เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองที่รถแข่ง McLaren 650S Can-Am ได้รับชัยชนะในการแข่งขัน Can-Am Series 5 ปีติดต่อกัน
ตั้งแต่ปี 1967 – 1971 McLaren 650S จึงถูกนำมาตกแต่งเพิ่มเติมโดยที่ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากรถแข่งในยุค 60
ซึ่งฝ่ายที่มีหน้าที่ในการรับผิดชอบคือ McLaren Special Operations ส่วนชื่อของรถยนต์รุ่นพิเศษคันนี้คือ
” McLaren 650S Can-Am ”

mclaren-650s-can-am-front-three-quarters-top-down
mclaren-650s-can-am-rear-three-quarters-doors-open

ภายนอกนั้นเน้นการตกแต่งด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ซึ่งรวมไปถึงหลังคาที่ถอดได้, ฝาท้าย, กันชนหน้า, กันชนหลัง,
ช่องลมด้านหลัง, และช่องลมด้านข้าง ซึ่งบังโคลลนหน้ารถนั้นทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งชิ้นเช่นเดียวกัน นอกจากนี้
ยังมีการติดตั้งท่อไอเสียออก 4 ท่อชุดใหม่ที่ทำจากสแตนเลสทั้งชุดซึ่งมาพร้อมกับล้ออัลลอยลาย 5 ก้านสีดำขอบเงา
ซึ่งทำจาก aluminium forged ทั้งชุดและ caliper เบรกพ่นสีดำ

mclaren-650s-can-am-profile
mclaren-650s-can-am-exhaust

ภายในนั้นตกแต่งเหมือนกับภายนอกคือเน้นการใช้วัสดุ carbon fiber ทั่วทั้งคันส่วนเบาะทรง sport นั้นยังคงใช้ของเดิม
แต่มีการเปลี่ยนวัสดุที่ใช้หุ้มไปเป็นหนังผสมกับ alcantara แทนและที่แผงประตูฝั่งคนขับนั้นมีตราสัญลักษณ์ Can-Am
แปะมาให้ด้วยอีกหนึ่งชิ้น

mclaren-650s-can-am-front-interior

เครื่องยนต์ V8 3.8 ลิตรเทอร์โบคู่ตัวเดิมไม่ได้รับการปรับแต่งใดๆ กำลังสูงสุดจึงมีเท่าเดิม 650 แรงม้า (PS) ที่ 7,250 รอบ/นาที
และแรงบิดสูงสุด 69.13 กก-ม. (678 นิวตันเมตร) ที่ 6,000 รอบ/ นาที ซึ่งจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ dual clutch 7 จังหวะ
ซึ่งมีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ ชั่วโมงที่ 3.0 วินาทีถ้วนและความเร็วสูงสุดที่ 329 กิโลเมตร/ ชั่วโมงซึ่งในรุ่นพิเศษนี้
จะได้ระบบเบรก carbon ceramic มาให้เป็นมาตรฐานด้วย

mclaren-650s-can-am-plaque

McLaren 650 S Can-Am นั้นมีให้เลือกสามสีคือ Mars Red, Papaya Spark, และ Onyx Black ซึ่งทั้งหมดนั้นจะจำกัด
การผลิตเพียง 50 คันเท่านั้นซึ่งราคาค่าตัวอยู่ที่ 334,500 ดอลล่าร์สหรัฐและรถยนต์พร้อมที่จะส่งมอบในฤดูใบไม้ผลิ
ของปี 2016 เป็นต้นไป

 

ที่มา : Motortrend