ครับ อ่านไม่ผิดหรอก แม้ว่า ร้านอาหาร ก็ไม่ใช่ธุรกิจใหม่ ที่ค่ายรถยนต์ตราดาว จากเมือง
ชตุทท์การ์ต ประเทศเยอรมัน กำลังจะเตรียมเปิดกิจการในไทย อย่างที่คิด แต่ที่
พาดหัวกันอย่างนี้ ก็เพราะว่า บรรยากาศงานแถลงผลประกอบการ ของ Mercedes-Benz
(Thailand) ในช่วงเช้า ของวันที่ 21 มกราคม 2010 ที่ผ่านมา ค่อนข้างสบายๆ ราวกับว่า
เรามานั่งดูเจ้าของร้านอาหาร มาเล่าเรืองราวที่เกิดขึ้นในร้าน ตลอดปีที่ผ่านมา ให้ได้รับฟังกัน

คุณฉัตรวิทัย ตัณตราภรณ์ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร ของ
Mercedes-Brnz (Thailand) รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ ในบรรากาศสบายๆ
กับผู้บริหารสูงสุด Professor Dr. Alexander Paufler, President และ CEO ของ
บริษัท ในฐานะ Chef ใหญ่สุดของภัตตาคารแห่งนี้

คุณอเล็กซ์ เริ่มต้นด้วยการเล่าย้อนไปถึงเมื่อครั้งมารับตำแหน่งที่กรุงเทพฯ ในเดือน
กุมภาพันธ์ 2009 เวลานั้น ยอดขายในปี 2008 ทำได้ที่ระดับ 3,200 คัน แต่…อย่างที่
ทราบกันดีว่า ด้วยปัญหาเศรษฐกิจ ทั่วโลก และรวมทั้งในเมืองไทย ที่มีปัญหา
การเมือง พ่วงเข้าไปด้วยอีกนั้น ทำให้หลายฝ่ายกลัวกันว่า ยอดขายจะเป็นอย่างไร
ยิ่งจะต้องมีการระบายสต็อกของ E-Class W211 ออกไปให้หมด โดยเฉพาะรุ่น
E200 NGT ด้วยแล้ว ทำให้คุณอเล็กซ์ ก็ถึงกับคิดหนัก

แต่หลังจาก หารือกับ คุณสเตฟาน เมอบิอุส รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด
รวมทั้งการจัดประชุม กับดีลเลอร์ ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ในช่วงหลังจากนั้นไม่นาน
ทุกฝ่ายก็เริ่มมองเห็นภาพตรงกันว่า เราควรจะเดินหน้าไปอย่างไร ด้วยความพยายาม
ในการปรับปรุงบริการหลังการขาย รวมทั้ง การเปิดกว้าง ในการพูดคุยกับพนักงาน
ฯลฯ อีกมากมาย เรายอมรับว่า แม้จะเป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวด แต่เราก็ผ่านพ้นมาได้
ด้วยดี

“แม้ภาพรวมของภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย แต่เมอร์เซเดส-เบนซ์ก็ได้มีการปรับ
นโยบายในเชิงรับเพื่อให้เข้ากับภาวะสถานการณ์ของตลาด โดยการบริหารจัดการ
ด้านสต๊อค และราคาอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นในปี 2009 ที่ผ่านมาจึงเป็นอีกหนึ่งปี
แห่งความภาคภูมิใจที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังสามารถครองตำแหน่งผู้นำตลาดรถหรู
ต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 ติดต่อกัน และเป็นที่น่ายินดีว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ ไม่เพียงสามารถ
ครองตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งของตลาดรถหรู แต่ยังเป็นอันดับหนึ่งในรถยนต์หรู
ทุกเซ็กเมนท์อีกด้วย”

ในที่สุด ตัวเลขยอดขายนั่นละคือสิ่งที่จะบอกให้เห็นว่า มีการเติบโตขึ้นจากเดิม
3,200 คัน กลายเป็น 3.850 คัน หรือคิดเป็น ส่วนแบ่งการตลาดมากถึง 50%
ของตลาดรถหรูทั้งหมดในไทย (รองลงไป คือ 31% ) ยอดจำหน่ายของแต่ละรุ่น
แบ่งออกได้ดังนี้

– B-Class มียอดขายรวม 39 คัน     (คิดเป็นร้อยละ 100% ของส่วนแบ่งตลาด)
รุ่นข้างบนหนะ แน่อยู่แล้ว มีขายอยู่เจ้าเดียวนี่นา แต่ที่น่าสนใจหนะ อยู่ที่ 3 รุ่นนี้…
– C-Class มียอดขายรวม 1,690 คัน  (คิดเป็นร้อยละ 54.4% ของส่วนแบ่งตลาด)
– E-Class มียอดขายรวม 1,761 คัน  (คิดเป็นร้อยละ 62.9% ของส่วนแบ่งตลาด)
– S-Class มียอดขายรวม 340 คัน     (คิดเป็นร้อยละ 56.4% ของส่วนแบ่งตลาด)
– M/G/R-Class ยอดขายรวม 39 คัน (คิดเป็นร้อยละ 5.7 % ของส่วนแบ่งตลาด)

นอกจากนี้ คุณอเล็กซ์ ยังมองคาดการณ์ถึงตลาดรถยนต์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในปีนี้ ว่า
“แนวโน้มในปีนี้ หากเปรียบเทียบกันแล้ว อยากให้ทุกท่านลองจินตนาการ ถึงร้านอาหารหรูๆ
ชั้นดี เราได้ยินเสียงของลูกค้า ประมาณ 4,000 ราย ที่เริ่มทะยอยเดินเข้ามาอุดหนุนแล้ว ดังนั้น
พวกเรา ซึ่งก็นำโดยตัวผม ในฐานะพ่อครัวใหญ่ คุณ สเตฟาน พ่อครัวรอง และทีมบริกร ทุกๆคน
(ใช้คำว่า Butler) เราต้องเตรียม อาหารขั้นดี สุดเลิศรส พร้อมเสริฟให้กับทุกคน ไปพร้อมๆกับ
ที่เราจะมุ่งรักษาคุณภาพตัวรถ การบริการและเพิ่มพูนความสัมพันธ์อันดี ให้กับทั้งพนักงานในองค์กร
ทีมผู้จำหน่ายอันแข็งแกร่ง และลูกค้าผู้มีอุปการะคุณ รวมถึงสื่อมวลชน ด้วย”

ขณะเดียวกัน คุณ อรุณ สมุทรสาร รองประธาน ฝ่ายบริการหลังการขาย ก็จะเป็นผู้ดูแล 
ลูกค้าทุกคนในระหว่างที่พวกเขารับประทานอาหาร เพราะ ถ้าลูกค้าชื่นชอบ พวกเขา 
อาจจะสั่ง เพิ่มอีกจานสองจานก็ได้ ใครจะไปรู้ คุณอรุณ กล่าวต่อว่า สำหรับงานด้านบริการนั้น
ปีนี้ยิ่งจะต้องปรับปรุง เพื่อเพิ่มความประทับใจให้กับลูกค้าให้ได้ ไล่กันไปตั้งแต่ เจ้าหน้าที่รับรถ
ในศูนย์บริการ เพราะคนกลุ่มนี้ คือคนที่จะเป็นเสมือนตัวแทนของแบรนด์ ลูกค้าจะแฮปปี้หรือไม่
ก็ต้องเริ่มจากจุดนี้ โดยทางทีมของคุณอรุณ จะพยายามยกระดับงานบริการหลังการขายกันในทุกจุด
ใส่ใจกันลงลึกถึงรายละเอียด ในระดับการพูดจากับลูกค้า ว่า ไม่ควรเรียกลูกค้าว่า “ป๋า” หรือ “ซ้อ”
ไม่เว้นแม้กระทั่ง รปภ.ประจำศูนย์บริการ ที่จะต้องคอยอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า และยิ้มแย้ม
แจ่มใสให้ดีกว่านี้

เดี๋ยวๆๆ…ที่พูดมาเนี่ย แน่ใจนะว่า คือแบรนด์รถยนต์หรูอันดับหนึ่งของประเทศ
ที่คนไทยมักมองว่า ไม่ต้องง้อลูกค้า ก็ขายรถได้?

ครับ ใช่ ถูกแล้วละ และไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ง้อลูกค้าแต่อย่างใด เพราะตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ที่คุณอเล็กซ์
เข้ามารับตำแหน่ง ก็มีความพยายามในการเปลี่ยนแปลงด้านบริการหลังการขายมากขึ้น ในบางกรณี
คุณอเล็กซ์ ก็ถึงกับตอบอีเมล์รับเรื่องกับลูกค้าด้วยตัวเอง (ซึ่ง ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากๆ เพราะลอง
ถ้าเป็นยี่ห้ออื่น อย่าหวังเลยว่า ประธานบริษัทค่ายนั้นๆ จะดูแลลูกค้ากันถึงขนาดนี้! ฝันไปเหอะ!)

และทันที ที่เปิดปีใหม่มา Mercedes-Benz ก็ประเดิม เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ 4 รุ่นรวด
เป็นรายแรกของปีนี้ เริ่มกันด้วย E 300 AVANTGARDE Saloon CKD ซึ่งเป็น E-Class
เวอร์ชัน ประกอบในประเทศรุ่นแรกของปี เปิดตัวไวกว่าที่คิด ด้วยเครื่องยนต์V6 DOHC
2,996 ซีซี กำลังสูงสุด 161  กิโลวัตต์ /219 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด
300 นิวตันเมตร ที่ 2,500 – 5,000 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 7.4 วินาที
ความเร็วสูงสุดที่ 247 กิโลเมตร/ชั่วโมง และด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.27 ทำให้
เมอร์เซเดส-เบนซ์ E-Class เป็นยนตรกรรมหรูที่ลู่ลมมากที่สุด

นอกจากนี้ E 300 AVANTGARDE ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีล้ำสมัยทางด้านความปลอดภัย
ความสะดวกสบาย และสมรรถนะในการขับขี่ ด้วยราคา 4,999,000 บาท ถือเป็นรุ่นท็อปสุด
ที่จะประเดิมตลาดกันก่อนรุ่นอื่นๆ ที่จะทะยอยตามมาในภายหลัง

อีกหนึ่งยนตกรรมหรูที่พร้อมอวดโฉมสู่ตลาดในเดือนมกราคมนี้ก็คือ  The new generation  S-Class
รุ่นปรับโฉมใหม่ของยนตรกรรมระดับเอ็กคลูซีฟ ซึ่งเปิดตวพร้อมกันถึง 3 รุ่น ได้แก่ S 300 L,
S 350 CDI BlueEFFICIENCY L และ S 500 L โดยทุกรุ่น จะมาพร้อมกับนวัตกรรมใหม่ล่าสุด
ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ทั้งด้านความสะดวกสบายในการขับขี่ เทคโนโลยีความปลอดภัย
และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

The new generation S-Class มาพร้อมกับดีไซน์ใหม่ที่เพิ่มความโดดเด่นภูมิฐานและหรูหราด้วย
ไฟคู่หน้าแบบไบซีนอน และไฟท้ายที่เพิ่มมุมมองแบบสปอร์ตได้อย่างน่าประทับใจ ด้วยเทคโนโลยี
LED ที่ส่องสว่างไกล ให้รถที่ตามมาเห็นสัญญาไฟได้ชัดเจนยิ่งขึ้นในยามค่ำคืน     

อันประกอบด้วย ATTENTION ASSIST ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่
Adaptive Highbeam Assist  ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติช่วยเพิ่มทัศนวิสัยการขับขี่
ยามค่ำคืน Night View Assist Plus ระบบช่วยการมองเห็นยามค่ำคืน นอกจากนี้
ยังมีจอภาพแสดงผลแบบ SPLITVIEW ซึ่งสามารถแสดงภาพสองมุมมองภายใต้
จอแสดงผลเดียว เป็นครั้งแรกของโลกยานยนต์ ในการนำเทคโนโลยีชั้นสูงนี้มาใช้
ซึ่งในขณะที่ผู้ขับขี่อ่านแผนที่จากระบบ NAVIGATION ผู้โดยสารด้านหน้า
ก็สามารถชมภาพยนตร์จากเครื่องเล่นดีวีดีได้

the new generation S-Class สนนที่ราคา  7,799,000 บาท สำหรับ S 300 L,  7
,999,000 บาท สำหรับ S 350 CDI BlueEFFICIENCY L และ 10,999,000 บาท
สำหรับ S 500 L

ทั้ง E 300 AVANTGARDE และ the new generation S-Class เป็นรุ่นที่ประกอบในประเทศ
โดยได้รับการรับรองมาตรฐานการประกอบระดับโลกจากบริษัทแม่ในประเทศเยอรมนี ด้วยรางวัล
Mercedes-Benz Quality Award CKD ซึ่งเป็นการ ตรวจสอบ Audit ภายในองค์กร โดยโรงงาน
ประกอบ คู่บุญ อย่างธนบุรี ประกอบรถยนต์ คราวนี้ จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน โรงงาน
เมืองไทย ทำได้ถึง 99 คะแนน!!!

ทั้งนี้ Mecedes-Benz จะได้จัดงาน Showroom Launch สำหรับทั้ง 2 รุ่นพร้อมกันทั่วประเทศ
ระหว่างวันที่ 22-23-24 มกราคมศกนี้ โดยภายในงานจะมีกิจกรรมอื่นๆมากมาย ที่เตรียมไว้เป็นพิเศษ

นับว่าเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ แค่ในระดับ ออร์เดิร์ฟ…เพราะ ระดับ Main Course อย่าง E250 CDI
อันจะถือเป็นตัวหลักในการทำตลาดของปีนี้ จะตามมาในระยะเวลาอันสั้น เหตุผลที่ ยังไม่สามารถ
เปิดเผยได้ คุณอเล็กซ์ บอกว่า ตัวรถ ยังอยู่ในขั้นตอน การทดสอบให้ผ่านค่ามาตรฐาน หรือ Homologation
ของทาง สมอ. เสียก่อน ซึ่ง ตอนนี้ ถ้าผ่านเมื่อไหร่ หรือพร้อมเปิดตัวได้เมื่อไหร่ ปัจจัย มันไม่ได้อยู่ที่
ทาง Mercedes-Benz แล้ว

สัปดาห์หน้า เราคงต้องมาตามติด ดูกันต่อว่า BMW จะเตรียมอะไร มารับมือกับ Mercedes-Benz กันบ้าง

———————————————///————————————————-