หลังจากที่ KIA EV6 ได้รับเสียงตอบรับอันดีงามจากสื่อมวลชนยานยนต์ รวมไปถึงได้รับรางวัล Car Of The Year 2022 ในภูมิภาคยุโรปมาสดๆ ร้อนๆ พวกเขาก็ได้แถลงการณ์แผนในอนาคตอันใกล้นี้ โดยพุ่งเป้าไปที่ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าหลากหลายรุ่น รวมไปถึงการบุกตลาดสำคัญๆ ทั่วทุกมุมโลก เริ่มจากการตั้งเป้าที่จะขายรถยนต์ให้ได้ 3.15 ล้านคันในปี 2022 นี้ และเพิ่มเป็นจำนวน 4 ล้านคัน ในปี 2030 ด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากรถกลุ่มรักสิ่งแวดล้อม ได้แก่ รถ EV รถ Plug-in Hybrid (PHEV) และ Hybrid (HEV) ซึ่งมีการตั้งเป้าให้รถกลุ่มนี้กวาดยอดขายให้ได้มากถึง 52% ของยอดขายทั้งหมด

แน่นอนว่าตั้งเป้าไว้สูงขนาดนี้ ทาง KIA ต้องมีแผนที่จะเปิดตัวกองทัพรถพลังงานไฟฟ้ามากรุ่นอย่างแน่นอน ได้แก่ รถ EV ที่จะผลิตจัดจำหน่ายทั่วโลกทั้งหมด 14 รุ่น ภายในปี 2027 นี้ โดยจะทยอยเปิดตัว ปีละประมาณ 2 รุ่น นับตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นไป ไฮไลท์สำคัญอยู่ที่ รถกระบะ EV จำนวน 2 รุ่น รวมไปถึงรถ EV ที่ทุกคนจับต้องได้อีก 1 รุ่น

Ho Sung Song CEO กล่าวว่า “ขณะนี้พวกเราอยู่ในขั้นตอนการปรับเปลี่ยนในหลายแง่มุม ทั้งอัตลักษณ์ของแบรนด์ โลโก้ แนวทางการออกแบบรถยนต์ รวมไปถึงนโยบายต่างๆ ในอนาคต เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายการเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่พร้อมรับมือกับโลกอนาคต และเพิ่มการเข้าถึงลูกค้าด้วยการผลิตที่เน้นให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง”

ในปี 2023 นี้ จะมีการเปิดตัวรถ SUV ขนาดใหญ่ที่มีความยาวตัวถังกว่า 5 เมตร รุ่น EV9 ที่สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 5 วินาที และยังมีระยะทางวิ่งสูงสุด 540 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง ที่สำคัญยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี OTA (Over the Air) และ FoD (Feature on Demand) เป็นรุ่นแรก ที่ทำให้เจ้าของรถสามารถซื้อฟังก์ชั่นตัวรถเพิ่มได้ รวมไปถึงระบบขับขี่อัตโนมัติขั้นสูง AutoMode เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

สำหรับเทคโนโลยีนี้ KIA จะทยอยติดตั้งอย่างแพร่หลายจนครบทั้งไลน์อัพในปี 2026 และตั้งเป้ายอดขายสะสมของรถ EV ให้ได้มากถึง 1.2 ล้านคัน โดย 80% ของยอดขายนี้ คาดว่าจะมาจากตลาดหลักอย่าง เกาหลี อเมริกาเหนือ ยุโรป และ จีน ซึ่งยอดขาย EV จะคิดเป็นสัดส่วน 45% ของยอดขายทั้งหมดในแต่ละภูมิภาคของกลุ่มนี้

พวกเขาวางแผนให้บ้านเกิดของตนเป็นศูนย์กลางในการวิจัยและพัฒนา รวมไปถึงการผลิตรถ EV โดยที่จะแยกการผลิตของรุ่นที่ทำตลาดเฉพาะบางภูมิภาคออกไป เช่น รถ EV ขนาดเล็กและขนาดกลางจะถูกผลิตขึ้นในยุโรปตั้งแต่ปี 2025 ส่วนสหรัฐอเมริกาจะรับผิดชอบการผลิตรถกระบะและ SUV ขนาดกลางตั้งแต่ปี 2024 ในขณะที่ตลาดจีนจะผลิตรถซีดานขนาดกลางตั้งแต่ปี 2023 นี้ และที่น่าจับตา คือ ตลาดอินเดียก็จะเป็นหนึ่งในฐานการผลิตรถ EV ของ KIA ซึ่งจะรับผิดชอบรถ EV รุ่นเริ่มต้น รวมไปถึงรถขนาดกลางอีกด้วย

ด้วยแผนที่จะขยายกำลังการผลิตรถ EV ในระดับก้าวกระโดดเช่นนี้ จึงต้องจัดการเรื่องแบตเตอรี่ที่จะนำมาใช้ในขบวนการผลิตโดยจะเพิ่มกำลังการผลิตจาก 13 GWh เป็น 119 GWh ในปี 2030 นอกจากนี้ KIA ยังมีแผนที่จะใช้โรงงานที่ร่วมทุนในการผลิตแบตเตอรี่ให้กับทางค่าย ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศอินโดนีเซียอีกด้วย เพื่อเป็นการจัดการกับขั้นตอนการผลิตให้เหมาะสม โดยคาดว่าจะสามารถลดต้นทุนได้มากถึง 40%

นอกจากนี้ยังมีการวางแผนเพื่อผลิตรถ EV สำหรับใช้งานเฉพาะทาง หรือ Purpose-built Vehicle (PBV) ซึ่ง KIA มีแผนจะเปิดตัวรุ่น Niro Plus ที่ใช้พื้นฐานจาก Niro รุ่นใหม่ เพื่อนำมาให้บริการในรูปแบบรถ taxi และหลังจากนั้นรถ PBV รุ่นอื่นๆ จะเปลี่ยนไปใช้แพลทฟอร์ม EV ที่ปรับเปลี่ยนได้อย่างอิสระแทน ซึ่งจะพร้อมเปิดตัวในปี 2025

ที่มา: KIA