[รูปในบทความนี้ คัดมาเฉพาะบางส่วน สำหรับท่านที่ต้องการโหลดรูปภาพ ขอเชิญลิงค์ที่ท้ายบทความได้เลยครับ]


ความเป็นมาของกิจกรรม Let’s Rock the ROCCO

หลังจากที่ Headlightmag ได้ลองจัดกิจกรรมรวมกับผู้อ่านมาหลายครั้งโดยพยายามผสมเอาบรรยากาศแบบการมีตติ้งชาวเว็บ รวมเข้ากับการทดลองขับรถ พูดคุยกันอย่างเปิดเผยไม่ต้องเยินยอ เราประสบผลสำเร็จกับกิจกรรมร่วมกับค่าย Suzuki ในช่วงต้นและกลางปีที่ผ่านมา เราพิสูจน์ได้ว่า เมื่อถอดเรื่องการนำเสนอผลิตภัณฑ์แบบ Hard sell และเปลี่ยนไปเป็นการ “ปล่อย” ให้ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสกับรถแล้วก่อเกิดความคิดเองนั้น แม้นมิได้ส่งผลต่อยอดขายหรือการเป็น Talk of the town แต่มันเป็นกิจกรรมเล็กๆ ที่ให้ประโยชน์ด้วยกันทุกฝ่าย คนอ่านได้ขับ ทีมเว็บเราได้พบปะผู้คน และทีมงานจากบริษัทรถแม้กระทั่งบอสใหญ่ก็มีโอกาสได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อ่านโดยตรง อาจกล่าวได้ว่าบางท่านแอด Facebook กลายเป็นเพื่อนกันไปแล้วด้วยซ้ำ

ในเวลาต่อมา เราได้รับการติดต่อจาก Toyota ค่ายรถที่มียอดขายมากที่สุดของประเทศ ซึ่งผู้คนที่ติดตามวงการรถมักจะเข้าใจว่าเป็นค่ายที่มีอำนาจสูง ไม่จำเป็นต้องแคร์ใคร เพราะต่อให้โลกนี้ไม่มี Headlightmag รถของพวกเขาก็สามารถขายทำยอดอันดับ Top 3 ได้อยู่แล้ว

แต่ในความเป็นจริง Toyota ก็มีความต้องการที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ของตัวเองด้วยการใช้ช่องทางที่เหมาะสมกับกลุ่มผู้ชม ในกรณีของ Headlightmag นั้น ทางผู้บริหารที่ดูแลองค์กร และสายงานรถยนต์พาณิชย์มีความคิดมานานแล้วว่าภายในสิ้นปี 2018 พวกเขาอยากจะลองจัดกิจกรรมแบบที่พวกเราเคยทำมาบ้าง แน่นอนว่าไม่ได้หวังยอดขาย ไม่มีการแจกนามบัตรเซลส์หรือตั้งโต๊ะรับจอง แถมผู้บริหารยังให้อิสระในการจัดงานโดยที่ไม่ได้เอ่ยขอให้พวกเราช่วยเชียร์ผลิตภัณฑ์ แต่พูดแค่ว่า “งานนี้เราต้องการให้มันเป็นสไตล์ของ Headlightmag ไม่ใช่สไตล์ Toyota พวกคุณทำไปเลย..ทำแบบที่พวกคุณตั้งใจ”

คำกล่าวนั้นทำให้เรารู้สึกสบายใจขึ้น และทำให้เราเชื่อว่า ภายใต้ภาพลักษณ์ที่คนมององค์กรนี้ว่าอนุรักษ์นิยม ก็ย่อมมีคนที่คิดแตกต่างกันออกไปและกล้าที่จะปล่อยให้ผู้บริโภคสัมผัสด้วยตัวเองมากกว่าที่จะมานั่งพยายามทำให้ลูกค้าเชื่อว่ารถของพวกเขาดีที่สุด แต่ให้จองเลยโดยไม่ต้องขับ

คุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในแนวคิดการนำเสนอผลิตภัณฑ์ลักษณะนี้มากขึ้นไปอีกในอนาคต

ว่าแล้ว Toyota ก็ส่งโจทย์มาให้..พวกเขามีของมาให้เราลอง ซึ่งก็คือ Toyota Hilux Revo ROCCO ซึ่งถึงแม้จะเปิดตัวมาสักพักแล้ว แต่เมื่อไม่นานมานี้ ก็เพิ่งจะมีการอัปเดตประจำปี ตัดรุ่นย่อยออกบางรุ่น เพิ่มระบบ Telematics ในรุ่นสูง และที่สำคัญก็คือ เพิ่มรุ่นย่อยทางเลือกใหม่ กับเครื่องยนต์พิกัดความจุ 2.4 ลิตร ในราคาที่ถูกลงเมื่อเทียบกับรุ่น 2.8 ลิตรจนอาจจะทำให้หลายคนต้องคิดทบทวนหลายๆหนถึงส่วนต่างแสนกว่าบาทกับความคุ้มค่าที่ได้

เอ๊ะ ผมบอกหรือยังครับว่ารถ ROCCO 2.4 นั้น ยังไม่ได้มีการจัดทัพรถทดสอบให้สื่อมวลชนอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ ดังนั้นการที่ Toyota นำรุ่นย่อยนี้มาให้ผู้ร่วมงานได้ขับกันก่อน ก็ต้องถือว่าเป็นผู้โชคดีกลุ่มแรกๆของประเทศที่ได้เหยียบคันเร่ง ROCCO 2.4 นี้

สำหรับทีมงาน Organizer ของเรา งานนี้ก็ยังคงอำนวยการโดยทีมจากบริษัท Win Win Win Everything พี่กรณ์พิทักษ์ และทีม Instructor เจ้าเดิมจากงาน Suzuki ซึ่งหลายท่านมีประสบการณ์กับสนามแข่งและสนามโคลนมาแล้ว

ที่บอกว่าสนามโคลน..เพราะว่างานนี้เราจัดเป็นแบบ Twin Course โดยใช้พื้นที่ของสนามมอเตอร์สปอร์ตพาร์ค สุวรรณภูมิ ในส่วนหลังแทร็ค ทีมพี่กรณ์พิทักษ์เอารถขุดรถไถรถตักมาเนรมิตสนามออฟโรดแบบ Beginner ที่สั้น ปลอดภัยสำหรับมือใหม่ (กว่า 90% ของผู้ร่วมงาน 100 ท่าน ไม่เคยขับบนพื้นที่ออฟโรดมาก่อน) แต่กระนั้นก็ยังมีความยากในบางส่วน ชนิดที่ถ้าใช้ความเร็วไม่ถูก หรือหยุดรถโดยไม่จำเป็น ก็อาจจะต้องรบกวนเอารถไถนี่แหละลากออกมา ดูเหมือนมันง่าย แต่ไม่ใช่สำหรับทุกคนหรอกครับ

สำหรับด่านออฟโรด เราจำเป็นต้องใช้รถที่มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และถ้าให้ดีก็ต้องมี Rear Diff-Lock ด้วย ดังนั้นฝูงรถ ROCCO 2.8 4×4 จึงถูกเรียกมาให้บริการท่านผู้เข้าร่วมงานในด่านนี้

ส่วนแทร็คทางเรียบล่ะ? จะปล่อยให้หมาแมวมาวิ่งเล่นกันก็คงเสียดาย ดังนั้นจึงจัดแจงวางกรวย ทำเป็นสนาม Short course ให้ทดสอบสมรรถนะการตอบสนองของพวงมาลัยและช่วงล่าง แม้จะใช้ความเร็วไม่เกิน 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ความเร็วแค่นี้ในถนนที่แคบ โค้งที่หักเป็นวงกลม ก็สร้างสภาพที่ท้าทาย Dynamic ของตัวรถได้

และนี่คือด่านที่ Toyota ส่ง ROCCO 2.4 รุ่น Prerunner 4 ประตูเกียร์อัตโนมัติมาให้เราลอง และถ้าคุณคิดว่าเรากำลังหาของง่ายมาให้คนอ่านเล่นแบบเซฟตัวกลัวตาย ช่วยอย่าลืมด้วยว่า ROCCO 2.4 ไม่มีระบบช่วยเหลืออิเล็กทรอนิกส์อย่าง VSC/TRC นะครับ ดังนั้นไม่มีอะไรให้พึ่งพานอกจากฝีมือกับความกล้า

กลุ่มผู้อ่านของเราที่มาร่วม คือผู้โชคดีจากการคัดเลือก 100 ท่านจากจำนวนใบสมัครเกือบ 250 ใบ ซึ่งแน่นอนว่าทีมคัดเลือกของ Headlightmag กับ Toyota ใช้เวลารวมกันจริงๆเกือบ 3 วัน เพราะงานนี้ไม่ใช่งานวัยรุ่น ไม่ใช่งานเสี่ย ไม่ใช่งานสิงห์คะนองนา แต่เราต้องการให้มีกลุ่มคนหลากวัยหลายแนวทางชีวิต เพื่อที่จะได้รับทราบความแตกต่างในแง่มุมที่พวกเขาเหล่านั้นมองรถ 1 คัน

ลักษณะของการทดสอบ

TRACK COURSE (ROCCO 2.4 2WD)

  • การเข้าโค้งแคบความเร็วต่ำแรงเหวี่ยงสูง
  • เข้าโค้งขนาดกลาง รัศมีโค้งเหมือนถนนสายรองตามภูเขา
  • การวิ่งสลาลอม มีการปรับระยะกรวยให้ยาวขึ้นกว่าครั้งที่จัดงาน Swift เนื่องจากขนาดตัวของ Revo ที่โตและยาวมาก
  • การทดสอบอัตราเร่งออกตัว กดคันเร่งจม/กดแบบครึ่งคันเร่ง/แบบปกติ
  • การเปลี่ยนเลนแบบรุนแรง
  • ทดสอบเบรก ABS

OFF-ROAD COURSE (ROCCO 2.8 4WD)

  • การไต่เนินชัน และใช้ระบบ HAC กันไหลถอยลงเนิน
  • การลงจากเนิน และใช้ระบบ DAC ควบคุมความเร็วขณะลงเนินโดยอัตโนมัติ
  • การทดสอบวิ่งทางโคลน
  • การทดสอบวิ่งบนทางขรุขระ (Rock Canal)
  • การจำลองสภาพออฟโรดที่มีการแขวนล้อ (ล้อยก 2 ข้างในลักษณะไขว้) เพื่อทดสอบ Rear Diff-Lock
  • ทดสอบการลุยน้ำ

สิ่งที่ไม่ได้ครอบคลุมในการทดสอบครั้งนี้

  1. การทดสอบด้วยความเร็วสูงกว่า 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง
  2. การทรงตัวที่ความเร็วสูง
  3. การกระโดดจัมพ์สะพานแบบมอเตอร์เวย์ด้วยความเร็วสูง
  4. การทดสอบพร้อมการบรรทุกสินค้า/วัสดุมีน้ำหนักด้านท้าย (พูดง่ายๆคือวิ่งตัวเปล่า)

 

***FEEDBACK จากผู้เข้าร่วมกิจกรรม***

เช่นเดียวกับที่ผมเคยทำสมัยงาน MG5 Driving Experience, SWIFT Standout นั่นก็คือการขอความร่วมมือ (บางครั้งก็ขู่เข็ญ) ให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมช่วยออกความเห็น ทั้งในแง่ดี และส่วนที่รถคันนั้นๆ ยังไม่น่าพอใจในสายตาของพวกเขา โดยที่ไม่ต้องไปอ้างอิงอะไรจากรีวิวของ Headlightmag

ถ้าให้ออกมาพูดชมอย่างเดียว ผมเชื่อว่าไม่มีประโยชน์… Product ใดๆก็ตามที่ออกมาแล้วมีข้อตำหนิ แต่ไม่มีใครยอมพูด Feedback ที่จะกลับไปยังบริษัทก็คือ “เราทำมาดีแล้ว” ซึ่งถ้าคิดและพูดวนเวียนกันอยู่อย่างนี้ต่อไป มันก็ไม่มีใครเล็งเห็นความสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเอง

เหมือนกับถ้าเรามีเศษอาหารติดอยูข้างแก้ม ถ้าไม่มีใครกล้าบอกเราตรงๆ (แต่ไม่หยาบ) เราก็จะมีเศษนั่นติดไปตลอด การบอกกล่าวในเชิงที่นำไปต่อยอดเพื่อปรับปรุงได้ต่างหากล่ะ คือกุญแจไขประตูสู่พัฒนาการที่ยั่งยืน

ต่อไปนี้ ผมจะนำเสนอสิ่งที่เป็นความคิดและคำพูดของบรรดาผู้เข้าร่วมงาน Swift Standout โดยนำเสนอเป็นความเห็นกระแสหลัก แล้วค่อยตามด้วย Comment จากผู้ที่ได้ลองขับ/ลองนั่งรถ ถ้าคุณพบว่าความเห็นบางข้อย้อนแย้งกัน ก็อย่าได้แปลกใจเพราะมันอาจจะมาจากคนละคนกันก็ได้ และยิ่งในกรณีของ Revo ROCCO..

ผมเจอคนที่ความเห็นค้านกันเยอะมาก..ไม่เหมือนสมัยที่เราทำกิจกรรมกับ Suzuki แต่ก็ต้องขอบอกไปตามที่คนอ่านท่านว่าครับ

สิ่งที่รู้สึกดีกับตัวรถ

  1. รุ่น 2.4 ลิตร อัตราเร่งช่วงออกตัวดีกว่าที่คาด ไม่ต้องกดคันเร่งลึกๆก็พุ่งออกตัวดี มีพละกำลังดีในรอบต่ำและกลาง
  2. การตอบสนองของพวงมาลัยดี น้ำหนักและความไวเหมาะสมสำหรับประเภทของรถ
  3. การตอบสนองของคันเร่ง เป็นธรรมชาติกว่าและไวกว่าคู่แข่งเจ้าตลาดอีกเจ้า
  4. เบาะนั่งและตำแหน่งการขับขี่ ดีกว่าที่คิด ชอบที่ปรับพวงมาลัยได้ 4 ทิศ
  5. หลายท่านที่ขับ Vigo ในชีวิตประจำวัน พูดตรงกันว่าช่วงล่างกระด้างน้อยลง แต่เวลาสั่งให้เลี้ยว รถกลับเกาะถนนดีขึ้น
  6. หลายท่านที่เคยขับกระบะยี่ห้ออื่น แต่ไม่เคยขับกระบะ Toyota คาดเอาไว้ว่า Revo จะเป็นรถที่แหกลงข้างทางง่าย ควบคุมยาก แต่พบว่าที่จริง แม้จะไม่ใช่กระบะที่ช่วงล่างดีที่สุดของตลาด แต่การทำให้ Revo หมุนหรือเสียหลัก ไม่ได้ง่ายอย่างที่คนในเน็ตชอบพูดกัน
  7. ภายในรถ ดูมีความลดต้นทุนน้อยกว่า Vigo วัสดุหลายจุดน่าพอใจ
  8. ดีไซน์ภายนอกของรุ่น ROCCO ทำให้รถดูน่าซื้อขึ้นกว่ารุ่นปกติ โดยเฉพาะรุ่น 2.8 ที่ใช้ล้อ 18 นิ้วลายเฉพาะรุ่น
  9. รุ่น 2.8 ในด่านออฟโรด ขับง่ายกว่าที่คิดมาก (มีผู้ร่วมงานที่เป็นสุภาพสตรี และไม่เคยขับออฟโรดเลยในชีวิต สามารถผ่านได้ทุกด่าน – แค่ต้องเลือกเกียร์กับโหมดช่วยต่างๆให้ถูก)

สิ่งที่รู้สึกว่ายังปรับปรุงให้ดีขึ้นได้

  1. ROCCO 2.4 ควรมีระบบช่วยเหลือการทรงตัว VSC และระบบ TRC มาให้ ไม่น่าตัดออกเพราะราคารถก็เกือบล้าน Toyota เองมีรถที่ราคาถูกกว่านี้และมี Safety System ครบในราคาที่ไม่แพง (Yaris) ถ้า Yaris ทำได้ ROCCO 2.4 ก็ควรจะได้ด้วยเหมือนกัน
  2. ROCCO 2.4 อัตราเร่งไม่ค่อยดีพอ รู้สึกเหมือนรถหนัก (กรณีนี้มีทั้งท่านที่บอกว่า “ไม่ดีพอ” และท่านที่บอกว่า “รอบต่ำถึงกลางดี แต่รอบปลายเหี่ยว”)
  3. ความมั่นใจที่ได้จากช่วงล่างยังไม่เท่าคู่แข่งบางเจ้า
  4. ช่วงล่างมีอาการยวบเทเวลาเข้าโค้งแรงๆ
  5. ช่วงล่างมีอาการดีดที่ด้านหลัง เหมือนรถเซ็ตมาเพื่อบรรทุกหนัก เมื่อวิ่งตัวเปล่าจึงสะเทือนมาก
  6. บรรยากาศภายใน ค่อนข้างธรรมดา (หลายท่านมองว่า ROCCO ควรมีภายในที่พิเศษกว่ารุ่นปกติ อยากให้ต่างกันเท่าๆกับที่ Ford Ranger XLT ต่างจาก Wildtrak อย่างไรก็อย่างนั้น)
  7. เกียร์คิกดาวน์แล้วตอบสนองช้าไปนิด
  8. ล้อของรุ่น ROCCO 2.4 ที่ใช้ล้อลายเดียวกับรุ่น G นำมาพ่นสีเข้ม ไม่ค่อยสวย น่าจะให้ล้อลายเฉพาะของ ROCCO เหมือนกันตั้งแต่ 2.4-2.8

ตัวอย่าง Comment อย่างทางผู้อ่าน

(ปรับเล็กน้อยเพื่อลดความยาวและลบคำหยาบไม่เป็นทางการออก-ขออนุญาต)

“ในคอร์สทางเรียบ ผมได้มีโอกาสลองขับรุ่น 2.4 ROCCO การตอบสนองของคันเร่งตอนจุ่มมิด คิดช้าไปนิด แต่ไม่ได้ช้าจนน่าเกลียดแบบรถคันเร่งไฟฟ้ายุคแรกๆ แต่ถ้าแตะครึ่งคันเร่งหรือเบาๆ โอเคเลย ตอบสนองกำลังดี พวงมาลัยนี่ก็เป็นจุดเด่นของ Revo แม้จะยังเป็นเพาเวอร์แบบไฮดรอลิกแต่ตอบสนองดีมาก เลี้ยวได้ดังใจสั่ง ช่วงล่างดีกว่า Vigo วันนี้ผมลอง Slalom และ Lane change ดูบนความเร็ว 60 กม./ชม. เรื่องอาการโยนตัวมันดีกว่า Vigo ถ้าขับเร็วเพิ่มโช้คอัพแต่งสักชุดน่าจะลงตัว” [Anucha C.]


“ก่อนหน้านี้ไม่ได้คิดอะไรกับกระบะค่ายนี้อยู่แล้ว เข้าใจว่าเครื่องดี แต่ช่วงล่างยังไม่ได้จบ เป็นรถที่ทน นี่คือความคิดก่อนขับมัน แต่หลังจากขับน่ะเหรอ เออ Setting พวงมาลัยดีเลย น้ำหนักมันได้ แม้จะยาวๆหน่อยตามนิสัยแบบ Toyota แต่มันต่างกับรุ่นที่แล้วมาก ส่วน Body Rigidity ยังสู้ Ranger ไม่ได้ สำหรับ Revo นี่ผมว่าช่วงล่างหน้ามันจบโอเค ส่วนข้างหลังแข็งเด้งแบบดุ่ยๆเหมือนเผื่อไว้บรรทุกของเยอะ รุ่น 2.4 กำลังสมตัว ไม่รู้เพราะการเซ็ตคันเร่งหรือเปล่าทำให้มันทันเท้าดี คือถ้าใช้ในเมืองโอเคนะ ถ้าอยากแรงขึ้นก็คงต้อง 2.8 ภายในก็ดูดีกว่าสมัย Vigo เยอะ แต่ควรปรับเรื่อง Package ความปลอดภัยในรุ่น 2.4 ถุงลม 6 ใบ VSC/TRC ก็ควรจะมีให้” [Pleum N.]


“ช่วงล่าง เซ็ตมาแนวนุ่ม แต่ไม่ถึงกับย้วย ทำให้สัมผัสได้ถึงองศาการเอียงของตัวรถที่ค่อนข้างมากขณะเข้าโค้ง ผมเคยขับ BT-50 Pro และคิดว่า Revo จะอันเดอร์สเตียร์ง่ายกว่า ส่วนการเปลี่ยนเกียร์ลื่นไหลดี แต่ยังมีบางจังหวะที่ตอบสนองแปลกๆเช่นเวลากดคันเร่งลึก แต่จะเจอแบบนี้ใน Power Mode ถ้าเป็น Normal Mode ไม่มีปัญหา แรงบิดช่วงต้น ตัว 2.4 นี่มาไวมาก แต่ถ้ารอบเกิน 3,600 รอบ/นาทีไปแล้วแรงไม่ค่อยมี โดยภาพรวมถือว่าการขับขี่โอเค อยู่ในเกณฑ์รับได้ มีทั้งจุดดีและจุดด้อย เพียงแต่อยากให้เพิ่มระบบ VSC ในรุ่น 2.4 ROCCO ให้มีเหมือน 2.8 ส่วน Off-road station ผมลองตัว 2.8 4×4 AT ก็พอเข้าใจเหตุผลแล้วว่าทำไม Toyota ต้องทำช่วงล่างให้ยืดยุบตัวได้ง่าย คือคนที่ขับสายซิ่งต่างร้องยี้แต่มันมีผลต่อการขับแบบ Off-road ด้วย Toyota เองก็คงต้องเอาใจคนกลุ่มนี้อยู่ไม่น้อย” [Yutthapichai P.]


“ผมไม่เคยขับ Off-road มาก่อนเลย แต่ใช้คันเร่งเบาๆ รถก็มีแรงไต่เนินดินชันได้ ส่วนระบบช่วยคุมความเร็วเวลาลงเนิน ผมคิดว่าความเร็วที่ได้มันยังสูงไปสักนิด แต่นอกนั้นผมว่าไม่น่ากลัวเลย เจอเนินล้อแขวนก็ใช้คันเร่งเบาๆก็ผ่านได้ ได้มีโอกาสลอง Diff-lock ด้วยก็รู้สึกว่ามันผ่านไปง่ายมากขึ้น ส่วนด่าน On-road ที่ให้ขับตัว 2.4 ผมว่ามันดีกว่าที่คิดไว้พอสมควรเลย ตอนแรกคิดว่ามันต้องคุมยาก รถต้องโคลง ท้ายออกง่าย แต่กลับโคลงน้อยกว่าที่คิด และไม่เจออาการท้ายปัดเลย ขนาดเบรกในโค้งแบบจิกให้น้ำหนักรถเทมาด้านหน้า คิดว่าท้ายจะออก แต่ไม่ออก จะแต่อาการหน้าดื้อซะมากกว่า พวงมาลัยน้ำหนักดี ทำให้ผมรับรู้อาการของตัวรถว่าเป็นอย่างไรอยู่ เครื่องยนต์มีแรงถีบออกดีกว่ากระบะรุ่นก่อนๆที่เคยขับมา ไม่รอบรอบ แรงช่วงรอบกลางก็ดี รอบปลายจะเหี่ยวๆ แป้นเบรกผมว่าน้ำหนักต้านเท้าเบาไป แต่โดยสรุปผมว่ามันไม่ได้แย่อย่างที่คิด ขับง่าย ควบคุมง่าย ลองแล้วรู้สึกดีกับกระบะโตโยต้ามากขึ้น” [Tor W.]


“พอลองขับปุ๊บ เห้ย Toyota เขาทำการบ้านเรื่องช่วงล่างมาดีขึ้นเยอะนะรู้สึกได้ตั้งแต่ตัวรถนิ่มขึ้น (ผมเคยใช้ Vigo มาก่อน) การเข้าโค้งก็ดีขึ้น แต่อัตราเร่งผมว่าตัว 2.4 ยังไม่ดีเท่าที่ควร ออกตัวไม่ค่อยมีแรง แต่เบรกเอาอยู่ อาการรถดีกว่า Vigo แบบรู้สึกได้ แต่ผมชอบหน้าปัดของ Vigo มากกว่า Revo นี้มันดูเบี้ยวไปเบี้ยวมา เบาะเหมือนจะบางลงกว่า Vigo แต่ภาพรวมของอุปกรณ์ต่างๆที่ให้มา ดูดีขึ้น [Sirapluke P.]

บทสรุปของกิจกรรม HEADLIGHTMAG presents : Let’s Rock the ROCCO

แม้ว่ารูปแบบกิจกรรมจะแตกต่างออกไปจากงานที่เราเคยจัด ด้วยข้อจำกัดเรื่องขนาดของรถ แต่ก็ชดเชยด้วยการเพิ่มคอร์สออฟโรดเข้ามาให้ ทำให้ผู้อ่านหลายท่านที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้ สามารถลองได้โดยไม่ตื่นกลัวเกินเหตุ บางท่านได้ลองวิ่งไปรอบหนึ่งแล้วเหลือเวลา ก็กลับไปวิ่งซ้ำ 2-3 รอบเพราะรู้สึกชอบ เท่ากับว่าตัวผู้อ่านเองก็เริ่มรู้สึกอยาก “ซน” และค้นหาตัวรถมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องใช้เทคนิคการขายใดๆ เข้าช่วยซ้ำ

ผมและทีม มีหน้าที่สนับสนุนในด้านรายละเอียดผลิตภัณฑ์ และให้ความเห็นในลักษณะเดียวกันกับเวลาเราเขียนรีวิว หรือทำคลิป เป็นสิ่งที่เรารู้สึกสบายใจที่จะทำ โดยไม่ต้องกลัวว่าทาง Toyota จะไม่ชอบ เพราะเขาบอกแล้วว่าอยากได้สไตล์ Headlightmag และเปิดโอกาสให้เราเป็นตัวของเราเอง

แม้การจัดกิจกรรมจะมีความยุ่งยากซับซ้อน และไม่ได้ก่อให้เกิดยอดขายอย่างเป็นรูปธรรม มีต้นทุนที่สูง มีการรับรู้ในระดับสาธารณะแค่เป็นวงแคบ แต่ผู้เข้าร่วมกิจกรรม มีโอกาสได้สัมผัสกับตัวรถในระดับที่ลึกกว่า ตามที่พวกเราเชื่อว่าประสบการณ์ทำให้คนจดจำได้ดีกว่าแค่ตัวอักษร การจัดงานครั้งนี้ เรามองว่าเป็นแนวทางที่เราต้องการจะไป ตราบใดก็ตามที่เราและคนอ่านยังได้รับอิสระในการแสดงความเห็นที่ตรงไปตรงมา เราก็อาจจะมีการจัดกิจกรรมแบบนี้ได้อีกในอนาคต แต่ถ้าถึีงวันใดที่เราหมดสิทธิ์พูด เราก็คงเลิกทำไป

ต้องขอบคุณทั้งผู้อ่านที่เชื่อในแนวทางของเรา และทีมบริษัทรถยนต์หลายท่าน ที่มีความปราถณาในการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์บนพื้นฐานของความเหมาะสมที่ผลิตภัณฑ์มีต่อผู้บริโภค มากกว่าแค่จะขายกันในแบบยัดความเชื่อกันในอดีต

—-////—-

***LINK ดาวน์โหลดรูปภาพกิจกรรม***

** รูปทั้งหมด สงวนสิทธิ์โดยคุณแบงก์ กาญจนวิลัย / Toyota Motor ประเทศไทย / Headlightmag อนุญาตให้โหลดไว้ดูเล่นได้ แต่ไม่ยินยอมให้มีการนำไปใช้ในเชิงการค้าขาย พาณิชย์ ธุรกิจอื่นที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้สงวนสิทธิ์ทั้งสามฝ่าย **