ถึงจะปล่อยให้ผู้นำเข้ารายย่อย พยายามตัดหน้า ชิงเปิดตัว E-Class ใหม่ W212 กันไปแล้ว 2 ราย
แต่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ก็ไม่สน ตัดสินใจ เปิดตัวรอบ Preview เมอร์เซเดส-เบนซ์
E-Class ใหม่ รหัสตัวถัง W 212 โชว์นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ภายใต้แนวคิด
“The new E-Class, Engineered around you.” ณ ห้องเดอะ แคมปัส โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ
เมื่อ 24 สิงหาคม 2009

งานนี้ Prof. Dr.Alexander Paufler ประธานบริหารของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) นอกจากจะ
นำเสนอ เรื่องราวเบื้องต้น ของ E-Class ใหม่ ร่วมกับ สเตฟาน มอบิอุส รองประธานบริหารฝ่ายขายและ
การตลาด ที่บอกเล่าข้อมูลของตัวรถ ด้วยแล้ว ยังให้มุมมอง และแง่คิด อันน่าสนใจมาก เกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจ
อันเกิดผลกระทบ จากวิกฤติเศรษฐกิจโลก  รวมทั้ง ทางรอดของไทย ที่จะก้าวเดินต่อไปในวันข้างหน้า ตามประสา
ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ มาเอง โดยมีเพียงสื่อมวลชน กลุ่มไม่ใหญ่มากนัก ที่ได้ร่วมเป็นแขกรับเชิญ เพราะใน
รอบบ่ายวันเดียวกัน จะเป็นรอบสำหรับ แขกพิเศษ ในกลุ่ม Diplomat Sales ซึ่งเป็นแขกต่างชาติเสียส่วนใหญ่

คุณ อเล็กซ์ กล่าวว่า ว่า “ตังแต่ปี 1947 จนถึงวันนี้ ตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา เมอร์เซเดส-เบนซ์  สามารถ
ทำยอดจำหน่าย E-Class ได้ทั้งหมดกว่า 12 ล้านคันทั่วโลก จึงเป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่า E-Class  เป็นรถพรีเมียม
หรูที่ครองใจลูกค้าในอันดับต้น ๆมาตลอด ทั้งนี้รวมถึงความนิยมของ E-Class  ในตลาดประเทศไทยด้วย
เฉพาะเจนเนอเรชั่นที่ผ่านมา E-Class ได้รับความสำเร็จทางการตลาดอย่างท่วมท้นโดยสามารถครอง
สัดส่วนการตลาดในเซ็กเมนท์ รถยนต์ Premium Mid-size Sedan ได้สูงถึง 77 % จากผลประกอบการ
7 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 54 % เมื่อเทียบผลจากปีที่แล้ว”

จุดประสงค์หลักของงานนี้ นอกจากจะแถลงเปิดตัวรุ่น E500 อันเป็นรุ่น Top-of-the-line ด้วยแล้ว
ยังน่าจะเกิดขึ้นเพื่อ บอกกล่าวกับผู้บริโภคว่า ใจเย็นๆ รอการมาถึงของ E-Class ใหม่ เวอร์ชันไทย แท้ๆ
เสียก่อน อย่าเพิ่งใจร้อนตัดสินใจจ่ายเงินซื้อรถกับผู้นำเข้ารายย่อยกันไป

ด้วยเหตุที่ คุณฉัตวิทัย ตัณตราภรณ์ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายสื่อสารองค์กร กล่าวว่า “ณ ปัจจุบันนี้ ขอยืนยันว่า
รถยนต์ E-Class รุ่นเครื่องยนต์ ดีเซล CDI 4 สูบ ทุกรุ่น ที่เปิดตัวออกมาแล้วในโลกนี้ ณ ตอนนี้ ถูกออกแบบ
มาให้ ใช้น้ำมันดีเซล ที่มีค่ากำมะถัน ไม่เกิน 50 ppm เท่านั้น อีกทั้ง ทุกวันนี้ มีเพียง E-Class รุ่นเครื่องยนต์
เบนซิน V6 และ V8 เท่านั้น ที่สามารถนำมาใช้งานได้ กับน้ำมันเชื้อเพลิง ที่มีขายในบ้านเรา นอกนั้นแล้ว
ถูกปรับเซ็ตมาให้ผ่านมาตรฐาน Euro 5 ไปแล้ว แต่โครงสร้างพื้นฐาน ของประเทศเรายังไม่เหมาะสม
(ซึ่งก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องน้ำมันนั่นละ – ผู้เขียน) ซึ่ง รถยนต์ที่นำเข้าจากสเป็กยุโรปนั้น มีการติดตั้ง
ตัวกรองอนุภาค Diesel Particular Filter ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดปัญหาในการใช้งานได้ ในระยะยาว
เครื่องยนต์ สเป็กยุโรป จึงไม่อาจรองรับกับโครงสร้างพื้นฐาน (ซึ่งก็คือน้ำมันดีเซล อีกนั่นแหละ – ผู้เขียน)
ได้ และแม้ว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ จะมีการรับประกันแบบ Worldwide แต่ หากมีการใช้งานที่ไม่สอดคล้อง
ตรงตามคู่มือผู้ใช้รถระบุไว้ ก็มีโอกาสที่ จะเสียสิทธิ์ในการรับประกันได้”

“รถยนต์ในเวอร์ชันไทยนั้น ทางเยอรมัน จะทำเครื่องยนต์ ดีเซล เวอร์ชันพิเศษ ซึ่งจะมีใช้ในไม่กี่ประเทศ
เครื่องยนต์ตัวนี้ จะรองรับการใช้น้ำมันดีเซล ที่มีค่ากำมะถันสูงกว่า 50 ppm ได้ และไม่มีการติดตั้งตัวกรอง
อนุภาค DPF มาให้”

สำหรับ E500 ที่นำมาเปิดตัวให้ชมกันก่อนล่วงหน้า คราวนี้ เป็นรุ่นท็อป สูงสุด อัดสารพัดออพชันมาให้อย่าง
แน่นที่สุด จนแทบจะเรียกได้ว่า หมดแค็ตตาล็อก กันเลยทีเดียว อยากได้อะไรละ คันนี้ ใส่มาให้เกือบจะครบ
มากที่สุดแล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทคโนโลยีด้านความปลอดภัยทั้งแบบปกป้องก่อนและหลังอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นไฮไลต์
หลักของ E-Class ใหม่ ตระกูล W212 ถูกติดตั้งใน E500 คันนี้ ครบครัน  อาทิ Attention Assist   
ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับรถ (คุณฉัตวิทัย เรียกว่า “Starbuck Assiste”) หรือระบบ
Adaptive Highbeam Assist  ไฟสูงซึ่งสามารถปรับลดระดับลำแสงได้แบบอัตโนมัติตามภาวะการณ์ขับขี่
และลำแสงไฟหน้ายังส่องสว่างได้ไกล โดยไม่แยงตารถที่อยู่คันหน้าหรือรถที่สวนทางมา  ตามด้วย
ระบบ Blind Spot Assist  แจ้งเตือนบนกระจกมองข้าง ว่าให้ระวังรถ หรือ มอเตอร์ไซค์ขับขี่แซงขึ้นมา
ระบบ Lane Keeping Assist  ระบบช่วยเตือนการขับรถให้อยู่ในช่องทาง ระบบ Night View Assist  
ระบบช่วยการมองเห็นยามค่ำคืน ซึ่งเป็นระบบส่องสว่างผ่านแสงอินฟราเรดที่ตรวจจับคนเดินเท้า
ข้างทางและวัตถุต่าง ๆ ในตอนกลางคืนและแสดงผลบนหน้าจอ

(ครบยังหว่า…ดูเหมือนยังไม่หมด…ง่ายๆ)

เส้นสายมาในแนวเหลี่ยมสันมากขึ้นกว่ารถรุ่นเดิม W211 ชัดเจน ลู่ลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์
แรงต้านอากาศเพียง 0.28 ทำให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ E-Class เป็นซีดานหรูลู่ลมมากที่สุด คันหนึ่ง
เท่าที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ เคยผลิตขายจริงมา

มิติตัวถังยาว 4,868 มิลลิเมตรกว้าง 1,854 มิลลิเมตร สูง 1,470 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,874 มิลลิเมตร
น้ำหนักรถเปล่า 1,830 กิโลกรัม น้ำหนักบรรทุกได้ 545 กิโลกรัม รวมแล้ว 2,375 กิโลกรัม
ความจุถังน้ำมัน 80 ลิตร….(อู๊วว์ ใหญ่จริงๆ เต็มถังกันที จะกี่บาทละเนี่ย? ถ้าเติม
V-Power เบนซิน สงสัย เต็มถัง จ่ายครั้งละ 3,200 บาท โดยประมาณ แหงๆ…)

ถ้าเทียบขนาดกันแล้ว รถรุ่นใหม่จะใหญ่กว่าเดิมในทุกสัดส่วน ยกเว้นความสูงของรถ
ที่เตี้ยลง 13 มิลลิเมตร นอกนั้น ยาวขึ้น 12 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 32 มิลลิเมตร พรวดเดียว
ระยะฐานล้อ เพิ่ม 20 มิลลิเมตร

 

ภายในห้องโดยสาร ของ E500 คันนี้ ตกแต่งแบบ AVANTGARDE ด้วยลายไม้ Black ash
พวงมาลัยมัลติฟังก็ชันแบบ 4 ก้านหุ้มด้วยหนัง nappa แผงหน้าปัดสีเงินแบบสปอร์ต
พร้อมหน้าจอสวยงามแบบมีมิติ  สวยงามด้วยไฟเรืองแสงล้อมรอบลายไม้  เบาะนั่งใน E-Class  
ใหม่จะเป็นแบบ Active multi-contour seats  พร้อมระบบนวดอัตโนมัติ และระบบ dynamic
handling function ให้ความสะดวกสบายและหรูหรามากยิ่งขึ้น

 

 

 

ตั้งข้อสังเกตว่า เบาะหน้า ทำออกมาได้ดี แต่พนักศีรษะ ถ้าสามารถดันถอยหลังไปได้อีกนิดจะดีกว่า

 

 

 

ส่วนเบาะรองนั่งด้านหลังนั้น สั้นไปนิดนึง ภาพรวม นั่งสบายกว่า ซีรีส์ 5
รุ่น E60 ในปัจจุบัน นิดหน่อย แต่ยังสู้ Volvo S80 ใหม่ และ Nissan Teana ไม่ได้ในบางมุม
และตำแหน่งนั่งเล็กๆน้อยๆ

พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง 532 ลิตร (ตามมาตรฐาน VDA เยอรมัน)
ฝากระโปรงหลังมีปุ่มสำหรับปิด ด้วยไฟฟ้าโดยเฉพาะ แต่เวลาปิดลงมา มันจะค่อนข้างเร็วนิดนึง
อย่างไรก็ตาม มีระบบดีดกลับ ทันทีที่มีสิ่งกีดขวาง จากเท่าที่ ผู้เขียนลองมากับหัวไหล่ตัวเอง
พบว่า ไม่ตองรอให้ฝากระโปรงหลัง กดลงไปหนักๆหรอก แค่แตะที่ไหล่อย่างแผ่วเบา
มันก็ดีดกลับให้ในทันทีแล้ว อันนี้น่าชมเชย แต่พื้นที่ฝากระโปรงหลัง นอกจากนี้
ยังมีปุ่มสั่งล็อก คือทันทีที่กดปุ่มรูปกุญแจ ฝากระโปรงจะปิดลงไปเองแล้วล็อกเลย
ทีนี้ถ้าจะเปิด ต้องใช้รีโมทกุญแจ Immobilizer แล้วละ

นอกจากนี้ยังติดตั้ง ระบบความบันเทิงเต็มรูปแบบ โดยผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้าสามารถ
ควบคุมทุกฟังก์ชั่นของระบบ Infotainment ได้อย่างสะดวกด้วยปุ่มควบคุม Controller ไม่ว่า
จะเป็นวิทยุ เครื่องเล่น CD/DVD โทรศัพท์ หรือระบบนำทาง ยิ่งไปกว่านั้น อุปกรณ์สำหรับ
เชื่อมต่อ Bluetooth เพื่อใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ก็ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานอีกด้วย หรือ
ใครที่เจาะจงว่าต้องการระบบมัลติมีเดีย COMAND APS จะได้รับฟังก์ชั่นเพิ่มเติมอีก ได้แก่
ระบบนำทาง, เครื่องเล่น DVD, ระบบเสียงเซอร์ราวด์โดย Harman/Kardon Logic 7,
จอทีวีขนาด 7”, ลำโพงขยายเสียง 14 จุด ระบบ Music Register (สามารถเก็บเพลงได้
ประมาณ 1,000 เพลง) และระบบ LINGUATRONIC ควบคุมด้วยเสียง voice control
พร้อมฟังก์ชั่นการจำคำสั่งเสียงแบบ whole-word recognition นอกจากนี้ยังมีอินเตอร์เฟส
สำหรับการเชื่อมต่อกับเครื่องเล่น MP3/iPod และทีวีเพื่อการรับสัญญาณโทรทัศน์ รวมทั้ง
ยังมีจอขนาด 8” แยกต่างหากสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง 2 จุดพร้อมด้วยเครื่องเล่น DVD

(โอ้ย! หมดหรือยังเนี่ย จะเยอะไปไหนกัน???)

เครื่องยนต์บล็อก V8 DOHC 32 วาล์ว 5,462 ซีซี ให้แรงม้าสูงสุด 285  กิโลวัตต์ หรือ 388 แรงม้า (HP)
ที่ 6,000 รอบต่อนาที ให้แรงบิดสูงสุด 530 นิวตันเมตร (54.007 กก.-ม.) ที่ 2,800 – 4,800 รอบต่อนาที
(สงสัยตอนออกตัว แรงบิดคงดึงกระชากร่างคนขับ ทะลุพนักพิงเบาะหน้าไปนอนแอ้งแม้งกันหลังรถแน่ๆ)
ขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7  จังหวะ 7G-Tronic ตัวเลขจากโรงงานเยอรมัน เคลมว่า
อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง อยู่ที่ 5.2 วินาที ทำความเร็วสูงสุดที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง (อันนี้
ล็อกตามกฎหมายเยอรมัน ซึ่งดีแล้วที่ล็อก)

ด้านความปลอดภัย เมอร์เซเดส-เบนซ์   E-Class โฉมใหม่จะติดตั้งด้วยเทคโนโลยีหลากหลาย
อาทิ ABS,  ระบบวบคุมเสถีรภาพ ESP และระบบเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรกในภาวะฉุกเฉิน
Brake Assist รวมถึงชุดระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ (driver assistance systems) อันเป็นเทคโนโลยี
ใหม่ล่าสุด เพื่อเพิ่มการปกป้องก่อนและหลังจากอุบัติเหตุในรูปแบบต่าง ๆ  อย่างครบครัน
ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุจากการเปลี่ยนเลน, การหลับใน, หรือเกิดในช่วงทัศนวิสัยไม่ดี
เช่นตอนกลางคืน เป็นต้น โดยเทคโนโลยีใหม่นี้จะมีการทำงาน คิดร่วมกันอย่างเป็นระบบ
แบบบูรณาการ…เอ้ย ไม่ใช่ ต้องเรียกว่าระบบ“intelligent partner” โดยมีเซ็นเซอร์จากเรด้าร์,
กล้องและระบบเซ็นเซอร์อื่น ๆ ร่วมด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ (driver assistance systems)

ระบบความปลอดภัยที่พัฒนาขึ้นใหม่สำหรับรถยนต์รุ่น อี-คลาส นั้นอาศัยข้อมูล จากการวิจัย
เรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจริง โดยได้รับการทดสอบการชนไม่ต่ำกว่า 17,000 ครั้งในกว่า
150 รูปแบบของอุบัติเหตุ ใน E-Class ใหม่ยังติดตั้งระบบ PRE-SAFE เพื่อการปกป้อง
ก่อนเกิดอุบัติเหตุซึ่งเป็นนวัตกรรมของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่กวาดรางวัลมาแล้วมากมาย

ระบบนี้จะใช้มาตรการปกป้องผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้า   ด้วยการทำงานร่วมกันกับระบบ
Brake Assist และ Electronic Stability Program (ESP®) ที่จะประเมินได้ว่าอาจเกิดอุบัติเหตุ
ก็จะสั่งให้ระบบ PRE-SAFE® ทำงานด้วยการปรับเข็มขัดนิรภัยพร้อมปรับเบาะนั่ง
ให้อยู่ในภาวะเตรียมพร้อมที่จะปะทะกับอุบัติเหตุ

(แฮ่ก! ดูเหมือนจะยังไม่หมดง่ายๆแหะ)

E-Class ใหม่ยังติดตั้งถุงลมนิรภัย 8 ลูก 10 ตำแหน่ง คือ 2 ตำแหน่งคู่หน้าเป็นแบบ
Adaptive Airbags SRS , 2 ตำแหน่งด้านข้างตรงที่นั่งเบาะหน้า (seat backrests),
2  ตำแหน่งสำหรับด้านข้างผู้โดยสารด้านหลังและม่านถุงลมนิรภัยสำหรับผู้โดยสาร
ทั้ง 4 ตำแหน่ง  สะดวกสบายด้วยหมอนรองศีรษะ 5 ตำแหน่งโดยคู่หน้าเป็นแบบ
NECK-PRO  head restrainsts  

นอกเหนือจากความปลอดภัยแล้ว E-Class ใหม่ยังมาพร้อมกับระบบกันสะเทือนแบบ
DIRECT CONTROL ซึ่งสามารถควบคุมความนุ่มนวลในการขับขี่ในแต่ละสถานการณ์
ด้วย AIRMATIC suspension เช่น เมื่อรถวิ่งมาด้วยความเร็วถึง 140  กม.ต่อชั่วโมง
ตัวถังจะลดต่ำลง 15 มม. โดยอัตโนมัติ และปรับขึ้นเองเมื่อรถลดความเร็วลง และ
ปรับความสูงเป็นปกติเมื่อรถวิ่งด้วยความเร็ว 70  กม.ต่อชั่วโมง และจะปรับสูงขึ้น
25 มม. เมื่อรถวิ่งอยู่บนถนนที่ขรุขระเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ตัวถัง

พวงมาลัยแบบ แร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ช่วยผ่อนแรง ติดตั้งระบบ
Direct-Steer system ช่วยเพิ่มสมรรถนะในการขับขี่โดยเฉพาะในตอนเข้าโค้ง
ได้อย่างนุ่มนวล เพื่อความสนุกในการขับขี่ ติดตั้ง ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว
ดีไซน์ใหม่แบบ 5 ก้าน ใช้ยางคู่หน้าขนาด 245/40 R18 และยางคู่หลังขนาด 265/35 R18

(จบแล้วครับ เยอะแยะกว่าที่คิดนะเนี่ย!)

รายละเอียดต่างๆ ที่เยอะแยะมากมายยุบยับไปหมดทั้งคัน ขอยังไม่พูดถึง ณ ที่นี่ จะเก็บเอาไว้ รอทำรีวิว
กันเป็นเรื่องเป็นราว หลังจากรถเปิดตัว ซึ่งก็มีแนวโน้มว่าคุณผู้อ่าน อาจจะต้องรออ่านรีวิว E-Class ใหม่นี้
กันนานข้ามไปถึงช่วงใดช่วงหนึ่ง ของปีหน้า แน่ๆ  (ร้องไห้ดีกว่า…. T_T)

และที่สำคัญ ดูจากโหงวเฮ้ง และสารพัดคุณงามความดีที่อัดแน่น เข้ามาใส่ในตัวรถแล้ว
ผมว่า งานนี้ เราอาจจะได้เห็น รีวิว เมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่มีความยาวเฟื้อย ยิ่งกว่า รีวิว C-Class
W204 ที่คลอดออกมาก่อนหน้านี้ แน่นอน!!

ในงานนี้ไม่ได้มีการบอกกล่าวถึงราคาที่แน่นอน แต่ถ้าใครสนใจจะซื้อ “เฉพาะ E500 รุ่นนี้” อย่างจริงจัง
เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) พร้อมแล้วที่จะสั่งรถรุ่นนี้เข้ามาให้คุณ สำเร็จรูปทั้งคัน จากเยอรมันแท้ๆ
แต่ คุณต้องเตรียมทำใจรอขั้นตอนการสั่งรถไปได้เลย 3-5 เดือน และต้องเตรียมเงินไว้…เอ่อ…
เอาอย่างนี้ดีกว่า E350 Coupe ราคาเท่าไหร่? 8 ล้านกว่าบาทใช่ไหมครับ? แล้ว E500 Full Option คันนี้
เมื่อรวมภาษีนำเข้า ของไทยแล้ว มันควรจะไปหยุดที่เลขหลักไหน ไปคิดกันเอาเองแล้วกัน…

เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) มีกำหนดจะเปิดตัว E-Class รหัสรุ่น W212 อย่างเป็นทางการ “จริงๆ”
ในช่วง ปลายไตรมาส 4 ของปีนี้ ซึ่งดูแล้ว น่าจะประมาณ ราวๆ เดือนพฤศจิกายน นิดหน่อย เพราะถ้าเป็นเดือน
ธันวาคม ใครต่อใคร ก็ดูท่าทางจะไม่ค่อยอยากทำงานกันแล้ว อยากไปเที่ยวพักผ่อนกันมากกว่า
แต่ถ้าถามว่า รุ่นไหนจะเปิตตัวในบ้านเรา ก็ยังบอกไม่ได้ในตอนนี้ เพราะ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประกาศชัดเลยว่า
จะต้องคัดเลือกอย่างพิถีพิถันเป็นพิเศษ เพื่อให้เหมาะสมกับ สภาพโครงสร้างพื้นฐาน (ก็ดูเหมือนจะหมายถึง
น้ำมันเบนซิน และ ดีเซล อีกนั่นละ) เพราะถือเป็นคำมั่นสัญญาของผู้ผลิต และมีผลเกี่ยวข้องกับการรับประกัน
คุณภาพด้วย

แต่ที่แน่ๆ การเตรียมเปิดตัวในคราวนี้ แม้จะใช้เวลารอคอยนานกว่า E-Class 2-3 รุ่นก่อน
แต่คราวนี้ มีความเป็นไปได้ สูงว่า เปิดตัวทั้งที เจอกันด้วยรุ่น CKD ไปเลย ก็น่าจะดี
และเมื่อถึเวลานั้น ราคาขาย น่าจะอยู่ในระดับที่แพงกว่ารุ่นปัจจุบัน ไม่มากนัก

—————————————///————————————–

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
24 สิงหาคม 2009