เมื่อสายการผลิตของ Nissan GT-R R35 ได้ปิดฉากลง พร้อมการเคลื่อนตัวออกจากสายการผลิตของ R35 คันสุดท้าย Nissan ได้ใช้เวลานี้ ระลึกถึงบุคคลหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันความสำเร็จของรถรุ่นตำนานนี้มาตั้งแต่ยังเป็นเพียงแนวคิดบนกระดาษ

สำหรับใครก็ตามที่คุ้นเคยกับ GT-R R35, Nissan Z หรือวัฒนธรรมรถ JDM (Japanese Domestic Market) ชื่อและใบหน้าของ Hiroshi Tamura คงไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ เขาคือบุคคลที่ถูกยกให้เป็นสัญลักษณ์ของสายสปอร์ตสมัยใหม่ของ Nissan และแฟนๆ หลายคนขนานนามเขาว่า “Godfather of GT-R” หรือ “บิดาแห่ง GT-R”

 

Tamura ถือเป็น Car guys อย่างแท้จริง แม้แต่การแต่งกายก็มักเห็นเขาอยู่ในชุดสูทสีเทาคู่กับเนกไทสีสด และสนีกเกอร์ลาย GT-R หรือ Z ที่มีมากกว่า 15 คู่

Tamura เข้าร่วมงานกับ Nissan ในปี 1984 และกล่าวอย่างภาคภูมิว่า “Nissan คือประตูบานเดียวที่ผมเคยเคาะ” บ่งบอกถึงความหลงใหลที่เขามีต่อแบรนด์อย่างสุดหัวใจ

แรงบันดาลใจของเขาส่วนหนึ่งมาจากประสบการณ์วัยหนุ่มที่สนาม Fuji Speedway ที่ได้ชม Hakosuka Skyline GT-R ซิ่งรอบสนามเก่าในยุคที่ยังมีโค้งเอียง 30 องศา เสียงเครื่องยนต์ Twin-cam คำรามยังตราตรึงในความทรงจำ

 

ทศวรรษ 1970 เขายังได้สัมผัสรถอย่าง 240ZG โดยเฉพาะรุ่น G Nose อันโด่งดัง เขาซื้อรถมาและโมดิฟายเครื่องยนต์ L-series ให้ขยายเป็น 3.1 ลิตร (L28 Kai) พร้อมคาร์บูเรเตอร์ Mikuni ใช้เป็นรถประจำวัน นี่คือรากฐานที่จุดประกายให้เขามีไฟตลอดชีวิตกับรถสปอร์ตของนิสสัน

ในช่วงแรกของอาชีพ เขาเคยอยู่กับ Autech Japan วางแผนการผลิต Nissan Maxima/Cefiro ยุค 90 และทำงานกับ Nissan Prince Kanagawa วันนั้นเขาเล่าว่า “ผมวิ่งเต้นเพื่อจะได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับโครงการ GT-R และ Z อยากเอาความหลงใหลมาใส่ลงในรถสปอร์ตของค่าย”

 

วันแรกของแนวคิดโครงการ GT-R R35

Tamura ได้เข้ามามีบทบาทกับโครงการ GT-R อย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 1997 และในปี 2001 ช่วงเริ่มคิดคอนเซปต์ R35 เขาคือคนที่ผลักดันไม่ให้ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียง หรือเกียร์ธรรมดา แม้ตัวเองจะรักการเปลี่ยนเกียร์และชื่นชอบในเครื่องยนต์ RB26DETT ก็ตาม

เขาเชื่อว่าเครื่องยนต์ที่สั้นกว่า และสามารถวางเยื้องเข้ากลางลำได้มากกว่า อย่าง V6 จะเหมาะกับสมดุลของตัวรถมากกว่า และมองว่า เกียร์อัตโนมัติแบบใหม่ที่กำลังถูกศึกษาในวิชาการยุคต้น 2000 อย่าง Dual-Clutch Transmission ก็ดูมีความเหมาะสม

“ตอนแรกหลายคนคิดว่าผมบ้า ที่อยากให้มีแค่สองแป้น (ใช้เกียร์อัตโนมัติ) แต่พอถึงปี 2003 รถซูเปอร์คาร์อิตาลีเริ่มใช้เกียร์อัตโนมัติ และสร้างความพอใจให้กับเจ้าของมากขึ้น จึงทำให้ความคิดของผม ได้รับการยอมรับ” Tamura กล่าว

 

สองบุคลิกในคันเดียว

ในสายตา Tamura GT-R R35 ถูกออกแบบให้มีสองด้านเสมอ

  1. GT ที่ขับสบาย สนุกได้ทุกสภาพถนน
  2. R ที่ให้สมรรถนะเร้าใจระดับสนามแข่ง

“สองด้านนี้ถูกทำให้สมบูรณ์แบบจริงๆ เมื่อเปิดตัว GT-R NISMO 2013 ที่เป็นการยกระดับสมรรถนะของ GT-R จากสนามแข่ง มาสู่ท้องถนนจริง”

 

เรื่องเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยมีใครรู้

ชื่อ T-Spec เดิมทีจะถูกเรียกว่า TM-Spec ย่อจาก Trend Maker และ Traction Master ก่อนจะถูกย่อให้สั้นลง

ในโรงรถของ Tamura ปัจจุบันนอกจาก R32 GT-R สี Gun Grey ที่ใส่ล้อ R34 และสติ๊กเกอร์ Mid Night Club แล้ว เขายังซื้อ R35 T-Spec ปี 2025 สี Millennium Jade ภายในดำ มาเป็นรถส่วนตัวด้วย

สีโปรดของเขาสำหรับ R35 คือ Wangan Blue (Bayside Blue) และ Millennium Jade ซึ่งโยงถึงประวัติศาสตร์ Skyline และการพัฒนา R34 GT-R ที่เขามีส่วนผลักดันให้ 2 สีนี้ ถูกบรรจุไลน์อัพ

 

สนามแข่งที่มีความหมาย

Tamura ไปสนาม Nürburgring Nordschleife กว่า 100 ครั้ง รวมเวลาทั้งหมดราว 500 วัน “Nürburgring คือบ้านหลังที่สอง ตลอดจนเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา GT-R รุ่นใหม่ๆ”

นอกจากนี้ ยังมีสนาม Tsukuba Circuit ที่ใช้ทำ Time Attack และยังภูมิใจกับชัยชนะในรายการ Super Taikyu และ Bathurst 12 Hours 2015 ด้วย

Tamura ตระเวนไปทั่วโลกเพื่อโปรโมท GT-R ไม่ว่าจะญี่ปุ่น อเมริกา ยุโรป โอเชียเนีย ตะวันออกกลาง จีน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ งานที่เขายกให้เป็นการรวมพล GT-R ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ R’s Meeting ในญี่ปุ่น รองลงมาคือ Tokyo Auto Salon และเทศกาล GT-R ในสหรัฐฯ กับออสเตรเลีย

 

R35 ในความรู้สึกส่วนตัว

“GT-R คือตัวแทน DNA ของ Nissan เป็นรถที่สะท้อนความหลงใหลและความกล้าที่จะท้าทายสิ่งสุดโต่ง สำหรับผม R35 ไม่ใช่แค่งาน แต่เป็น lifework ที่ทำให้คนรักรถจากทุกวัฒนธรรมมาเจอกัน”

เมื่อถูกถามว่ารู้สึกอย่างไรที่บทบาทของ R35 สิ้นสุดลง เขาตอบว่า “ผมภูมิใจในสิ่งที่ R35 ทำได้ และขอบคุณแฟนๆ กับลูกค้าทั่วโลก ผมคือคนของ Nissan และยังมีความรับผิดชอบจะผลักดันรถสปอร์ตของ Nissan ต่อไป”

 

ความฝันต่ออนาคตของ GT-R

ไม่ว่าชื่อ GT-R จะกลับมาอย่างไร Tamura ย้ำว่า“เป้าหมายแรกและเป้าหมายสุดท้ายคือต้องทำให้ลูกค้ายิ้มได้ และมอบความสุขในการขับจริงๆ”

สำหรับคนที่กำลังรอคอยร่างใหม่ของ GT-R เขาย้ำว่า ให้อดทนรอ เพราะจาก Hakosuka ถึง R32 ก็เว้นช่วงถึง 17 ปี และที่ผ่านมา Nissan ก็ไม่เคยทิ้ง GT-R

แม้ปัจจุบันเขาจะเป็นเพียงทูตสื่อสารฝั่งรถสปอร์ตของ Nissan และไม่ได้ดูแลงานพัฒนาโดยตรง แต่ก็เผยความเห็นส่วนตัวว่า…

“ถ้าเป็นไปได้ ผมยังอยากให้ GT-R รุ่นต่อไป ยังมีเสียงเครื่องยนต์อยู่”

——–//——–