“รถสปอร์ต ราคาประหยัด ที่ทุกคนสัมผัสได้”
คุณได้ยินประโยคข้างบนนี้ครั้งสุดท้าย เมื่อไหร่กันครับ? น่าจะหลายปีมาแล้ว
ยิ่งถ้าเป็นคนรุ่นใหม่ ที่เกิดหลังปี 2000 ขึ้นมา และเป็นคนไทย ด้วยแล้ว แทบจะเอาเท้าก่ายหน้าผาก เกาหัวแกรกๆ กันเลยละว่า โลกนี้ มันเคยมีรถยนต์อย่างที่ว่านี่ด้วยเหรอ? คนรุ่นหลังมานี้ แทบไม่ค่อยได้เห็น “รถสปอร์ต 2 ประตู ราคาประหยัด” กันแล้ว คนส่วนใหญ่ เกิดมาในครอบครัวที่มีรถยนต์อเนกประสงค์อย่าง Minivan MPV รถกระบะ หรือ SUV อยู่ในบ้าน พอโตขึ้นไป Minivan ก็ค่อยๆหายไปจากความทรงจำ ภาพที่เห็นจนชินตาในชีวิตประจำวัน ก็คือ ท้องถนน เต็มไปด้วย SUV SUV และ SUV หรือไม่ก็ กระบะ กระบะ กระบะ!
น่าเบื่อมากกกกกกกกกก เข้าใจได้ว่า SUV และ Pickup Truck มันเป็นรถยนต์ ที่ตอบโจทย์ ความต้องการของคนส่วนใหญ่ ซึ่งอยากได้รถยนต์ขนาดพอดีๆ สักคัน ไว้ใช้งานในทุกรูปแบบการใช้ชีวิต ตลอดช่วงตั้งแต่ปี 2000 มาจนถึง ปัจจุบันนี้ และในความเป็นจริง ใครที่คิดจะซื้อรถยนต์ในยุคปัจจุบันนี้ คงมองหาความคุ้มค่า ใช้งานได้อเนกประสงค์ ซื้อครั้งเดียว ขับไปทำงาน ขับไปเที่ยว ต้องเอาให้คุ้ม
ทว่า เมื่อย้อนกลับไปดูช่วงทศวรรษ ที่ 1990 ยุคที่เศรษฐกิจโลก ยังมองเห็นแนวโน้มการเติบโตได้อีกมาก รูปแบบทางเลือกรถยนต์ในตลาด มีมากมายหลายหลากยิ่งกว่าทุกวันนี้ ผู้ผลิตแทบทุกราย ต่างพากัน ค้นหารูปแบบรถยนต์ที่โดนใจกลุ่มผู้บริโภคเป็นหลัก แนวโน้มนี้ เกิดขึ้นเด่นชัดมาก ในญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา

ปี 1990 สภาพเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ยังคงเติบโตต่อเนื่องอย่างแข็งแกร่ง กำลังซื้อของชาวอเมริกัน ที่เปี่ยมล้นอยู่แล้ว ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ บรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น ต่างก้าวเข้าไป เป็นผู้นำอันทรงอิทธิพลอย่างยิ่งในกลุ่มธุรกิจต่างๆ ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์สื่อสาร ระบบเทคโนโลยี สื่อบันเทิง และ…แน่นอนครับ รถยนต์ สินค้าส่งออกหลักของดินแดนอาทิตย์อุทัย มาช้านาน หลายสมัย ผู้บริโภคชาวอเมริกัน เริ่มเปิดใจให้กับรถยนต์ญี่ปุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุผลด้าน รูปลักษณ์ คุณภาพ ความประหยัดน้ำมัน และความทนทาน
ช่วงเวลานั้น Toyota กำลังประสบความสำเร็จอย่างสูงจาก การเปิดตัวรถยนต์ระดับหรู แบรนด์ใหม่ อย่าง LEXUS (ซึ่งว่ากันว่า ย่อมาจาก วลี “Luxury Car EXport to the US”) ที่นอกจากจะโดนใจเศรษฐีชาวอเมริกัน ทั้งในด้านรูปทรง การประกอบ สมรรถนะการขับขี่ การไม่ประณีประนอมด้านคุณภาพการประกอบ และมาตรฐานความปลอดภัยต่างๆแล้ว บรรดารถยนต์รุ่นหลักๆ ในตลาด อเมริกาเหนือ ทั้ง Corolla Camry 4Runner และรถกระบะ ขนาดกลางตระกูล Hilux (ใช้ชื่อ Toyota Trucks ก่อนจะมาเป็น Tacoma ในภายหลังจากนั้น) ก็ได้รับอานิสงค์ผลบุญจากความสำเร็จดังกล่าวไปมากพอสมควร
อย่างไรก็ดี Toyota ยังมองเห็นว่า ตลาดกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น หรือกลุ่มที่มีงบไม่มากนัก แต่อย่างได้รถยนต์ไว้ใช้งานสักคัน หรือ เป็นรถยนต์ส่วนตัวสำหรับคนโสดวัยหนุ่มสาว ทั้งกลุ่มที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย หรือกลุ่มที่เพิ่งเรียนจบออกมา มีงานทำครั้งแรกในชีวิต ซึ่งปกติแล้ว เป็นหน้าที่ของ Toyota TERCEL รถยนต์ Sedan และ Hatchback ท้ายตัด ขับเคลื่อนล้อหน้ารุ่นแรกของ Toyota มาตั้งแต่ปี 1978 และทำตลาดต่อเนื่องในสหรัฐอเมริกา ยาวนานมาจนถึง ปี 2000 นั้น ยังมีช่องว่างอยู่อีกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สาวโสด วัยเพิ่งเริ่มทำงาน น่าจะอยากได้รถยนต์ที่ทำให้ภาพลักษณ์ตัวเองดูแตกต่างขึ้นมา จากรถยนต์ Sedan ทั่วๆไป แต่ยังต้องเน้นความคล่องตัว สะดวกต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน และยังต้องประหยัดน้ำมัน อัตราเร่งพอตัว ราคาไม่แพง จนเกิดแนวคิดที่เรียกว่า “Secretary Car” หรือ “รถยนต์ของ เลขานุการ”
ขณะเดียวกัน เมื่อมองกลับมาทางฝั่งญี่ปุ่น ขณะที่เศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ยุค Bubble Economy หรือ เศรษฐกิจฟองสบู่ กำลังใกล้จะแตก ตลาดรถยนต์ในแดนอาทิตย์อุทัย ในช่วงปี 1986 – 1990 กำลังเบ่งบานเต็มที่ ช่วงเวลานั้น รถยนต์Coupe 2 ประตู อย่าง Toyota Celica , Nissan Silvia , Honda Prelude ยังคงได้รับความนิยมอย่างดี
แต่ในทางกลับกัน ยอดขายรถยนต์แบบท้ายตัด B-Segment และ C-Segment Compact Hatchback หรือ 2 BOX อย่าง Toyota TERCEL / CORSA / COROLLA-II ไปจนถึง Toyota Corolla FX ซึ่งเติบโตเต็มที่ เริ่มมีแนวโน้มลดลง คนรุ่นหนุ่มสาวที่ยังโสดในตอนนั้น แต่มีงบไม่มากพอที่จะอุดหนุน Celica , Silvia และ Prelude เริ่มมองหารถยนต์ Coupe ราคาย่อมเยาลงมา
ด้วยเหตุนี้ ในระหว่างการพัฒนา รุ่นเปลี่ยนโฉม Generation ที่ 3 ของ รถยนต์นั่งระดับ Sub-Compact B-Segment รุ่นขายดีทั้งในญี่ปุ่น และอเมริกาเหนือ อย่าง 3 พี่น้องฝาแฝด TERCEL / CORSA / COROLLA-II ซึ่งมีกำหนดเปิดตัว เมื่อวันที่ 19 กันยายน 1990 Toyota จึงตัดสินใจ เพิ่มทางเลือกตัวถังใหม่ ให้กับ รถยนต์ตระกูลนี้ ในรูปแบบของ รถยนต์ Coupe 2 ประตู 4 ที่นั่ง
นี่คือจุดกำเนิดของ CYNOS / PASEO




เมื่อนึกถึงรถยนต์แบบ Sport แล้ว คนส่วนใหญ่ยุคนั้น ก็คงนึกภาพไปไกลว่า ต้องมี Turbo บ้าง มีบุคลิกแบบรถยนต์ GT (Grand Touring) บ้าง แต่ถึงอย่างนั้น “ลองมาทำรถยนต์ Coupe ที่แลดูเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความ Sport เป็นรถที่คนใจ Sport ก็ขับได้กันดูไหมล่ะ?”
นี่คือข้อสรุปร่วมกันของ Mr.Ishitera Takashi , Chief Engineer และ Mr.Otsuki Tadao , Chief Design ของโครงการพัฒนา CYNOS / PASEO
โครงการนี้ เริ่มต้นขึ้น หลังจากที่ โครงการพัฒนา รุ่นเปลี่ยนโฉม Generation ที่ 3 ของ TERCEL / CORSA / COROLLA-II เดินหน้าไปแล้ว 6 เดือน ในช่วงประมาณ ปี 1988 โดย Mr.Shinda Youmei, Exterior Designer ของโครงการนี้ วางแนวคิดการออกแบบ (Design Theme) ว่า “Coupe เหินทะยานใจกลางเมือง” Smart Coupe ที่ไม่มีเสียงโหวกเหวกในเมือง แหวกผ่านตัดอากาศได้อย่างไหลลื่น โดยตลาดหลักคือ อเมริกาเหนือ และญี่ปุ่น แน่นอนว่า รูปทรงของรถยนต์รุ่นใหม่นี้ ต้องมีความสดใหม่ ชัดเจน เรียบง่าย และต้องเป็นรถยนต์ที่บรรดาเลขานุการนั้น เอื้อมถึงได้ง่าย
การพัฒนางานออกแบบรูปลักษณ์ภายนอก ในช่วงแรกนั้น ประกอบไปด้วย ทีมออกแบบ 2 กลุ่ม ทั้งจากฝ่าย Advance Development ซึ่งเป็นฝ่ายที่เน้นการออกแบบเพื่อมองหาแนวทางความต้องการของผู้คนในอนาคต เรียกง่ายๆว่า กลุ่มเน้นหาไอเดียกับจินตนาการ และฝ่าย Mass Production Line Group ซึ่งเน้นงานออกแบบสำหรับการผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายจริงเป็นหลัก หรือเรียกง่ายๆว่า กลุ่มที่อยู่กับโลกของความเป็นจริง มากกว่ากลุ่มแรก
รถยนต์ต้นแบบที่ถูกนำมาพิจารณานั้น มีทั้งแบบ A จากทีมออกแบบของฝ่าย Advance Development ส่วนแบบ B กับ C นั้น เป็นผลงานของทีมออกแบบจากฝ่าย Mass Production Line Group โดยในขั้นตอนการขึ้นรูปหุ่นจำลอง Scale 1:5 นั้น นักออกแบบแต่ละคน จะสร้างแบบจำลอง 3 มิติ ตามแผนที่ได้เสนอมา ซึ่งส่วนใหญ่แต่ละทีมจะนำเสนอประมาณ 8 แบบ จากนั้น จึงคัดเลือกให้เหลือ 2 แบบ จากนั้นจึงนำแบบที่ถูกคัดเลือก ไปขึ้นโครงหุ่นดินเหนียวเท่าคันจริง Scale 1:1 ในระหว่างนั้น นานๆทีจะมีกรณีที่มีการนำแบบจำลองของจากทั้งแผนก Advance Development และ Mass Production Line Group โดยเลือกมาเพียงหนึ่งแบบ จากของแต่ละกลุ่ม เพื่อนำมาเป็น ทางเลือกแผน A
หลังจากขั้นตอนนี้ งานออกแบบจะถูกรวบมาเป็นหน้าที่ของ Mass Production Line Group ทั้งหมด และเนื่องจากเป็น Group Work ดังนั้น ผู้รับผิดชอบในแต่ละหัวข้อ จะทำการรวบรวมไอเดียเพื่อพิจารณาว่า งานออกแบบชิ้นไหน จะให้ผลดีมากที่สุด
อันที่จริง โครงการ CYNOS / PASEO นี้ ส่อแววทำท่าไม่ดีตั้งแต่แรกๆ เพราะเกิดความคลาดเคลื่อนจากสิ่งที่ตั้งใจไว้ในหลายประการ แต่ทีมงาน ก็ได้ปรับเปลี่ยนงานออกแบบ เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดวาง Packaging ของตัวรถให้ได้ จนทีมออกแบบเองก็รู้สึก ผิดคาด ที่ทุกอย่าง ลงเอยได้ด้วยดี และบรรดาผู้บริหารเบื้องบน ก็ไม่ได้คัดค้านแต่ประการใด


งานออกแบบรถยนต์ Toyota ในยุคปี 1990 นั้น ส่วนใหญ่จะมีเส้นสายแบบ Organic Design ตัวรถจะดูมีความโค้งมน ดูมีมัดกล้ามเยอะ เช่น Toyota COROLLA AE-100 Series ในปี 1991 – 1995 หรือ Toyota CAMRY Generation 4 ปี 1990 – 1994 ไปจนถึง Toyota SOARER รุ่นที่ 3 ปี 1991 – 2002 และ Toyota CROWN รุ่นปี 1991 – 1995 เป็นต้น
ทว่า Mr.Shinda Youmei , Exterior Designer เลือกที่จะสร้างความแตกต่างให้กับ CYNOS / PASEO จึงลากเส้นสายลาดเอียงค่อนข้างมาก ไล่กันตั้งแต่ฝากระโปรงหน้า จนไปบรรจบกับเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ที่ลาดเอียง
อย่างมากเช่นเดียวกัน จนเมื่อมาบรรจบร่วมกัน ก็กลายเป็น Quarter pillar รูปทรงสามเหลี่ยมอ้วนหนาในที่สุด
ขณะเดียวกัน ส่วนของบั้นท้ายรถ ก็ทำเป็นรูปแบบตัดลงทื่อๆไปเลย ซึ่งนี่แหละคือจุดเด่นเฉพาะ ในด้านรูปลักษณ์ภายนอก ที่เน้นแสดงออกถึงความเรียบง่ายของเส้นสาย อย่างไรก็ตาม แบบสุดท้ายที่ออกมานั้น ก็ไม่ลงตัวกับ Style Theme ในแง่ของการเป็นรถที่เข้ากับกระแสกับยุคสมัย อย่างที่ทีมออกแบบตั้งใจไว้ในตอนแรกเท่าใดนัก นับว่าน่าเสียดายที่ตัวรถยังขาดความเฉียบคม (Sharp) ไปบ้างเล็กน้อย

ตามธรรมเนียมในขณะนั้น สำหรับผู้ผลิตรถยนต์ฝั่งญี่ปุ่นทุกราย หากรถยนต์รุ่นใด พัฒนาขึ้นมาเพื่อตลาดกลุ่มใด ต้องนำไปเปิดผ้าคลุม ในประเทศหลักๆ ของตลาดกลุ่มนั้นก่อน เป็นแห่งแรกในโลก ดังนั้น เมื่อทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ Toyota ก็นำรถยนต์ Coupe ขนาดเล็กคันนี้ ไปเผยโฉมครั้งแรกในโลก ที่ สหรัฐอเมริกา โดยจัดงานแถลงข่าว สู่สื่อมวลชนชาวอเมริกัน เมื่อวันที่ 7 มกราคม 1991 ก่อนส่งเข้าไปอวดโฉมใน งานแสดงรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา อย่าง Detroit Auto Show วันที่ 9 มกราคม 1991 ในชื่อว่า Toyota PASEO
ถึงกระนั้นก็เถอะ ตามธรรมเนียมของผู้ผลิตรถยนต์ชาวญี่ปุ่นอีกเช่นกัน ถ้ารถคันนั้น ถูกพัฒนาขึ้นมาแล้ว ต้องทำตลาดในบ้านตัวเองด้วย ต่อให้จะส่งรถยนต์รุ่นนั้น ไปเปิดผ้าคลุมที่ประเทศไหนก็ตาม ในที่สุด ลูกค้าชาวญี่ปุ่น จะต้องได้รับโอกาสในการจับจองเป็นเจ้าของก่อนผู้บริโภคชาติใดในโลก อยู่ดี Toyota ในตอนนั้น ก็ยังคงยึดถือธรรมเนียมดังกล่าวอย่างเหนียวแน่น เพราะหลังจากเผยโฉมในงาน Detroit Auto Show ได้เพียง 2 สัปดาห์ Paseo เวอร์ชันญี่ปุ่น ก็ถูกเปิดตัว และส่งขึ้นโชว์รูมในญี่ปุ่น ทันที โดยเปลี่ยนชื่อให้แตกต่างกัน มาเป็น Toyota CYNOS

1st Generation
EL-40 Series (EL-44 for 1,500 cc.)
Japanesse Market Launched : January 21st, 1991
Japanesse Market End of Sales : September 5th, 1995
งานเปิดตัว Cynos สู่สายตาสาธารณชนชาวญี่ปุ่น ครั้งแรก อย่างเป็นทางการ จัดขึ้น เมื่อวันที่ 21 มกราคม 1991 ณ Showroom ขนาดใหญ่ของ Toyota ที่เน้นการจัดแสดงรถยนต์ แต่ไม่จำหน่ายรถยนต์เอง ในชื่อ Toyota Auto Salon “amlux” ตั้งอยู่ บริเวณ 6 ชั้นล่าง ของ อาคาร Sunshine ในย่าน Ikebukuro (เปิดดำเนินการ 25 กันยายน 1990 – 23 ธันวาคม 2013 รวม 23 ปี)
ชื่อรุ่น Cynos นั้น มาจากคำในภาษาอังกฤษ “cynosure” ซึ่งแปลว่า “เป้าหมาย” หรือ “highlight” นอกจากนี้ ยังแปลได้ว่า “ดาวเหนือ” (North Star) อีกด้วย
ส่วนภาพยนตร์โฆษณาในญี่ปุ่นนั้น ทีม Creative เลือกใช้วลี Catch Phase ที่เน้นเอาใจวัยรุ่น และบ่งบอกบุคลิกของทั้งตัวรถ และลูกค้ากลุ่มเผ้าหมายวัยหนุ่มสาว ที่ว่า 友達以上恋人未満。(Tomodashi jo Koibito man) แปลว่า “มากกว่าเพื่อน น้อยกว่าคู่รัก” โดยใช้เพลงประกอบโฆษณา จากกลุ่มศิลปินชื่อ “Freedom of the heart” น่าเสียดายที่ Product Video พร้อม Music Video สวยๆ ซึ่งเคยมีผู้นำมา Post ลงบน Youtube นั้น ถูกลบออกไปแล้ว







ตัวถังมีความยาว 4,145 มิลลิเมตร กว้าง 1,645 มิลลิเมตร สูง 1,295 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,380 มิลลิเมตร (เท่า Soluna รุ่นแรก) ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า 1,405 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หลัง 1,395 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวรถ เบาสุด 870 กิโลกรัม (รุ่น α เกียร์ธรรมดา) และหนักที่สุด 930 กิโลกรัม (รุ่น B เกียร์ อัตโนมัติ) ความจุถังน้ำมัน 45 ลิตร
งานออกแบบ มาในสไตล์ร่วมยุคสมัย เน้นความปราดเปรียว เอาใจตลาดอเมริกาเหนือเป็นหลัก ลู่ลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ Cd.0.32 จุดเด่นของงานออกแบบบนตัวถัง Cynos รุ่นแรก อยู่ที่ โคมไฟหน้า Halogen ขนาดใหญ่ กระจกหน้าต่าง Opera คู่หลัง พร้อมกับเสาหลังคาคู่หลัง C-Pillar ที่ค่อนข้างดูหนา นอกจากจะประหยัดต้นทุนแล้ว ยังช่วยให้ตัวรถดูได้สัดส่วนที่เหมาะสมอีกด้วย
สีตัวถัง มีให้เลือกถึง 6 สี ได้แก่ สีแดง Super Red-II , สีดำ Black Metallic , สีม่วงเข้ม Purple Mica Metallic , สีขาว Super White-III Metallic , สีเหลืองอ่อน Greenish Yellow Metallic และสีฟ้าเขียว Turquoise Mica Metallic อันเป็นสีโปรโมท (Communication Color) ของรถรุ่นแรกนี้เฉพาะในตลาดญี่ปุ่น เป็นสีโทนน้ำเงินที่สวยงาม และสีจะเปลี่ยนแปลงไปอีกเล็กน้อยตามสภาพของแสงภายนอก ที่มากระทบกับเนื้อสี ส่วนสีอื่นอีก 5 สีนั้นก็เป็นสีที่ให้ความรู้สึกโปร่งใสเช่นกัน
Ms.Yamamoto Tokiko , Color Designer ซึ่งเข้าทำงานกับ Toyota ในปี 1985 และรับผิดชอบดูแล สีตัวถังภายนอก ของ รถยนต์รุ่น Tercel / Corsa / Corolla-II รวมทั้ง Cynos / Paseo รุ่นนี้ กล่าวว่า ปกติ ผู้ใช้รถยนต์ขนาดเล็ก ก็มักจะมองรถยนต์ระดับสูงกว่า นั่นเป็นเรื่องปกติที่ช่วยไม่ได้อยู่แล้ว แต่อยากให้ลูกค้า Cynos มองว่า เหตุผลที่เลือกซื้อรถรุ่นนี้เป็นเพราะสีตัวถังที่เข้ากับบุคลิกของตนเอง ซึ่งบ่งบอกเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดังนั้น สำหรับตลาดญี่ปุ่นแล้ว สีที่ไม่แสดงออกถึงความเป็นเอกลักษณ์อย่างสีขาวนั้นไม่ได้นำมาอยู่ใน ทางเลือกเลย (แต่ในเวอร์ชันส่งออก สู่อเมริกาเหนือ ยังมีสีขาวให้เลือกอยู่)


ภายในห้องโดยสารนั้น Ms.Yamamoto Tokiko เล่าว่า แผนก Color Design เลือกกำหนดให้มีสีดำ เพียงสีเดียว เพราะอยากให้ภายในดู Sport แต่เรียบง่าย ถ้าจะให้ภายในมีโทนสีอื่นๆ ก็ต้องเลือกโทนสี ให้เข้ากับสีตัวถังภายนอก ซึ่งอาจก่อให้เกิดความสับสน ว่า ตกลงแล้ว ทีมออกแบบ ตั้งใจมุ่งเน้นให้ผู้บริโภค มองที่ภายนอก หรือภายในรถ กันแน่ ทีม Color Design จึงเลือกให้ความสำคัญกับโทนสีตัวถังภายนอกให้สะดุดตาไว้ก่อน
Mr.Kusama Toshiharu, Interior Designer เข้าทำงานกับ Toyota ปี 1980 เคยผ่านงานรับผิดชอบในโครงการพัฒนา Corolla AE-80 Series ปี 1983 , Starlet EP-71 ปี 1984 , Tercel ปี 1985 , Tercel ปี 1990 และ Cynos เล่าถึงแนวทางในการออกแบบภายในห้องโดยสาร ไว้ว่า “การทำรถที่จะไม่ทำให้คนใช้งานลำบาก”
ขั้นตอนการออกแบบรถยนต์ตามปกติแล้ว ต้องทำแผน Package Dimension ให้กับตัวรถก่อน จากนั้นจึงเริ่มไปออกแบบก่อน แล้วจึงเริ่มต้นงานออกแบบภายนอก (Exterior Model) แต่กับโครงการนี้ ความแตกต่างก็คือ การต้องนำเอา งานออกแบบภายในของ Tercel / Corsa / Corolla II ที่กำลังทำคู่ขนานไปด้วยกัน และใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว มาปรับประยุกต์ กับ Cynos / Paseo ด้วย เพราะจะต้องมานั่งปรับตำแหน่งเบาะนั่ง ให้ต่ำลงอีกแค่ไหน เลื่อนพวงมาลัยลงต่ำไปอีกกี่มิลลิเมตร แถมยังต้องมานั่งลุ้นด้วยว่า การเอาแผงหน้าปัดของ Tercel / Corsa / Corolla II มาวางลงไปเลยนั้น มันจะลงตัวเหมาะเจาะพอดีหรือไม่ เพราะ งานออกแบบภายนอกและภายในรถ ต้องสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน และไม่ก่อให้เกิดความรำคาญในการใช้งานจริง ของลูกค้า ทำให้ทีม Interior Design ถึงกับต้องเร่งงาน ไล่ตามทีมออกแบบภายนอกกันสุดชีวิตเลยทีเดียว!
แผงหน้าปัด Dashboard มาจาก Tercel / Corsa / Corolla-II Generation ที่ 3 มาทั้งยวง โดยไม่ต้องออกแบบขึ้นใหม่ นั้น อันที่จริงแล้ว ในตอนแรก ทีมออกแบบมีแนวคิดที่จะพัฒนา แผงหน้าปัดขึ้นมาใหม่ สำหรับ Cynos โดยเฉพาะ ถึงขั้นทดลองขึ้นแบบจำลองกันไปแล้ว แต่ยิ่งดูของจริง ยิ่งดูไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่ จึงได้เลิกทำไป แล้วหันไป ออกแบบให้กับเวอร์ชันอเมริกาเหนือแทน
การออกแบบเบาะนั่ง แม้จะเน้นให้มีลักษณะเป็นเบาะแบบ Sporty แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะต้องเป็นเบาะแบบรถ Sport เต็มขั้น เพียงแต่ตั้งใจให้ดูออกไปในแนว Fashionable Sporty มากกว่า โดยตัวพนักพิงหลัง และปีกข้างของเบาะ ถูกปรับปรุง ให้นูนขึ้น ดูมีมิติแยกออกจากกัน เพิ่มความสวยงามและดูสดใหม่ได้อย่างดี การออกแบบให้แต่ละชิ้นดูแยกออกจากกันนี่เอง ทำให้ทีมออกแบบ สามารถปรับความแข็งหรืออ่อน ของโฟมยูรีเทน ในแต่ละจุดของตัวเบาะได้หลากหลายขึ้น ซึ่งช่วยให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร นั่งได้สบายขึ้น
เบาะนั่งคู่หน้า ทรงกึ่ง Bucket Seat เชื่อมโครงพนักศีรษะเข้่าเป็นชิ้นเดียวกับพนักพิงหลัง ส่วนเบาะนั่งด้านหลัง เป็นแบบ Dog Seat นั่งได้แค่ 2 ที่นั่ง ในลักษณะของรถยนต์ Coupe 2+2 ที่นั่ง พนักพิงหลังเป็นแบบแบน แต่ออกแบบให้เบาะรองนั่ง เป็นแอ่งหลุม สำหรับผู้โดยสารวัยเด็ก 2 คน เพราะด้วยลักษณะของแนวหลังคากับกระจกบังลมหลัง มีพื้นที่ไม่มากพอจะรองรับผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่ไซส์ปกติได้ ยังไงๆ ศีรษะก็ติดเพดานหลังคาแน่นอน
ชุดเครื่องเสียง เป็นวิทยุ AM/FM แบบ Digital พร้อมเครื่องเล่น Cassette Tape แต่ลูกค้า สามารถเลือก Upgrade สั่งติดตั้งชุดเครื่องเสียง 7 ลำโพง Cynos Super Live Sound System พร้อม Acoustic Resonance woofer ได้

Cynos เวอร์ชันญี่ปุ่น มีขุมพลัง พิกัดเดียวคือ 1.5 ลิตร หรือ 1,500 ซีซี แต่มี 2 ระดับความแรง ดังนี้
– เครื่องยนต์ รหัส 5E-FE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,496 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 74.0 x 87.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.4 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด อีเล็กโทรนิคส์ EFI-D (Electronics Fuel Injection – D) 105 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 12.9 กก.-ม.ที่ 3,200 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรือ เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ แบบ 2-Way วางอยู่ในรุ่น α (Alfa)

– เครื่องยนต์ รหัส 5E-FHE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,496 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 74.0 x 87.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.4 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด อีเล็กโทรนิคส์ EFI- S (Electronics Fuel Injection – S) เหมือนกับ 5E-FE แต่เพิ่มระบบแปรผันท่อร่วมไอดี Variavle Induction ระบบป้องกันการน็อค Knock Contr0l และท่อร่วมไอเสียคู่ Dual Exuast Manifold กำลังสูงสุด เพิ่มขึ้นเป็น 115 แรงม้า (PS) ที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 13.8 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรือ เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ แบบ ECT-S วางอยู่ในรุ่น β (Beta)

พวงมาลัยเป็นแบบ Rack and Pinion พร้อม Power ผ่อนแรงแบบ Hydraulic PPE (Progressive Power Steering) รัศมีวงเลี้ยว 4.7 เมตร ส่วน ระบบกันสะเทือนหน้า เป็นแบบ MacPherson Strut ส่วนด้านหลังเป็นแบบ คานบิด Trailing Twist Beam พร้อมเหล็กกันโคลง ทุกรุ่น ใช้คอยล์สปริง แบบธรรมดา และช็อกอัพ Hydraulic แบบปกติ

สำหรับรุ่น β (Beta) ลูกค้าสามารถเลือกจ่ายเงินเพิ่มเพื่อติดตั้ง ช็อกอัพ 4 ต้น แบบ Toyota Electronic Modulated Suspension (TEMS) ควบคุมด้วย อีเล็กโทรนิคส์ โดยใช้เซ็นเซอร์ อ่านค่า ความเร็วของรถ มุมองศาของพวงมาลัย แรงเหวี่ยง และการเบรก เพื่อจะปรับความนุ่มหรือแข็งของช็อกอัพ ให้เหมาะสมกับสภาพการขับขี่ในขณะนั้น โดยผู้ขับขี่ สามารถเลือกกดปุ่ม AUTO ให้ช็อกอัพ ปรับความแข็ง หรืออ่อน ได้เองโดยอัตโนมัติ หรือกดปุ่มเลือก Mode SPORT เพื่อล็อกความแข็งของช็อกอัพเอาไว้ สวิตช์ควบคุมระบบ จะถูกติดตั้งร่วมกับสวิตช์กระจกมองข้างแบบปรับและพับด้วยไฟฟ้า ใต้ช่องแอร์ฝั่งคนขับ
ระบบห้ามล้อ ด้านหน้าเป็น ดิสก์เบรก แบบมีครีบระบายความร้อน ส่วนด้านหลังเป็นดรัมเบรก Leading and Trailing ยกชุดมาจาก Tercel / Crosa / Corolla-II
ล้อ ในรุ่น ปกติ เป็น กระทะล้อเหล็ก ขนาด 14 นิ้ว พร้อมฝาครอบแบบเต็มวง Full Wheel covers สวม ยางขนาด 175/65R14 82S
ด้านอุปกรณ์ความปลอดภัย มีเข็มขัดนิรภัย ELR 3 จุด มาให้ทั้ง 4 ที่นั่ง ไม่เพียงเท่านั้น Cynos เวอร์ชันญี่ปุ่น ยังเป็นหนึ่งในรถยนต์ Toyota รุ่นแรกๆ ที่มีระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกกระทันหัน ABS (Anti-Lock Brake System) ให้ลูกค้า เลือกซื้อติดตั้งได้ในฐานะ อุปกรณ์สั่งพิเศษ
ราคาจำหน่าย ในญี่ปุ่น มีดังนี้
- 1.5 α เกียร์ธรรมดา 5MT 1,087,000 Yen
- 1.5 α เกียร์อัตโนมัติ 4AT 1,162,000 Yen
- 1.5 β เกียร์ธรรมดา 5MT 1,238,000 Yen
- 1.5 β เกียร์อัตโนมัติ 4AT 1,331,000 Yen




การปรับปรุง Line-up เกิดขึ้นครั้งแรก เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 1992 โดยเน้นการเพิ่ม Option ให้ลูกค้าสั่งติดตั้งเพิ่มเติม มากขึ้นกว่าเดิม ทั้งการเพิ่มสีเขียว Two-Tone เพิ่มมือจับเปิดประตูด้านนอก สีเดียวกับตัวถัง เพิ่มกระจกหน้าต่างสีเขียวเพื่อช่วยกรองแสง แบบ UV-CUT เพิ่มเครื่องปรับอากาศแบบอัตโนมัติ Auto Air-condition เพิ่มเฟืองท้าย Viscous Limited Slip Differential (LSD) ให้เลือกสั่งติดตั้งได้เฉพาะรุ่น β (Beta) 1.5 ลิตร เกียร์ธรรมดา นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่ม ถุงลมนิรภัย ฝั่งคนขับ มาให้ลูกค้าเลือกเป็น Option สั่งติดตั้งพิเศษ อีกด้วย
ในเมื่อ ปรับปรุงอุปกรณ์ทั้งที ทีมการตลาด Toyota ที่ญี่ปุ่น ก็เลยทำภาพยนตร์โฆษณาเรื่องใหม่ออกมา นำแสดงโดย Masato Hagiwara และ Haruki Misayo นักแสดงชื่อดังของญี่ปุ่น ในขณะนั้น เพลงประกอบโฆษณา ชื่อเพลง 二人の風 (Futari no kaze / 2 Winds) ร้องโดย Yume Suzuki
จากนั้น วันที่ 3 สิงหาคม 1993 มีการปรับอุปกรณ์เพิ่มเติม ทั้งการเปลี่ยนมาใช้เครื่องปรับอากาศ แบบที่รองรับน้ำยา R134a ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เปลี่ยนใบปัดน้ำฝน และหัวฉีดน้ำล้างกระจกหน้า ใหม่ และเพิ่มช่องวางแก้ว ในรุ่น β (Beta)

9 พฤษภาคม 1994 Toyota เพิ่มรุ่นย่อยใหม่ ให้กับ Cynos ในชื่อ α Limited ตกแต่งภายนอก ด้วยสีตัวถัง Gentle Black Metallic ตัดกับสีเงิน เป็นแบบ Two-Tone เพิ่มอุปกรณ์จากรุ่น β (Beta) หลายรายการ ได้แก่ สติ๊กเกอร์ด้านข้างประตู เพิ่มใบปัดน้ำฝนหลัง เพิ่มสปอยเลอร์หลัง พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 ในตัว
ภายในห้องโดยสาร เพิ่มช่องวางแก้ว จากรุ่น β (Beta) และกระจกหน้าต่างฝั่งคนขับแบบ Auto One-Touch ที่ยังทำงาตนได้ แม้สวิตช์กุญแจจะบิดไปที่ Off แล้ว เพิ่มพนักศีรษะ เปลี่ยนลายผ้าบุแผงประตูด้านข้างใหม่ เป็นสีดำเข้ม ส่วนล้ออัลลอย เป็นอุปกรณ์สั่งพิเศษ เพราะปกติ จะมาพร้อมล้อกระทะเหล็กแบบมีฝาครอบเต็มวง Full Wheel cover
Toyota Cynos α Limited มีทั้งรุ่นเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ 1,196,000 Yen และรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 1,271,000 Yen

หลังจากนั้น ไม่นานนัก วันที่ 5 กันยายน 1994 Toyota ก็ปรับอุปกรณ์ให้ Cynos กันอีกรอบ เป็นครั้งสุดท้าย
ภาพรวมแล้ว ยอดขายของ Cynos ในตลาดญี่ปุ่น ไปได้เรื่อยๆ ไม่ถึงกับหวือหวานัก เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจของญี่ปุ่น เข้าสู่ภาวะ ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตก และค่อยๆตกต่ำลงเรื่อยๆ การตัดสินใจซื้อรถยนต์ของคนหนุ่มสาว จึงลดน้อยลง อีกทั้ง ผู้บริโภคชาวญี่ปุ่น เริ่มหันไปหารถยนต์ประเภท RV (Recreation Vehicle) ทั้งพวก Station Wagon หรือ SUV เพื่อการสันทนาการ พักผ่อนหย่อนใจในวันหยุดมากขึ้น ทำให้ ยอดขายของรถยนต์ในกลุ่ม Coupe 2 ประตู ค่อยๆลดลง ซึ่ง Cynos เอง ก็ได้รับผลกระทบนี้ไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
—————————————-














North American Version : Toyota PASEO
World Premier : January 7th, 1991
Price Announcement : May 2nd, 1991
Start of Sales : May 9th,1991
End of Sales : September 30th , 1995
Toyota Motor Sales U.S.A. Inc. วางตำแหน่งการตลาดของ Paseo ให้เจาะกลุ่มเป้าหมาย วัยรุ่น เพิ่งเริ่มมีรถคันแรก เช่นเดียวกับตลาดญี่ปุ่น เพียงแต่ว่า ความแตกต่างอยู่ที่ ทีมการตลาดฝั่งอเมริกาเหนือ มุ่งเน้นเอาใจ นักศึกษา หรือคนทำงานกลุ่ม First Jobber ที่กำลังมองหารถยนต์คันแรกในชีวิต และต้องการความคุ้มค่ารอบด้านเป็นสำคัญ คนกลุ่มนี้ ต้องการรถยนต์ Coupe 2 ประตู ที่มีรูปลักษณ์สวยงาม แปลกตา ไม่ใช่แค่การเอารถยนต์ Sedan มาลดทอนจำนวนประตูออกจาก 4 เหลือ 2 ประตู เช่นเดียวกับ Toyota Tercel หรือ Nissan Sentra ในเวลานั้น แต่ต้องมีอุปกรณ์มาตรฐานที่ เพียงพอ ในราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่าย

แม้ว่า Toyota จะเปิดตัว Paseo ในสหรัฐอเมริกา เป็นประเทศแรกในโลก มาตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 1991 และส่งขึ้นแท่นหมุนไปอวดโฉมในงาน Detroit Auto Show ในอีก 2 วันถัดมา ทว่า กว่าที่ Toyota Motor Sales USA. จะพร้อมทำคลอด ทั้ง ข้อมูลทางเทคนิค คู่มือการขาย เอกสารสำหรับแจกสื่อมวลชน และการทำราคาขายปลีก ออกมาอย่างเป็นทางการ ก็ต้อง รอกันจนทุกภาคส่วนงาน พร้อมเพรียงกัน
2 พฤษภาคม 1991 Toyota Motor Sales (TMS), U.S.A., Inc. ประกาศราคาขายแนะนำโดยผู้ผลิต MSRP (Manufacturer Suggest Retail Price) ไว้ เริ่มต้นถูกมากๆ รุ่นเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ Base เพียง $9,988 เหรียญสหรัฐฯ เท่านั้น!! ส่วนรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ เริ่มต้นที่ $10,738 เหรียญสหรัญฯ เท่านั้น!
ในวันที่ 9 พฤษภาคม 1991 จึงจะเริ่มทะยอย ส่งรถที่นำเข้ามาจากโรงงาน Takaoka ในประเทศญี่ปุ่น มาขึ้นท่าเรือ ทำการตรวจสอบ PDI (Pre Delivery Inspection) เพื่อกระจายรถ ส่งต่อไปยังโชว์รูมผู้จำหน่าย ทั่วสหรัฐอเมริกา ได้ตามแผนงาน









เวอร์ชัน North American จะแตกต่างจาก เวอร์ชันญี่ปุ่นแลกตลาดโลก ตรงที่ การเปลี่ยนมาใช้แผงหน้าปัด ซึ่งถูกออกแบบขึ้นเป็นพิเศษ โดยใช้ช่องแอร์ เป็นแบบวงกลม ทั้ง 4 ตำแหน่ง นอกจากนี้ วัสดุหุ้มพนักศีรษะของเบาะนั่งคู่หน้า ยังถูกเปลี่ยนจากผ้าสีขาว ลายขวาง ในเวอร์ชันญี่ปุ่น มาเป็นผ้าสีดำ แบบเดียวกับเวอร์ชันส่งออกไปตลาดในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
นอกจากนี้ ทางเลือกสีตัวถัง ยังแตกต่างจากเวอร์ชันญี่ปุ่น โดยมีให้เลือก ถึง 8 สี โดยมี 3 สีที่เหมือน Cynos เวอร์ชันญี่ปุ่นคือ สีแดง Super Red (3E5) , สีดำ Satin Black Metallic (205) และ สีฟ้าเขียว Turquoise Mica Metallic (746) แต่ไม่มีสีเหลืองอ่อน Greenish Yellow Metallic จากเวอร์ชันญี่ปุ่น
ส่วนสีที่มีเฉพาะเวอร์ชันอเมริกาเหนือ และเวอร์ชันส่งออก คือสีขาว Super White , สีเงิน Silver Mist Metallic (176), สีเบจ Canyon Beige Metallic (4L8) , สีแดงไวน์ Medium Red Pearl (3H4) และสีฟ้า Blue Metallic (8J2)
อุปกรณ์มาตรฐาน ของเวอร์ชันอเมริกาเหนือ มีทั้ง กระทะล้อเหล็กพร้อมฝาครอบล้อแบบเต็มวง กระจกหน้าต่างแบบ Tinted glass วิทยุ AM/FM electronic tuning (ETR) 2 ลำโพง พวงมาลัยเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วย Hydraulic และเบาะนั่งหุ้มผ้าเต็มตัวแบบ full fabric sport seats เบาะหลังแบ่งพับได้ เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง รวมทั้งยังมี ไล่ฝ้าที่กระจกบังลมหลัง นาฬิกา quartz digital ใบปัดน้ำฝนแบบหน่วงเวลา intermittent wipers และรีโมทกุญแจ ปลดล็อก และสั่งล็อก ประตู รวมทั้งฝาท้าย
ส่วนอุปกรณ์สั่งพิเศษ ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ ล้ออัลลอย 14 นิ้ว สวมด้วยยางขนาด 185/60 R14 สปอยเลอร์หลัง Moonroof ระบบล็อกความเร็วคงที่ Cruise Control และวิทยุ AM/FM Stereo ETR พร้อมเครื่องเล่นเทป Cassette 4 ลำโพง
เครื่องยนต์ ของเวอร์ชัน North America เป็น รหัส 5E-FE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,496 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 74.0 x 87.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.4 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด อีเล็กโทรนิคส์ EFI (Electronics Fuel Injection) ควบคุมด้วยกล้องคอมพิวเตอร์ TCCS (Toyota Computer Control System) ใช้ Alternator ขนาด 12 Volt 70 Amps แบ็ตเตอรี แบบ Maintenance Free 40 Amps/Hours กำลังสูงสุด 100 แรงม้า (SAE Net) ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 91 ฟุต-ปอนด์ (12.9 กก.-ม.) ที่ 3,200 รอบ/นาที
ขับเคลื่อนล้อหน้า เลือกได้ทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรือ เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ECT สวมยางขนาด 175/65R14
พวงมาลัยเป็นแบบ Rack and Pinion พร้อม Power ผ่อนแรงแบบ Hydraulic PPE (Progressive Power Steering) รัศมีวงเลี้ยว 4.7 เมตร ส่วน ระบบกันสะเทือนหน้า เป็นแบบ MacPherson Strut ส่วนด้านหลังเป็นแบบ คานบิด Trailing Twist Beam พร้อมเหล็กกันโคลง ทุกรุ่น ใช้คอยล์สปริง แบบธรรมดา และช็อกอัพ Hydraulic แบบปกติ และแน่นอนว่า เวอร์ชันอเมริกาเหนือ รวมทั้งเวอร์ชันส่งออกไปตลาดอื่นทั่วโลก จะไม่มีช็อกอัพไฟฟ้า TEMS ให้เลือกติดตั้งพิเศษอย่างเวอร์ชันญี่ปุ่น




ตลอดอายุตลาด จนถึงปี 1996 Toyota แทบไม่ได้ปรับเปลี่ยนรายละเอียดทางเทคนิค หรืออุปกรณ์มาตรฐานใดๆ ให้กับ Paseo เลย มีเพียงแค่การ เพิ่มสีตัวถังใหม่ เท่านั้น เริ่มจาก รุ่นปี 1993 มีการเพิ่มสีแดงไวน์เข้ม Sunfire Red Pearl (3K4) และสีฟ้า Stardust Blue (924) ทดแทน สีเบจ Canyon Beige และ สีแดงไวน์ Medium Red ที่ถูกตัดออกไป ทั้งที่เพิ่งเริ่มมีให้เลือกได้นานรวม 1 ปี
ปีสุดท้ายที่ทำตลาด คือ รุ่นปี 1995 สีเงิน Silver mist สีแดงไวน์เข้ม Sunfire Red Pearl และสีฟ้า Stardust Blue ถูกตัดออกไป แล้วแทนที่ด้วย สีใหม่ อีก 4 สี ได้แก่ สีเงิน Platinum Metallic (1A0) สีแดงทับทิม Ruby (3L3) สีเขียว Sierra Green (6N7) และสีน้ำเงิน Bright Iris (8K9)
—————————————-

Global Market / Australia Market : Toyota PASEO
Paseo ถูกส่งออกไปทำตลาดในบางประเทศ แต่แอบแปลกใจว่า ในช่วงแรก ๆแทบไม่มีประเทศในยุโรป สั่งเข้าไปจำหน่ายกันสักเท่าใดนัก ส่วนประเทศที่มีตัวรถที่ใช้ สเป็ก ใกล้เคียงกับบ้านเรามากที่สุด คือ Australia / New Zealand ก็ถูกเปิดตัว เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1991
กระนั้น สเป็กสำหรับตลาดส่งออก ก็มีขุมพลังให้เลือกเพียงแบบเดียว นั่นคือ เครื่องยนต์ รหัส 5E-FE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,496 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 74.0 x 87.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.4 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด อีเล็กโทรนิคส์ EFI (Electronics Fuel Injection) 105 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 12.9 กก.-ม.ที่ 3,200 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหน้า ทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ 4 จังหวะ นอกนั้น รายละเอียดงานวิศวกรรมต่างๆ เหมือนกับเวอร์ชัน อเมริกาเหนือ ยกเว้นแผงหน้าปัด ซึ่งจะยังเป็นแบบช่องแอร์ สี่เหลี่ยม เหมือนเวอร์ชันญี่ปุ่น Australia และ เวอร์ชันไทย
—————————————-



THAI Market : Toyota PASEO
August 1992
ช่วงเวลาที่ Cynos / Paseo เริ่มทำตลาดทั่วโลกนั้น ประเทศไทย กำลังอยู่ในยุคสมัยที่ ฯพณฯ อานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี (มีนาคม 1991 – เมษายน 1992) ซึ่งมีนโยบายสำคัญ ยกเลิกการห้ามนำเข้ารถยนต์ที่ผลิตสำเร็จรูปทั้งคันจากต่างประเทศ (CBU : Complete Built Unit) ระดับต่ำกว่า 2,300 ซีซี และปรับลดภาษีนำเข้าลงมา ทั้งระบบ เพื่อกระต้นให้ผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศ เร่งพัฒนาตนเอง ลดปัญหาการซื้อขายใบจองรถในช่วง 3 ปีก่อนหน้านั้น (โดยเฉพาะ Honda Civic กับ Accord ซึ่งเป็นปัญหาอย่างหนัก) จึงมีการประกาศลดภาษีนำเข้าลงมา และประกาศเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 1991
ตอนนั้น กลุ่มรถยนต์ต่ำกว่า 2,300 ซีซี อัตราภาระภาษีรวมทั้งหมด / คัน ลดลงจาก 397.10 % เหลือเพียง 136.06 % และ กลุ่มรถยนต์ เกิน 2,300 ซีซี ลดลงจาก 610.50 % เหลือ 208.66 % ทำให้เกิดการนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปทั้งยี่ห้อ และรุ่นใหม่ ๆ มากมาย ตั้งแต่ปลายปี 1991 ต่อเนื่องจนถึงตลอดปี 1992 ช่วงนั้น ตลาดรถยนต์บ้านเรา คึกคักสุดขีด ผู้บริโภครู้สึกเหมือนถูกปลดปล่อยจากพันธนาการกำแพงภาษี และมีโอกาส เลือกซื้อรถยนต์ได้อิสระขึ้น ทั้งรถนำเข้า หรือรถยนต์ประกอบในประเทศ
Toyota Motor (Thailand) เป็นอีกหนึ่งบริษัท ที่ยังคงสงวนการประกอบรถยนต์ในประเทศเอาไว้ ที่โรงงานสำโรง ทั้งกลุ่มรถเก๋งอย่าง Toyota Corolla, Toyota Corona และ Toyota Crown Royal Saloon รุ่น MS131 (ซึ่งเป็น Crown รุ่นสุดท้ายที่ประอบในประเทศไทย จนถึงปี 1993) และรถกระบะ Hilux รถตู้ LiteAce HiAce กับรถบรรทุก Dyna (เวลานั้น ยังไม่มีโรงงาน Gateway และบ้านโพธิ์)
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการเปิดตลาดรถยนต์นำเข้าเสรี Toyota Motor (Thailand) ก็เกาะกระแสนี้ไปกับเขาด้วยการสั่งนำเข้ารถยนต์บางรุ่น มาทำตลาด ในปริมาณจำกัด สำหรับลูกค้าที่สนใจ ในเวลานั้นทีมงาน Product Planning ของ Toyota บ้านเรา เลือกตัดสินใจ สั่งนำเข้า Toyota Paseo มาเปิดตัวสู่ตลาดเมืองไทย ในเดือน สิงหาคม 1992 พร้อมกับ รถสปอร์ตขนาดกลางรุ่น Celica ST-171 และ รถตู้ Toyota Estima / Previa รุ่นแรก ถือเป็นรถยนต์นำเข้า CBU ก๊อกแรก หลังการประกาศลดภาษีนำเข้า ดังกล่าวข้างต้น
(หลังจากนั้น Toyota Motor Thailand ก็ทะยอยสั่งนำเข้า Toyota Celica ไฟกลม ปี 1993 , Toyota RAV4 5 ประตู ปี 1995 , Toyota 4Runner ปี 1995 , Toyota CROWN ตั้งแต่ปี 1993 – 1999 มาทำตลาดในประเทศไทย เป็นระยะๆ)



Paseo เวอร์ชันไทย มีรายละเอียดทางเทคนิค ดังนี้
ตัวรถมีความยาว 4,145 มิลลิเมตร กว้าง 1,655 มิลลิเมตร สูง 1,275 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,380 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า 1,405 มิลลิเมตร ความกว้างล่วงล้อคู่หลัง 1, 395 มิลลิเมตร ระยะความสูงจากพื้นถนนจนถึงพื้นใต้ท้องรถ (Ground Clearance) 140 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวรถโดยประมาณ รุ่นเกียร์ธรรมดา 935 กิโลกรัม รุ่นเกียร์อัตโนมัติ 975 กิโลกรัม ความจุถังน้ำมัน 45 ลิตร ล้ออัลลอยขนาด 14 นิ้ว สวมยางขนาด 185/60R14
วางเครื่องยนต์ รหัส 5E-FE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,496 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 74.0 x 87.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.4 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด อีเล็กโทรนิคส์ EFI (Electronics Fuel Injection) ควบคุมด้วยกล้องคอมพิวเตอร์ TCCS (Toyota Computer Control System) 101 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 13 กก.-ม.ที่ 3,200 รอบ/นาที
ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยทางเลือกเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ 4 จังหวะ ECT พวงมาลัย Rack & Pinion พร้อม Power ช่วยผ่อนแรงแบบ Hydraulic ระบบกันสะเทือนหน้าอิสระ McPherson Strut , Coil Spring และเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบ Torsion Bar , Coil Spring และช็อกอัพแก็ส ระบบห้ามล้อ คู่หน้าเป็น ดิสก์เบรก คู่หลัง เป็น ดรัมเบรก
Toyota Motor Thailand ตั้งราคาจำหน่าย Paseo เวอร์ชันไทย เอาไว้ ทั้ง 2 รุ่นย่อย ดังนี้
- 1.5 ลิตร เกียร์ธรรมดา 5MT : 741,000 บาท
- 1.5 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ 4AT : 791,000 บาท

อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่ตัวรถยังไม่โดดเด่นมากนัก ในสายตาผู้บริโภคชาวไทยส่วนใหญ่ อีกทั้ง ยังมีผู้นำเข้ารายย่อยบางแห่ง เช่น โชว์รูม Auto Image หัวมุมแยกสารสิน ตัดกับถนนสาทร (ปัจจุบันกลายเป็นโชว์รูม Honda) นำ Cynos เวอร์ชันญี่ปุ่น เข้ามาขายแข่งด้วย จำนวนหนึ่ง ทำให้ ยอดขายของ Paseo ไม่สูงอย่างที่คาดหวัง จึงไม่มีการนำเข้า Paseo อีก เมื่อรถในสต็อกหมดลง ทำให้ Paseo รุ่นแรก เป็นรถรุ่นเดียว ในตระกูลนี้ ที่ถูกนำเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยจากทั้ง Toyota Motor Thailand และพ่อค้าอิสระรายย่อย
ปัจจุบัน ราคาตลาดของ Paseo มือสอง ในไทย ป้วนเปี้ยนอยู่ที่ระดับ 100,000 – 150,000 บาท ขึ้นอยู่กับสภาพของตัวรถเป็นหลัก ทุกวันนี้ ไม่สามารถหารถที่รักษาสภาพใกล้เคียงกับของเดิมจากโรงงาน ได้อีกแล้ว เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ ซื้อไปตกแต่งต่อตามสไตล์ของตนเสียจนเละเทะไปแทบจะทุกคัน
————————————————————-







2nd Generation
EL-50 Series (EL-52 for 1,300 cc. & EL-54 for 1,500 cc.)
September 6th, 1995
รุ่นที่ 2 ของ Cynos เปิดตัว ในญี่ปุ่นครั้งแรก เมื่อวันที่ 6 กันยายน 1995 และมีการปรับแนวคิดการทำตลาด จากเดิมที่เน้น การเป็นรถยนต์ Coupe ที่ดู Sport มาเป็นรถยนต์ Coupe แบบ “Just right” สำหรับคนรุ่นใหม่ ที่มุ่งเน้นความคุ้มค่า คุ้มราคา มากขึ้น มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงขึ้น ในราคาที่เป็นมิตรมากขึ้น
เป้าหมายการออกแบบ Cynos รุ่นที่ 2 นั้น มี 4 ประการด้วยกัน นั่นคือ
- สานต่อความเป็น รถยนต์ Coupe ขนาดเล็ก ในกลุ่มตลาด Entry-level Sporty Sub-compact Class
- ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย ด้วยการออกแบบโครงสร้างตัวถัง และเพิ่มถุงลมนิรภัยเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
- ยกระดับมาตรฐาน ความเป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการเลือกใช้ชิ้นส่วนที่สามารถนำกลับไป Recycle ได้
- รักษาบุคลิกการขับขี่ ที่สร้างความสนุกสนาน แบบ Fun to Drive
ตัวถังมีความยาวเพิ่มขึ้นจากเดิม 10 มิลลิเมตร เป็น 4,155 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 15 มิลลิเมตร เป็น 1,660 มิลลิเมตร สูง เทารุ่นเดิม ที่ 1,295 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อเท่ารุ่นเดิม 2,380 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า 1,405 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หลัง 1,395 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวรถ เบาสุด 870 กิโลกรัม (รุ่น a เกียร์ธรรมดา) และหนักที่สุด 930 กิโลกรัม (รุ่น B เกียร์ อัตโนมัติ) ความจุถังน้ำมัน 45 ลิตร
งานออกแบบ ลดทอนเส้นสายอันเป็นเอกลักษณ์สะดุดตาลง หันมาดูเรียบง่ายขึ้น ด้านหน้ารถ ถูกออกแบบให้มีลักษณะ “ไร้กระจังหน้า” คล้ายกับรถสปอร์ตรุ่นใหญ่ๆ ทั่วๆไป แต่เปลือกกันชนหน้า จะมีช่องรับอากาศขนาดใหญ่ สำหรับรังผึ้งหม้อน้ำแทน ลู่ลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ ลดลงจากรุ่นเดิม ซึ่งอยู่ที่ Cd.0.32 เหลือ Cd.0.31 และถ้าดูดีๆ ตัวรถจะมีเส้นคาดข้างกลางลำตัว แบบเดียวกับ ตระกูล Tercel / Corsa / Corolla-II รุ่นสุดท้าย ในปี 1995 รวมทั้ง Toyota SOLUNA รุ่นแรกในบ้านเรา ปี 1997 อีกด้วย


ห้องโดยสาร ยกแผงหน้าปัด Instrument Panel ของ ญาติพี่น้องร่วม Platform ทั้ง Tercel / Corsa / Corolla – II รุ่นสุดท้าย ปี 1994 – 1999 มาติดตั้งให้ ซึ่งแผงหน้าปัดชุดนี้ ถูกนำไปติดตั้งให้กับ Soluna รุ่นแรก AL50 ในอีก 2 ปีหลังจากนั้น ตำแหน่งติดตั้งแผงหน้าปัด จะต่ำลงกว่ารุ่นเดิมเล็กน้อย แต่เพิ่มขนาดของกระจกบังลมหน้า สวิตช์ชุดเครื่องเสียง และสวิตช์เครื่องปรับลอากาศ ให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
รุ่น 1.3 α (Alfa) จะใช้ชุดมาตรวัดพื้นหลังสีเข้ม และจะใช้พวงมาลัยแบบ Polypropylene 2 ก้าน เหมือน Soluna รุ่น XLi ขณะที่รุ่น 1.3 α JUNO Package และรุ่น 1.5 β (Beta) จะเปลี่ยนไปใช้พวงมาลัยแบบ 4 ก้าน พร้อมถุงลมนิรภัยฝั่งคนขับโดยรุ่น 1.5 β (Beta) จะเปลี่ยนชุดมาตรวัด เป็นแบบพื้นหลังสีขาว สไตล์ Sport รุ่นเกียร์อัตโนมัติ จะมีไฟบอกตำแหน่งเกียร์ ที่ช่องมาตรวัดฝั่งซ้าย และมีเครื่องปรับอากาศแบบอัตโนมัติ Auto-Air-Condition แบบปุ่มกด ให้เลือกสั่งติดตั้งพิเศษ
เบาะนั่งของ Cynos เวอร์ชันญี่ปุ่น จะมีแค่แบบเดียว เป็นเบาะนั่งทรง กึ่ง Sport เชื่อมพนักศีรษะกับพนักพิงหลัง รวมเข้าด้วยกันเป็นชิ้นเดียว เพื่อให้ประหยัดต้นทุน ผ้าหุ้มเบาะเป็นสีเทาดำ ตัดสลับลาย Graphic โทนสีฟ้า แต่ Toyota เรียกลายผ้าเบาะชุดนี้ว่า Jade Grey ตัวเบาะคู่หน้า ปรับเลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลัง ด้วยเหล็กกันโยกใต้เบาะรองนั่ง และปรับระยะเอน – ตั้งชัน ของพนักพิงหลัง ด้วยคันโยก ด้านข้างฐานเบาะ

Cynos เวอร์ชันญี่ปุ่น ยังคงมีขุมพลังให้เลือก 2 ระดับความแรง เหมือนเดิมจริงอยู่ แต่ในรุ่น B อันเป็นรุ่นแพง จะยืนหยัดอยู่บนพื้นฐานขุมพลัง พิกัด 1.5 ลิตร หรือ 1,500 ซีซี ต่อไป ขณะที่ รุ่นเริ่มต้น อย่าง a จะถูกเปลี่ยนไปใช้ขุมพลัง พิกัด 1.3 ลิตร หรือ 1,300 ซีซี แทน เพื่อเน้นทำราคาขายหน้าโชว์รูม ให้ถูกที่สุดเท่าที่จะทำได้ รายละเอียดมีดังนี้
– เครื่องยนต์ รหัส 4E-FE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,331 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 74.0 x 77.4 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.0 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด อีเล็กโทรนิคส์ EFI-D (Electronics Fuel Injection – D) กำลังสูงสุด ลดลงเหลือ 88 แรงม้า (PS) ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 11.8 กก.-ม.ที่ 4,600 รอบ/นาที วางอยู่ในรุ่น α (Alfa) มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ และ เกียร์อัตโนมัติ 3 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า (ครับ อ่านไม่ผิด Cynos เป็นหนึ่งในรถยนต์นั่งรุ่นท้ายๆจาก Toyota ที่ยังติดตั้งเกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ 3 จังหวะ อยู่)
อัตราสิ้นเปลืองจากโรงงาน ตามพิกัดการทดสอบ 10-15 Mode ของรัฐบาลญี่ปุ่น (เวอร์ชันเก่า ความเร็วไม่เกิน 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง) รุ่นเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ทำได้ 19.2 กิโลเมตร/ลิตร เกียร์อัตโนมัติ ทำได้ 16.0 กิโลเมตร/ลิตร
– เครื่องยนต์ รหัส 5E-FHE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,496 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 74.0 x 87.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.4 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด อีเล็กโทรนิคส์ EFI- S (Electronics Fuel Injection – S) กำลังสูงสุด ลดลงจากรุ่นเดิม 5 แรงม้า เหลือ 110 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 13.9 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที วางอยู่ในรุ่น β (Beta) มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และ เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้่า
อัตราสิ้นเปลืองจากโรงงาน ตามพิกัดการทดสอบ 10-15 Mode ของรัฐบาลญี่ปุ่น (เวอร์ชันเก่า ความเร็วไม่เกิน 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง) รุ่นเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ทำได้ 15.8 กิโลเมตร/ลิตร เกียร์อัตโนมัติ ทำได้ 13.4 กิโลเมตร/ลิตร
พวงมาลัยยังคงเป็นแบบ Rack and Pinion พร้อม Power ผ่อนแรงแบบ Hydraulic ระบบกันสะเทือนหน้า เป็นแบบ MacPherson Strut โดยรุ่น B จะเพิ่มเหล็กกันโคลงมาให้ (ไม่มีในรุ่น a) ส่วนด้านหลังเป็นแบบ คานบิด Trailing Twist Beam พร้อมเหล็กกันโคลง ซึ่งถูกปรับปรุงใหม่ เพื่อเพิ่มความคล่องแคล่ว และกระชับมากยิ่งขึ้นกว่ารุ่นเดิม ส่วนระบบห้ามล้อ ด้านหน้าเป็น ดิสก์เบรก โดยรุ่น a จะเป็นจานเบรกธรรมดาๆ ส่วนรุ่น β (Beta) จะยังคงเป็นแบบมีครีบระบายความร้อน ส่วนด้านหลังเป็นดรัมเบรก Leading and Trailing
ชิ้นส่วนตัวภายในห้องโดยสาร ทั้งแผงหน้าปัด แผงประตูด้านข้าง เปลือกกันชนหน้า-หลัง ฯลฯ เริ่มเปลี่ยนมาใช้วัสดุ Thermoplastic resin (Toyota Super Olefin Polymer) ที่สามารถเข้ากระบวนการนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) ได้
ด้านความปลอดภัย นอกเหนือจากเข็มขัดนิรภัย ELR 3 จุด ทั้ง 4 ตำแหน่ง (เบาะหน้า – หลัง) แล้ว ยังเพิ่ม ถุงลมนิรภัยคู่หน้า Dual SRS Airbags มาให้ พร้อมคานกัรกระแทกเสริม ในประตูทั้ง 2 บาน

ด้วยการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ บนพื้นฐานของเทคโนโลยี computer-aided design (CAD-CAM) รุ่นล่าสุดในขณะนั้น ทั้งในด้านตัวรถ และการบริหารในสายการผลิต ทำให้ Toyota ยกระดับคุณภาพตัวรถ ความปลอดภัย และสมรรถนะในภาพรวมของตัวรถได้ แถมยังตั้งราคาขายให้ถูกลงกว่ารุ่นเดิมได้อีกด้วย โดยช่วงแรกที่เปิดตัว มีให้เลือก 6 รุ่นย่อย ดังนี้
- 1.3 α เกียร์ธรรมดา 4MT 934,000 Yen
- 1.3 α เกียร์อัตโนมัติ 3AT 1,003,000 Yen
- 1.3 α เกียร์ธรรมดา 4MT Juno Package 998,000 Yen
- 1.3 α เกียร์อัตโนมัติ 3AT Juno Package 1,067,000 Yen
- 1.5 β เกียร์อัตโนมัติ 5MT 1,364,000 Yen
- 1.5 β เกียร์อัตโนมัติ 4AT 1,457,000 Yen
ช่วงเปิดตัว Toyota ยังคงทำตลาด Cynos รุ่นที่ 2 ในญี่ปุ่น ผ่านโชว์รูมเครือข่ายจำหน่าย TOYOPET และ VISTA ยกเว้นในเมือง Osaka ซึ่งไม่มี เครือข่าย TOYOPET ก็จะรับผิดชอบโดย ผู้จำหน่ายรายใหญ่ OSAKA TOYOTA แทน ตั้งเป้าหมายยอดขาย ไว้ที่ระดับ 2,000 คัน/เดือน
ส่วนภาพยนตร์โฆษณา นั้น ถ่ายทำกันในสหรัฐอเมริกา และใช้เพลงประกอบชื่อ Joy to the Love จากศิลปินวง globe

หลังเริ่มทำตลาดมาได้ประมาณ 1 ปี Cynos เวอร์ชันญี่ปุ่น มีการปรับโฉมเล็กๆน้อยๆ แค่ 2 ครั้ง เท่านั้น
เริ่มจาก วันที่ 18 ตุลาคม 1995 Toyota เผยโฉม Toyota Cynos CONVERTIBLE เป็นครั้งแรก บนแท่นจัดแสดงของบูธ Toyota ณ งาน Tokyo Motor Show ในฐานะรถยนต์ Prototype ที่มีกำหนดเตรียมส่งออกจำหน่ายจริง ทั้งในญี่ปุ่น อเมริกาเหนือ และยุโรป จุดเด่นสำคัญคือ การเป็น รถยนต์ 2 ประตู เปิดประทุน หลังคาผ้าใบแบบ Manual ขนาดเล็กที่สุดในตระกูล เท่าที่ Toyota เคยทำมา
Cynos CONVERTIBLE เป็นผลงานความร่วมมือระหว่าง Toyota กับ Supplier ชาวอเมริกัน อย่าง ASC (American Sunroof Corporation) ย่าน Long Beach มลรัฐ California สหรัฐอเมริกา ผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างและพัฒนารถยนต์เปิดประทุน ซึ่งเคยฝากผลงานไว้กับ Toyota Celica Convertible มาแล้ว

การประกอบจะเริ่มจาก โรงงาน Toyota Takaoka ในเมือง Toyota City จังหวัด Aichi ประเทศญี่ปุ่น ส่งรถยนต์ Cynos ที่ประกอบสำเร็จบางส่วน ลงเรือไปยัง สหรัฐอเมริกา เมื่อตัวรถไปถึง ASC, Inc., พวกเขาจะจัดการหั่นหลังคาแข็งของตัวรถออก อย่างระมัดระวัง และเสริมโครงสร้างยึดแผงด้านหลังรถไว้ให้ รวมทั้งบริเวณเหนือเบ้าช็อกอัพคู่หลัง และด้านหลัง แผงตัวถังเหนือ ซุ้มล้อคู่หลัง
จากนั้น ASC จะติดตั้ง หลังคาผ้าใบ หนา 4 Layer พร้อมกับกลไกการทำงาน แบบใช้มือดึงเปิด-ปิด Manual ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อรถยนต์รุ่นนี้โดยเฉพาะ เข้าไป จากนั้น จึงติดตั้งกระจก Opera 3 เหลียม เชื่อมหลังคาผ้าใบ และหน้าต่างของบานประตูทั้ง 2 ฝั่ง ให้เรียบเนียนเสมอกัน รวมทั้งยังติดตั้ง กระจกบังลมหลัง แบบ มีไล่ฝ้า และ Heater มาให้ด้วย ซึ่งเคยถือเป็น อุปกรณ์สั่งซื้อพิเศษ แบบเดียวกับ Celica Convertible
ชุดกลไกการเปิดหลังคา ถูกออกแบบให้ผู้ขับขี่ สามารถยกเปิดหลังคากางออกได้เองอย่างง่ายดาย มีน้ำหนักเบาเพียง 132 ปอนด์ เท่านั้น หลังจากปลดตัวล็อกที่เสาด้านบนเหนือกระจกบังลมหน้าสำเร็จแล้ว ก็ยกหลังคาพับเก็บได้ทันที แถมด้วยการออกแบบที่ชาญฉลาด ทำให้ยังมีพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลังอีกมากมาย โดยที่ชุดโครงสร้างหลังคา ไม่ได้ไปเบียดบังพื้นที่เก็บของมากมายอย่างที่คิด
เมื่อติดตั้งโครงสร้างทั้งหมด และตรวจสอบคุณภาพโดยละเอียดแล้ว ASC ก็จะส่ง รถที่ประกอบสำเร็จ ไปยังท่าเรือ เพื่อส่งออกกลับมายังประเทศญี่ปุ่น รวมทั้ง ส่งไปยังโชว์รูมผู้จำหน่าย ในเขตอเมริกาเหนือ และลงเรือไปยังประเทศในแถบยุโรป
เวอร์ชันอเมริกาเหนือ เริ่มออกจากสายการผลิตของ ASC ครั้งแรก เมื่อวันที่ 26 กันยายน 1996 และพร้อมส่งถึงมือผู้จำหน่าย Toyota ในสหรัฐอเมริกา วันที่ 1 พฤศจิกายน 1996 ก็จริง แต่ดูเหมือนว่า จะมีลูกค้าบางประเทศที่ได้มีโอกาส สัมผัสกับรถคันนี้ ก่อนชาวอเมริกัน อีกเช่นเคย




3 กันยายน 1996 รุ่นเปิดประทุน Toyota Cynos CONVERTIBLE (รหัสรุ่น E-EL52C) ถูกเปิดตัวออกสู่ตลาดญี่ปุ่น ก่อนที่รถคันจริง จะคลอดออกจากสายการผลิตของทาง ASC Inc., กระนั้น กว่าที่ลูกค้าชาวญี่ปุ่นจะเริ่มรับรถได้ ก็ต้องรอช่วงครึ่งหลังของเดือนตุลาคม 1996 ซึ่งก็ถือว่า เร็วกว่าลูกค้าชาวอเมริกัน เพียงแค่ไม่เกิน 1-2 สัปดาห์ เท่านั้น
ด้านขุมพลัง ในเมื่อรุ่น Coupe มี เครื่องยนต์ให้เลือก 2 ขนาด ดังนั้น รุ่นเปิดประทุน Convertible ก็ควรจะมีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 ขนาด เช่นเดียวกัน แถมมาพร้อมกับระบบส่งกำลังแบบที่ไม่คิดว่าจะมีใครกล้าเซ็ตสเป็กแบบนี้ออกมาขายในเวลานั้นอีกด้วย
เครื่องยนต์ รหัส 4E-FE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,331 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 74.0 x 77.4 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.0 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด อีเล็กโทรนิคส์ EFI-D (Electronics Fuel Injection – D) กำลังสูงสุด ลดลงเหลือ 88 แรงม้า (PS) ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 11.8 กก.-ม.ที่ 4,600 รอบ/นาที วางอยู่ในรุ่น α (Alfa) มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ และ เกียร์อัตโนมัติ 3 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า
อัตราสิ้นเปลืองจากโรงงาน ตามพิกัดการทดสอบ 10-15 Mode ของรัฐบาลญี่ปุ่น (เวอร์ชันเก่า ความเร็วไม่เกิน 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง) รุ่นเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ทำได้ 19.2 กิโลเมตร/ลิตร เกียร์อัตโนมัติ ทำได้ 16.0 กิโลเมตร/ลิตร
– เครื่องยนต์ รหัส 5E-FHE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,496 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 74.0 x 87.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.4 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด อีเล็กโทรนิคส์ EFI- S (Electronics Fuel Injection – S) กำลังสูงสุด ลดลงจากรุ่นเดิม 5 แรงม้า เหลือ 110 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 13.9 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที วางอยู่ในรุ่น β (Beta) มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และ เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า นอกนั้น รายละเอียดด้านงานวิศวกรรม ทั้งพวงมาลัย ช่วงล่าง และระบบเบรก เหมือนกับรุ่น Coupe ทุกประการ

ไม่เพียงแค่รุ่นปกติเท่านั้น Toyota ยังเพิ่มรุ่นพิเศษ Toyota Cynos CONVERTIBLE YELLOW VERSION บนพื้นฐานของรุ่น 1.3 α เกียร์อัตโนมัติ 3AT แตกต่างจากรุ่นปกติ ด้วยสีตัวถังภายนอก เป็นสีเหลือง Super Bright Yellow (576) Trim ผ้าหุ้มเบาะและแผงประตู ลายพิเศษ สีฟ้า ตัดสลับเหลือง พวงมาลัยแบบ 4 ก้าน พร้อมถุงลมนิรภัยคู่หน้า Dual SRS Airbags เย็บหุ้มหนังด้วยด้ายสีเหลือง และ สติกเกอร์ Convertible สีแดง ที่ฝากระโปรงหลัง พร้อมกับ วิทยุ AM/FM เล่น Cassette Tape แบบ 4 ลำโพง ผลิตจำนวนจำกัด แค่ 150 คัน เท่านั้น
Cynos CONVERTIBLE พร้อมส่งมอบให้ลูกค้าชาวญี่ปุ่น ในเดือน ตุลาคม 1996 โดยราคาจำหน่าย ในญี่ปุ่น มีดังนี้
- 1.3 α เกียร์ธรรมดา 4MT 1,598,000 Yen
- 1.3 α เกียร์อัตโนมัติ 3AT 1,667,000 Yen
- 1.3 α เกียร์อัตโนมัติ 3AT Yellow Version 1,730,000 Yen *Limited 150 คัน
- 1.5 β เกียร์อัตโนมัติ 4AT 2,103,000 Yen
ส่วนตัวถัง Coupe มีการเพิ่มระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกระทันหัน ABS (Anti-Lock Brake System) และ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า Dual SRS มาให้ รวมทั้งเพิ่ม มาตรวัดสีขาว White Meter สไตล์ Sport มาให้ ในบางรุ่นย่อย มาให้พร้อมกัน

การปรับอุปกรณ์ ครั้งสุดท้าย เกิดขึ้น เมื่อ ธันวาคม 1997 เปลี่ยนมาใช้พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน ทรงสปอร์ต ทุกรุ่น ขณะเดียวกัน ก็เพิ่มรุ่น V-Package ให้กับ รุ่น 1.5 β เพิ่มล้ออัลลอย ระบบนำทาง GPS Navigation System เครื่องปรับอากาศแบบ Full Auto และเพิ่ม หลังคากระจก Moon Roof เป็นอุปกรณ์สั่งพิเศษ
Cynos เวอร์ชันญี่ปุ่น ยุติการทำตลาดในเดือนกรกฎาคม 1999 แต่ ยังมีรถยนต์ในสต็อกมากพอให้ โชว์รูมตัวแทนจำหน่ายทั่วญี่ปุ่น ขายต่อเนื่องได้ จนกระทั่ง หมดสต็อกลง ในเดือนธันวาคม 1999
—————————————————-








North American Version : Toyota PASEO 2nd Generation
October 1st, 1995 – April 1st, 1998
Toyota Motor Sales U.S.A., Inc., ประกาศเปิดตัว Paseo Generation ที่ 2 ในสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 1995 ในฐานะรถยนต์รุ่นปี 1996 ภาพรวมแล้ว ก็ไม่ได้ชวนให้ลูกค้ารู้สึกแตกต่างจากรถรุ่นเดิมมากนัก เวอร์ชันอเมริกาเหนือจะมีสีตัวถัง ให้เลือกทั้งหมด 7 สี ส่วนภายในจะใช้ผ้าเบาะสีเทา เพียงแบบเดียว
ภายในห้องโดยสาร ของเวอร์ชันอเมริกาเหนือ เปลี่ยนชุดมาตรวัด มาเป็นพื้นสีขาว ตัวเลขดำ เหมือนเวอร์ชันญี่ปุ่น แตกต่างกันที่ ใช้หน่วยวัดความเร็ว ทั้ง 2 แบบ คือ มีทั้ง แบบ ไมล์/ชั่วโมง และ กิโลเมตร/ชั่วโมง ซ้อนกัน สวิตช์เครื่องปรับอากาศ เป็นแบบ เลื่อน ส่วนผ้าหุ้มเบาะนั่ง จะเป็นโทนสีเทา สว่าง ซึ่งไม่เหมือนกับเวอร์ชันญี่ปุ่น
อุปกรณ์มาตรฐาน ของ Paseo เวอร์ชันอเมริกาเหนือ มีทั้ง ถุงลมนิรภัยคู่หน้า Dual SRS Airbags คานเหล็กเสริมในประตูทั้ง 2 บาน Side – impact Protection เพื่อลดผลกระทบจากการชนด้านข้าง ให้ผ่านมาตรฐานของ NHTSA โดยรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ในปี 1997 แผงประตูด้านข้างมี ช่องใส่แผนที่ ส่วนบริเวณคอนโซลตรงกลาง ใต้เครื่องปรับอากาศ และวิทยุ เป็นช่องวางแก้วแบบพับเก็บได้ แถมยังมี พนักวางแขนขนาดใหญ่ ที่ยังพอวางข้อศอกได้อยู่บ้าง และเมื่อเปิดยกขึ้นมา จะเป็นช่องเก็บแผ่น CD หรือ Cassette Tape อีกด้วย


ขุมพลังสำหรับตลาด North America มีเพียงแบบเดียว เป็นเครื่องยนต์ รหัส 5E-FE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,497 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 74.0 x 87.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.4 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด อีเล็กโทรนิคส์ EFI กำลังสูงสุด 93 แรงม้า (HP) ที่ 5,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 13.0 กก.-ม.ที่ 4,200 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรือ เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ
พวงมาลัยยังคงเป็นแบบ Rack and Pinion พร้อม Power ผ่อนแรงแบบ Hydraulic ระบบกันสะเทือนหน้า เป็นแบบ MacPherson Strut โดยรุ่น B จะเพิ่มเหล็กกันโคลงมาให้ (ไม่มีในรุ่น a) ส่วนด้านหลังเป็นแบบ คานบิด Trailing Twist Beam พร้อมเหล็กกันโคลง ระบบห้ามล้อ ด้านหน้าเป็น ดิสก์เบรก โดยรุ่น a จะเป็นจานเบรกธรรมดาๆ ส่วนรุ่น β (Beta) จะยังคงเป็นแบบมีครีบระบายความร้อน ส่วนด้านหลังเป็นดรัมเบรก Leading and Trailing
Toyota Motor Sales, U.S.A., Inc. ตั้งราคาขายแนะนำโดยผู้ผลิต MSRP (Manufacturer Suggest Retail Price) ของ Paseo ใหม่ ไว้ เริ่มต้นที่ $13,038 เหรียญสหรัฐฯ ถูกลง $1,000 เหรียญฯ หรือ 7.1 % เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นปี 1995




หลังออกจำหน่ายไปได้ เพียงไม่นานนัก Toyota Motor Sales, U.S.A., Inc. ประกาศ เมื่อวันที่ 1 มกราคม 1996 ถึงการเพิ่มรุ่นเปิดประทุนในชื่อ Toyota Paseo Convertible ซึ่งใช้เครื่องยนต์ 93 แรงม้า (PS) และงานวิศวกรรมต่างๆ เหมือนรุ่น Coupe ทุกประการ
นอกจากนี้ยังมีการปรับอุปกรณ์สำหรับ Paseo รุ่นปี 1997 โดยจะเพิ่ม กระจกแต่งหน้า ไว้ที่แผงบังแดด ทั้ง 2 ฝั่ง เปลี่ยนลายผ้่าบุแผงประตูทั้ง 2 บาน และ เพิ่ม ระบบ Heater แบบ Rotary Control แค่นั้น
ขณะเดียวกัน Paseo Convertible ก็เริ่มออกจากสายการผลิตของ ASC Inc., เมื่อวันที่ 26 กันยายน 1996 และเริ่มส่งขึ้นโชว์รูมตัวแทนจำหน่าย Toyota ในสหรัฐอเมริกา วันที่ 1 พฤศจิกายน 1996
หลังจากทำตลาด เพียงแค่ 2 ปี กับอีก 7 เดือน Toyota Motor Sales, U.S.A., Inc. ก็ตัดสินใจ ออกแถลงการ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 1998 ว่า จะถอน Paseo ออกจากตลาด เป็นการยุติบทบาทของ รถยนต์ Coupe 2 ที่นั่ง ขนาดเล็กสุด เท่าที่พวกเขาเคยสั่งนำเข้าไปจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา อย่างน่าเสียดาย (อ่านต้นฉบับเต็มได้ Click Here)
ถึงจะไม่ได้ให้เหตุผลที่ชัดเจนนัก แต่ชาวอเมริกันก็มอง Paseo ว่า ตัวรถแม้จะดูเป็น Coupe แต่ ขาดซึ่งมนต์เสน่ห์ สำหรับการดึงดูดใจวัยรุ่นชาวอเมริกัน อีกทั้ง เครื่องยนต์ ก็มีเรี่ยวแรงแค่ 93 แรงม้า ซึ่งเพียงพอแค่ให้ขับขี่ใช้งานในเมือง จากบ้าน ไปยังที่ทำงาน หรือโรงเรียนเท่านั้น หากจะเดินทางข้ามรัฐกัน พละกำลังก็ไม่เพียงพอสำหรับการเดินทางบน Freeway ดังนั้น ยอดขาย จึงไม่ดีเท่ารุ่นแรกก่อนหน้านี้
————————————————————-












European Version : Toyota PASEO
นอกเหนือจากตลาดอเมริกาเหนือ ทั้ง สหรัฐอเมริกา และ Canada แล้ว Toyota ยังส่ง Paseo ให้ Toyota Motor Europe รับไปช่วยขายในทวีปยุโรป บางประเทศ อันเป็นตลาดหลักที่ Toyota ยังได้รับความนิยมอย่างสูงอยู่ เช่น เยอรมนี โดย Toyota Motor Deutchland Gmbh. เปิดตัวในงาน IAA Frankfurt Motor Show เดือนตุลาคม 1995 และทำตลาดจนถึงสิ้นปี 1999










ส่วนใน Netherland ผู้นำเข้ารายใหญ่ LOUWMAN & PARQUI b.v. สั่ง Toyota Paseo ไปจำหน่าย ในเดือนมกราคม 1996 และมียอดขายแบบไม่หวือหวา ก่อนจะยุติการขายในปี 199
สำหรับ ตลาดในกลุ่มสหราชอาณาจักร รวมทั้ง อังกฤษ (UK Version) ออกสู่ตลาด วันที่ 26 พฤษภาคม 1996 โดยมีให้เลือก เพียง 2 รุ่นย่อย นั่นคือ รุ่นพื้นฐาน ST ซึ่งมีอุปกรณ์เท่าที่จำเป็น เน้นทำราคาประหยัด และรุ่น Si ซึ่งติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานดีขึ้นอีกเล็กน้อย
ขุมพลังของ Paseo รุ่นที่ 2 เวอร์ชัน Europe จะมีให้เลือกเพียงแบบเดียว เหมือนกันทุกประเทศ นั่นคือ เครื่องยนต์ รหัส 5E-FE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,497 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 74.0 x 87.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.4 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด อีเล็กโทรนิคส์ EFI กำลังสูงสุด 90 แรงม้า (PS) ที่ 5,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 130 นิวตันเมตร (13.24 กก.-ม.) ที่ 4,200 – 4,600 รอบ/นาที



เดือน เมษายน 1997 Toyota UK ออกรุ่นพิเศษ Toyota Paseo GALLIANO ตกแต่งด้วยสีตัวถัง เหลือง Unique Bright Yellow เปลือกกันชนหน้า-หลัง สีเดียวกับตัวถัง พร้อม Skirt หน้า และสปอยลอร์ด้านหลังรถ เพิ่ม Strip คาดข้างตัวรถทั้ง 2 ฝั่ง Sunroof แบบเปิด-ปิดได้ ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า ล้ออัลลอย ลายพิเศษ ขนาด 15 นิ้ว สวมยางจาก Pirelli เพิ่มมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ รีโมทกุญแจ พร้อมระบบกันขโมย วิทยุ AM/SM / Cassette Tape 4 ลำโพง พร้อมระบบกันขโมย RDS กระจกหน้าต่าง และกระจกมองข้างแบบปรับและพับด้วยสวิตช์ไฟฟ้า ราคาจำหน่ายหน้าโชว์รูม 14,995 ปอนด์สเตอร์ริง ทำตลาดในช่วงสั้นๆ ระหว่างเดือนเมษายน – ตุลาคม 1997 เท่านั้น
ด้วยยอดขายภาพรวม ที่ไม่ค่อยดีนัก เมื่อเทียบกับคู่แข่ง ซึ่งมีจุดเด่นเหนือกว่าในแทบทุกด้าน ทำให้ Toyota UK ยุติการทำตลาด Paseo รุ่น ST พร้อมกับรุ่นพิเศษ GALLIANO ในเดือนตุลาคม 1997 คงเหลือไว้แต่รุ่น 1.5 Si เพียงรุ่นเดียว ทำตลาดจนถึงปี 1999 เช่นเดียวกันกับ Toyota Motor Deutchland เยอรมนี และ LOUWMAN & PARQUI b.v. ใน Netherland ที่ยังคงลากจำหน่าย Paseo ต่อไปจนถึงปลายปี 1999
หลังยุติการทำตลาด Toyota UK สรุปยอดขาย ของ Paseo ทั้ง 2 Generation ว่ามียอดขายในสหราชอาณาจักร รวมทั้ง อังกดฤษ อยู่ที่เพียงแคต่ 2,601 คัน เท่านั้น

สายการผลิตของ Cynos และ Paseo ยุติลงในเดือน กรกฎาคม 1999 แต่ตัวรถในสต็อก ยังคงมีจำหน่ายต่อไปจนถึงเดือน ธันวาคม 1999
หลังจากหมดยุคของ Cynos / Paseo แล้ว เราก็แทบไม่มีโอกาสได้เห็น Toyota ทำรถยนต์นั่ง Coupe 2 ประตู ราคาประหยัดกันอีกเลย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า ความนิยมของรถยนต์ประเภทนี้ ลดลงเรื่อยๆทั่วโลก คนรุ่นใหม่ ซึ่งมีเงินไม่มากนัก เริ่มมองหารถยนต์ ที่มีรูปทรงใช้งานได้อเนกประสงค์มากกว่ารถยนต์ Coupe 2 ประตู ซึ่งมีพื้นที่ด้านหลัง อัตคัต แนวโน้มเช่นนี้เกิดขึ้นในทุกประเทศทั่วโลก จนทำให้รถยนต์ ประเภท Coupe ต้องถูกผลักขึ้นไปให้ทำตลาดเฉพาะกลุ่มคนมีเงิน ที่มีกำลังมากพอจะซื้อรถยนต์ระดับ Premium เท่านั้น
สาเหตุที่แท้จริง ที่ทำให้ Cynos / Paseo ไม่ประสบความสำเร็จ นั่นก็เพราะวิธีการคิดและทำรถขึ้นมา ให้เป็นเพียงทางเลือกหนึ่ง ของผู้บริโภค แต่ไม่ได้มีงบประมาณ และแรงสนับสนุนมากพอที่จะผลักดันให้กลายเ็นตัวตายตัวแทนของรถยนต์ แนว Performance Compact ในยุคต่อเนื่องจาก Corolla Levin / Sprinter Trueno อีกทั้ง โจทย์ในการออกแบบ ก็มุี่งเน้นเอาใจลูกค้าวัยรุ่น ที่ต้องการเพียงแค่ พาหนะสำหรับขับจากบ้านไปเรียบน หรือทำงานเป็นหลัก ตัวรถเองก็ออกแบบขึ้นมาโดยไม่ได้มีบุคลิกสปอร์ตมากพอให้วัยรุ่นหลงไหลและพากันเอาไปตกแต่งหรือ Modify เพิ่ม ทำให้ยอดขายจึงไม่สูงนัก
ทั้งหมดนี้ จึงทำให้ Toyota Cynos / Paseo กลายเป็นรถยนต์ Coupe ทรง Sport ขนาดเล็กที่ถูกลืม อย่างน่าเสียดาย
—————————-///—————————–

Special Thanks to :
- The Viper Danny Adidat สำหรับการแปลข้อมูลภาษาญี่ปุ่น
- Shina Ringo : สำหรับภาพประกอบ งาน Print Ad. ของ Paseo เวอร์ชันไทย
Reference : Motor Fan ฉบับ New Model No.96 Toyota CYNOS
————————————————————-
J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของ Toyota Motors Corporation
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
16 เมษายน 2025
Copyright (c) 2025 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
April 16th, 2025