ช่วงนี้เป็นเวลาของ StartUp Time บริษัทน้องใหม่ไฟแรงสูงที่พยายามโชว์ศักยภาพ
ความคิดสร้างสรรค์แห่งการเปลี่ยนแปลงโลกเหนือชั้นกว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ (ถึงแม้ว่าจุด
หมายปลายทางของ StartUp ทั้งหลายอาจจะต้องโดนบริษัทยักษ์ใหญ่เทคโอเวอร์ก็ตาม)

2016_12_15_Lucid_Air_1 2016_12_15_Lucid_Air_2

วันนี้ Lucid Motors บริษัทรถไฟฟ้าน้องใหม่จากแคลิฟอร์เนียที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2007
ในนาม Atieva มีประสบการณ์การพัฒนาระบบขับเคลื่อนอิเล็กทรอนิคส์และแบตเตอรี่
และรวมทั้งเป็นซัพพลายเออร์ส่งแบตเตอรี่แพ๊คสำหรับรถบัสไปยังประเทศจีนได้เปิดตัว
รถยนต์ซีดานไฟฟ้าคันใหม่ที่สร้างความฮือฮาให้แก่อุตสาหกรรมยานยนต์และระบบสาร
สนเทศ

Lucid Air คือซีดานไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่จะเปลี่ยนสถานภาพ Lucid Motor จากอดีตซัพ
พลายเออร์ตัวเล็ก ๆ ให้กลายเป็นผู้เปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมรถยนต์ในทันทีด้วยพละกำลัง
จากมอเตอร์ไฟฟ้า 1,000 แรงม้า ทำอัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 2.5 วินาที
มีระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จประจุไฟฟ้าเพียงแค่ครั้งเดียว 643 กิโลเมตรในรุ่นแบตเตอรี่
130 กิโลวัตต์ชั่วโมงและ 482 กิโลเมตรในรุ่นแบตเตอรี่ 100 กิโลวัตต์ชั่วโมง

2016_12_15_Lucid_Air_3 2016_12_15_Lucid_Air_4

ระบบส่งกำลังของ Lucid Air ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่แพ๊คที่ได้รับการทดสอบ
การใช้งานจริงมากกว่า 20 ล้านไมล์เพื่อให้แน่ใจว่ารถสุดวิเศษคันนี้สามารถวิ่งทนได้
ทุกสภาวะจริง

บุคลากรผู้รังสรรค์ Lucid Air จะมีจำนวน 300 ชีวิตจากผู้เชี่ยวชาญในบริษัทรถยนต์
ยักษ์ใหญ่ทั่วโลก ได้แก่ Derek Jenkins อดีตนักออกแบบ Mazda, Peter Rawlinson
อดีต Chief Engineer : Tesla Model S

2016_12_15_Lucid_Air_5 2016_12_15_Lucid_Air_9

เมื่อสังเกตรายชื่อบุคลากรหัวกะทิแล้วคงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไม Lucid Air ถึง
เป็นรถซีดานใหญ่ที่ดูปราดเปรียวมาก ๆ เพราะทีมพัฒนากล้านำข้อดีของระบบขับเคลื่อน
ด้วยไฟฟ้าที่ไม่ต้องเผื่อเนื้อที่ให้แก่เครื่องยนต์สันดาป, ระบบส่งกำลังมาประยุกต์ใช้อย่าง
เต็มที่ ส่งผลให้มันมีสัดส่วนตัวรถที่ดูแปลกตาจากรถทั่วไปทั้งระยะโอเวอร์แฮงค์รอบคันที่สั้น
ขนาดตัวถังภายนอกอยู่ในพิกัดรถขนาดกลางแต่มีภายในห้องโดยสารใหญ่มโหฬาร

Derek Jenkins เปิดเผยว่าแรงบันดาลในใจการออกแบบจะนำมาจากอากาศยาน
หรูหราที่มีเนื้อที่กระจกรอบคันรถใหญ่โตและมีเส้นสายพื้นตัวถังที่เรียบง่าย อันเนื่อง
จากใช้เทคนิคการผลิตโครงสร้างเสาหลังคาอลูมิเนียมที่ถูกออกแบบให้บางลงได้

2016_12_15_Lucid_Air_10 2016_12_15_Lucid_Air_12

ไฟหน้าดูเล็กหรี่เอามาก ๆ เนื่องจากติดตั้งเทคโนโลยี Lucid Vision ประกอบไปด้วย
Micro Lens หลายชิ้นที่ได้แรงบันดาลใจจากตาของแมลงจำนวนรวมกัน 4,870 เลนส์
ช่วยเพิ่มพลังของส่องได้แม่นยำ และยังมีความสูงของโคมไฟหน้าเพียงแค่ 19 มิลลิเมตร
เท่านั้นซึ่ง Lucid ยังเคลมว่าให้พลังในการส่องมากกว่า LED ปกติถึง 3 เท่า

ภายในห้องโดยสารเป็นการปฏิวัติการออกแบบใหม่โดยใช้ประโยชน์จากการติดตั้งมอเตอร์
ไฟฟ้าบริเวณด้านหน้าและด้านหลังรถ รวมถึงแบตเตอรี่แพ๊คที่ซ่อนใต้พื้นห้องโดยสาร
ทำให้มีเนื้อที่ห้องโดยสารกว้างขวางเป็นพิเศษ มีให้เลือกทั้งแบบเบาะนั่งผู้โดยสาร 4 คน
ติดตั้งเบาะหลังแบบ Exclusive คล้ายที่นั่งผู้บริหารพร้อมอุปกรณ์ความบันเทิงครบครัน
และแบบ 5 คน เหมาะสำหรับการโดยสารแบบครอบครัว

2016_12_15_Lucid_Air_14 2016_12_15_Lucid_Air_15

การออกแบบภายในห้องโดยสารไม่ได้ดูหลุดล้ำโลกจนเป็นยานอวกาศมากจนเกินไป
เพียงแต่พวกเขาพยายามสร้างสรรค์โครงสร้างแผงแดชบอร์ดใหม่ที่ดูแตกต่างจากรถยนต์
ที่ขายกันปกติโดยได้แรงบันดาลใจจากเครื่องบินเจ็ทด้วยวัสดุคุณภาพสูงมาก ติดตั้งหน้า
จอสีแนวนอนยาวครอบคลุมตั้งแต่ฝั่งผู้ขับขี่และจนถึงกลางแดชบอร์ด สำหรับแสดงผล
มาตรวัดและความบันเทิงต่าง ๆ และติดตั้งแผงจอสัมผัส Tablet สำหรับออกคำสั่งฟีเจอร์
ภายในรถ

ภายในห้องโดยสารเงียบสงบด้วยระบบตัดเสียงรบกวนและติดตั้งลำโพง 29 ตัวรอบคัน

2016_12_15_Lucid_Air_6 2016_12_15_Lucid_Air_8

Lucis Air น่าจะเน้นความนุ่มนวลถึงที่สุดด้วยช่วงล่างหน้าแบบดับเบิลวิชโบนที่รองรับ
ภาระมอเตอร์ไฟฟ้าและระบบไฟฟ้าภายในรถ ส่วนช่วงล่างหลังแบบมัลติลิงค์ติดตั้ง
สปริงถุงลมและ Active Damper

ในช่วงแรกการเปิดตัวก็จะมาพร้อมกับเกรด Launch Edition จำนวนจำกัด 255 คัน
ราคาป้วนเปี้ยนประมาณ 160,000 ดอลลาร์มาพร้อมกับหลังคากระจก, ลำโพง 29 ตัว
และเบาะนั่งหลังสำหรับผู้บริหาร พร้อมทั้งส่วนลดคืนเงิน 25,500 ดอลลาร์

2016_12_15_Lucid_Air_11

สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อรถในราคาคุ้มค่าก็คงต้องรอรุ่นมาตรฐานออพชั่นน้อยกว่าเดิมที่
เสียเงินค่าจองเพียงแค่ 2,500 ดอลลาร์ ราคาจำหน่ายเริ่มต้นประมาณ 85,000 ดอลลาร์

ช่วงแรกของการเปิดตัว Lucid Air จะได้แบตเตอรี่ 100 กิโลวัตต์ชั่วโมง (วิ่งได้ไกล 482
กิโลเมตร) ไปก่อน แต่หลังจากนั้นสักระยะก็จะเปิดตัวแบตเตอรี่ 130 กิโลวัตต์ชั่วโมง
(วิ่งได้ไกล 643 กิโลเมตร) ที่ผลิตโดย Samsung SDI

2016_12_15_Lucid_Air_16

ในอนาคต Lucid Air อาจจะติดตั้งระบบขับขี่อัตโนมัติ Level 4 หรือระดับที่ผู้ขับขี่
สามารถทำกิจกรรมภายในรถได้โดยให้ระบบอัตโนมัติช่วยขับขี่อย่างสมบูรณ์ เนื่องจาก
มันติดตั้งเรดาร์ระยะไกล, กล้องและระบบประมวลผล LIDAR พร้อมไว้แล้ว

Lucid Air จะถูกผลิตที่โรงงาน Casa Grande มลรัฐอาริโซน่า สหรัฐอเมริกาเริ่มผลิต
ในช่วงต้นปี 2017 ด้วยกำลังผลิตเพียงแค่ 8,000 – 10,000 คัน และจะเร่งกำลังผลิต
5-6 หมื่นคันภายใน 2 ปีข้างหน้า

2016_12_15_Lucid_Air_17

ทุกอย่างดูสวยหรูมากทีเดียวสำหรับ Lucid Motors แต่เวลาคือคำตอบสถานเดียวที่จะ
พิสูจน์ว่าสามารถสู้กับ Tesla Model S ได้หรือไม่?

ที่มา : MotorAuthority, Automotive News