General Motors หรือ GM เคยได้ชื่อว่า เป็นบริษัทรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มาตลอดช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา แม้ทุกวันนี้ พวกเขาจะเลิกทำตลาดรถยนต์ในเมืองไทยไปแล้ว แต่ประวัติศาสตร์ในอดีตของพวกเขา เต็มไปด้วยเรื่องราวและเหตุการณ์มากมาย ชวนให้อนุชนรุ่นหลัง นำไปศึกษา เป็นความรู้ อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

มันเป็นการยาก ที่พวกเราคนไทยในปี 2022 จะจินตนาการว่าบริษัท General Motors ในช่วงก่อนยุค 1970 และ 1980 มีความยิ่งใหญ่ขนาดไหน ในช่วงทศวรรษ 1930 – 2000 นั้น เฉพาะในตลาดอเมริกาเหนืออย่างเดียว GM มีแบรนด์รถยนต์ ให้เลือกหลากหลาย ตามความต้องการใช้งาน กำลังทรัพย์ และรสนิยม ไล่เรียงจากราคาถูกไปแพง ดังนี้

GEO แบรนด์น้องใหม่ แตกหน่อจาก Chevrolet ในปี 1989 สวมให้รถญี่ปุ่น Toyota Suzuki ที่ GM สั่งมาลองขายเอง GM เลิกทำแบรนด์นี้ไปในปี 1996

Saturn ถือกำเนิดจริงจังในปี 1983 GM หวังจับมือสหภาพแรงงาน UAW มาร่วมกันทำรถเล็ก C-Segment เพื่อตอบโต้การบุกตลาดอเมริกาเหนือของรถญี่ปุ่น เริ่มทำตลาดปี 1990 แต่สุดท้าย ถูกปิดตัวในปี 2008

Chevrolet แบรนด์รถยนต์ยอดนิยม เอาชื่อ ของ นักแข่งรถ Louise Chevrolet มาใช้ เป็นคู่แข่งตลอดกาลของ Ford
Pontiac แบรนด์ระดับเดียวกัน แต่เน้นสมรรถนะ ในราคาประหยัด คู่แข่งหลักคือ Dodge กับ Plymouth (Chrysler) ถูกปิดตัวไปในปี 2008 พร้อม Saturn

Oldsmobile แบรนด์เพื่อครอบครัว เน้นใส่เทคโนโลยีใหม่ๆ ก่อนเพื่อนร่วมค่าย คู่แข่งคือ Mercury ของ Ford ถูกปิดตัวลงในปี 2003 เพราะ GM เห็นว่า ซ้ำซ้อน และยอดขายลดลงเรื่อยๆ
Buick แบรนด์ “เกือบหรู” Near-Premium เน้นลูกค้ากลุ่มหมอ ทนายความ นักธุรกิจ คู่แข่งคือ Chrysler ตอนนี้ ในสหรัฐฯ ขายได้เรื่อยๆ แต่กลับขายระเบิดเทิดเทิงในจีน เพราะภาพลักษณ์ดีจากอดีต ที่เคยเป็นรถประจำตำแหน่ง ของ เจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลจีน รวมทั้ง โจว เอิน ไหล

– LaSalle แบรนด์หรูอันดับที่ 2 ซึ่งถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อคู่กับแบรนด์ Cadillac และอุดช่องว่างราคาของรถ โดยที่ตัวรถมีขนาดที่เล็กกว่า และหรูหราน้อยกว่าเพียงเล็กน้อย และเป็นแบรนด์รถยนต์แบรนด์แรกที่ GM สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ ไม่ใช่การไปฮุบรวมกิจการของรถค่ายอื่นมา

Cadillac แบรนด์หรูสุด ประวัติศาตร์ยาวนาน คู่แข่งหลักคือ Lincoln จาก Ford และ DeSoto จาก Chrysler ทุกวันนี้ แปลงตัวเองเป็นแบรนด์ หรู เน้น สมรรถนะ ไปต่อกรกับ Mercedes-Benz , BMW , Audi , Acura Infiniti และ Lexus
GMC แบรนด์สำหรับรถยนต์ SUV รถกระบะ รถบรรทุก รถตู้เพื่อการพาณิชย์ และรถเพื่อการทหาร บางรุ่น ก็เป็นฝาแฝดของ Chevrolet SUV & Truck นั่นเอง

ถ้าถามว่า GM ในอดีต ยิ่งใหญ่ขนาดไหนนั้น ผมคงต้องขอยกตัวอย่างง่ายๆ ให้พอจะเห็นภาพกันก่อน….

ในปี 1965 รถ Chevrolet รุ่นที่เรียกว่า “Full-Size” ซึ่งมีรุ่นย่อยแยกออกไปหลากหลายรุ่น อาทิเช่น Biscayne, Impala และ Bel Air ขายไปได้รวมทั้งสิ้นเกิน 1.4 ล้านคัน ในปีที่ยอดขายรถรวมทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา อยู่ที่ประมาณ 9.33 ล้านคัน หรือนับเป็นประมาณ 15% ของยอดขายรถรวมทั้งหมด

แต่ถ้าหากเราลองเปรียบเทียบกับเมืองไทยในปัจจุบันละ? ในปี 2020 Isuzu ขายรถกระบะ D-Max ทุกรุ่นย่อยไปได้ 160,328 คัน จากรถที่ขายในไทยได้ทั้งหมด 792,146 คัน ซึ่งก็นับเป็น 20.23% เมื่อเทียบเปอร์เซ็นมันดูมากกว่าใช่ไหมครับ? แต่ในตัวอย่างนั้นคือตลาดสหรัฐอเมริกาทั้งประเทศ ที่มีตัวเลือกต่าง ๆ มาแย่งส่วนแบ่งมากกว่า

นอกจากนี้ รถของ Chevrolet ยังถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มเดียว แต่แบ่งออกเป็นรถได้หลากหลายรุ่นมาก การทำเช่นนี้เป็นการเพิ่มความคุ้มค่าในการลงทุนครั้งเดียว แต่สามารถแตกหน่อสินค้าไปได้เยอะ ช่วยเพิ่มความค้มทุนได้มากขึ้น หรือ Economy of Scale ในปี 1965 นั่นเอง นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ General Motors เป็นบริษัทที่ทำกำไรได้มากที่สุดในสหรัฐอเมริกา นับเป็นเงินในตอนนั้นได้ 2,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถ้าคำนวณค่าเงินเฟ้อออกมา ในปี 2022 จะคิดเป็นเงินกว่า 19,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2 เท่าของกำไรสุทธิของ GM ในปี 2021

ภาพ GM Range 1960

แต่ว่า กำไรส่วนใหญ่นั้น มาจากรถ Chevrolet เพียงอย่างเดียวเหรอ?

ในความเป็นจริง Cadillac อันเป็นแผนกที่ผลิตรถยนต์ซึ่งมีความหรูหราสูงสุดของ GM ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในแผนกที่ทำกำไรเมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นกับต้นทุนที่ลงไป แม้ว่าจะไม่ได้ใช้ชิ้นส่วนเหมือนกันกับรถรุ่นถูก

จุดขายสำคัญของ Cadillac นั้น นอกเหนือจากความหรูหราสง่างามตามแบบอเมริกันสามัญแล้ว ยังอยู่ที่การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใส่ให้กับรถยนต์ของพวกเขา อย่างต่อเนื่อง เรื่องเทคโนโลยีต่าง ๆ ในรถยนต์ ถือได้ว่ามีความสำคัญต่อรถ Cadillac มาก เช่นระบบปรับอากาศภายในรถยนต์ หรือระบบเกียร์อัตโนมัติ ซึ่ง GM พัฒนาขึ้น และบริษัทรถยนต์หรูอื่น ๆ ต้องมาซื้อระบบไปติดตั้งกันอย่างแพร่หลาย

แต่ถ้าเพียงแค่ขายเทคโนโลยีให้บริษัทอื่น ก็คงจะธรรมดาไป Cadillac จึงมีการติดตั้งระบบล้ำ ๆ อื่น ๆ อาทิเช่น ระบบช่วงล่างถุงลม Air Suspension ในรถ Cadillac Eldorado ที่มีมาตั้งแต่ปี 1957 ระบบ Twilight Sentinel อันเป็นระบบเปิดปิดไฟหน้าอัตโนมัติที่ถูกนำมาใช้ในปี 1964 และระบบขับเคลื่อนล้อหน้าที่ถูกนำเข้ามาใช้ในปี 1967 แม้ว่าจะเป็นแค่การใช้ชิ้นส่วนร่วมกับรถ Oldsmobile Toronado รุ่นปีเดียวกัน ก็ตาม ถูกครับ อ่านไม่ผิด ระบบทั้งหมดนี้ถูกใช้งานครั้งแรกตามปีที่บอกเลยครับ

ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยีอย่างเดียว ที่ Cadillac เป็นผู้นำตลาด ถ้าหากพูดถึงรถยนต์หรูของยุค 1950 1960 ถ้าหากคุณคิดว่าในปัจจุบัน รถอย่าง Rolls-Royce จะเป็นอภิมหาอัครยานยนต์สูงสุด ที่เหล่าเศรษฐี ดารา คนดัง รวมไปถึงผู้นำประเทศต่าง ๆ จะนิยมใช้กันมากที่สุดแล้วนั้น กลับกลายเป็นว่ารถ Cadillac ในยุคนั้น ซึ่งมีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ถึง 7.0 ลิตรขึ้นไป ในยุคที่ Rolls-Royce มีเครื่องใหญ่สุดแค่ 6.2 ลิตร เครื่องใหญ่กว่า ก็ถูกมองว่ามีความเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ทั้งหมดนี้ ทำให้รถ Cadillac ต่างหากที่ถูกขนานนามว่าเป็นรถที่มีความหรูหราสูงสุดในโลกตอนนั้น

แล้วทำไมในปัจจุบันนี้ Cadillac ถึงได้ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นคู่แข่งของรถยนต์ Luxury แบรนด์หน้าใหม่ อย่าง Lexus ของ Toyota และ Genesis ของ Hyundai แทนละ?

เพื่อเป็นการหาคำตอบ เราจึงอยากที่จะมาบอกเล่าเรื่องราวของ Cadillac รุ่นหนึ่งในยุคที่กำลังเกิดความเปลี่ยนแปลง ทั้งเหตุการณ์ที่ทำให้วิถีชีวิตของผู้คนทั้งโลกเปลี่ยนไปชั่วข้ามคืน รวมไปถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในบริษัท General Motors อันเป็นผลจากสถานการณ์โลกนั้นเอง แต่ว่า บางครั้ง สาเหตุที่ค่ายยักษ์ใหญ่ถูกลดความสำคัญลงไป ก็ไม่ได้มีแค่ปัจจัยภายนอกเพียงอย่างเดียว…

เพราะกำไรคือที่ 1

แม้ว่าจะเป็นรถยนต์ระดับหรู แต่วิธีการดำเนินการของ Cadillac กลับไม่ได้ต่างจากนโยบายของ General Motors เสียเท่าไหร่ รถเหล่านี้แม้ว่าจะมีความพยายามที่จะทำให้พิเศษ ด้วยการตกแต่งหรูหราและใช้วัสดุที่มีคุณภาพ ราคาแพง แต่มันก็ยังเป็นรถประเภท Mass Production ที่ผลิตบนสายการผลิตเป็นหลัก

ถ้าหากไม่ใช่รุ่นพิเศษจริง ๆ อย่าง 1959-1960 Cadillac Eldorado Brougham ที่ GM ไปว่าจ้างบริษัทออกแบบชื่อดังอย่าง Pininfarina ในการผลิตตัวถังให้ แม้แต่รถ Limousine อย่าง Cadillac Seventy-Five ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกเป็นรถประกอบมือทั้งคันแบบ Rolls-Royce หรือรถหรูยุโรปรุ่นอื่น ๆ ในยุคนั้น รถเหล่านี้มีราคาที่แพง เพราะขายเครื่องยนต์ขนาดใหญ่และ เทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่าใครเพื่อน

นอกจากนี้ รถ Cadillac ที่ขายได้มากจริง ๆ ก็คือรุ่นธรรมดาทั่วไป เช่น Cadillac Calais ที่เปิดตัวในปี 1965 หรือ Cadillac de Ville ที่ในปี 1959 ขายได้จำนวน 53,000 คัน หรือนับเป็น 37% ของยอดขาย Cadillac ทั้งหมดในปีนั้น

ราคาค่าตัวของรถ Cadillac ในยุคนี้ สำหรับรุ่นที่ถูกที่สุด อย่างเช่น 1965 Cadillac Calais ก็สูงกว่ารถ Chevrolet Impala ถึง 2 เท่าตัว และรุ่นที่แพงที่สุด เช่นรุ่น Limousine จากโรงงาน ก็มีราคาแพงกว่ารถ Rolls-Royce ในปีเดียวกันด้วยซ้ำ แต่ว่ารถเหล่านี้ก็มีเทคโนโลยีและความหรูหรามากพอ รวมไปถึงชื่อชั้นของ Cadillac ที่ดึงดูดให้หลายคนอยากได้

ยอดขายของรถ Cadillac ในสหรัฐอเมริกาปี 1972 ซึ่งก็ยังคงเป็นตลาดหลักอยู่ พุ่งสูงขึ้นไปเป็นเกือบ 270,000 คัน ซึ่งก็นับได้ว่าทำลายสถิติยอดขายของ Cadillac ที่ผ่านมาทั้งหมด แต่การที่จะได้ยอดเช่นนั้นมา Cadillac ต้องเริ่มต้นที่จะใช้กลยุทธ์การขาย เช่นการให้ส่วนลด และการโฆษณา ซึ่งในอดีตไม่เคยทำมาก่อน รวมไปถึงในช่วงเวลานี้ สินเชื่อรถยนต์ซึ่งในอดีตนั้นมีระยะเวลาที่สั้นและดอกเบี้ยสูง ก็ยืดระยะเวลาออกไป และดอกเบี้ยถูกลงเรื่อย ๆ จนทำให้ผู้คนจำนวนมากซึ่งอดีตไม่สามารถซื้อรถเหล่านี้ได้ ก็สามารถทำได้

จนกระทั่งในปลายปี 1973 ซึ่งทั่วโลกประสบกับวิกฤติขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงจากสงคราม Yom Kippur ซึ่งอเมริกาสนับสนุนประเทศอิสราเอล จนทำให้ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันในกลุ่ม OPEC อย่าง ซาอุดิ อาราเบีย อิรัก คูเวต ฯลฯ ต่างยกเลิกการส่งน้ำมันให้แก่ประเทศตะวันตก ซึ่งมีแกนนำหลักคือสหรัฐอเมริกานั่นเอง ในสถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าน้ำมันที่แพงขึ้น จะทำให้กลุ่มคนที่ร่ำรวยจริง ๆ จะไม่ได้สะทกสะท้านอะไร ยิ่งน้ำมันแพง ก็จะยิ่งสามารถโชว์ความมีอันจะกินได้มากขึ้น แต่ถ้าหากน้ำมันเกิดขาดแคลนจนต้องมีการแจกตั๋วปันส่วน แบบที่กำลังเกิดขึ้นในปี 1973 สถานการณ์ก็แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

แม้ว่ายอดขายในปี 1972 นั้นจะยังคงอยู่ในระดับที่ไม่ได้ทำให้รถ Cadillac ล้นตลาด แต่พอปลายปี 1973 ซึ่งเกิดวิกฤติน้ำมันขึ้น รถ Cadillac ที่เคยขายดี ก็กลับขายไม่ดีขึ้นมาในชั่วข้ามคืน และนั่นทำให้ Cadillac ต้องทำการกระตุ้นตลาดอย่างรุนแรงมากขึ้น

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ แบรนด์ Cadillac ที่แต่เดิมเหมือนจะขายได้ด้วยตัวมันเอง และปริมาณรถในท้องตลาดที่น้อยกว่าความต้องการในอดีต กลับกลายเป็นว่ามีรถเหลืออยู่ในท้องตลาดจำนวนมาก จนทำให้ตัวแทนจำหน่ายต้องให้ส่วนลด ซึ่งมากขึ้นไปกว่าเดิมอีก และนั่นส่งผลทำให้ราคาขายต่อในตลาดรถมือสอง ที่แต่เดิมนั้นทำได้ดีเพราะรถขาดตลาด จึงตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง

จากนโยบายของ Cadillac ที่ทำให้รถของพวกเขาเข้าถึงได้ง่ายขึ้น บรรดาเศรษฐีต่าง ๆ ผู้ซึ่งใช้ชีวิตโดยมีความ “Exclusive” ของทุกอย่างในชีวิตจะต้องมีความพิเศษ และถ้าหากอะไรที่ได้รับความนิยมมากเกินไป ก็จะมีคุณค่าในตัวมันเองลดน้อยลงไปโดยปริยาย

นอกจากนี้ Cadillac ยังต้องเผชิญกับคู่แข่งหน้าใหม่ในตลาด แม้ว่าในอดีต Cadillac จะไม่เคยต้องสนใจเลย ยอดขายของแบรนด์นั้น มากกว่าคู่แข่งรายอื่น ๆ ทั้งหมดรวมกันเป็นเท่าตัว

Mercedes-Benz และ BMW สองแบรนด์รถยนต์จากประเทศเยอรมนี กำลังมียอดขายที่เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด เพราะว่า กลุ่มลูกค้าที่มีฐานะทั้งหลาย เริ่มมองเห็นคุณค่าในสิ่งที่เรียกว่า “Perceived Quality” หรือคุณภาพในสิ่งที่จับต้องได้ ของตัวรถจากยุโรปเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้ประกอบไปด้วย การเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูงที่มีความทนทาน เสียงปิดประตูที่หนักแน่น และการเก็บเสียงของภายในรถที่ทำได้ยอดเยี่ยมจากการติดตั้งวัสดุซับเสียงที่หนาและคุณภาพดี

ในช่วงเวลานี้ ผู้บริหารของ General Motors ยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่า รถเหล่านี้จะสู้กับ Cadillac ที่ในปี 1972 มีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่สูงสุดถึง 8.2 ลิตรได้อย่างไร? อย่างไรก็ตาม ภาพลักษณ์ของแบรนด์จากยุโรปต่าง ๆ กำลังพุ่งขึ้น สวนทางกับ Cadillac ที่ถูกมองว่าเป็นรถของคุณลุงคุณป้าที่อายุมากขึ้นทุกวัน แถมยังเป็นอดีตชนชั้นแรงงานที่เก็บหอมรอมริบมาจนสามารถซื้อได้ด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่สำหรับบรรดาเศรษฐีในยุคสมัยนั้น เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้เลย

สถานการณ์ของ Cadillac ในช่วงต้นยุค 1970 นั้น ในความเป็นจริง ยอดขายรถในช่วงปี 1974-1976 ก็ไม่ได้ตกต่ำมากไปจนบริษัทถึงกับไปต่อไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขามีเวลาสะสมกำไรมาหลายสิบปี นั่นไม่ได้หมายความว่า Cadillac จะสามารถนั่งอยู่เฉย ๆ

สิ่งหนึ่งที่ต้องบอกกันก่อนคือ การปรับตัวนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะวิกฤติน้ำมันเชื้อเพลิง หรือว่าเพราะยอดขายของ Mercedes-Benz นั้นขยับเข้ามาใกล้แต่อย่างใด แต่เพราะลูกค้าของ Cadillac เอง เริ่มที่จะบ่นว่า รถเหล่านี้มันคันใหญ่เกินไป

(ภาพ 1971 Cadillac Calais – Cadillac ที่มีขนาดเล็กที่สุดของปีนั้น)

รถ Cadillac รุ่นใหม่ในปี 1971 ที่คันเล็กที่สุด มีมิติตัวถังอยู่ที่ ยาว 5,735 มิลลิเมตร กว้าง 2,027 มิลลิเมตร สูง 1,384 มิลลิเมตร บนฐานล้อที่ยาวถึง 3,302 มิลลิเมตร รถเหล่านี้เองที่ทำให้คนทั่วโลกมักจะตั้งชื่อเล่นของรถอเมริกันคันยาวว่า “เรือยอร์ชบก” หรือว่า Landyacht

Cadillac เอง ซึ่งขยับขยายขนาดของตัวรถมาเรื่อย เนื่องจากมันเป็นวิธีการปรับโฉมซึ่งพวกเขาทำมาโดยตลอด รถรุ่นใหม่จะต้องใหญ่กว่ารถรุ่นเก่าเพื่อที่จะให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้อะไรมากขึ้น แต่ในความเป็นจริง มากเกินไปก็ไม่ดี และลูกค้าของ Cadillac โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงสูงวัย ก็บ่นกันหนาหูมากขึ้นว่า รถเหล่านี้มันคันใหญ่เกินไปมาก

Cadillac จึงมีความคิดริเริ่มที่จะพัฒนารถที่มีขนาดเล็กลง ซึ่งนอกเหนือจากจะตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้แล้ว ยังสามารถที่จะสกัดกั้นการเติบโตของรถยนต์หรูจากเยอรมัน ที่มีตัวถังขนาดเล็กได้ด้วย เรียกได้ว่า ต้องการจะยิ่งปืนนัดเดียว ได้นกถึงสองตัว

ในช่วงปี 1972 งานดีไซน์ของรถ Cadillac ขนาดเล็ก ก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ภายใต้การกำกับดูแลของ Bill Mitchell ซึ่งเป็นรองประธานฝ่ายงานออกแบบของ General Motors โดยในที่สุด ก็มีดีไซน์ 2 ตัวที่ถูกสร้างขึ้นมาจนถึงขั้น Full-Scale Model สำหรับใช้เป็นต้นแบบของการสร้างรถรุ่นใหม่ คือ Cadillac LaSalle Concept และ Cadillac La Scala Concept

ชื่อ LaSalle ของหนึ่งในรถต้นแบบ ถ้าหากสังเกตดี ๆ เราพูดถึงมันไปในส่วนต้นของบทความ มันถูกตั้งชื่อตามแบรนด์ที่ถูกสร้างขึ้นมาคู่กับ Cadillac ในอดีตนั้นเองครับ

(ภาพของ Cadillac LaSalle Concept และ La Scala Concept ตามลำดับ)

เมื่อ Cadillac ตัดสินใจแล้วว่า จะทำการพัฒนารถยนต์ที่มีขนาดเล็กลง สิ่งสำคัญที่วิศวกรของบริษัทต้องทำการตัดสินใจคือ จะใช้พื้นฐานจากรถอะไร เนื่องจากว่าโปรเจคนี้ พวกเขาจะไม่สร้างรถขึ้นมาใหม่ทั้งคัน 100%

ทางเลือกหนึ่งที่วิศวกร Cadillac นำมาพิจารณา คือการนำเอารถ Opel Diplomat B อันเป็นรถยนต์หรูจากทาง GM Europe ซึ่งเปิดตัวในปี 1969 มาปรับปรุงและผลิตในสหรัฐอเมริกา เหตุผลที่ทางเลือกนี้ถูกพิจารณาเป็นเพราะรถรุ่นนี้มีตัวเลือกเครื่องยนต์ Chevrolet Small Block V8 ขนาด 5.4 ลิตร ที่พ่วงกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 3 จังหวะ ซึ่งถูกใช้ในรถของ GM หลากหลายรุ่นอยู่แล้ว ปัญหาคือ โรงงานที่ผลิตตัวถังของ Cadillac ในสหรัฐอเมริกา ทั้งหมดใช้หน่วยวัดแบบ Imperial เป็นหลัก แต่ว่า Opel Diplomat ที่ถูกพัฒนาในเยอรมนี ถูกสร้างขึ้นบนหน่วยวัดแบบ Metric นั่นทำให้ถ้าหากจะนำรถรุ่นนี้มาผลิตในสหรัฐฯ ก็แทบจะต้องสร้าง Tooling ใหม่ และต้องเขียนแบบของรถใหม่แทบจะทั้งคัน ทางเลือกนี้จึงถูกปัดตกไปอย่างรวดเร็ว

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ทาง General Motors กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาแพลตฟอร์ม X-Body รุ่นปรับปรุงใหม่ครั้งที่ 3 ซึ่งจะถูกใช้กับรถยนต์พื้นฐานของค่าย Chevrolet Nova เจเนอเรชั่นที่ 4

(ภาพ Chevrolet Nova 4th Generation)

แพลตฟอร์ม X-Body ถูกพัฒนาขึ้นมาครั้งแรกเพื่อใช้กับ Chevrolet Chevy II หรือ Nova และเป็นผลจากความล้มเหลวของรถ Chevrolet Corvair ซึ่งเป็นรถที่ฉีกแนวทางการออกแบบรถของอเมริกาไปเสียทั้งหมด ด้วยการใช้ตัวถังแบบ Monocoque และติดตั้งเครื่องยนต์วางหลัง ซึ่งทำยอดขายได้ดีในระดับหนึ่ง แต่เสียงตอบรับของลูกค้าก็ไม่ได้ถล่มทลายในแบบที่ GM คาดหวัง พวกเขาจึงต้องสร้างรถที่มีความ “ธรรมดา” มากขึ้นมาตอบสนองลูกค้าที่อยากได้รถขนาดเล็ก แต่ยังคงรูปแบบเครื่องยนต์วางด้านหน้า ขับเคลื่อนล้อหลังเหมือนเดิม

แพลตฟอร์ม X-Body จึงดูเหมือนจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับ Cadillac ถ้าหากพวกเขาไม่คิดที่จะสร้างแพลตฟอร์มใหม่ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ขนาดตัวถังของมันนั้นมีความเหมาะสม อีกทั้งตัวถังแบบ Semi-Monocoque นี้ ก็มีความมั่นคงแน่นหนามากกว่าตัวถังแบบ Body-on-Frame ของ Cadillac รุ่นอื่น ๆ แม้ว่าจะไม่สามารถสู้กับตัวถังแบบ Full-Monocoque ของรถยุโรปรุ่นต่าง ๆ ได้ก็ตาม

การพัฒนารถยนต์ Cadillac ขนาดเล็ก ถูกศึกษาเรื่อยมาในฐานะรถที่ยังไม่มีกำหนดเปิดตัวอย่างชัดเจน จนกระทั่งวิกฤติน้ำมันในเดือนตุลาคมปี 1973 แผนทุกอย่างจึงต้องมีความรวบรัดขึ้นจากคำเรียกร้องของทั้งกลุ่มลูกค้าและตัวแทนจำหน่าย และมีการตัดสินใจว่า รถ Cadillac รุ่นใหม่นี้ จะต้องถูกเปิดตัวในกลางปี 1975

งานดีไซน์ซึ่งถูกปรับปรุงและพัฒนาจนเป็น Full-Size Model ของรถขายจริง ได้รับการอนุมัติโดยบอร์ดผู้บริหารในเดือนมิถุนายน ปี 1974

ในช่วงเวลานี้เอง ชื่อของรถรุ่นใหม่นี้ ยังไม่ถูกตัดสินใจด้วยซ้ำ แม้ว่าจะมีการเสนอให้ใช้ชื่อของ LaSalle อีกครั้งหนึ่ง แต่ว่า ทางผู้บริหารของ General Motors ปัดตกชื่อนี้ไป ด้วยเหตุผลที่ว่า ในปี 1975 ผู้คนที่ยังจดจำชื่อของรถ LaSalle และจำได้ว่ามันเป็นความล้มเหลวในการปั้นแบรนด์ในอดีตนั้น ก็ยังคงมีอยู่

ในที่สุดชื่อที่ได้รับการเลือก เป็นชื่อที่เคยถูกใช้มาแล้ว และมาจากชื่อรุ่นย่อยตัวถัง Hardtop ของรถ Cadillac Eldorado ในปี 1956 ถึง 1960 นั่นคือ Seville (รถ Cadillac Eldorado เวอร์ชั่นเปิดประทุน ในช่วงเวลาเดียวกันจะใช้ชื่อว่า Biarritz)

รถเวอร์ชั่นทดลองผลิต Pre-Production คันแรกถูกสร้างขึ้นในปลายเดือนมีนาคม 1975 ก่อนที่รถสำหรับจำหน่ายจริงจะถูกผลิตขึ้นในเดือนถัดมา

1976-1979 Cadillac Seville (1st Generation) – รถ Cadillac ไซส์ “เล็ก”

Cadillac Seville ถูกเปิดตัวขึ้นในวันที่ 1 พฤษภาคม 1975 และแม้ว่ามันจะเป็นรถที่เล็กที่สุดในไลน์อัพของ Cadillac แต่ว่าราคาค่าตัวของมันนั้นกลับสูงที่สุดถ้าหากไม่นับรถตัวถัง Limousine ของค่าย โดยอยู่ที่ 12,479 ดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบกับค่าเงินเฟ้อในปี 2022 จะอยู่ที่ 68,729 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเทียบเท่าได้กับรถอย่าง Audi A7 55 TFSI Quattro ในสหรัฐอเมริกา ณ ปัจจุบัน

แล้วราคาที่สูงมาก แพงกว่ารถร่วมแพลตฟอร์มอย่าง Chevrolet Nova อยู่ถึงประมาณเกือบ 4 เท่าตัว ให้อะไรกับผู้ซื้อบ้างละ?

ราคาของ Cadillac Seville ปี 1976 เมื่อเปรียบเทียบกับรถรุ่นอื่น ๆ ของค่ายในตอนนั้น มีความแตกต่างเพราะราคาของมันเป็นราคาแบบ “ฟูลออปชั่น” ไม่ใช่ราคาที่ต่ำและลูกค้าต้องมาเลือกอุปกรณ์เสริมตามความต้องการ ระบบดังกล่าวนี้ถูกใช้ในรถยุโรปและภายหลังรถจากญี่ปุ่น ซึ่งช่วยให้ความหลากหลายในรูปแบบของรถลดน้อยลง แม้ว่านั่นทำให้ทางเลือกน้อยลงไปด้วย แต่ว่ามีผลดีคือการควบคุมคุณภาพในการผลิตสามารถทำได้ง่ายขึ้น

ออปชั่นมาตรฐานของรถ Cadillac Seville ที่น่าสนใจประกอบไปด้วย พวงมาลัยปรับสูงต่ำและเข้าออกแบบ Telescopic ระบบปรับอากาศ Climate Control อัตโนมัติ วิทยุ AM/FM พร้อมลำโพง 4 ดอก และเสาอากาศไฟฟ้าอัตโนมัติ กระจกไฟฟ้า เบาะปรับไฟฟ้า 6 ทิศทางสำหรับคนขับ และ 2 ทิศทางสำหรับผู้โดยสาร ระบบ Central Lock ไฟฟ้า ปัดน้ำฝนปรับความเร็วได้ เข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับเอง ฯลฯ

ทั้งหมดฟังดูเหมือนว่าจะไม่ใช่อุปกรณ์มาตรฐานที่เจ๋งอะไรมากในปี 2022 แต่สำหรับปี 1975 นั้น นี่นับได้ว่าเป็นรถที่มีอุปกรณ์มาตรฐานหรูหรามาก และออปชั่นเสริมของรถรุ่นนี้ ก็มีเพียงแค่เบาะหนัง ระบบควบคุมความเร็ว Cruise Control และระบบเซนเซอร์ไฟหน้าอัตโนมัติ Twilight Sentinel

Cadillac Seville ใช้เครื่องยนต์จาก Oldsmobile เป็นแบบเบนซิน V8 OHV 16 วาล์ว 5,737 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 103.05 x 85.96 มิลลิเมตร กำลังอัด 8.0 : 1 จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ของ Bendix กำลังสูงสุด 180 แรงม้า (Net HP) ที่ 4,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 373 นิวตันเมตร (38.00 กก.-ม.) ที่ 2,000 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหลัง ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ Turbo-Hydramatic TH400 3 จังหวะ

แม้ว่าจะมีรุ่นต้นแบบอื่น ๆ ออกมา แต่สำหรับรถจำหน่ายจริงนั้น ตัวถังมีเพียงแบบเดียว เป็นชนิด 4 ประตูซีดานธรรมดา แบบมีเสากลางและประตูมีกรอบ มิติตัวถังของรถ ความยาว 5,182 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,824 มิลลิเมตร ความสูง 1,389 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,903 มิลลิเมตร

ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบอิสระ ปีกนกคู่ คอยล์สปริงพร้อมเหล็กกันโคลง ช่วงล่างด้านหลังเป็นแบบคานแข็ง Hotchkiss Drive สปริงแหนบ พร้อมเหล็กกันโคลง และโช้คอัพปรับระดับสูงต่ำ Automatic Level Control เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

รายละเอียดทั้งหมดนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับ Mercedes-Benz W116 ที่เปิดตัวไปในปี 1972 ทำให้รถ Cadillac Seville ดูโบราณไปเลยในทันที เพราะ Mercedes-Benz ใช้เครื่องยนต์ V8 ที่ฝาสูบเป็นแบบ Overhead Camshaft มาตั้งแต่ยุค 1960 รวมไปถึงมีช่วงล่างหลังแบบอิสระ ซึ่งสำหรับรุ่น W116 เป็นแบบ Semi-Trailing Arms แทนที่ Swing Axle ของรถรุ่นก่อนหน้า

นอกจากนี้ วิธีการที่ Cadillac ใช้ในการเปลี่ยนพื้นฐานของรถ Chevrolet Nova ให้มีความนิ่มนวลเทียบชั้น Cadillac แบบดั้งเดิมได้ ก็อาจจะฟังดู ถ้าใจดีก็อาจจะบอกว่า “เรียบง่าย” หรือว่าถ้าใจร้าย ก็อาจจะบอกว่า “โง่” ไปเสียหน่อย นอกเหนือจากจะยืดระยะฐานล้อจนต้องเปลี่ยนชื่อแพลตฟอร์มเป็น K-Body อันเป็นรถรุ่นเดียวที่ใช้แล้ว ยังมีการติดเทปลดแรงสะเทือนระหว่างแผ่นแหนบของล้อหลัง เพิ่มจำนวนบูชยางที่ยึดเฟรมหน้ารถกับตัวถัง และเปลี่ยนแหวนรองน็อตให้เป็นกาว Epoxy Resin

ดังนั้น สื่อต่าง ๆ มักจะบอกว่า Cadillac Seville ไม่อาจที่จะเทียบชั้นในเรื่องการบังคับควบคุมกับรถอย่าง Mercedes-Benz W116 ได้ แต่นั่นมันไม่ใช่สิ่งที่ Cadillac ตั้งเป้าเอาไว้แต่แรกอยู่แล้ว เพราะเป้าหมายหลักของรถรุ่นนี้ก็คือความสะดวกสบายในการโดยสารและความนิ่มนวลในการขับขี่ตามแบบฉบับของ Cadillac ซึ่งจากการทดสอบของสื่อในสหรัฐฯตอนนั้น พบว่า Cadillac Seville มีระดับของ NVH (Noise, Vibration, Harshness) ที่ทำได้ดีกว่า Mercedes-Benz W116

อย่างที่มีคนเคยบอกไว้นั่นแหละครับ ถ้ามันโง่ แต่มันใช้ได้จริง มันไม่ถือว่าโง่ครับ

ในปี 1978 Cadillac ได้ติดตั้งเครื่องยนต์แบบใหม่ แบบดีเซล V8 OHV 16 วาล์ว 5,737 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 103.05 x 85.96 มิลลิเมตร กำลังอัด 22.5 : 1 จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดปั้มสาย กำลังสูงสุด 120 แรงม้า (Net HP) ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 298 นิวตันเมตร (30.40 กก.-ม.) ที่ 1,800 รอบ/นาที จาก Oldsmobile ให้กับ Cadillac Seville

เครื่องยนต์ดีเซลนี้ เป็นความพยายามที่จะขายเครื่องยนต์ประหยัดน้ำมันให้แก่คนอเมริกัน ผู้ซึ่งดูเหมือนจะติดใจเครื่องยนต์ดีเซลของ Mercedes-Benz แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเพราะปัญหาในการออกแบบหลายจุด เช่นการใช้บล็อกเดียวกับเครื่องยนต์ชนิดเบนซิน จึงทำให้มีน็อตฝาสูบ 10 ตัวต่อฝั่งไม่ต่างกัน ซึ่งไม่เพียงพอต่อกำลังอัดของเครื่องดีเซล นอกจากนี้ยังมีปัญหาในเรื่องของระบบจ่ายเชื้อเพลิง และความไม่คุ้นเคยกับระบบของรถของช่าง ณ ตอนนั้น ผู้ซึ่งเชี่ยวชาญแต่การซ่อมเครื่องยนต์เบนซิน V8 OHV แบบปกติ

นอกจากนี้ ในปี 1978 ยังมีตัวเลือกพิเศษใหม่ Cadillac Tripmaster ซึ่งเป็นระบบ Trip Computer ซึ่งในตอนนั้นมีราคาสูงถึง 920 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสามารถแสดงผลระยะทางที่น้ำมันในถังสามารถวิ่งได้ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง และระยะเวลาที่เหลืออยู่ในการเดินทาง ซึ่งผู้ขับขี่จะต้องตั้งค่าระยะทางเอง ซึ่งออปชั่นนี้ก็ไม่ได้รับความนิยมเสียเท่าไหร่

ถึงอย่างนั้น กลุ่มลูกค้าที่เรียกร้องให้ Cadillac ทำรถที่เล็กลงออกมา ก็พึงพอใจกับความสามารถในการเป็นรถ Cadillac ที่เดินทางไกลได้อย่างสะดวกสบายท่ามกลางความหรูหรา และไม่ได้สนใจในด้านการขับขี่ รวมไปถึงราคาน้ำมันที่เริ่มลดต่ำลงมาบ้างแล้ว ทำให้ยอดขายของ Cadillac Seville นั้น ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม โดยตัวเลขยอดขายของรถรุ่นนี้มีดังนี้

1975 – 16,355 คัน
1976 – 43,722 คัน
1977 – 45,060 คัน
1978 – 56,985 คัน
1979 – 53,487 คัน

ยอดขายที่ประสบความสำเร็จนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะงานดีไซน์ และงานวิศวกรรมของตัวรถเอง และราคาของ Mercedes-Benz W116 450SE ที่พุ่งสูงขึ้นไปจนแพงกว่า Cadillac Seville มากพอที่จะทำให้สามารถซื้อรถราคาถูกอย่าง Honda Civic อีกคันหนึ่งมาด้วยได้เลยทีเดียว

ในความสำเร็จ นั้นมีความล้มเหลวซ่อนอยู่?

Cadillac Seville ประสบความสำเร็จเสียจนต้นทุนการพัฒนาที่ต่ำนั้น คืนทุนและกลายมาเป็นกำไรได้อย่างรวดเร็ว แต่ว่า แทนที่ความตั้งใจของ Cadillac ที่จะดึงฐานลูกค้าที่เป็นเศรษฐีหน้าใหม่ กลับกลายเป็นว่าลูกค้าที่หันมาซื้อ Cadillac Seville นี้ ก็คือกลุ่มผู้หญิงชราที่ไม่อยากขับรถคันใหญ่ ๆ นั่นแหละครับ เรียกได้ว่า ยิงปืนนัดเดียว ก็ได้นกแค่ตัวเดียว

แต่ในเมื่อรถ Seville ที่ตัวถังเล็ก มันขายดิบขายดีมาก Cadillac ก็เลยตัดสินใจลดขนาดของรถคันใหญ่ของตัวเองลงนับแต่นั้นมา ซึ่งนั่นทำให้ยอดขายของแบรนด์ในช่วงปี 1976 ถึง 1978 ที่ราคาน้ำมันลดกลับลงมาในระดับปกติ ก็พุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง และสูงจนเกินยอดขายในช่วงก่อนปี 1972 ไปเสียอีก แต่คุณค่าของแบรนด์ที่เคยมีในอดีตนั้น สูญสิ้นไปหมดแล้ว โดยที่ส่วนหนึ่งนั้นเป็นผลมาจาก Cadillac Seville ที่ไม่อาจจะต่อสู้กับรถเยอรมันจริง ๆ ได้

นั่นทำให้ Cadillac Seville หลายคนถึงกับเรียกว่ามันเป็นความล้มเหลวในการพัฒนาแบรนด์ของ Cadillac ที่แทนที่จะทำให้แบรนด์สามารถกลับมามีที่ยืนในตลาดได้ แต่กลับกลายเป็นว่าแบรนด์ถูกลดบทบาทลงไปเป็นเพียงแค่แบรนด์ของคนชรา และนั่นทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ตกต่ำลง

(ภาพ Cadillac Seville 2nd Generation)

Cadillac Seville เจเนอเรชั่นแรก ถูกเปลี่ยนมาเป็นเจเนอเรชั่นที่ 2 ในปี 1980 ซึ่งก็เป็นรถที่มีความน่าสนใจอยู่อย่างมากเพราะงานดีไซน์สไตล์ย้อนยุค Neo Classical เราจะเก็บเรื่องราวของรถรุ่นนี้เอาไว้บอกเล่ากันต่อในภายหลัง

ยอดขายของ Cadillac Seville นั้นลดต่ำลงมาเรื่อย ๆ เพราะว่าเจเนอเรชั่นที่ 2 นั้น หน้าตาประหลาดเกินไป และเจเนอเรชั่นที่ 3 ก็ดูไม่มีความหรูหรามากพอที่จะไปเทียบชั้นกับรถหรูจริง ๆ ได้อีกแล้ว

(ภาพ Cadillac Seville 3rd – 4th Generation)

ต้องรอจนถึงเจเนอเรชั่นที่ 4 ในปี 1992 จึงทำยอดขายกระเตื้องกลับขึ้นมาเสียที แต่เมื่อถึงจุดนั้นแล้ว แทนที่ Cadillac Seville จะเป็นคู่แข่งกับ Mercedes-Benz S-Class มันกลับกลายเป็นต้องไปต่อกรกับฐานลูกค้าเดิมที่อายุมากขึ้นทุกวัน ๆ

อย่างน้อย ๆ เรื่องราวของ Cadillac Seville เจเนอเรชั่นที่ 1 ที่เราเอามาบอกเล่ากันในวันนี้ ก็ยังดีกว่าเรื่องราวของความพยายามทำ Cadillac ที่คันเล็กลงไปกว่านั้นเพื่อต่อกรกับ BMW 3-Series E30 ด้วยการนำ Chevrolet Citation มาดัดแปลง จนกลายมาเป็น Cadillac Cimarron ในปี 1981 และประสบความล้มเหลวทั้งในด้านคำวิพากษ์วิจารณ์ และด้านยอดขาย ซึ่งเราจะนำมาเล่าให้อ่านกันในโอกาสต่อไป

ในปี 2004 Cadillac แทนที๋ Cadillac Seville ด้วย Cadillac STS หรือ Seville Touring Sedan ในช่วงที่ Cadillac กำลังปลุกปั้นแบรนด์ให้กลับมาน่าสนใจในสายตาของคนอายุน้อยลง โดยเริ่มต้นจากรถอย่าง Cadillac CTS และในตอนหลัง STS ก็ถูกยุบไลน์รวมกับ DTS กลายมาเป็น Cadillac XTS ก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วย Cadillac CT6 ซึ่งเป็นรถเก๋งที่ขนาดใหญ่สุดของแบรนด์ในปัจจุบัน ซึ่งถูกเลิกจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 2020 ด้วยกระแสของรถ SUV ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในปัจจุบัน

ส่วน Mercedes-Benz S-Class เหรอครับ? มันก็กลายมาเป็นผู้นำตลาดรถยนต์หรูของสหรัฐอเมริกา และประเทศอื่นทั่วโลก และได้กลายมาเป็นรถที่ขึ้นชื่อในด้านการเป็นผู้นำเทคโนโลยีแทน Cadillac ทั้งแบรนด์ ในขณะที่ Rolls-Royce ภายใต้การกำกับดูแลของ BMW ก็ขยับตัวเองขึ้นไปเป็นรถยนต์หรูระดับสูงสุดแทน

โชคยังดี ที่ Cadillac เปิดตัวรถ SUV หรูรุ่น Escalade มาในปี 1998 เพื่อต่อกรกับ Lincoln Navigator และตรงกับกระแสของรถ SUV ที่กำลังบูมในช่วงนั้น และเติบโตขึ้นมาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน นั่นทำให้ Cadillac เป็นที่สนใจในบรรดาดารา คนดัง และเศรษฐีในประเทศต่าง ๆ อีกครั้งหนึ่ง แต่ถามว่าจะให้กลับไปเป็นคู่แข่งของ Rolls-Royce เหรอครับ? ยังไม่ถึงเวลาหรอกครับ แต่ใครจะไปรู้ครับ ในยุคของรถยนต์ไฟฟ้า EV บางทีตลาดอาจจะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งก็ได้


BOBCAT
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย เป็นของ General Motors Company

ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
18 กันยายน 2022

Copyright (c) 2022 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.
First published in www.headlightmag.com
September 18th, 2022