือยังคง
ยิ่งจองหองผยองเดช เต็มเปี่ยมไปด้วย อีโก้ คุยโวว่า รถข้าเจ๋ง ไอ้นักข่าว
คนนั้นมันกระจอก มันขับรถไม่เป็น!

ประเด็นที่ผมมองว่า สมควรอย่างยิ่งที่ ทีมวิศวกรของ Mercedes-Benz และ
AMG ควรปรับปรุงกันต่อไป นั่นคือ การตอบสนอง ของพวงมาลัยในย่าน
ความเร็ว เกินกว่า 200 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป มันน่ากลัว ไม่นิ่งเลย มันมี
ระยะฟรีมากพอให้พวงมาลัยดิ้นไปตามพื้นถนน ซ้ายๆ ขวาๆ ตลอดเวลาที่
เรากำลังไต่ขึ้นไปยังช่วงระดับความเร็วสูงขึ้นไปกว่านั้น ยิ่งเร็วมากเท่าไหร่
ความหวาดเสียวจะยิ่งทวีคูณ!

ในชีวิตผม เคยผ่านขึ้นไปแตะความเร็วเกิน 240 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป
อยู่เรื่อยๆ บางคันแตะขึ้นไปถึง 250 – 280 กิโลเมตร/ชั่วโมงเสียด้วยซ้ำ
แต่ยังไม่เคยมีคันไหนที่สร้างคววามกังวลในทุกเสี้ยววินาทีขณะควบคุม
ได้มากขนาดนี้มาก่อน!

ในช่วงที่เกินจากระดับความเร็วดังกล่าว พวงมาลัยจะเริ่มมีอาการดีดดิ้น
ไปตามพื้นผิวถนนตลอดเวลาจนผมต้องเพิ่มสมาธิอย่างสูงสุดขั้วมากๆ
จนเกินกว่าที่ผมเคยเจอมาตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่จับรถทดลองขับ
มาทั้งหมด

เหลือเพียงแค่ประเด็นนี้ เรื่องเดียวเท่านั้น AMG GT S ก็จะกลายเป็น
รถสปอร์ตที่ดีมากที่สุดคันหนึ่ง เท่าที่ Mercedes-Benz ผลิตออกมา ได้
อย่างเต็มภาคภูมิ

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_06

แล้วคู่แข่ง โดยตรงของ AMG GT S เป็นใคร?

หากเทียบตามสเป็ก โดยยังไม่เปรียบเทียบเรื่องราคาแล้ว Aston Martin
V12 Vantage S และ Porsche 911 Turbo ดูจะเป็นคู่ฟัดที่สมน้ำสมเนื้อ
กับ AMG GT และ GT S มากที่สุด

Porsche 911 Turbo นั้น แรงด้วยขุมพลัง 6 สูบนอน Boxer DOHC 24
วาล์ว 3,799 ซีซี Bi-Turbo พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VarioCam แรงสะใจ
ถึง 560 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 – 6,750 รอบ/นาที แรงบิด 700 นิวตันเมตร
(71.33 กก.-ม.) ที่ 2,100 – 4,200 รอบ/นาที เกียร์กึ่งอัตโนมัติ PDK 7 จังหวะ
0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 3.1 วินาที Top Speed 295 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ปล่อยก๊าซ CO2 227 กรัม/กิโลเมตร

ด้าน Aston Martin ขอส่ง V12 Vantage S มางัดข้อสู้ด้วยเครื่องยนต์บล็อก
V12 DOHC 42 วาล์ว 5,935 ซีซี 573 แรงม้า (PS) ที่ 6,750 รอบ/นาที แรงบิด
620 นิวตันเมตร (63.22 กก.-ม.) ที่ 5,750 รอบ/นาที 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ใน 4.1 วินาที Top Speed 295 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ปล่อยก๊าซ CO2 สูงถึง
343 กรัม/กิโลเมตร

ดูจากสเป็กบนกระดาษแล้ว แน่นอนครับ นี่คือ คู่แข่งที่สมศักดิศรีมากที่สุด
เท่าที่ ทั้ง Porsche และ Aston Martin เตรียมพร้อมไว้สู้รบปรบมือ แต่นั่น
คือเรื่องราวในตลาดทั่วโลก เพราะถ้าหากนำเรื่องราคาขายปลีกรวมภาษี
ต่างๆในบ้านเรา มารวมเข้าด้วยกันแล้ว งานนี้สงสัยว่าเราอาจต้องยอมให้
Mercedes-Benz เขาจริงๆ

เพราะถ้าคุณมีเงิน 14,900,000 บาท เท่าๆกัน คุณจะอุดหนุน Porsche ได้
แค่รุ่น 911 Carrera ซึ่งเป็นรุ่นพื้นฐาน เครื่องยนต์ 6 สูบ Boxer 3,436 ซีซี
350 แรงม้า (PS) เท่านั้น และในเงินจำนวนนี้ ถ้าคุณคิดจะหันไปอุดหนุน
Aston Martin คุณจะได้แค่รุ่นพื้นฐานอย่าง V8 Vantage เท่านั้น ขณะที่
คุณสามารถกำเงินเท่ากัน ไปซื้อ AMG GT รุ่นพื้นฐานได้เลย

แล้วถ้าคุณต้องการสมรรถนะระดับใกล้เคียงกันหรือดีกว่า AMG GT S ละ
Porsche ให้คำตอบว่า คุณต้องจ่ายเงินสูงถึง 27,700,000 บาท เพื่อแลกกับ
การเป็นเจ้าของ 911 Turbo (นี่แค่รุ่นปกติ ที่ไม่ใช่รุ่น S นะ) ขณะเดียวกัน
Aston Martin ก็บอกว่า หากคุรอยากได้ V12 Vantage S นั่นต้องจ่ายเงิน
19,900,000 บาท แม้จะถูกกว่า 911 Turbo ถึงราวๆ ครึ่งหนึ่ง แต่ ถ้าคุณนำ
เงินส่วนนี้ ไปซื้อ AMG GT S รุ่นท็อป แล้วอัดออพชันเพิ่มเข้าไป เผลอๆ
ค่าตัวออกมาเต็มที่สุดก็น่าจะอยู่แถวๆ 18 -19 ล้านบาท อยู่ดี

แต่สำหรับลูกค้ากลุ่มที่คิดจะซื้อรถ Super Car พวกนี้ ผมเชื่อว่า เงินหนะ
ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ส่วนต่างไม่เท่าไหร่ พวกเขายอมจ่าย เพราะคนกลุ่มนี้
มอว่า ถ้าจะต้องจ่ายเงินทั้งที ก็ต้องขออะไรก็ตาม ให้สะใจไปเลย แต่ง
ให้สุดๆ ตามใจพวกเขากันสุดๆ ดังนั้น อยากจะเลือกอะไร ก็ตามแต่
รสนิยมและเงินคงคลังประจำตระกูลของท่านจะนำพาก็แล้วกัน

—————————

ก่อนจากกัน…

หลายครั้งที่ผมมักถามตัวเองว่า บทความรถ Super Car ต่างๆ หนะ
จริงๆแล้ว คุณผู้อ่านในเว็บของเรา แทบไม่ค่อยให้ความสนใจเลย
แล้วเรายังจะทำออกมาอีกทำไม?

เหตุผลของผมก็คือ ยังคงอยากให้คุณผู้อ่านได้รับรู้ว่า โลกยานยนต์
ทุกวันนี้ มันไปไกลถึงไหนแล้ว สมรรถนะและเทคโนโลยีต่างๆ มันได้
ถูกผลักดันไปอย่างไร และมีแนวโน้มอย่างไรต่อไป เราจึงอยากให้คุณๆ
ได้เรียนรู้กันไว้บ้าง

กระนั้น หลายคนยังคงมองรถประเภทนี้ว่า มันไกลตัว เกินเอื้อม
ซื้อไม่ถึง หรือว่าจะเป็นเหตุผลใดก็ตาม

ก็แล้วแต่ความคิดของแต่ละปัจเจกชนครับ

แต่สำหรับผม เรายังคงต้องมีบทความของรถยนต์ประเภทนี้ ให้ผู้อ่าน
ที่รักและนิยมรถสปอร์ต หรือนิยมความแรง ได้อ่านกัน เพราะบทความ
ประเภทนี้ มันอาจจะไปจุดประกายความฝันในชีวิตของเขา แล้วกลาย
เป็นแรงผลักดัน ทำงานมุมานะ อุตสาหะเก็บตังค์ ใครจะไปรู้ละครับ ว่า
วันหนึ่ง คุณอาจซื้อความฝันติดล้อราคาแสนแพงเหล่านี้ก็เป็นได้

มันช่างบังเอิญราวกับหยั่งรู้ฟ้าดิน เช้าวันที่ผมปิดต้นฉบับบทความนี้ อันเป็น
วันเดียวกับที่บทความนี้ ถูกโพสต์ขึ้นบนเว็บของเราเป็นครั้งแรก ผมเหลือบ
สายตาไปบน Facebook ของตัวเอง เจอ ข้อเขียนของคุณผู้อ่าน แฟนประจำ
เว็บไซต์ Headlightmag.com ของเราคนหนึ่ง น้องนิล (คุณเสริมศิลป์ ประดับ)
เขาเขียนไว้น่าสนใจครับ…มันช่างสอดคล้องกับช่วงเกริ่นนำของบทความนี้
จนถึงขั้นต้องขออนุญาตน้องเขา นำมาโพสต์ให้คุณๆได้อ่านกันตรงนี้

“เวลามีรถแพงๆ ซัก 10 กว่าล้าน วิ่งผ่านกลุ่มคนไป จะมีคนอยู่ 3 ประเภท

ประเภทที่ 1 “จะซื้อเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ทุกวันนี้ใช้แค่ Vios ก็พอ” ไม่ได้อยาก
ให้ใครรู้ว่ารวย ขับง่าย ซ่อมง่าย หายก็ซื้อใหม่ ไม่เสียดาย ไม่ได้ใช้อะไร
มากมาย ไปไหนไกลก็นั่งเครื่องบินเอา คนแบบนี้อาจจะรวยมาก่อนจาก
พ่อแม่ หรือบากบั่นจนสังเคราะห์ตัวเองได้ในระดับนี้ คงไม่มีอะไรต้อง
กังวลนอกจากพรุ่งนี้กับชาติหน้าอะไรมันใกล้กว่ากัน?

ประเภทที่ 2 “อยากได้หว่ะ ซักวันจะต้องมีบ้าง” คนแบบนี้มันจะทำทุกอย่าง
เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย อย่างน้อยแม้จะไม่ถึง แต่ชีวิตก็ก้าวหน้าไปมากจน
อาจเห็นว่าเงินไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต แล้วหันกลับมามองคนรอบข้างบ้าง

ประเภทที่ 3 “หู้ยแม่งแพง เปลืองน้ำมัน กูไม่เอาหรอก คนซื้อแม่งต้องโง่มาก”
ชีวิตคนประเภทนี้ก็จะวนเวียนกับข้ออ้างเข้าข้างตัวเองในทุกๆ เรื่อง จนลืมถาม
ไปว่า ของมันแพง หรือค่าแรงมันถูก ไม่ใช่ไม่มีโอกาสถีบตัวเองมาให้พ้นนะ
แต่เค้าไม่เคยคิดอยากจะออกมาจากตรงนั้น”

ว่าแต่คุณผู้อ่านละครับ คิดว่าคุณเองเป็นคนประเภทไหนดี?

——————–///———————-

2015_08_Mercedes_Benz_AMG_GT_S_09

ขอขอบคุณ / Special Thanks to
บริษัท Mercedes-Benz (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ และอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ อย่างดียิ่ง

– Pan Paitoonpong : สำหรับการเตรียมข้อมูลด้านวิศวกรรม

—————————————————–

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน  
ยกเว้นภาพถ่ายจากเมืองนอก เป็นลิขสิทธิ์ของ Daimler AG.
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
15 ตุลาคม 2015

Copyright (c) 2015 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.

First publish in www.Headlightmag.com
October 15th,2015

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!