นับตั้งแต่รถกระบะ Nissan Navara รุ่นปัจจุบัน (รหัส D23) เปิดตัวอย่างเป็นทางการ และเริ่มทำตลาดในประเทศไทย เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2014 เราก็จะพบกับข่าวคราวความเคลื่อนไหวของรถกระบะรุ่นนี้ได้ไม่บ่อยนัก ส่วนใหญ่จะเป็นเพียงการปรับอุปกรณ์ประจำปี หรือเสริมทัพด้วยรุ่นตกแต่งพิเศษ อาทิ Black Edition Sportech ฯลฯ เพื่อประคองยอดขายไม่ให้หล่นไปอยู่ท้ายตาราง

กว่าที่ลูกค้าชาวไทยและทั่วโลกจะได้พบกับรุ่นปรับโฉมของ Navara ก็ต้องรอจนถึงช่วงปลายปีนี้ 2020 โดยเริ่มเปิดตัวครั้งแรกในโลก ผ่านการถ่ายทอดสด หรือ Live Streaming จากประเทศเม็กซิโก อันเป็นหนึ่งในตลาดที่รถกระบะ Nissan ในรับความนิยมอยู่ไม่น้อย เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2020 ที่ผ่านมา ตามติดด้วยการเปิดตัวในตลาดที่มียอดขายรถกระบะขนาด 1 ตัน สูงที่สุดในโลก อย่างประเทศไทย  เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2020

ความเปลี่ยนแปลงภายนอกและภายใน

– เปลี่ยนกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ แบบ Interlock
– เปลี่ยนกันชนหน้าดีไซน์ใหม่
– เปลี่ยนไฟหน้าดีไซน์ใหม่ แบบ LED-Projector Lens Quad-eyes
– เปลี่ยนล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่
– เปลี่ยนฝาท้ายดีไซน์ใหม่ พร้อมระบบช่วยผ่อนแรง
– เปลี่ยนกันชนหลังดีไซน์ใหม่
– ขอบกระบะท้ายสูงราวๆ 46 มิลลิเมตร
– เปลี่ยนพวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน ดีไซน์ใหม่
– เปลี่ยนชุดมาตรวัดดีไซน์ใหม่ พร้อมเพิ่มฟังก์ชันการแสดงผลของระบบต่างๆ
– เปลี่ยนวัสดุหุ้มเบาะนั่งเป็นลวดลาย 6 เหลี่ยม
– เพิ่มพนักพิงศีรษะตรงกลางและพนักวางแขนแบบพับได้ สำหรับเบาะนั่งด้านหลัง
– เปลี่ยนหน้าจอชุดเครื่องเสียงใหม่ รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto

ความแตกต่างของรุ่น PRO-4X และรุ่น VL

– เปลี่ยนกรอบกระจังหน้าเป็นสีดำด้าน พร้อมโลโก้ Nissan สีแดง
– เพิ่มคิ้วเหนือซุ้มล้อสีดำด้าน
– เปลี่ยนมือจับเปิดประตูจากด้านนอกเป็นสีดำด้าน
– เปลี่ยนกรอบกระจกมองข้างเป็นสีดำ
– เปลี่ยนราวหลังคาเป็นสีดำ
– เปลี่ยนมาใช้ล้ออัลลอย ขนาด 17 นิ้ว (ลายเดียวกันกับรุ่น V) พร้อมยาง YOKOHAMA GEOLANDAR AT ขนาด 255/65 R17
– เพิ่มตะขอ 4 จุด พร้อมรางเลื่อน ที่กระบะท้าย
– เปลี่ยนวัสดุตกแต่งภายในห้องโดยสารเป็นสีดำด้าน
– เปลี่ยนโลโก้ Nissan บนพวงมาลัยเป็นสีแดง
– เพิ่มสัญลักษณ์ PRO-4X ที่เบาะนั่ง
– เบาะนั่งฝั่งคนขับ เปลี่ยนจากปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง เป็นแบบปรับด้วยมือ 6 ทิศทาง

ไม่เพียงแค่การปรับดีไซน์ภายนอก และภายในห้องโดยสาร ให้ดูแข็งแกร่ง ทันยุคทันสมัยมากขึ้น ตลอดจนการเพิ่มเติมอุปกรณ์ต่างๆ ให้ทัดเทียมกับคู่แข่งขึ้นเท่านั้น แต่ Nissan ยังตัดสินใจเพิ่มรุ่นพิเศษตกแต่งจากโรงงาน ทั้งรุ่น PRO-4X (ขับเคลื่อน 4 ล้อและ PRO-2X (ขับเคลื่อน 2 ล้อ) หวังแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดกับคู่แข่งหลายรุ่น อาทิ Isuzu D-Max V-Cross/X-Series , Toyota Hilux Revo ROCCO, Ford Ranger Wildtrak/FX-4 และ Mitsubishi Triton Athlete เป็นต้น อีกด้วย 

ด้านขุมพลังของ Navara Minorchange หลายรุ่นย่อยถูกอัพเกรดจากเครื่องยนต์ตระกูล YD มาเป็นเครื่องยนต์รหัส YS23DDT ดีเซล 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.3 ลิตร พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharged (เทอร์โบแปรผัน VGS Turbo) กำลังสูงสุด 163 แรงม้า (PS) ที่ 3,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 403 นิวตันเมตร (41.1 ก.ก.-ม.)  ที่ 1,500 – 2,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และเครื่องยนต์รหัส YS23DDTT ดีเซล 4 สูบ DOHC 2.3 ลิตร  พ่วงระบบอัดอากาศ Twin-Turbocharged กำลังสูงสุด 190 แรงม้า (PS) ที่ 3,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร (45.9 ก.ก.-ม.) ที่ 1,500 – 2,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ อีกด้วย

นอกเหนือจากรูปร่างหน้าตาและเครื่องยนต์ที่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว งานวิศวกรรมส่วนอื่นๆ เช่น ระบบบังคับเลี้ยว ระบบกันสะเทือน รวมถึงระบบความปลอดภัยขั้นสูง (Advance Safety) ก็ยังถูกพัฒนาปรับปรุงใหม่ด้วยเช่นกัน ดังนั้น เราจึงพาคุณผู้ชมทุกท่านไปดูกันว่า ผลจากการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ จะทำให้ Nissan Navara รุ่นปรับโฉม Minorchange ดีขึ้นขนาดไหน พอจะสู้คู่แข่งได้หรือไม่ สมรรถนะการขับขี่ในแต่ละด้านจะเป็นอย่างไร ไปชมกันพร้อมๆ กันครับ


แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่ >> https://community.headlightmag.com/79044.0