แก่งกระจาน..

สมัยก่อนเวลามีเพื่อนคนไหนพูดชื่อนี้ออกมา ผมมักนึกถึงเขื่อน หรืออุทยานที่อยู่
บนเส้นทางไปสู่โครงการหลวงชั่งหัวมันในจังหวัดเพชรบุรี นึกถึงภูเขาและทุ่งสีเขียว
กับสายธารน้ำไหลเย็นสดชื่น เป็นสถานที่อันเหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจที่ไม่ว่า
จะเป็นเด็กหรือคนแก่ก็สามารถรื่นอารมณ์ไปกับบรรยากาศโดยรอบ

ผมอาจจะไม่ได้ไปแก่งกระจานบ่อยเท่ากับคุณผู้อ่านหลายท่าน แต่อย่างน้อย
ก็เคยได้อาศัยความงามของภูมิประเทศในการปล่อยใจไปตามกระแสน้ำ รวมถึง
กระแสน้ำตา เวลาอกหักรักคุด พบขนมจีบผ่าซีก หรือเปิดสัมปทานไร่แห้ว
ผมมักขับรถไปที่นั่น หาท้องทุ่งที่ไหนสักแห่งที่ไม่รู้จัก แล้วก็นั่งทำหน้าโง่ๆ
อยู่ริมทุ่งแห่งนั้น หรือไม่ก็ไปพักยังรีสอร์ทริมธาร เอาตัวแช่น้ำแล้วหวังว่า
สายน้ำจะชำระล้างความผิดหวังทั้งหมด เป็นการ Reset ตัวเองก่อนที่จะมุ่งหน้า
กลับเข้าเมืองใหญ่แล้วดำเนินชีวิตต่อไป

2016_10_opening

ใครจะไปนึกว่าวันนี้ หากมีใครพูดถึง “แก่งกระจาน” ผมกลับนึกถึงสนามแข่งขนาด
ยาวประมาณ 2.4 กิโลเมตรที่เขียวชะอุ่ม มีทางชันขึ้นเขา ทางลง โค้งยาว โค้งหัก
ปลายเป็นตัวอักษร ก. ไก่ และโค้ง S เมื่อยืนดูอยู่จาก Paddock สนามนี้มีหน้าตา
คล้ายมุมมองในกระจกเงาของสนาม Brands Hatch ที่อังกฤษ บวกกับพีระเซอร์กิต
แต่ก็มีสไตล์ที่เป็นตัวของมันเอง…ขับช้าๆแล้วดูเหมือนง่าย แต่ยิ่งตั้งใจจะเร็วกลับ
ยิ่งเจออุปสรรค..ไม่ว่าจะเป็นพื้นแทร็คที่มีทรายในบางจุด พื้นผิวถนนบางส่วนที่
ไม่เรียบ พี่ฉ่าง อาคม รวมสุวรรณ แห่งไทยรัฐเคยสอนผมไว้ว่า อย่าไปประมาท
หน้าตาของมัน เพราะมีกับดักรอรับหลายจุด รวมถึงมีทางลงยาวที่ส่งความเร็วของ
รถให้ไปลื่นปรื๊ดๆ แต่ในขณะที่คุณกำลังลิงโลดอยู่นั้น ถ้าเผลอกำพวงมาลัยไม่แน่น
หรือเบรกช้าเกินกำหนด ก็จะไปหมุนคว้างเอาแถวๆ โค้ง S ขวา 1 ใน 2 โค้งนั้น

สนามแข่งแห่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ต้องย้อนไปประมาณ 8 ปีก่อน นักแข่ง 2 ท่าน
คือคุณสมชาย ศรีจิรารัตน์ และคุณเอกประวัติ เพ็ชรรักษ์อยากให้มีสนามแข่งรถ
แห่งใหม่เกิดขึ้นเพื่อรองรับความต้องการทางด้านมอเตอร์สปอร์ต ตลอดจนเอื้ออำนวย
ให้ขาซิ่งหลังถนน เปลี่ยนใจมาซิ่งในสนามแทน พวกเขา 2 คน ทุ่มแรงกาย และดูแล
จนสนามแข่งในฝันแห่งนี้ เสร็จเป็นรูปเป็นร่างได้ภายในเวลาแค่ 10 เดือนเท่านั้น
ว่ากันว่าเป็นสนามแข่งรถที่สร้างเสร็จเร็วที่สุดในโลก

ผมมีโอกาสเอารถตัวเองมาลองวิ่ง ก่อนหน้านี้แล้ว เพราะเจ้าตี้ (Tee@Abuser)
สมาชิกเว็บและรุ่นน้องผมที่เป็นนักแข่งรุ่นพันห้าพาเพลินเขาชวนเพื่อนๆมาวิ่งกัน
20-30 คัน เลยมีโอกาสเรียนรู้สนามในเบื้องต้น แล้วก็ทำให้รู้ว่าในสนามแก่งกระจาน
รถเล็ก น้ำหนักเบาที่เบรกและยางดีมีโอกาสวิ่งทำเวลาได้ดีในขณะที่รถพลังสูงกว่า
แต่ยางไม่ดี เบรกไม่พร้อม ไม่เหมาะกับสนามนี้อย่างยิ่ง

ผมคิดเสียว่าวิ่งเอาฮา เอาสนุก ก็ลองเอา Tiida ล้อเดิมยางเดิม (ใช้มา 50,000
กิโลเมตร) เบรกเดิม (เปลี่ยนแค่ผ้าเบรก) แต่ฮึดสู้โดยกะว่า 170 ม้าที่ล้อมันน่า
จะกู้หน้าเราได้บ้าง แต่เปล่าเลยครับ Civic FD เครื่องเดิม 100% 1.8 ลิตรแต่
ได้ยาง AD08 ช่วงล่างและเบรกดีๆ ทิ้งผมหายชนิดไม่ต้องตามดูทะเบียน ดูไป
ก็เอาไปแทงหวยไม่ถูก แล้วยิ่งพอลองไปขับ Jazz GE ที่ปรับแต่งมาสำหรับวิ่ง
สนามของเจ้าตี้เขา ซึ้งเลยครับ รถเขาเกียร์ธรรมดา ม้าลงพื้นน้อยกว่าผม 14 ตัว
แต่อุปกรณ์ครบทั้งเบรก ยาง ช่วงล่าง เกียร์ลิมิเต็ดสลิป ขนาดลองรอบแรกผม
ยังไม่ชินกับรถ สับเกียร์เจอตอไป 2-3 รอบ เวลาที่ได้ก็เร็วทะลุ Best time
ของรถผมเองไปหลายวินาทีแล้ว

2016_10_Kaengview01

อย่างไรก็ตาม ทั้งรถตี้ และรถของผม ไม่ได้เป็นญาติฝ่ายใดของรถที่ทาง
MINI Thailand ชวนพวกเรามาทดสอบในวันนี้ แต่มันจะเป็นรถที่ช่วยให้ผม
เข้าใจความต่างระหว่าง รถบ้าน รถสนาม และ Hot Hatch ที่ได้รับการปรับจูน
มาอย่างดีจากโรงงาน ว่าต่างกันอย่างไร

อันที่จริง จะบอกว่าเป็น Hot Hatch ก็ไม่ถูกนัก เพราะไหนๆ จะจัดให้เป็นงาน
MINI Track Day 2016 ทั้งที จะให้ลองแค่ 2-3 รุ่นก็กระไรอยู่ ดังนั้นพวกเขา
จึงขน MINI แทบจะทุกรุ่นที่มีขายอยู่ในประเทศไทย ณ เวลาปัจจุบันมาให้ลอง
ไล่ตั้งแต่รุ่น Hatchback, Convertible, Clubman ไปจนถึง Countryman

2016_10_getreadyandselectthemusic

แต่ทั้งนี้ เนื่องจากปริมาณผู้เข้าร่วมงานและการควบคุมระยะเวลาของกิจกรรม
เราจึงมีรถภาคบังคับ (ทุกคนได้ขับ) อยู่ 3 รุ่น ได้แก่

1. MINI John Cooper Works (JCW)
2. MINI Cooper S JCW Dress Up
3. MINI Cooper S Convertible

และมีภาควิชาเลือกเสรี (ต้องไปขุดคำศัพท์นี้มาจากสมัยมัธยมนู่น) ซึ่งเราจะ
มีโอกาสได้ขับ 2 คันจากทางเลือกเหล่านี้

1. MINI Cooper D Hightrim Countryman
2. MINI Cooper SD ALL4 Countryman Parklane
3. MINI Cooper D Clubman
4. MINI Cooper S Clubman

ผมเลือก Cooper D Hightrim Countryman ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นรถรุ่นที่
แรงม้าน้อยสุด แต่ก็มีราคาถูกสุด ผมอยากทราบเหมือนกันว่า DNA ความเป็น
Go Kart และแนวคิด Fun to drive ของ MINI จะยังหลงเหลือมากแค่ไหนใน
รถที่เน้นสมรรถนะน้อยที่สุดของวันนี้

ส่วนรถอีกคันที่โชคร้ายต้องมาเจอน้ำหนักตัวผม ก็คือ Cooper D Clubman
ซึ่งเป็นรถรุ่นใหม่ของทางค่าย ได้ขุมพลังดีเซลรุ่นใหม่จาก BMW ที่มีวางอยู่
ใน X1 sDrive18d อีกทั้งยังเป็น MINI ที่มีภายในกว้างขวางนั่งสบายที่สุด

…ผมล้อเล่นครับ อันที่จริงผมไม่ได้คิดด๋อยอะไรหรอก แต่เผอิญกลุ่มทดสอบ
ของพวกเราน่ะ ถูกแบ่งเป็นซีกซ้ายและขวา รถ 3 คันแรกในแต่ละซีกจะเหมือนกัน
ส่วน 2 คันหลังจะต่างกัน ผมเลือกไปอยู่ซีกที่มันมี Cooper D Countryman
กับ Clubman ก็เท่านั้นเองล่ะครับ

2016_10_gettingchange

ผมจับคู่กับคุณแสงอรุณ ช่างภาพมือเอกของนิตยสาร GQ แล้วเราก็เดิน
ไปเลือกรถเอาตามใจชอบ ผมเสนอไปว่าน่าจะเลือกขับคันที่มีแรงน้อยที่สุด
เป็นอันดับแรกแล้วค่อยขยับไปหาคันที่แรงขึ้นเรื่อยๆ แต่คุณแสงอรุณมีไอเดีย
ว่าเราน่าจะเปิดซิงกันด้วย JCW คันแรงก่อน

ซึ่งก็เป็นความคิดที่ไม่เลว เพราะผมมานึกได้ภายหลังว่า หากเราขับเจ้าแสบ
หูแดงนี่เป็นคันสุดท้าย เมื่อถึงเวลานั้น เครื่องยนต์อาจจะเริ่มล้า ยางหน้าอาจจะ
เริ่มเสื่อมประสิทธิภาพการยึดเกาะไปแล้ว แถมการได้ขับรถ JCW หมายเลข 01
นั้น ก็แปลว่าคันข้างหน้าผมจะเป็นรถของ Instructor ซึ่งขับโดยพระเอส
(ขออนุญาตเรียกด้วยความเคารพ เนื่องจากเวลานี้คุณเอสกำลังอยู่ระหว่าง
การอุปสมบท) จะได้มีโอกาสสังเกตวิธีการขับแบบฉบับของมืออาชีพไปด้วย

ขอบอกไว้ก่อนว่าบทความนี้ ไม่ใช่ First Impression หรือ Full Review ที่
จะต้องมีรายละเอียดครบนะครับ ผมขออนุญาตเขียนเพื่อแชร์ลักษณะนิสัยและ
สิ่งที่พบในแรกสัมผัสของรถแต่ละคัน เมื่อมันอยู่ในสนามแข่งแก่งกระจาน ทั้งนี้ก็
มีโบนัสตบท้ายเป็นการขับแบบ On Road อีก 2 รุ่น เพราะในใจผมนั้น คิดว่า
จะติดต่อขอยืมรถทดสอบมาทำเป็น Review อยู่แล้วครับ

2016_10_JCW

MINI John Cooper Works
ราคา: 3,450,000 บาท
เครื่องยนต์: B48A20B
2.0 ลิตร TwinPower เทอร์โบ 231 แรงม้าที่ 5,200-6,000 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร ที่ 1,250-4,800 รอบต่อนาที
รองรับเชื้อเพลิง E20
ระบบส่งกำลัง: เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ Sport Steptronic พร้อม Paddle shift
ขนาด ยาว/กว้าง/สูง (มม.): 3,874/1,727/1,414
น้ำหนักตัวรถ: 1,295 กิโลกรัม

เอกลักษณ์ประจำตัวของ JCW คือชุดแต่งเฉพาะรุ่น กันชนหน้า สเกิร์ตและ
สปอยเลอร์หลังของ John Cooper Works กับท่อไอเสียสปอร์ตและล้ออัลลอย
แบบ Cup Spoke 5 ก้านคู่ขอบ 18 นิ้ว ห่อหุ้มด้วยยาง 205/40/18 ของ Pirelli
Cinturato P7 เบรกคาลิเปอร์แดง ด้านหน้าแบบ 4 Pot พร้อมจาน 330 มิลลิเมตร

เครื่องยนต์ของรุ่น JCW นี้ ก็มีพื้นฐานมาจาก Cooper S 2.0 ลิตรรุ่นปกติที่มีพลัง
192 แรงม้า แต่ได้รับการปรับจูนเพิ่มพลังมากขึ้น 39 แรงม้า สำหรับเรื่องช่วงล่างนั้น
MINI เจนเนอเรชั่นก่อนๆ พอได้ชื่อว่าเป็นตัวแรงปุ๊บ ก็มักจะมีนิสัยเหมือนโกคาร์ทจริงๆ
(คล่อง แต่ก็แข็งจนไม่รู้จะสงสารลูกหมากของรถหรือของคนดี) ดังนั้นในรุ่นใหม่จึง
ได้รับการปรับแต่งให้มีระยะยุบ/ยืดของช่วงล่างเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ช่วงล่างหน้าเป็น
แบบสตรัท ส่วนด้านหลังเป็นแบบอิสระมัลติลิงค์

รุ่น Cooper S ทุกตัว จะมาพร้อมโช้คอัพแบบ Dynamic Damper Control ซึ่งจะ
สามารถปรับความแข็ง/อ่อนได้ (นับเป็นครั้งแรกของ MINI ที่มีโช้คไฟฟ้าใส่
มาให้เลยจากโรงงาน) แต่สำหรับรุ่น JCW นั้นจะมีการปรับจูนการทำงาน
ของโช้คอัพเพื่อให้เน้นความแข็งหนึบเหมาะกับงานซิ่งมากขึ้น และได้สปริงที่มี
ความหนืดมากกว่า Cooper S ทั่วไป

2016_10_JCW02

การปรับแต่งที่ MINI มอบให้กับ JCW ทำให้มันกลายเป็นเล็กพริกขี้หนูที่สร้าง
ความบันเทิงจิตในสนามแก่งกระจานได้เป็นอย่างดี พละกำลังของเครื่องยนต์นั้น
ถ้าวัดจากแรงดึงเฉยๆจะดูเหมือนไม่ได้แรงไปกว่า MINI R56 ที่ใช้เครื่อง 1.6 ลิตร
เทอร์โบมากนัก แต่ความจริงแล้วเป็นเพราะว่ากราฟแรงบิดแบบ Flat Torque
ที่ยิงยาวจากรอบต่ำ ทำให้ไม่ว่ากดตรงไหนก็มีแรงดึงดีไปหมด มีความยืดหยุ่น
มากจนกดคันเร่งแค่ครึ่งเดียวก็สามารถเร่งขึ้นบนทางชันของสนามได้สบาย
หรือถ้ากดแบบเต็มแม็ก ก็เร่งจาก 30 ไปถึง 140 บนทางชันขึ้นได้อย่างสบาย

อีกสิ่งที่ผมชอบมากคือความไวของคันเร่ง ซึ่งทีม JCW เซ็ตมาได้ลงตัวมาก ไม่ใช่
กดแล้วทำนิสัย On/Off เป็นสวิตช์ไฟ แต่สามารถกดลึกหรือผ่อนเบาตามที่ต้องการ
แล้วควบคุมการถ่ายพลังลงพื้นได้อย่างดี โดยปกติรถขับหน้าที่มีแรงบิดสูงนั้น
ในช่วงที่กำลังออกจากโค้ง U Turn ถ้าเผลอกดคันเร่งหนักไปนิดเดียว ระบบ
Traction Control จะทำงาน เพราะล้อวงในโค้งหมุนฟรี แต่กับ JCW นั้น ผมสามารถ
เลือกความลึกในการกดคันเร่งได้ง่าย รถเร่งออกจากโค้งได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้อง
พึ่งพาระบบอิเล็กทรอนิกส์ใดๆ

เมื่อกดโหมด Sport ที่ฐานเกียร์ พวงมาลัยจะตอบสนองคมขึ้น ช่วงล่างจะแข็งขึ้น
คันเร่งไวขึ้น และเวลาเหยียบ/ถอนคันเร่งจะมีเสียงปุปะปุ้งปังเหมือนข้าวโพดคั่วแตก
ดังมาจากท่อ (ซึ่งไม่ใช่ระบบ Anti-lag แบบรถแรลลี่นะครับ เป็นแค่เสียงที่สร้างขึ้น
เพื่อความมันส์ในการขับเท่านั้น แต่มันก็เก๋ดีไปอีกแบบ) แถมเวลาบี้คันเร่งเหาะมา
เร็วๆแล้วเบรกหนักๆต่อเนื่อง เกียร์จะเปลี่ยนลงเกียร์ต่ำให้อย่างรวดเร็ว วัยรุ่นชอบ
แน่ครับแบบนี้

พวงมาลัยเซ็ตมาไวกำลังดี ถ้าหักไปมาเพียงเล็กน้อยจะแน่นและไม่ไวเหมือนรุ่นเก่า
แต่ถ้าหักสัก 3-4 นิ้วไปแล้วจะรู้สึกว่าตอบสนองได้ดีมีชีวิตชีวาขึ้น ช่วงล่างก็มีความ
หนึบหนืดกำลังดีสำหรับรถที่ต้องรับงานบนถนนและสนามแบบผสมผสาน มีการให้ตัว
ที่ดี อย่างช่วงทางลงยาวที่ทำสปีดเต็มที่บนสนามนั้นจะมีช่วงที่ถนนไม่เรียบ ช่วงล่าง
รถสนามอย่าง Jazz GE  ทีม Ceramic Pro ของตี้จะดีดดิ้นไปตามสภาพถนน แต่
JCW (ในโหมด Sport) จะดีดตัวให้พอรู้ว่าถนนไม่เรียบ แต่รถไม่ดิ้นจนเกินงาม

ระบบเบรกไว้ใจได้ หน่วงความเร็วตามความลึกที่กดลงไปโดยไม่มีช่วงไหนที่
ตอบสนองเร็วหรือเนือยผิดปกติ ระยะจากจุดปล่อยถึงเหยียบเกือบสุดนั้นจะสั้น
คล้ายรถอย่าง WRX STi แต่น้ำหนักต้านเท้าจะน้อยกว่า เบรกอยู่เท้าได้โดยที่
เปลืองแรงน้อยกว่า

ถ้าจะพูดให้เห็นภาพ ผมต้องขออ้างอิงถึงอดีตแชมป์ Best Drive ปี 2010 อย่าง
VW Golf GTi ซึ่งแรง ให้อารมณ์ในการบังคับควบคุมที่ดีเลิศ เสียแต่ว่าเบรกจับ
ไวจนกำกับแรงเบรกได้ยากถ้าไม่ได้ขับแบบอัดในสนามสุดตัว MINI JCW ในวันนี้
ทำตัวราวกับว่ามันไปผ่าศพ Golf GTi มา จากนั้นก็จกเอาสิ่งดีๆที่ GTi ทำไว้มา
Remix ในเรือนร่างสไตล์อังกฤษของ MINI และปรับการทำงานของระบบเบรก
ให้ลงตัวขึ้นในแง่ของน้ำหนักกดบนแป้นเบรก แต่ก็ยังรู้สึกว่าเวลาเล่นบทโหด
เกียร์คลัตช์คู่ของ VW ให้ความรู้สึกไวสะใจกว่า

แม้กระนั้นก็ตาม JCW คือผลิตผลจากการที่วิศวกรเยอรมัน กับวิศวกรอังกฤษ
สื่อสารกันรู้เรื่อง และต่างคนต่างเอาสิ่งดีๆของตัวเองมาบรรจงใส่ในรถคันนี้
แม้ว่าในใจลึกๆผมแอบหวังบุคลิกที่ดิบและโหดกว่านี้ แต่นี่คือ MINI คันแรกที่ผม
รู้สึกอยากเป็นเจ้าของจริงๆ แหม..ดีนะที่พี่จน ไม่งั้นจองไปแล้ว

 

2016_10_BlueCountryman02

MINI Cooper D Hightrim Countryman
ราคา: 2,240,000 บาท (ประกอบในประเทศ)
เครื่องยนต์: N47C20A
2.0 ลิตรดีเซลเทอร์โบ 112 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด 270 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750-2,250 รอบต่อนาที

ระบบส่งกำลัง: เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อม Paddle Shift
ขนาด ยาว/กว้าง/สูง (มม.): 4,097/1,789/1,561
น้ำหนักตัวรถ: 1,410 กิโลกรัม

อาจจะดูเหมือนเป็นการไม่ยุติธรรมกับเจ้า Countryman สีน้ำเงินเท่าไหร่ที่ผม
กระโดดจากตัวโหดสุดในค่ายแล้วมานั่งในรถคันนี้ แต่ก็ต้องยอมรับตามความจริงว่า
รถหนัก 1.4 ตัน กับม้า 112 ตัวมันควรจะวิ่งแบบไหน..Cooper D Countryman มันก็
ทำได้อย่างนั้นล่ะครับ ช่วงที่ขับขึ้นเนิน เดินคันเร่ง 60% นั้น แรงบิดของเครื่องยนต์
ดีเซลก็พาตัวรถไปได้ลื่นพอ ผมว่าคุณไปอ่างขางคงไม่ต้องลุ้น แต่นี่คือสนามแข่ง
และเมื่อกดคันเร่ง 100% พยายามเค้นสมรรถนะ ผมรู้สึกว่ายิ่งเค้นยิ่งเหนื่อย ถ้าหาก
เข็มวัดรอบตวัดเกิน 3,000 รอบเมื่อไหร่ จากจุดนั้นไปอารมณ์จะเฉื่อยน้องๆผู้ชาย
ที่ยืนรอแฟนสาวผู้ซึ่งหายตัวเข้าไปในร้าน Sephora แล้วยังไม่กลับออกมา

ที่รู้สึกเหมือนถูกประชดเล็กๆ ก็คือ Countryman คันนี้มี Paddleshift มาให้
แต่..แต่…แต่ Cooper S 192 แรงม้ารุ่นปกติ และ Cooper D Clubman ที่ต่างก็
แรงกว่าเจ้าน้ำเงินคันนี้มาก กลับไม่มีมาให้น่ะสิ แถมการตอบสนองของ Paddle
ก็ออกจะประหลาด บางทีกด Downshift/Upshift ไวไป ก็ไม่ยอมเปลี่ยนเกียร์
ตามคำสั่ง ขนาดลดรอบเครื่องลงจนน่าจะเหลือพอแล้วยังมีอาการเดิมอยู่
ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าจะเป็นปัญหาเฉพาะคันหรือเปล่า

2016_10_BlueCountryman

อย่างไรก็ตาม ช่วงล่างของ Countryman นี้ปรับจูนมาได้ค่อนข้างน่าประทับใจ
เมื่อมองว่ามันเป็นรถประเภทที่ต้องรองรับการใช้งานของคนที่ไม่ใช่ขาซิ่ง พาแม่ยายไป
กินข้าวแล้วแม่ยายต้องไปไล่ไปซื้อเกวียนขี่ แต่ต้องไม่ยวบยาบเกินจนคนสงสัยว่า
นี่มัน MINI แน่เหรอ (วะ) ผมสามารถทิ้งโค้งแต่ละโค้งด้วยความเร็วที่เท่ากับตอน
ขับ Tiida ของตัวเอง (แล้วไอ้ Tiida ถ้าใครใช้อยู่จริงจะรู้นะครับว่าช่วงล่างเดิม
มันแข็งพอดู) Countryman มีตัวรถสูงกว่า มีจุดศูนย์ถ่วงสูงกว่า แต่กลับคุมการ
ยวบตัวถังไว้ได้อยู่หมัด ยาง Continental ContiSportContact SSR ไม่ได้เกาะ
ถึงกับหนึบแต่ยังให้ความมั่นใจ อาการหน้าดื้อหรือไถลออกนอกแนววิ่งไม่เกิดขึ้น
ง่ายๆถ้าไม่ได้ตั้งใจให้มันออก

ถ้าจะให้ผมเทียบกับรถในตลาด Mass เจ้า Countryman นี้นุ่มกว่า Subaru XV
แต่แข็งกว่า Forester ส่วนพวงมาลัยนั้นจะไม่ไวเหมือนพวกรถทรงเตี้ยอย่าง F56
หรือพวก Hatch 3 Door แต่ก็หักเลี้ยวและดีดคืนกลับได้คล่องมือเมื่อเทียบกับ
ครอสโอเวอร์ญี่ปุ่น ถือว่าเป็นจุดกึ่งกลางที่เหมาะสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่เป็น
คนบูชา MINI ด้วยดีไซน์ และเลือกใช้บอดี้ Countryman โดยมุ่งหวังความ
อเนกประสงค์ ตัวรถก็ขึ้นลงได้ง่าย ขนาดไซส์ผมยังรับไหว แม้ว่ามันจะไม่ได้
โอ่โถงสบายเหมือน SUV ญี่ปุ่นที่ตัวโตกว่าก็ตาม

แต่ถ้าคุณต้องการสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด แล้วยังอยากได้ความสนุกในการกระแทก
คันเร่งด้วย ผมว่าอยู่ห่างๆ Cooper D Countryman และไปหา Cooper SD ตัว
143 แรงม้าเถอะครับ อย่างน้อยม้า 31 ตัวที่เพิ่มมาน่าจะสร้างอารมณ์การขับขี่
ได้ดีกว่านี้

 

2016_10_ClubmanSD02

MINI Cooper D Clubman
ราคา: 2,688,000 บาท
เครื่องยนต์: B47C20A
2.0 ลิตร ดีเซล TwinPower เทอร์โบ 150 แรงม้าที่ 4,000 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด 330 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750 รอบต่อนาที
ระบบส่งกำลัง: เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Steptronic
ขนาด ยาว/กว้าง/สูง (มม.): 4,253/1,800/1,441
น้ำหนักตัวรถ: 1,435 กิโลกรัม

ย้ายมารถคันที่ 3 ซึ่งก็คือเจ้า Clubman ซึ่งทาง MINI Thailand นำมาให้ลองกัน
ทั้งรุ่น Cooper S 192 แรงม้า และรุ่น Cooper D ดีเซล 150 แรงม้า โดยรถคันที่ผม
ได้ลองจะเป็นตัวดีเซล ซึ่งมีระดับราคาและความแรงแทรกอยู่ตรงกลางระหว่างรุ่น
Cooper ธรรมดา เบนซิน 3 สูบ 136 แรงม้าและรุ่น S 192 แรงม้า จุดต่างระหว่างรุ่น
Cooper S กับ Cooper D ที่เห็นได้ชัดจากภายนอกคือไฟหน้า..ซึ่งรุ่นดีเซลจะเป็น
แบบฮาโลเจนทั้งไฟหน้าและไฟตัดหมอกในขณะที่รุ่น S จะได้ไฟแบบ LED และ
นอกจากนี้ รุ่น S จะมีแถบสีคาดบนฝากระโปรงในขณะที่รุ่นดีเซลจะไม่มีให้

อีกส่วนที่ต่างกันก็คือล้อ ซึ่ง Cooper S จะได้ล้ออัลลอย 7 ก้านขอบ 18 ลาย
Star Spoke สีเงินหรือดำ ส่วนรุ่น Cooper ธรรมดาและ Cooper D จะได้ล้อลาย
Net Spoke ขอบ 17 นิ้ว

Clubman นั้น แม้จะจัดเป็นอนุกรมหนึ่งของ MINI แต่ขนาดตัวของมันนั้นไม่ได้
MINI อย่างที่ชื่อบอก ตัวรถยาวพอๆกับ C-Segment Hatchback และฐานล้อก็
ยาวถึง 2,670 มิลลิเมตร และรุ่นดีเซลนั้นก็ไม่ใช่รุ่นที่ทำมาเน้นอารมณ์การขับขี่แบบ
มอเตอร์สปอร์ตมากนัก เพราะได้ช่วงล่างแบบปกติ และไม่มี Driving Modes
(Green และ Sport) ให้เลือกแบบพวกรุ่นเครื่อง 192 แรงม้า นอกจากนั้นแล้ว
ในขณะที่ Countryman ตัวโย่ง 112 แรงม้ามี Paddle shift มาให้ แต่ใน
Clubman Cooper D ผมตบนิ้วไปหลังก้านพวงมาลัยแล้วพบเพียงความว่างเปล่า

..แต่นั่นจะทำให้รสชาติการขับขี่ออกมาแย่หรือไม่? งานนี้ลองก่อน อย่าเพิ่งด่า

2016_10_ClubmanSD01

แค่กดคันเร่งออกจากจุดสตาร์ท ผมก็รู้สึกได้ถึงพละกำลังที่แตกต่างจาก
Countryman คันสีน้ำเงินแบบคนละเรื่อง มันก็ต้องเป็นแบบนั้นล่ะครับเพราะ
ขุมพลัง B47C20A ในรถคันนี้มีแรงม้ามากกว่ากันอยู่ถึง 38 แรงม้า แถมยัง
ได้เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะลูกใหม่ ซึ่งจะว่าไปแล้ว ทั้งเครื่องยนต์และเกียร์
ก็เหมือนกับของ BMW X1 sDrive18d นั่นเอง

ถูกละมันอาจจะไม่ใช่เครื่องดีเซลพันธุ์ดุเดือดเลือดพล่าน แต่อย่างน้อย
พละกำลังแรงบิด 330 นิวตัน-เมตรก็ถีบตัวถัง 1.43 ตันพุ่งไปข้างหน้าชนิดที่
สร้างรอยยิ้มบนหน้าผมได้นิดๆ เป็นเครื่องยนต์ประเภทติดบูสท์ไว (1,700 รอบ
แรงดึงก็มาสวยๆแล้ว) น้ำหนักหมัดในช่วงรอบเครื่องปานกลางเหลือเฟือ
สังเกตได้จากช่วงไต่ขึ้นเนินตรงยาว Clubman Cooper D พุ่งไปอย่างมีพลัง
แม้ว่าบางช่วงผมจะถอนคันเร่งกลับเหลือแค่ครึ่งเดียว ก็ยังรู้สึกว่ารถสามารถ
เร่งส่งขึ้นเนินไปได้ดี

จะมีก็แต่คาแร็คเตอร์ในช่วงรอบปลาย หลัง 3,500 รอบต่อนาทีซึ่ง “ไปแบบแห้งๆ”
ไม่ผิดอะไรกับตอนเครื่องบล็อคนี้อยู่ใน X1 sDrive18d ถ้าใครจะลากรอบให้ยัน
ขีดแดง ผมว่าคุณคงทำเพื่อเอาความสะใจมากกว่ามั้งครับ? อย่างมากก็ลากแค่
3,800 แล้วปล่อยให้รถขึ้นเกียร์ลำดับต่อไป ใช้แรงบิดมหาศาลในช่วงรอบกลาง
ให้เป็นประโยชน์ดีกว่า เครื่องยนต์แบบนี้ไม่ได้ทำมาเอาใจตีนผีอยู่แล้ว แต่สำหรับ
คนรักการเดินทาง ชอบขับไปดอยอินทนนท์ ดอยแม่สลอง อ่างขาง เขาค้อหรือ
สายโรแมนติคอย่าง 1095 แม่มาลัย-ปาย..เครื่องยนต์แบบนี้เหมาะทีเดียวล่ะครับ

พวงมาลัยคมดีสำหรับแร็คไฟฟ้ายุคใหม่ ความไวของพวงมาลัยในช่วงหักเลี้ยว
2-3 นิ้วแรกไวกว่า Countryman แต่ไม่ไวเท่า JCW (ในโค้ง Hairpin ก่อนขึ้นเขา
นั้น ผมต้องหมุนพวงมาลัย Clubman เกิน 180 องศา ในขณะที่ JCW และรถ 192
แรงม้าคันอื่น หมุนน้อยกว่า) ช่วงล่างนุ่มหนึบเหมือนเซ็ตมาสำหรับการเดินทางไกล
ด้วยความเร็วสูงมากกว่าที่จะเน้นการเทโค้งในสนามแข่ง เวลารูดผ่านถนนช่วงที่
ไม่เรียบจะรู้สึกว่ามีอาการดีดดิ้นน้อยกว่าเพราะช่วงล่างซับแรงกระแทกเอาไว้
แต่เวลาโยนโค้ง..แน่นอนครับว่าตัวรถยวบมากกว่าพวกตัวแสบๆ แต่ก็มั่นใจกว่า
Countryman เพราะตัวรถมีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำกว่า แป้นเบรกเซ็ตมาได้ดี การจับตัว
เป็นไปตามความลึกของแป้นที่กด แต่หน่วงความเร็วไม่ดีเท่า JCW ซึ่งก็ไม่ใช่
เรื่องแปลกอะไร

เท่าที่ประเมินเบื้องต้น Clubman Cooper D ให้การควบคุมในแบบที่มั่นใจ ปลอดภัย
แต่อาจไม่สนุกเหมือน MINI พันธุ์ซิ่ง และถ้าหากได้เครื่องยนต์ที่มีรอบปลายลาก
ลื่นแรงกว่านี้สักหน่อย บวกกับช่วงล่างและยางชุดเดิมนี่ล่ะ มันน่าจะเป็นสิงห์ทางไกล
ที่เพลินสุดๆ เหมือนนำเอา BMW ซีรีส์ 3 มาสิงสู่ในเรือนร่างของ MINI ทีเดียว

 

2016_10_MINIconvertible01

MINI Cooper S Convertible
ราคา: 3,050,000 บาท
เครื่องยนต์: B48A20A
2.0 ลิตร TwinPower เทอร์โบ 192 แรงม้าที่ 4,700-6,000 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด 280 นิวตัน-เมตร ที่ 1,250-4,500 รอบต่อนาที
รองรับเชื้อเพลิง Gasohol 95
ระบบส่งกำลัง: เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ Steptronic
ขนาด ยาว/กว้าง/สูง (มม.): 3,837/1,727/1,415
น้ำหนักตัวรถ: 1,370 กิโลกรัม

ในที่สุด หลังจากใช้ชีวิตรอบสนามกับ MINI สายรักสงบไป 2 คัน ผมก็ได้โอกาส
กลับมานั่งในรถ Cooper S เครื่อง 2.0 ลิตรเทอร์โบอีกครั้ง

และรถคันนี้ ก็เป็นรุ่น Cooper S Convertible ซึ่งนอกจากจะเท่ด้วยการคาดแถบ
สีบนฝากระโปรงแล้ว ยังได้หลังคาผ้าใบกาง/เก็บด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมสวิตช์
อยู่ที่ขอบหลังคาด้านบน แถมยังลงสีบนหลังคาผ้าใบเป็นลวดลายธงชาติอังกฤษ
อีกต่างหาก

2016_10_MINIconvertible02

ก่อนที่จะไปว่ากันเรื่องสมรรถนะการขับ…ผมต้องขอชมก่อนว่าเจ้า Cooper S
Convertible นี้มีภายในที่สวยถูกจริตข้าพเจ้าเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นชุดเข็ม
มาตรวัดความเร็วที่ถูกย้ายมาอยู่ตรงหน้าคนขับ (เช่นเดียวกับรุ่นใหม่ทั้งหลาย)
มีจอ MINI Head-Up Display ที่ใช้งานได้ดีและดูทันสมัย เบาะหนังเย็บ
ตะเข็บลายข้าวหลามตัดหรือการเลือกใช้สีสัน สวิตช์ต่างๆ และการตกแต่งภายใน
ผสมผสานความทันสมัยเข้ากับความคลาสสิคได้อย่างลงตัวราวกับการชงชาดีๆ
สักถ้วย ใส่น้ำตาลพอเหมาะแล้วเทนมสดจากโครงการ “ชั่งหัวมัน” แบบมันเนย
เต็มพิกัดแล้วใส่น้ำแข็งจิบในยามทำงาน (ซึ่งก็คือสิ่งที่ผมกำลังจิบระหว่างปั่น
บทความนี้อยู่พอดี) มันไม่ใช่รสชาติที่ซ่าชวนว้าว แต่มันคือความละเมียดลิ้น
หอมมัน น่าจดจำ

แล้วเราก็กลับมาเข้าเรื่องก่อนที่จะกลายเป็นบทความหมีชวนชิมดีกว่าครับ..

เครื่องยนต์ของ MINI Cooper S Convertible เป็นแบบ B48A20A (รุ่น JCW จะเป็น
รหัส A20B) พละกำลังลดลงเหลือ 192 แรงม้ากับ 280 นิวตัน-เมตร ส่งกำลัง
ผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ..แต่ก็เหมือนกับ Clubman คันที่แล้ว..คือไม่มี Paddle
Shift ถ้าจะเล่นเกียร์เอง ก็ต้องโยกที่คันเกียร์เอา โยกไปข้างหน้าเป็น ” – ” และ
โยกไปข้างหลังคือ ” + ” เป็น Pattern เดียวกับ BMW และ Porsche GT3 กับซีรีส์
ใหม่ๆที่ตามมาหลังปี 2015

2016_10_MINIconvertible03

ก่อนที่จะขับ ผมถามพี่เบี๊ยดกับทีมงานก่อนว่า
“ไหนๆก็ขับรุ่น Convertible แล้ว…งานนี้ขอเปิดหลังคาขับรอบแทร็คได้มั้ยพี่?”

คือ..ใครจะหาว่าดัดจริตก็เอาวะ ไอ้การที่ได้ขับรถเปิดประทุนแล้วขับแบบ Open-air
ในสนามแข่งสวยๆแบบนี้ ถามจริงเหอะ ถ้าไม่ใช่ว่าทำงานจนขี้พุ่งเป็นเลือด ขยันหา
ช่องทางหารายได้สร้างตัวให้รวยขึ้นอีก 40-50 เท่า หรือถูกล็อตเตอรี่จังๆ ชาตินี้
ผมจะหาโอกาสที่ไหนลองแบบนี้ได้อีกล่ะครับ?

ทางพี่เบี๊ยด บอกว่าเปิดหลังคาขับได้เลย (เอาเว้ย เอาเว้ย) แต่กำชับให้คาดเข็มขัด
นิรภัยและเก็บรัดสัมภาระให้เรียบร้อยไม่ให้หลุดไปทำความเดือดร้อนให้คันหลังก็พอ

ผมก็เปิดหลังคา หันไปดูรถอีกแถว ฮั่นแน่..คุณอู๋ อติชาญแห่ง mini-th.com ก็เปิด
หลังคาตามผมด้วยเหมือนกัน เขาหันมายิ้มๆ ผมก็ตะโกนแซวไปตามเรื่องตามราว

แล้วเมื่อพระเอส วิทยุให้สัญญาณออกตัว ผมก็ใส่เกียร์ D แล้วรอจังหวะพุ่งลงไปตาม
ทางลาดหลังออกเส้นสตาร์ท เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเทอร์โบมีคาแร็คเตอร์ช่วงออกตัว
แทบไม่ต่างจาก JCW เลยครับ ติดบูสท์ไวเป็นบ้าเลยสำหรับคนที่ชินกับเครื่องติดหอย
ยุค 90s แบบผม แค่เข็มวัดรอบตวัดเกิน 2,000 แรงดึงก็มาให้รู้สึกได้แบบ
รสเข้มเต็มเม็ด แต่ในช่วงทางตรงขึ้นเนินที่มีโอกาสอัดได้สุดเกียร์ 2-3 นั้น ก็รู้สึก
ได้เช่นกันว่าตัว JCW 231 แรงม้ารอบปลายเดินดีกว่า โดยเฉพาะช่วงหลังเข็ม
ตวัดผ่านเลข 5 บนมาตรวัดรอบไปชนเรดไลน์

ช่วงล่างและการตอบสนองของพวงมาลัย มีนิสัย “วัยรุ่นตอนปลายที่รู้งาน”
แบบเดียวกันกับ JCW เพียงแต่ในโหมดปกติ โช้คอัพ Dynamic Damper ของ
เจ้า Convertible นั้นจะมีอาการนุ่มโย้ตัวมากกว่า (แต่ต้องอัดโค้งแบบแรงๆให้
ได้ยินเสียงยางนะครับถึงจะรู้สึก ถ้าขับแบบพยายามรักษาอาการรถ จะเห็นไม่ค่อยชัด)

Cooper S Convertible จะมีตัวถ่วงอยู่อย่างหนึ่ง…ซึ่งก็คือน้ำหนัก เพราะต้องแบก
โครงสร้างตัวถังที่เหนียวแข็งเพื่อชดเชยการไม่มีโครงหลังคา แถมยังมีชุดมอเตอร์
ไฟฟ้าขับเคลื่อนหลังคา ทำให้ตัวหนักกว่า JCW อยู่ 75 กิโลกรัม บวกกับช่วงล่าง
ที่นุ่มกว่ากันเล็กน้อย ทำให้การเลี้ยวโค้งไม่คมเท่า JCW อย่างในโค้ง U-turn อันแรก
หลังจากจุดสตาร์ทนั้น เข้าด้วยความเร็ว 45-50 กิโลเมตร/ชั่วโมงเท่ากัน JCW
จะแทบไม่แถออกนอกไลน์ที่ตั้งใจไว้เลยในขณะที่ Convertible จะมีอาการหน้าดื้อ
ชัดเจนกว่า แต่ถ้าสมมติว่าผมแกล้งขับแบบสะบัดพวงมาลัยเร็วๆ คราวนี้กลับจะออก
อาการท้ายกวาดนิดๆ คล้ายกับที่เราเคยพบเวลาเอา MINI R53 หรือ R56 ไปเข้าโค้ง
บนทางด่วนแรงๆ

ส่วนหนึ่ง..อย่าลืมครับว่าอาจเป็นเพราะยาง ตอนที่ผมขับ JCW ยางกำลังอุ่นพอดีๆเลย
แต่พอผมมาขับ Convertible นั้นยางถูกใช้วิ่งมา 9 รอบสนามแล้ว แต่ดูรุ่นของยางแล้ว
ก็เป็น Pirelli Cinturato P7 ขนาด 205/45 เท่ากันทั้งสองรุ่น และถึงแม้จะขับแบบไหน
ถ้าคุณไม่บ้าจนเกินเหตุ รถก็จะพยายามแก้อาการให้ตราบใดที่คุณเปิดระบบ DSC เอาไว้
(ทีมงานขอความร่วมมือไม่ให้ปิด..ผมเองอยากลองปิดเหมือนกันจะได้รู้ว่าที่มันขับดี
เป็นเพราะพื้นฐานรถ หรือเพราะระบบอิเล็กทรอนิกส์)

ดังนั้นถ้าเป้าหมายของคุณคือการตอกตัวเลขเวลาสวยๆในสนามแข่ง..
น้องสเปียร์มินต์ (ผมตั้งชื่อให้รถคันนี้) คงตอบสนองคุณได้ไม่ดีเท่า JCW หรอกครับ
แต่สิ่งที่ได้มาทดแทนคือการเปิดหลังคาขับ ที่ได้อารมณ์ไปอีกแบบ แนะนำว่าให้เปิด
โหมด Sport ขับด้วยแล้วจะได้ยินเสียงท่อกับเสียง Crackle ปุปะปุ้งปั้งดังกำลังดี
ถ้าคุณเป็นคนฐานะค่อนข้างรวย แต่ยังไม่ถึงขั้นเศรษฐี แล้วมีงบ 3 ล้านบวกลบ
ต้องการรถคันนึงที่ขับเอามันส์ได้ คลาสสิคด้วย ขับไปงานไฮโซก็ยังดูงามแฉล้ม
เจ้า MINI Cooper S Convertible นี่ท่าจะเหมาะเลย

2016_10_CooperS_JCWdressup01

MINI Cooper S JCW Dress Up
ราคา: 2,990,000 บาท (รุ่น S ปกติ 2,840,000 บาท)
เครื่องยนต์: B48A20A
2.0 ลิตร TwinPower เทอร์โบ 192 แรงม้าที่ 4,700-6,000 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด 280 นิวตัน-เมตร ที่ 1,250-4,500 รอบต่อนาที
รองรับเชื้อเพลิง E20
ระบบส่งกำลัง: เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ Sport Steptronic พร้อม Paddle shift
ขนาด ยาว/กว้าง/สูง (มม.): 3,850/1,727/1,414
น้ำหนักตัวรถ: 1,250 กิโลกรัม

เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ เจ้า JCW Dress Up นี้ ไม่ใช่ JCW แต่เป็น Cooper S
2.0 ลิตร 192 แรงม้าที่นำอุปกรณ์ชุดแต่งจาก JCW มาใส่จนมองผ่านๆนึกว่า
เป็นรุ่น JCW นั่นเอง และรถคันนี้ก็ไม่ได้ใส่ Tuning Kit พิเศษ 211 แรงม้า
ดังนั้นถ้าอัตราเร่งของมันจะดี..ก็ไม่ใช่เพราะเรื่องพละกำลัง แต่เป็นเพราะน้ำหนัก
ตัวที่ระบุตามสเป็คไว้ว่า 1,250 กิโลกรัม

ดูออกมั้ยว่าอะไรที่ทำให้เจ้า JCW Dress Up เบากว่า JCW ตัวจริงอยู่ตั้ง
45 กิโลกรัม? ผมพยายามเดินดูรอบคันแล้วยังหาทางบวกน้ำหนักส่วนต่างเหล่านี้
ไม่ได้เลย…ส่วนหนึ่งที่เอาตาเซ่อๆของผมมองแล้วสังเกตได้ก็คือเจ้า JCW
Dress Up นี้ มี Paddle Shift เหมือน JCW คันเขียว (รุ่น Convertible ที่ใช้
เครื่องยนต์เดียวกัน..ไม่มี) แต่ก็ไม่มีจอ Head-Up Display (ซึ่ง JCW และ
น้องสเปียร์มินต์ Convertible มีให้)

แล้วชุดจอตัวนี้ มันก็ไม่น่าจะหนักเท่ากระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของนักเรียนทุน
โครงการแลกเปลี่ยนขนาดนั้น พื้นฐานเครื่องยนต์และช่วงล่างก็เหมือนกัน
คงต้องเป็นที่ไหนสักจุดในโครงสร้างตัวถังนั่นล่ะที่ต่าง

2016_10_CooperS_JCWdressup02

ในการลองขับบนสนาม ก็เป็นไปตามที่คาด JCW Dress Up สามารถควบคุม
การโยนของตัวถังได้ดีใกล้เคียงกับ JCW มากๆ เสียงยางดังเวลาเข้าโค้งน้อยกว่า
โดยเฉพาะโค้งขาลงเขาที่ทิ้งตัวลงมา 100-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตัว Convertible
จะมีเสียงดังทั้งยางหน้าและหลัง แต่ JCW กับ JCW Dress Up จะดังมาจากยางหน้า

อาการของรถเวลาเข้าโค้ง ก็ยังใกล้เคียง JCW มาก จนถึงจุดหนึ่งที่ผมลองทำอะไร
แปลกๆเช่นกดคันเร่งมากเกินตอนออกจากโค้งโดยที่พวงมาลัยยังหมุน 70-80 องศา
ระบบ EDLC (Electronic Differential Lock Control – ซึ่งทุกคันที่ผมขับวันนี้มีให้
ยกเว้น Countryman) จะทำงานประสานกับระบบ DSC ในการจ่ายพลังไปยังล้อข้าง
ที่เกาะถนนมากกว่า ลักษณะการจับพลังลงพื้นจะไม่แน่นและส่งรถให้พุ่งเหมือนพวก
ลิมิเต็ดสลิปแบบกลไกในรถแข่ง Jazz GE ของตี้ แต่จะมีอาการนุ่มนวลกว่าและยอม
ให้มีอาการล้อฟรีได้นิดๆ..ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง

อาการของพวงมาลัย คล้ายกับ JCW น้ำหนักหน่วงมือกำลังดี ถ่ายทอดแรงได้อย่าง
เป็นธรรมชาติ ถือว่าดีสำหรับพวงมาลัยไฟฟ้า จะมีก็แต่ช่วงที่หักเลี้ยวอยู่แล้วออก
จากโค้ง ถ้าไม่ได้กดคันเร่งส่ง พวงมาลัยจะดีดคืนช้ากว่ารถที่ใช้พวงมาลัยเพาเวอร์
แบบไฮดรอลิกอยู่บ้าง แต่ไม่จัดว่าไร้ความรู้สึกหรือทำตัวเป็น Robocop แน่นอน

อย่าลืมว่าผมเคยเอารถตัวเอง (ที่เป็นพวงมาลัยไฟฟ้าจากทศวรรษก่อน) มาลองขับ
ที่สนามนี้ไปแล้ว อาการตอนหักเลี้ยวซ้ายขวานิดๆ ไม่ต่างหรอกครับ แต่พอหมุน
มากขึ้น รอจังหวะดีดคืน หรือจังหวะที่รถกำลังไถล ลักษณะการเบา/หน่วงของ
น้ำหนักพวงมาลัยต่างกันโดยสิ้นเชิง

MINI Cooper S เป็นรถที่ขับให้สนุก ก็สนุกได้ รุ่นพี่สื่อมวลชนอย่างพี่ฉ่าง อาคม
รวมสุวรรณ ขับแล้วก็ชอบ หน้าใหม่มือใหม่อย่างผมก็ชอบ และถ้าจะให้คนที่เป็น
มือใหม่ในสนามจริงๆขับ มันก็เซฟมาก..เปิด DSC ไว้ แล้วขอแค่อย่าใช้สปีดให้มัน
บ้าคลั่ง รู้จักระยะเบรก ที่เหลือรถมันจัดทรงให้เองหมด ถ้าผมเอารถยุค 90s มาขับ
แบบเดียวกับที่อัดใน MINI สงสัยคงกินไอติมโคนรสส้มกันอร่อยล่ะครับ

แล้วถ้าให้เทียบระหว่าง MINI JCW ตัว 231 แรงม้า กับ JCW Dress Up คันนี้ล่ะ?

ผมกล้าพูดได้เลยว่า ถ้าคุณไม่ได้ต้องการป้าย JCW กับความภูมิใจในการขับรถที่
ได้ชื่อว่า “เป็นสุดยอดของ MINI” และคุณไม่ใช่คนที่ขับในสนามแข่งเป็นประจำ
ไม่ได้เอานาฬิกาออกมาจับเวลาอัตราเร่งช่วงต่างๆ..ผมคิดว่าแค่ตัว JCW Dress Up
นี่ก็ให้คุณบรรลุถึงแก่นของความเป็น MINI พันธุ์แสบได้ 90% ของตัว JCW แล้ว
แต่คุณจ่ายถูกกว่ากันอยู่ 460,000 บาท ดังนั้นมันจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนสำหรับ
คนที่ต้องการความสนุกในงบที่จำกัด ถ้าต้องการให้แรงหรือเร็ว ค่อยไปหาชุดแต่ง
เพิ่มในภายหลัง อย่าง Tuning Kit ของทาง MINI เองก็มีอยู่ และเมื่อเพิ่มกำลังไป
แล้ว อัตราเร่งในชีวิตจริง ต่างจาก JCW น้อยมาก

แต่ถ้าเงินไม่ใช่ปัญหา..แน่นอนครับ John Cooper Works ของแท้ ทุ่มยกเดียวจบ

.

EXTRA\\ ON-ROAD DRIVING \\

หลังจากที่ขับในสนามแก่งกระจานเสร็จ ทางทีมงาน MINI Thailand ก็ให้เราเลือก
ขึ้นรถที่จะขับกลับไปยังที่พักในชะอำ เพื่อแยกย้ายเข้าพักผ่อน รับประทานอาหารและ
สำหรับบางคน..ก็นั่งปั่นงาน หลังจากผ่านยามราตรีไป เราก็จะ “นำเข้า” อาหารเช้า
Check-out จากโรงแรม แล้วเลือกรถ MINI จากในฝูงเพื่อขับกลับมาขึ้นรถบัสที่
สนามแก่งกระจานอีกครั้ง

นี่เป็นโอกาสอันดีที่ผมจะได้ลองรถของ MINI ในการขับขี่บนถนนจริงบนเส้นทาง
จากแก่งกระจาน-เพชรเกษม-ชะอำ อย่างน้อยก็พอจะตอบคำถามคุณผู้อ่านทางบ้าน
ที่สนใจจะซื้อรถเหล่านี้มาใช้ได้บ้าง เพราะผมทราบว่าไม่ใช่ทุกคนที่ขับ MINI
แล้วจะมุ่งมั่นตะบันในสนามแข่งอย่างเดียว

2016_10_ClubmanSD03

คันแรกที่ผมเลือกขับขากลับคือ Clubman Cooper D

สาเหตุที่เลือก ก็เพราะเล็งเห็นว่าขนาดของตัวรถที่กว้างสบายสุด บวกกับ
ลักษณะการจูนช่วงล่างและเครื่องยนต์ น่าจะเป็นรถที่เหมาะสำหรับการขับ
ท่องเที่ยวในเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติ แต่อาจจะไม่อนุรักษ์ผ้าเบรกกับยางนัก

มันเป็นรถที่ช่วงล่างจูนมาแบบกลางๆตามที่ผมคิดไว้ เหมาะกับคนที่ชอบขับเร็ว
ในสไตล์ผู้ใหญ่ สามารถใช้ความเร็วระดับ 130-140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้นิ่งๆ
เวลานึกจะแซงก็กดคันเร่งแค่ 50-60% ไม่ต้องตะบี้ตะบันลากรอบแบบวัยรุ่น
ถึงจะไม่มีจอ HUD และช่วงล่างปรับความแข็งไม่ได้ แต่ Settings แบบ
มาตรฐานของมันนั้นก็รักษา DNA ของ MINI เอาไว้ได้ดีโดยพยายามเอาใจ
คนนั่งที่เป็นรุ่นพ่อรุ่นแม่ไปพร้อมๆกัน

เวลาวิ่งผ่านหลุมใหญ่ๆ หรือถนนคอนกรีตสภาพผุพังในช่วงทางเข้ารีสอร์ทนั้น
ผมไม่ต้องเกร็งตัวเพื่อรับแรงกระแทกแต่อย่างใด ปล่อยตัวไปตามสบายเหมือน
นั่งรถทั่วไป ถ้าคุณนั่ง Subaru XV, Mazda 3 แล้วไม่บ่น คุณก็ไม่น่าจะมีปัญหา
กับ Clubman Cooper D คันนี้ เพราะทุกคันที่ผมพูดไปนั้นล้วนมีช่วงล่างสไตล์
เฟิร์ม แต่เผื่อความนุ่มไว้บ้าง ไม่ใช่นุ่มแบบเอาใจผู้ใหญ่ 100% แต่ถ้าหากไปเจอ
เนินลูกระนาดขนาดใหญ่แล้วไม่ชะลอความเร็ว ตัวรถก็จะยังมีอาการดีดกระด้าง
ให้พบ คล้ายกับรถที่มีช่วงชักสปริงกับโช้คอัพสั้น แม้ว่า MINI จะเคลมว่าพวกเขา
ถ่างระยะยุบ/ยืดของช่วงล่างออกไปแล้วในโมเดลใหม่นี้ก็ตาม

พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายจุ 360 ลิตรโดยไม่ต้องพับเบาะ มันก็พอๆกับพวกรถ
ครอสโอเวอร์ญี่ปุ่นขนาด 1.8-2.0 ลิตร แต่คุณจะรู้สึกว่าห้องเก็บของใน Clubman
จะเตี้ยและยาวกว่า ดังนั้นเวลาเอากระเป๋าใบใหญ่ๆใส่จึงรู้สึกว่ามีที่เหลือเยอะ

สิ่งที่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับรถราคา 2,688,000 บาทอย่างเจ้า Clubman ดีเซล
คันนี้คือเรื่องออพชั่น แม้ว่าภายในจะตกแต่งมาได้ดูดีระดับหนึ่ง แต่ต้องยอมรับว่า
คนที่ยินดีจ่ายเงินพอๆกับ X1 sDrive18d M Sport เพื่อซื้อรถแบบนี้ ก็ต้องหวัง
อุปกรณ์ต่างๆที่มากกว่านี้บ้าง อย่างน้อยไฟหน้าฮาโลเจนนี่ไม่น่าจะอยู่ในรถราคา
ระดับนี้แล้ว ผมไม่ได้แคร์จุดนี้ แต่เชื่อว่าลูกค้าตัวจริงที่กำเงินรอซื้อคงอยากได้

2016_10_PanAndNo_inJCW

ส่วนขากลับไปสนาม แน่นอนครับ ผมแทบจะวิ่งไปโยนสัมภาระใส่ท้ายเจ้า
JCW 231 แรงม้าโดยทันที เพราะต้องการจะทราบว่า เจ๋งในสนามแข่งแล้ว
ถ้าต้องขับบนถนนจริง มันจะยังให้ความรู้สึกดีอยู่หรือเปล่า

ผลที่ได้ก็เป็นไปตามคาดครับ จริงอยู่ว่าคุณไม่ควรจะคาดหวังการซับแรงกระแทก
จากยาง 205/45 ที่แก้มบางเฉียบแบบนี้..แต่ถ้าวิ่งบนถนนเพชรเกษมแล้วปล่อย
ช่วงล่างไว้ในโหมดปกติ มันก็จะมีความนุ่มพอให้สัมผัสได้ ไม่ได้กระด้างสะเทือน
แบบรถญี่ปุ่นที่ใส่สตรัทปรับเกลียวแล้วขันตั้งไว้แข็งๆนะครับ แต่เป็นความหนืด
ในระดับที่วัยรุ่นนั่งแล้วสบาย คุณลองนึกถึง BMW 118i ที่ช่วงล่างแข็งขึ้นสัก 5-10%
แล้วจับมาใส่ยาง 205/45 ..นั่นล่ะครับคือสิ่งที่ MINI JCW เป็น

การเข้าออกจากรถ แม้จะไม่ง่ายเท่า Countryman หรือ Clubman แต่ต้อง
ยอมรับว่า MINI Hatch รุ่นใหม่นี้ทำตัวปราณีกับมนุษย์ Super-plus size ที่
มีปัญหาหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท L5S1 แบบผมมากพอแล้ว การลุก
เข้าออกทำได้ง่ายกว่าพวก BMW ขับหลังที่ตัวเท่าๆกันด้วยซ้ำ ดังนั้นถ้าเป็น
คนไซส์แบบปกติ อย่างคุณแสงอรุณนี่แทบจะกระโดดเข้าไปนั่งได้ในวินาทีเดียว
เลยด้วยซ้ำ

ถ้าไม่นับเรื่องช่วงล่างที่ยังออกอาการตึงตัง กับยางแก้มบางเฉียบที่ทำให้เสียว
เวลาตกหลุมบนถนนแล้ว สิ่งที่เหลือคือรถที่ทำตัวเป็นมีดพับทหารสวิส มีลูกเล่น
ซ่อนอยู่เยอะแยะ คุณอยากจะใช้มันทำอะไร มันก็จะปฏิบัติตามโดยเลือกวิธีที่
เหมาะสมกับคำสั่งของคุณ เกียร์ Sport Steptronic เวลาขับในโหมดปกติก็
เปลี่ยนได้เร็วและนิ่มสมกับที่เป็นเกียร์ BMW และสามารถเลือกจังหวะเกียร์
ที่เหมาะสมโดยแปรผันไปตามความลึกของคันเร่งได้ดีจนแม้จะขับแบบรีบๆ
ก็ยังไม่รู้สึกจำเป็นที่จะต้องเล่น Paddle Shift

ในที่สุด..หลังจากที่ Volkswagen ในประเทศไทยเลิกขาย Golf GTi กับ
Scirocco ไป..ผมพยายามหารถ 4 สูบเทอร์โบขับหน้าที่สามารถมอบความ
ประทับใจจากการผสานสมดุลย์ระหว่างความมันส์กับการใช้งานในชีวิต
ประจำวันได้อย่างลงตัว และวันนี้ MINI ปรุงแต่ง JCW มาได้ใกล้เคียงมาก
แต่ต่างกันในบางจุด GTi ยังคงมอบพละกำลังและความสะใจจากการทำงาน
ของเกียร์ DSG ที่ดีอันดับต้นๆของกลุ่ม แต่ MINI มอบรสชาติที่ใกล้เคียงกัน
แล้วเพิ่มความโดดเด่นในด้านการออกแบบและตกแต่งที่ดูยังไงก็ไม่เบื่อ

ผมเขียนมาโดยรู้สึกระวังตัวเองพอสมควร ว่าตั้งแต่พูดร่ายยาวมานี่ ผมยังไม่
เห็นข้อเสียที่ชัดเจนมากๆ..เพราะปกติเวลาขับแล้ว นอกจากชม ผมก็ต้องหาจุดอ่อน
ของรถไปด้วย แต่ไม่ใช่ตั้งใจเอามาด่าแบบจมธรณีอย่างที่บางคนมโนไปเองว่า
ผมชอบทำแบบนั้น

จุดอ่อนของ MINI ทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องประสิทธิภาพตัวรถหลักๆ แน่ล่ะ
Countryman Cooper D อาจจะแรงไม่พอ, Clubman Cooper D อาจจะขาด
ออพชั่นไปบ้าง ในขณะที่ตัวอื่นๆดูมีจุดขายที่เป็นของตัวเองชัดเจนมาก

มันอยู่ที่เรื่องราคา และเรื่องอารมณ์ครับ..
บางคนอาจจะบอกว่า “คนที่อยากได้ MINI ก็ต้องเลือก MINI มาเป็นอันดับ 1”
ผมก็ไม่เถียงครับ ความรักสามารถชนะทุกสิ่งได้ในแบบเดียวกับที่ผมชอบสาวแว่น
ตัวแอบอวบนิดๆมากกว่าคนที่หุ่นเพอร์เฟ็คท์ตามอุดมคติผู้ชายส่วนใหญ่ แต่ก็ต้อง
คิดเผื่อในแง่มุมของคนที่มองรถทุกแบรนด์ และทุกประเภทอย่างเท่าเทียมกัน
โลกนี้มีทั้งคนที่บอกว่า “ฉันอยากได้ MINI และฉันจะซื้อ MINI” และคนที่บอกว่า
“ฉันมีเงิน 3 ล้านบาท และต้องการรถยุโรปสักคัน” คนสองกลุ่มนี้จะมองต่างกัน

สำหรับคนที่ชอบ MINI..เราไม่มีอะไรต้องพูดกันนะครับ ผมพูดไปแล้วในทำนอง
ที่ว่า MINI JCW คือรถที่ผสานความดีของดีไซน์อังกฤษบวกกับวิศวกรรมแล้ว
ออกมาลงตัวที่สุดจนกลายเป็น MINI คันแรกที่ผมอยากได้จนตัวสั่น

สำหรับคนที่มองเม็ดเงินเทียบกับสิ่งที่ได้ คุณจะพบว่า หากเตรียมเงินไว้พอสำหรับ
Clubman Cooper D แล้ว คุณสามารถเอาเงินจำนวนนี้ไปซื้อ BMW 320d แล้ว
ยังมีเงินเหลือ หรือจะซื้อ 330e Luxury ก็ได้ ยังมีเงินเหลือ คุณได้ออพชั่นครบ
คุณได้พลังมหาศาลและความประหยัดด้วย..แต่คุณแค่ไม่ได้ MINI

ถ้าคุณเป็นคนที่มองหารถยุโรปที่ทรงปราดเปรียวกว่าชาวบ้านหน่อย ต้องการ
พลังแรง 200 แรงม้าบวกลบ คุณจะไม่ลองดู Mercedes-Benz CLA250 AMG
Dynamic หรือ GLA250 หน่อยหรือ เพราะราคาแค่ 2.39-2.49 ล้านบาท
คุณได้อุปกรณ์ครบ ได้แรงสะใจ ได้ดาวบนฝากระโปรง ช่วงล่างแข็งหน่อยก็
ทนเอา ราคานี้ยังถูกกว่า MINI JCW Dress Up ตั้งครึ่งล้านนะครับ

หรือถ้าคุณต้องการทั้งเรื่องพลัง และต้องการรถทรงสปอร์ต 2 ที่นั่งจริงๆ
มีหลังคาแข็งพับได้ คุณเอาค่าตัว JCW บวกไปอีก 540,000 บาท ก็ได้ SLC300
มาขับแล้ว แม้ว่าคุณอาจจะตกใจที่ขับรถราคาเกือบ 4 ล้านแต่ไม่มีแอร์ออโต้ก็ตาม

ผมเขียนแบบนี้ คนที่ชอบ MINI อาจจะเกลียดผมไปเลยก็ได้ แต่เราต่างคนก็
ทราบกันอยู่แก่ใจว่าการเลือก MINI มาขับ มันไม่ใช่ทางเลือกที่มีความสมบูรณ์
ในเชิงเหตุผลกับเศรษฐศาสตร์นี่ครับ มันคืออารมณ์กับความลุ่มหลงที่นำเรามา
ณ จุดนี้เป็นอย่างแรกใช่ไหม?

แต่สิ่งที่คุณควรจะดีใจก็คือ ภายใต้ทางเลือกแห่งอารมณ์เหล่านั้น วิศวกร MINI
ก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะสร้างเหตุผลดีๆมารองรับการจ่ายเงินของคุณ
ทำให้คุณสามารถพูดได้เต็มปากว่ารถ MINI มีข้อดีให้สัมผัสได้หลายจุดและ
เป็นรถที่คนสามารถเข้าถึงมันได้ง่ายขึ้น แถมยังปรับนิสัยตัวเองให้รองรับ
กับการใช้งานหลายรูปแบบ โดยคนหลากเพศ หลายไซส์ได้มากขึ้น

สำหรับผม แค่นี้ก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนจิตใจคนที่ไม่เคยชอบ MINI ให้หันมา
เริ่มรักแบรนด์นี้ได้แล้วล่ะครับ!

2016_10_Mini_endshot

 


ขอขอบคุณ / Special Thanks to:
คุณปรีชา นินาทเกียรติกุล
MINI (Thailand)

คุณกฤษฎา อุตตโมทย์
BMW Group (Thailand) Co.,ltd
เอื้อเฟื้อการขับทดสอบในครั้งนี้

Instructor ผู้กำกับการทดลองขับ ทีม xSpan
(พี่เบี๊ยด, พี่ปุ๊ก, พี่จูน, พี่เอส, พี่อ๋อง และพี่วิน-ขออนุญาตเรียกว่า
“พี่” โดยไม่ได้ทราบอายุเป็นการแสดงความนับถือครับ)


 

Pan Paitoonpong
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่ายโดยช่างภาพจาก MINI Thailand/ผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
22 พฤศจิกายน 2016

Copyright (c) 2016 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
22 November 2016

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!