ช่วงทศวรรษ 1980 (1980 – 1989) เป็นช่วงเวลาที่ ญี่ปุ่น กำลังพุ่งทะยานทางเศรษฐกิจ ถึงขีดสุด ความเจริญรุดหน้าทางเทคโนโลยี บริษัทรถยนต์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง มักจะนำกำไรจากความสำเร็จนี้มาสร้างโปรเจคต่าง ๆ ซึ่ง

Nissan เอง ก็เป็นผู้ผลิตรถยนต์ฝั่งญี่ปุ่น อีกรายหนึ่งที่มีสารพัดโปรเจกต์ใหม่ๆ ผุดขึ้นมาท่ามกลางความเบ่งบานของเศรษฐกิจแดนอาทิตย์อุทัยในห้วงขณะนั้น  นอกเหนือจากการเปิดตัว Nissan Be-1 Hatchback ท้ายตัด จำกัดจำนวนผลิต 10,000 คัน ในปี 1987 ตามด้วยการเปิดตัว Nissan Bluebird พร้อมเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ATTESA ในเดือน พฤศจิกายน 1987 ตามด้วย การเปิดตัว Saloon หรูอย่าง Cima ในเดือนมกราคม 1988 จนกลายเป็น รถยนต์ระดับ Luxury ที่โค่น Toyota Crown ลงได้ การเปิดตัว Nissan Silvia S13 ในเดือนมิถุนายน 1988 และสร้างตำนานการกลับมาเกิดอีกครั้งของรถสปอร์ตขับเคลื่อนล้อหลังระดับตำนาน การนำ ชื่อ Skyline GT-R ฟื้นคืนสู่ตลาด ในปี 1989 หรือการส่งรถยนต์น่ารักๆ อย่าง Nissan Pao กับ S-Cargo ออกสู่ตลาด ในปี 1989 ก่อนการถือกำเนิดของ Nissan Figaro ในฐานะรถยนต์ต้นแบบ ช่วงปลายปีเดียวกัน

นอกเหนือจากสารพัดโครงการดังกล่าวแล้ว ในเวลานั้น Nissan ยังแอบมีโปรเจกต์พิเศษ กับผู้ผลิตตัวถัง หรือ Coachbuilder จาก Italy ที่มีชื่อเสียงระบือโลก อย่างที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นได้ และผลผลิตที่ออกมานั้น ก็กลายมาเป็นรถยนต์หายากรุ่นหนึ่งในโลก

แต่…งานนี้ ทุกอย่าง เริ่มต้นด้วย แบรนด์ AUTECH…

AUTECH คืออะไร?

แรกเริ่มเดิมที Autech เป็นบริษัทลูกของ Nissan ถูกก่อตั้งขึ้นมื่อ 17 กันยายน 1986 ในรูปของบริษัท ซึ่งมีหน้าที่นำรถยนต์ของ Nissan มาดัดแปลงให้เป็นเวอร์ชันพิเศษ ในแนวหรู หรือ ติดตั้งอุปกรณ์พิเศษ ที่ไม่สามารถผลิตออกขายในจำนวนมากๆได้ หรือทำรถยนต์รุ่นพิเศษ เพื่อใช้ใจกิจกรรมต่างๆ พูดง่ายๆคือ Autech มาจากการที่ Nissan ต้องการสร้างบริษัทลูก เพื่อดำเนินการปรับแต่งรถของบริษัทในรูปแบบต่าง ๆ ในรูปแบบที่แปลก เข้มข้นและหลากหลายกว่า Nismo ซึ่งเน้นไปทางการแข่งขันเสียมากกว่า

งานหลักของ Autech ในปัจจุบัน เราอาจจะคุ้นเคยกันในฐานะชุดแต่งของรถ Nissan หลากหลายรุ่น แต่ในอดีตนั้น Autech เคยสร้างรถรุ่นพิเศษต่าง ๆ มากมาย เช่น Nissan Skyline 26 Autech Version อันเป็นการนำเอา Nissan Skyline R32 4 ประตู มาติดตั้งเครื่องยนต์ RB26 ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เฉพาะของ Nissan Skyline GT-R แต่ว่าถอดเทอร์โบชาร์จเจอร์คู่ออก เพิ่มอัตราส่วนกำลังอัด เป็นรถรุ่นพิเศษเฉพาะที่มีผลิตออกมาเพียงแค่ไม่ถึง 200 คัน

หรือการนำเอาเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังของ Nissan Skyline GT-R R33 ซึ่งปกติมีแค่ตัวถัง 2 ประตู มาติดตั้งในตัวถัง 4 ประตู สร้าง Nissan Skyline GT-R Autech Version 40th Anniversary หรือการนำเครื่องยนต์เดียวกันนี่ไปติดตั้งกับรถแวนคันใหญ่ Nissan Stagea ออกมาเป็นรุ่น Nissan Stagea Autech Version 260RS และ Nissan Silvia Varietta ซึ่งเป็น Silvia S15 เวอร์ชั่นเปิดประทุน ฯลฯ

ดังนั้นเราจึงสรุปได้เลยว่า ความโดดเด่นของ Autech เป็นรถรุ่นพิเศษเหล่านี้นั่นเอง ซึ่งรถรุ่นแรก ๆ ที่ Autech สร้างขึ้น ก็เป็นรถลักษณะแบบนี้เช่นกัน

AUTECH กับ ZAGATO มาร่วมงานกันตั้งแต่เมื่อไหร่?

27 พฤษภาคม 1987 Autech ได้จับมือกับ Zagato บริษัทผู้ผลิตตัวถัง หรือ Coachbuilder ชื่อดังจาก Italy ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการสร้างตัวถังพิเศษให้กับรถยนต์หลากหลายแบรนด์มาตั้งแต่ปี 1919 อาทิ Alfa Romeo Fiat Lancia Maserati ฯลฯ ลงนามร่วมกันในข้อตกลง เพื่อพัฒนารถสปอร์ตระดับหรู โดยตั้งเป้าหมายเพื่อเน้นจำหน่ายในตลาดญี่ปุ่น

ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว Autech จะรับผิดชอบด้านเครื่องยนต์ และ โครงสร้างพื้นรถ (แชสซีส์) ส่วน Zagato จะดูแลเรื่องงานออกแบบทั้งภายนอกและภายใน รถคันนี้ ถูกสร้างขึ้นบน Platform ของ Nissan Leopard F31 (1986 – 1992) และถูกตั้งชื่อว่า Autech Zagato Stelvio AZ1

Autech Zagato Stelvio เป็นรถรุ่นพิเศษที่มีดีไซน์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์สไตล์ Zagato ตัวถังนั้นถูกสร้างจากอลูมิเนียม และใช้วิธีขึ้นรูปตัวถังในลักษณะงานประกอบด้วยมือ (Handmade) ตามสไตล์การสร้างตัวถังรถยนต์รุ่นพิเศษแบบดั้งเดิมที่ยึดถือเป็นขนบมาแต่โบราณกาล

ตัวรถมีความยาว 4,370 มิลลิเมตร กว้าง 1,800 มิลลิเมตร สูง 1,345 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,615 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า 1,465 มิลลิเมตร ควมกว้างช่วงล้อคู่หลัง 1,455 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวรถ 1,560 กิโลกรัม ถังน้ำมันความจุ 60 ลิตร

ภายในห้องโดยสาร มีการนำชิ้นส่วนอะไหล่บางรายการ ถอดยกจาก Leopard F31 มาติดตั้งทั้งดุ้น อาทิช่องแอร์ ระบบไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ แผงสวิตช์ต่างๆ คันเกียร์อัตโนมัติ คันเบรกมือ ฯลฯ ส่วนพวงมาลัยดั้งเดิมนั้นเป็นแบบ 3 ก้าน

ขุมพลังยกมาจาก Leopard Ultima V30 Turbo และ 300ZX เป็นเครื่องยนต์ รหัส VG30DET เบนซิน V6 DOHC 24 วาล์ว 2,960 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 87 x 83 มิลลิเมตร กำลังอัด 8.5 : 1 หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ พ่วง Turbocharger กำลังสูงสุด ถูกปรับปรุงให้แรงขึ้นจาก 255 เป็น 280 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 402 นิวตันเมตร (41 กก.-ม.) ที่ 2,800 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ

สุดยอดรถยนต์หายากรุ่นหนึ่งของญี่ปุ่น คันนี้ ออกสู่สายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรก ในปี 1989 และมียอดผลิตรวมทั้งหมดเพียง 203 คัน (3 คันในจำนวนนี้ เป็นรถยนต์ต้นแบบ) ทว่า ด้วยปัญหาด้านต้นทุนที่สูงขึ้นมาระหว่างการพัฒนา ท้ายที่สุด Zagato Autech Stelvio ก็ถูกผลิตขึ้นมาเพียงแค่ 104 คัน เท่านั้น

และที่น่าทึ่งไปกว่านี้คือ Autech Zagato Stelvio ไม่ใช่รถรุ่นเดียวที่เกิดจากความร่วมมือครั้งนี้ ในปี 1991 Autech และ Zagato ได้ปล่อยรถมาอีกรุ่นหนึ่งซึ่งใช้แพลตฟอร์ม และเครื่องยนต์รวมทั้งระบบส่งกำลังของ Leopard F31 เช่นเดิม ในชื่อ Autech Zagato Gavia โดยรถรุ่นนี้มีงานดีไซน์ที่อาจเรียกได้ว่า “ปกติ” มากขึ้น แต่ก็ยังคงไอเดียเช่นเดิมเอาไว้ ตัวถังอลูมิเนียมทำมือ ทำให้ราคาจำหน่ายสูงลิบลิ่ว มีการคาดการณ์ว่ามี Zagato Gavia อยู่เพียงประมาณ 16 – 20 คัน บนโลกนี้เท่านั้น

ส่วน AUTECH นั้น ล่าสุด 17 ธันวาคม 2021 ที่ผ่านมา Nissan ประกาศ ควบรวมกิจการของ Autech เป็นส่วนหนึ่งของ Nismo (Nissan Motorsport International) โดยการควบรวมดังกล่าวเสร็จสิ้นไปแล้ว เมื่อ 1 เมษายน 2022 ที่ผ่านมา และ ผลงานล่าสุดของ Autech ในเมืองไทย ก็คือ Nissan Kicks e-Power Autech ซึ่งเพิ่งเปิดตัวในบ้านเราไปหมาดๆ นี่เอง

—————-///—————-

Photo : www.jbclassiccars.com