ลืมทุกสิ่งที่คุณเคยเห็น ลืมทุกความเป็น Isuzu ในแบบเจ้าชายลูกทุ่งที่คุ้นเคย ลืมความเชยในแบบเฉิ่มๆ
และจงลืมทุกสิ่งที่คุณเคยด่าทอ Isuzu เอาไว้บนโลก อินเตอร์เน็ต ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา ทิ้งไปให้หมด!!!

เพราะวันนี้ 29 กันยายน 2011 เป็นวันที่ Isuzu ตัดสินใจ เปลี่ยนภาพลักษณ์ และการทำตลาดรถกระบะ
ของตน ครั้งใหญ่ที่สุด เท่าที่พวกเขาเคยทำมา ถือเป็นการ พลิกโฉมหน้าวงการรถกระบะเมืองไทยให้
มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬารอีกครั้งในรอบ 9 ปี

ผมไม่ได้โอเวอร์ หรือยกยอ Isuzu จนเกินจริง เพราะบรรยากาศในการเปิดตัว Isuzu D-Max Modelchange
รุ่นใหม่หมด สำหรับคนทั้งโลก ช่วงหัวค่ำที่ผ่านมา มันอลังการงานสร้าง และสลัดความจากความเชยเฉิ่มจิต
ในแบบเดิมๆ ทิ้งไปจนเกลี้ยง! ไม่มีพรีเซ็นเตอร์หน้าเก่าๆ เหลืออยู่เลย งานนี้พวกเขาไม่ใช้พรีเซ็นเตอร์
ทั้งสิ้น เพราะลำพังตัวรถเอง ก็มีจุดขายมากล้นจนสารภาพเลยว่า ผมจำได้ไม่หมด!!

งานนี้ ก็เลยเลือกจะขอนำเสนอ เรื่องราวของ D-Max ใหม่ ในมุมมองของผม ซึ่งจะแตกต่างจากบทความ
หรือข่าวของเว็บอื่นๆ สื่ออื่นๆ ที่คุณๆได้อ่านกันผ่านตาไปแทนแล้วกันครับ

การปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ครั้งใหม่นี้ ถึงแม้จะอยู่บนพื้นฐานแพล็ตฟอร์มแนวทาง Hard sale อยู่ แต่
Isuzu ทำได้อย่างดี และดูดีมีสไตล์ขึ้นมากๆ แค็ตตาล็อก เปลี่ยนแนวทางการ Layout ใหม่ทั้งหมด
จากเดิมที่วางกันแบบเละๆ ฟอนท์ตัวอักษร อะไรก็ไม่รู้ มาลงตัวดูดี มีความเป็นคนเมืองมากขึ้น และ
เสริมภาพลักษณ์ของ Isuzu ให้ดูดีขึ้น แม้แต่ภาพยนตร์โฆษณา พวกเขาก็ไม่ได้ใช้บริการโฆษก
เจ้าประจำ คุณจักรพันธ์ ยมจินดา มาได้พักใหญ่แล้ว ตั้งแต่ก่อนปรับโฉม ครั้งล่าสุดนั่นอีก แถมใน
งานวันนี้ ยังมีการนำเสนอแบบ จอกว้าง 270 องศา มีน้ำพุ กลางเวที ฯลฯ อีกมากมาย ขนาดนักร้อง
ที่มาขับกล่อมในงาน ก็ยังเป็น คุณ ดา แอ็นโดรฟิน เลย! แถม Video Presentation ก็ยังทำออกมาได้
น่าดู แม้จะยาว 15 นาที แต่ก็ยังสะกดคนดูให้ดูอย่างต่อเนื่อง ไม่รู้สึกเบื่อ หรือเหนื่อย และมีมุมกล้่อง
การตัดต่อ การถ่ายทำที่ร่วมสมัยใช้ได้ เรียกว่า คราวนี้ พลิกโฉมทั้งตัวรถ และการทำตลาดกันทั้งกระบวน!

ย้อนอดีตกลับไปสักเล็กน้อย ผมยังจำได้เลยว่า ในช่วงค่ำวันที่ 31 พฤษภาคม 2002 อันเป็นวันที่ Isuzu
เปิดตัว D-Max รุ่นที่แล้ว นั่นคือวันที่ผมยังไม่ได้รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างสะใจมากเท่านี้มาก่อน

แม้ว่า D-max รุ่นที่แล้ว จะทำยอดจำหน่าย เฉพาะในเมืองไทย ได้มากกว่า 1.2 ล้านคัน และถ้ารวมยอด
ส่งออกไปในประเทศต่างๆ จะมียอดจำหน่ายมากกว่า 2 ล้านคัน ถือได้ว่า ตอบรับอย่างดีเยี่ยม จากลูกค้า
ทั่วโลกก็ตาม แต่ด้วยการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ทำให้ Isuzu เริ่มมองเห็นว่า ถ้าจะลากยาวทำตลาดรถรุ่นเดิม
ต่อเนื่องไปเหมือนเช่นรุ่นก่อนหน้านี้ ที่ลากขายกันมายาวถึง 14 ปีนั้น เห็นที่จะก่อปัญหาให้บริษัทใน
ระยะยาวแน่ๆ และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้ Isuzu ตัดสินใจทำรถกระบะ D-Max ใหม่ รุ่นนี้ออกมาในที่สุด


รุ่น V-Cross อันเป็นรุ่น ขับเคลื่อน 4 ล้อ ทั้งแบบ 4 ประตู และ Super Space Cab บานแค็บเปิดได้

Mr. M Tamasawa กรรมการ และหัวหน้าวิศวกร Isuzu Technical Center of Asia เล่าถึงความเป็นมาในการ
พัฒนารถรุ่นนี้ว่า งานออกแบบเริ่มต้นขึ้นหลังจากย้ายฐานการพัฒนา รถกระบะใหม่ มาอยู่ที่เมืองไทย เมื่อ
2- 3 ปีที่ผ่านมา การย้ายศูนย์พัฒนารถกระบะ มาอยู่ใกล้ชิดตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก อย่างเมืองไทย ทำให้ทีม
วิศวกร และทีมออกแบบ สามารถทำงานใกล้ชิด ฝ่ายวางแผนการตลาด ฝ่ายวิจัยและพัฒนา ฝ่ายผลิต เพื่อให้
ตอบโขทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างครบถ้วน เพราะ ประสบการณ์ 30 ปี ทำให้ Isuzu ตระหนักว่า
ถ้าทำรถออกมาให้คนไทย ชอบได้ ก็จะทำให้คนทั้งโลกชอบได้เช่นกัน นั่นคือที่มาของประโยคในการโฆษณา
ครั้งนี้ว่า “Pickup for the Whole world” หรือรถปิคอัพของคนทั้งโลก

การทำงานของพวกเขา เริ่มขึ้นจากการย้อนกลับไปศึกษาว่า สิ่งใดที่ทำให้รุ่นปัจจุบันขายดี ผู้บริโภคชอบและ
ไม่ชอบในประเด็นไหนบ้าง และดูความเคลื่อนไหวของคู่แข่งทุกค่าย แล้วรวบรวม นำข้อมูลมาแบ่งหมวดหมู่
ออกเป็น 120 ประเภท เพื่อใช้ในการพัฒนารถรุ่นนี้

เป้าหมายในการพัฒนา มี 4 หัวข้อสำคัญคือ เน้นความสะดวกสบาย ตัวรถต้องมีบุคลิกและอารมณ์สปอร์ต
ทันสมัย แต่ยังต้องมีรูปทรงมั่นคงหนักแน่น และยังคงความเป็น “มิตรร่วมทาง” คำหลังนี่สำคัญนะครับ
สำหรับผู้ใช้รถกระบะที่จะต้องขับรนถ กิน นอน ใช้ชีวิตกับรถ ในภาคขนส่งนั้นเยอะมาก และคนกลุ่มนี้
ก็อยากได้รถที่มีความเป็นมิตรในการใช้งานมากที่สุดเท่าที่จะเป้นไปได้

รูปลักษณ์ภายนอก มาในแบบ Aggressive Form ใช้หลักการออกแบบ 3 มิติ เห็นเส้นสายคมสันราวกับ
มัดกล้ามต่อเนื่องรอบคันเน้นเรื่อง อากาศพลศาสตร์ เพื่อช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในทางอ้อม
ยกระดับความทนทาน และเพิ่มความปลอดภัยมากกว่าเดิม เน้นให้เส้นสาย ดูมีความทรงพลังแบบบุรุษ
ได้แรงบันดาลใจ จากนักกีฬา ที่มีมัดกล้ามกระชับได้รูป ซึ่งสะท้อนจากแนวเส้นครึ่งท่อนล่าง ไปจนถึง
ด้านหน้ารถ รวมทั้ง โป่งล้อที่ใหญ่ขึ้นรูป และผานความ อ่อนช้อยแบบสตรี ด้วยแนวเส้นสายในช่วง
ครึ่งคันด้านบน แถมมีแนวเส้นคาดข้าง ซึ่งจะไม่สังเกตเห็นได้ในภาพถ่าย Spyshot ชุดที่ผ่านตากันมา
แต่บอกเลยว่า พอไปเจอคันจริง ผมมองเห็นว่า รถคันนี้ ถ่ายรูปหนะไม่สวย แต่ถ้าเห็นคันจริงแล้ว
คุณจะชอบกว่ารุ่นเดิมชัดเจน!

ตัวถังในรุ่น 4 ประตู กับ 2 ประตู มีความยาวเท่ากัน คือ 5,190 มิลลิเมตร กว้างเท่ากันคือ 1,860 มิลลิเมตร
แต่ความสูงต่างกัน หากเป็นรุ่น 2 ประตู V-Cross Z จะสูง 1,780 มิลลิเมตร ถ้าเป็นรุ่น V-Cross Z Prestige
จะสูงขึ้นอีกเป็น 1,790 มิลลิเมตร แต่ถ้าเป็น 4 ประตู V-Cross Z จะสูงขึ้นเป็น 1,840 มิลลิเมตร และถ้าเป็น
4 ประตู V-Cross Z Prestige จะสูงเป็น 1,850 มิลลิเมตร

ส่วนรุ่นยกสูง Hi – Lander ทั้ง 2 และ 4 ปนะตู จะมีความยาว และกว้างเท่ากันกับ V-Cross 4×4 ทั้ง 2 ตัวถัง
ยกเว้นความสูงที่จะลดลงเล็กน้อย เหลือ 1,795 มิลลิเมตร

แต่ในรุ่น Cab 4 และ Super Space Cab ที่มีบานแค็บเปิดได้ (เป็นครั้งแรกของ Isuzu ที่มีบานแค็บกับเขาเสียที)
จะมีความยาวเท่ากับรุ่นอื่นๆข้างต้น แต่ความกว้างจะลดลงเหลือ 1,775 มิลลิเมตร และมีความสูง 1,690 มิลลิเมตร

ส่วนรุ่น Spark กระบะส่งของ หากเป็นรุ่น Cab Chassis จะยาว 5,040 มิลลิเมตร แต่ถ้าเป็นรุ่นกระบะมาตรฐาน
Spark แท้ๆ จะยาว 5,215 กว้าง และสูง เท่ากันกับรุ่น Cab-4 และ Super Space Cab

ส่วนระยะฐานล้อทุกรุ่นทุกตัวถัง ทุกระบบขับเคลื่อน ยาว 3.095 มิลลิเมตร เท่ากันทั้งหมด

ภายในห้องโดยสาร คิดแบบนอกกรอบตั้งแต่เริ่มต้นออกแบบ โดยใช้แนวทาง ท้ั้ง Universal Design คือ
การออกแบบสิ่งของ ในชีวิตประจำวัน คำนึงถึงรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ เพื่อเน้นให้เป็นมิตรกับผู้ใช้
ทั่วโลก raku raku : สบายๆ ,kantan : ง่ายๆ และ Anata Shidai :สไตล์ใครสไตล์มัน กำหนดสรีระที่
เอาใจทั้งคนเอเซีย และยุโรป

ตัวอย่างเช่น ประเด็น ทัศนวิสัย ในรถรุ่นเดิม ความสูงของเบาะเตี้ยไปหน่อย สำหรับคนยุโรป ไม่มีปัญหา
แต่สำหรับคนไทย และคนเอเซีย นั่นจะทำให้นั่งลำบาก ควบคุมรถไม่ไดีดี ในรถรุ่นใหม่ จึงปรับปรุงตำแหน่ง
เบาะนั่งใหม่ ไม่เว้นแม้แต่ตำแหน่ง และมุมนต่างๆของฝากระโปรง รวมทั้งแผงคอนโซลจนได้ทัศนวิสัยที่ดีขึ้น

งานนี้ ทีมออกแบบ เล่นใช้วิธี บันทึกวีดีโอเทป พฤติกรรมการขับขี่ของลูกค้าชาวไทย หลายๆคน แล้วนำมา
ออกแบบอุปกรณ์ต่างๆภายในรถ ยกตัวอย่างเช่น ช่องเก็บของอเนกประสงค์ และช่องวางแก้วน้ำหลายจุด
เป็นผลจากการศึกษาพฤตติกรรมด้วยวิธีการดังกล่าว

รุ่น 4 ประตู Hi-Lander สีดำ และ สีเงิน ภายในสีเบจ

อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ การตกแต่งด้วยวัสดุ และการเลือกโทนสีภายใน หากเป็นรุ่น 4 ประตู V-Cross 4×4 หรือบรรดา
รุ่นท็อปทั้งหลาย เบาะจะเป็นหนัง สีน้ำตาลเข้ม ผิวสัมผัสก็พอกันกับเบาะรถเก๋งระดับราคา 8 – 9 แสนบาทประกอบ
ในเมืองไทย นั่นละครับ แต่ถ้าเป็นรุ่น Hi-Lander 4 ประตู จะเป็นผ้าสีเบจ Hi-Lander กับ Super Space Cab เป็น
เบาะผ้าสีดำ และรุ่น Spark ส่งของ เป็นสีเทา แถมเบาะคนขับของบางรุ่น ยังปรับได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า 6 ทิศทาง

ภายในเปลี่ยนใหม่หมด เบาะนั่ง ทรง Bloster Seat ที่ต้องขอชมเชยคือ เบาะนั่งด้านหลัง มีมุมเอียง ไม่ตั้งตรงเหมือน
รถรุ่นเก่าแล้ว การรองรับบั้นเอว และก้น ถือว่าทำได้ค่อนข้างดี แต่ถ้านั่งทางไกลยาวๆ มีเมื่อยแน่ๆ เพราะยังต้องนั่ง
ชันเข่านิดๆ ทอีกเรื่องที่ถือว่าดีมากๆ คือ ตำแหน่งการวางแขนบนแผงประตูทั้ง 4 ทำมาดี มากๆ พอดีท่อนแขน ส่วน
พนักพิงเบาะหลัง พับเก็บได้ แม้จะสั่นไปหน่อย แต่วางแขนได้สบายพอดีกำลังช่วงไหล่ของผมเลย! ที่เหนือชั้น
กว่ารถกระบะคันอื่นก็คือ เบาะรองนั่งด้านหลัง ยกขึ้นได้แบบ Honda Jazz เป๊ะ! สำหรับใครที่คิดจะซื้อต้นไม้มา
ปลูกที่บ้าน และคิดจะใส่ในห้องโดยสาร แถมยังพับได้ในอัตราส่วน 60 : 40 เพื่อให้เข้าถึงพื้นที่เก็บของด้านหลังสุด
ได้อีกด้วย

ชุดมาตรวัด แบบ Super Vision แตกต่างไปจาก Chevrolet Colorado ชัดเจน แบ่งมาตรวัด ฝั่งซ้ายเป็นมาตรวัดรอบ
เครื่องยนต์ ส่วนฝั่งขวา เป็นมาตรวัดความเร็ว ใช้ Font ตัวเลขที่อ่านง่ายกว่า และสบายตาในยามค่ำคืนกว่า เจ้าคู่แฝด
Colorado ใหม่แน่นอน อันนี้ยืนยันให้เลย มีจอ Multi Information Display แสดงผลเป็นภาษาไทย รายแรกของ
เมืองไทย!! (บ้ามาก! สุดยอด!) ในรุ่นท็อปของแต่ละตัวถัง จะมีระบบนำทาง i-Genii ติดตั้งมาให้ ที่มาพร้อมกับ
กล้องส่องภาพด้านหน้าและหลัง (เป็นอุปกรณ์สั่งพิเศษ) และที่เหนือกว่านั้นคือเป็นรถกระบะรายแรกในเมืองไทย
ที่ติดตั้งสวิชต์เครื่องปรับอากาศแบบ Digital มาให้ (รายที่ 2 ก็ Colorado ใหม่นั่นละ) นอกจากนี้ ชุดเครื่องเสียงใน
รุ่นมาตรฐาน ซึ่งเป็น Front ของ Kenwood ทำให้แผงน้าปัดดูสวยงามขึ้นอีก และยังมีรุ่นท็อป ที่มาพร้อมระบบ
เสียงแบบ Surround พร้อมสวิชต์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย มาให้อีกด้วย! ทั้งหมดนี้ มีใหื้เลือกได้แยกตาม
รุ่นย่อยและแบบตัวถังที่แตกต่างกัน

น่าสังเกตอยู่เรืองนึงก็คือ Isuzu ไม่ค่อยเน้นการพุดถึงเครื่องยนต์มากเท่าไหร่ ในการแถลงข่าว ซึ่งดูจะ
เป็นเรื่องที่แปลกไปจากปกติ คงเพระากลัวว่า สื่อสารมากไป คนจะเบื่อ เอาเท่าที่จำเป็นก็พอ แต่ใน
ภาพยนตร์โฆษณา 30 วินาที ซึ่งจะออกอากาศวันที่ 14 ตุลาคมนี้ คุณจะได้เห็นการพูดถึงเครื่องยนต์
Ddi แน่นอน

ทั้งที่จริงๆแล้ว ขุมพลังของ Isuzu D-Max Modelchange ทั้ง 3 แบบ มันก็ยังคงเป็นพื้นฐานจาก
เครื่องยนต์เดิม ที่คุ้นตากันมาดีแล้วนั่นละครับ แต่มีการปรับปรุงจากเดิมไปมากพอสมควร โดยยัง
เป็นบล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ระบายความร้อนยด้วยน้ำ อย่างไรก็ตาม Isuzu เคลมว่าเปลี่ยนมา
ใช้ระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิง Common Rail เป็น Generaton 3.5 รองรับมาตรฐานไอเสีย Euro 5 มีให้
เลือก 3 ระดับความแรง

รุ่นล่างสุด รหัส 4JK1-TC 2,499 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 95.4 x 87.4 มิลลิเมตร กำลังอัด 18.1 : 1  
พร้อม Turbocharger และ Intercooler กำลังสูงสุด 116 แรงม้า (PS) ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
280 นิวตันเมตร (28.53 กก.-ม.) ที่ 1,800 – 2,200 รอบ/นาที
มีเฉพาะเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ มีใน
ตัวถัง กระบะส่งของ Spark และรุ่น Super Space Cab

รุ่นกลาง รหัส 4JK1-TCX ความจุกระบอกสูบ ช่วงชักต่างๆ เท่ากัน กำลังอัดเท่ากัน แต่เปลี่ยนมาใช้
Turbocharger แบบ แปรผันครีบ VGS และ Intercooler แรงขึ้นเป็น 136 แรงม้า (PS) ที่ 3,600 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด เพิ่มขึ้นเป็น 320 นิวตันเมตร (32.6 กก.-ม.) ที่ 1,800 – 2,200 รอบ/นาที
มีในรุ่น 2 ประตู
Hi Rider และบานแค็ขเปิดได้ทั้งหลาย รวมทั้งรุ่น 4 ประตู ขับ 2 และขับ 4 ล้อ และมีทั้งเกียร์ธรรมดา
5 จังหวะ กับเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ

ส่วนรุ่นแรงสุด เป็นรหัส 4JJ1-TCX 2,999 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 95.4 x 104.9 มิลลิเมตร กำลังอัด
17.3 : 1  พร้อม Turbocharger VGS และ Intercooler 177 แรงม้า (PS) ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
380 นิวตันเมตร (38.72 กก.-ม.) ที่ 1,800-2,800 รอบต่อนาที
มีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ
5 จังหวะ พร้อมระบบ Rev-Tronic เลือกเปลี่ยนโหมดบวก – ลบได้

พละกำลังจะน้อยกว่าคู่แข่งรุ่นใหม่ๆ เล็กน้อย แต่ Isuzu มองว่า “เทคโนโลยีไม่ใช่ประเด็น จะเพิ่มกำลังเท่าไหร่ก็ได้
คำถามคือ แรงม้าเท่าไหร่ลูกค้าจะพอใจที่สุด โดยเฉพาะ ลูกค้าที่เหลือรุ่น 2.5 ลิตร มักให้ความสำคัญ กับความประหยัด
และความคุ้มค่า กับความทนทานที่สุด ทำอย่างไรให้เครื่องยนต์ ต้องแรง และประหยัดไปพร้อมๆ กัน” ผลลัพธ์ ก็เลย
ออกมาเป็นตัวเลขพละกำลังอย่างที่เห็นในรุ่น 2.5 VGS Turbo อันเป็นเครื่องยนต์ตัวหลักในการโปรโมทช่วงแรก
นับจากนี้ไปนั่นเองครับ

D-Max ใหม่ มีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ 5 จังหวะ พร้อมโหมดบวก-ลบ และมี Rev-Tronic
ซึ่งจะจดจำพฤติกรรมการขับขี่ และพยายามปรับรูปแบบการเปลี่ยนเกียร์ให้สัมพันธ์กับลักษณะการขับ
Isuzu เรียกว่า Isuzu INSIGHT (ถามจริงๆเถอะ คุยกับ Honda มาก่อนแล้วใช่ไหม ถึงจะใช้ชื่อเนี้ย?)

ด้านสมรรถนะการควบคุม พวงมาลัยเป็นแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ไฮโดรลิกผ่อนแรงช่วย
แกนพวงมาลัยสามารถยุบตัวได้ อัตราทดเฟือง 41.1 : 1 รัศมีวงเลี้ยว 6.3 เมตร ค่อนข้างกว้างอยู่ แต่ด้วย
ขนาดตัวรถที่ยาวขึ้นก็พอเข้าใจได้

ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบอิสระ ปีกนก 2 ชั้น พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง ช็อกอัพแก็ส ส่วน
ด้านหลัง เป็นตับแหนบรูปวงรี ช็อกอัพแก็ส (แหนบ เหนือเพลา) ปรับปรุงให้เกาะถนนดีขึ้น และยังมีความ
นุ่มนวลในแบบของ Isuzu ที่ลูกค้าคุ้นเคย

จุดเด่นที่สำคัญ อยู่ที่อุปกรณ์ด้านความปลอดภัย ถึงแม้ระบบเบรกจะเป็นแบบ หน้าดิสก์ หลังดรัม แต่หม้อลมเบรก
ก็เพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้นเป็น 10.5 นิ้ว แถมยังมีตัวช่วย ทั้งระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock Brake System)
ระบบกระจายแรงเบรกตามน้ำหนักบรรทุก EBD ระบบเพิ่มแรงเหยียบเบรกในภาวะฉุกเฉิน Brake Assist ซึ่ง
จะมีมาให้ ในหลายๆรุ่น แต่ในรุ่นท็อปทั้งหลาย จะเพิ่ม ระบบควบคุมเสถียรภาพ ESC (Electronic Stability
Control) มาให้ (ขณะที่ Vigo Champ เพิ่งถอด VSC ออกไปจากรุ่นท็อป เพราะตัวท็อปของเขาขายไม่ค่อยออก)  
นอกจากนี้ ยังเพิ่มระบบป้องกันล้อหมุนฟรีขณะออกตัว TRC Traction Control ซึ่งอยากจะบอกว่า คุณผู้อ่าน
ของเราท่านหนึ่ง ซึ่งเคยประสบอุบัติเหตุ เอา DMax รุ่นเดิม ไปหมุน แล้วมีจักรยานยนต์มาเสียบใต้ท้องรถจน
คนขี่เสียชีวิต แล้วเรียกร้องให้รถกระบะ ควรมี Traction Control มาให้ได้แล้วเสียที วันนี้ Isuzu เขาใส่มาให้คุณ
แล้วนะครับ! อ้อ แล้วมีถุงลมนิรภัยคู่หน้ามาให้ ในบางรุ่นด้วย

 
สิ่งที่หลายคนสงสัย และคาใจ กับ Isuzu ก็คงมีไม่กี่คำถาม ผมก็เลยรวบรวมจากช่วง
Q & A ถามสดกับผู้บริหารชาวญี่ปุ่น และพี่หมู ปนัดดา เจณนวาสิน ขุนพลของ Isuzu
แปลญี่ปุ่น เป็นไทย ให้สดๆ มาได้เพียงบางข้อ ดังนี้

Q : จะมี เครื่องเบนซินมีไหม?
A : ไม่มีแผนผลิตรถเครื่องยนต์เบนซินแต่อย่างใด

Q : แล้วสนใจเรื่อง ก๊าซ CNG บ้างไหม?
A : สนใจ แต่กำลังอยู่ในระหว่างการศึกาและพัฒนาอยู่

Q : ถ้าใครจองรถรุ่นเก่าไป เจอรถรุ่นใหม่ แล้วชอบ สามารถเปลี่ยนใบจองเป็นรุ่นใหม่ได้ไหม?
A : ได้ แต่อาจมีเงื่อนไขเพิ่มเติม

Q : จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว และสึนามิ ทำให้การผลิตชิ้นส่วนส่งมายังไทย ชะงักงัน ล่าช้าบ้าง
คำถามคือ ในเมื่อมียอดของ D-Max รุ่นเก่าเหลืออยู่อีกเยอะ ดังนั้นเคลียร์ยอดค้างส่งได้ทันสิ้นปีไหม?
A : เราไม่สามารถให้คำตอบได้ เพราะยอดค้างส่งเรามีมาก จะพยายามเคลียร์ให้ได้มากที่สุด แต่ไม่อาจ
รับปากว่าเคลียร์ได้หมดภายในสิ้นปี Isuzu ต้องขออภัยลูกค้าเป็นอย่างสูง ต่อความล่าช้าในครั้งนี้

Q : Isuzu ถึงขั้นตั้งโงงานใหม่ เพื่อรองรับการรผลิตรถกระบะโดยเฉพาะเลยเหรอ?
A : ใช่ แต่บนพื้นที่โรงงานปัจจุบันของ Isuzu สำหรับผลิตรถบรรทุกขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ ที่
นิคมอุตสาหกรรม Gateway นั่นแหละ โรงงานใหม่มูลค่า 6,500 ล้านบาท จะเริ่มงานในช่วงปลายปี
ช่วยเพิ่มยอดผลิตให้เราได้ 200,000 – 250,000 แสนคัน รวมยอดส่งออกแล้ว ถ้านับเฉพาะในบ้านเรา
อย่างเดียว ปีนี้ตั้งแต่ต้นปี ก็ทำตัวเลขมาได้แล้วถึง 140,000 คัน โรงงานใหม่จะเริ่มต้นการส่งออก
ไปยังตลาดดลก ตั้งแต้นปีหน้า โดยตลาดหลักของ Isuzu นอกเหนือจากไทยแล้ว จะอยู่ที่ดินแดน
ตะวันออกกลาง เป็นอันดับ 1 รองลงมาคือ ยุโรป เป็นเบอร์ 2

Q : จะมีรุ่น PPV ตามออกมาเมื่อไหร่
A : พี่หมู ปนัดดาตอบเองเลยว่า “ถ้าจะตัดสินใจซื้อ MU-7 ก็ทำได้เลยค่ะ เพราะว่า MU-7
จะไม่มีรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันแต่อย่างใดทั้งสิ้นในรอบ 2 ปีนี้”

ทั้งหมดนั้นคือ รายละเอียด ที่คัดกรองมาแต่เฉพาะส่วนที่เป็นเนื้อหาจริงๆ ตัดส่วนที่เป็นน้ำออกไปยเอะ
ทำอย่างไรได้ครับ รายละเอียดจุดขายของรถรุ่นใหม่นี้ มันมีเต็มคันไปหมดเลย แต่คำถามก็คือ เจ้าตลาด
จัดเต็มขนาดนี้ แล้วคู่กัดตลอดกาล Toyota Hilux VIGO Champ ละ จะเหนื่อยหอบแฮกกันเลยหรือไม่
เรายังไม่รู้ครับ ว่าผลจะเป็นอย่างไร ต้องดูตัวเลขยอดขาย 3 เดือนนับจากนี้

งานในค่ำคืนวันนี้ จัดได้อย่างดีมาก เสียดายที่ ผมไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสลองขับ D-Max ใหม่ กับเขาหรือไม่
เพราะ Isuzu มีนโยบายไม่ปล่อยรถให้สื่อมวลชน ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร ถ้าเป็นเพราะว่า มันจะ
ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายสิ้นเปลืองในบริษัท จากการเตรียมรถ Demo เติมน้ำมัน และต้องจ่ายค่าประกัน ถ้าชนหรือ
พังขึ้นมา ก็จะไม่มีรถให้ยืมใช้กันอีก จนกว่าจะซ่อมเสร็จ

แต่ ในเมื่อ ผมมองว่า วันนี้ D-Max ใหม่ พยายามแก้ไขจุดด้อยเก่าๆ ในรถรุ่นเดิม ออกเสียจนเกลี้ยงได้มาก
ขนาดนี้ คำถามคือ ทำไมยังไม่ปล่อยรถทดลองขับให้สื่อมวลชนกันอีกละครับ? คือ พอผมคิดจะขอยืม
มาทำรีวิว ก็ไม่แคล้วได้รับคำตอบว่า “เราไม่มีนโยบายปล่อยรถทดสอบค่ะ”

แล้วจะให้สื่อมวลชนช่วยกันกระจายคุณงามความดีของตัวรถ? ผมว่า มันถึงเวลากันแล้วหรือยังที่ Isuzu บริษัท
ซึ่งกล้าคิดใหม่ทำใหม่ เปลี่ยนตัวเองไปหได้เยอะมากในค่ำคืนนี้ จะลองมาทบทวนนโยบายนี้ดูอีกสักที
เพื่อที่ว่า สุดท้ายแล้ว Isuzu อาจได้กลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้น จากคนใน Headlightmag.com ก้ได้

ใครจะไปรู้ละ เนาะ!

————————————–///—————————————–