สภาพ ตลาด รถยนต์ เมืองไทย ในปี 2011 ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นช่วงเวลาอันแสนสาหัส ผู้ผลิตรถยนต์ฝั่งญี่ปุ่น
ทุกราย แทบกระอักเลือด จากทั้งวิกฤติการณ์แผ่นดินไหว พร้อมสึนามิ ในพื้นที่เขต Tohoku ประเทศญี่ปุ่น
จนชิ้นส่วนรถยนต์ขาดแคลน โรงงานและศูนย์วิจัยพัฒนาบางส่วนเสียหาย กว่าจะฟื้นกลับมาได้ ต้องรอ
จนถึงเดือนกันยายน – ตุลาคม

ยังไม่ทันที่การฟื้นตัวจะกลับมาเต็มรูปแบบ ก็มาบังเกิดเหตุการณ์มหาอุทกภัยในแถบพื้นที่ราบลุ่มภาคกลาง
ของไทยกระหน่ำซ้ำเติมอีก เกิดการชะงักงันไปหมดทุกภาคส่วน คราวนี้ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์จำนวนมาก
รวมทั้งผู้ผลิตรถยนต์อย่าง Honda ถึงกับแปรสภาพกลายเป็นผู้ประสบภัย กว่าจะกอบกู้ฟื้นฟูสภาพโรงงานได้
ก็ต้องใช้เวลานับจากนี้ไปอีกหลายเดือน อีกทังยังต้องหาผู้ผลิตชิ้นส่วนอะไหล่ รายใหม่ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบ
จากน้ำท่วมมากนัก เข้ามารับงานผลิตชิ้นส่วนทดแทนโรงงานที่โดนน้ำท่วม ซึ่งสูญเสียรายได้ไปมหาศาล และ
ยังกระทบกระเทือนไปถึงผู้ผลิตชาวยุโรป และอเมริกันอีกด้วย

นี่ยังไม่นับเหตุการณ์สำคัญอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ต่อโลก ทั้งการลุกขึ้นมาประท้วง
เพื่อปลดแอกตัวเองของชาวมุสลิมในประเทศแถบตะวันออกกลาง การไล่ล่าปลิดชีพ นาย Osama Bin Laden
ผู้ก่อการร้ายสุดระห่ำ จนสำเร็จของ รัฐบาล นายบารัค โอบามา เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2011 การถึงแก่กรรม
ของ Steve Jobs ผู้ก่อตั้งบริษัท Apple และ PiXar เมื่อ 6 ตุลาคม 2011 ตามด้วย การสังหารพันเอกโมอัมมาร์
กัดดาฟี อดีตจอมเผด็จการระดับจ้าวโลกแห่งลิเบีย โดยฝีมือของกลุ่มปฏิวัติลีเบีย เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2011

(เอ..จะว่าไป 5 บรรทัดข้างบนนี้ ก็ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับวงการรถยนต์บ้านเราเท่าไหร่เนาะ?….แหะๆ )

ในปี 2012 นั้น แนวโน้มที่จะเกิดขึ้น ในวงการอุตสาหกรรมรถยนต์ของประเทศไทย นับจากนี้เป็นต้นไป
มีหลายประเด็นหลัก ให้รอดูกันต่อไป ทั้งการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ หลัง
มหาอุทกภัยภาคกลาง ในช่วงไตรมาสแรก ผู้ผลิตที่ได้รับผลกระทบจะอยู่ในช่วงเวลาหาแหล่งเงินทุนสำรอง
เพื่อกู้ยืมมาซ่อมแซมอาคาร สถานที่ และเครื่องจักรที่ได้รับความเสียหาย บางส่วนจะต้องซื้อเปลี่ยนใหม่ ซึ่ง
จะช่วยให้ธุรกิจเครื่องจักรกล เพื่อโรงงานอุตสาหกรรม จะได้รับอานิสงค์ผลบุญ กระเตื้องขึ้นทันตาเห็น แต่
อาจมีผู้ประกอบการบางราย ที่ประสบปัญหา คำสั่งซื้อมายืนอออยู่หน้าโรงงาน แต่ไม่อาจหาเงินทุนมาซ่อม
เครื่องจักรได้ ทำให้ไม่อาจดำเนินธุรกิจต่อได้ และอาจต้องถึงขั้นแจกแพให้พนักงาน (ลอยแพ) กันเป็นแถว
อย่างเช่นที่เกิดขึ้นกับโรงงานบางแห่ง ในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ พระนครศรีอยุธยาในตอนนี้  ซึ่งภาครัฐ
และหน่วยงานด้านการคลังที่เกี่ยวข้อง จำเป็นจะต้องใช้เครื่องมือทางการเงิน เข้าช่วยเหลือผู้ประกอบการ
กลุ่มหลังนี้โดยเร่งด่วน

จากการคาดการณ์ เป็นไปได้ว่า ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ (หากไม่มีเหตุการณ์ธรรมชาติใดๆมาซ้ำเติมอีก)
อุตสาหกรรมยานยนต์ และชิ้นส่วนอะไหล่ จะซบเซาอย่างหนัก ในเดือนมกราคม และกุมภาพันธ์ เพราะ
ทุกค่าย ต่างพากันเลื่อนแผนการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ออกไป เนื่องจาก ผู้ผลิตชิ้นส่วนหลายรายต่างไม่พร้อม
จะจัดส่งอะไหล่ตามคำสั่งซื้อ

ผลที่ตามมาก็คือ ผู้บริโภค มีกำลังซื้อรออยู่ ส่วนหนึ่ง แต่ผู้ผลิตรถยนต์จะไม่สามารถส่งมอบรถยนต์ได้ครบ
ตามจำนวน ทันเวลาที่กำหนด รถยนต์บางรุ่น รอกัน 1-2 เดือน บางรุ่นบางยี่ห้อ รอไปเลย ไม่มีกำหนดแน่ๆ
เพราะโรงงานต้องฟื้นฟูเยอะ

สถานการณ์น่าจะเริ่มเข้าสู่ช่วงฟื้นตัวได้ชัดเจน ในช่วงงาน Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคม
อันเป็นช่วงเวลาที่ผู้บริโภคจะพากันแห่ซื้อรถยนต์ มากที่สุด 1 ใน 2 ช่วงของแต่ละปีเป็นประจำอยุ่แล้ว

ตามด้วย แนวทางในการป้องกันปัญหาอุทกภัยของอุตสาหกรรมยานยนต์ เชื่อว่าต่อจากนี้ผู้ประกอบการทั้งหมด
จะต้องหามาตรการที่เหมาะสมของตนเอง ในการป้องกัน หรือบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากน้ำท่วม บทเรียนจาก
ปีนี้ จะถูกนำไปใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้น สำหรับการปรับปรุงแผน และอุปกรณ์ การสร้างคันดินกั้นน้ำ ทั้งชั่วคราว
และถาวร

ขณะเดียวกัน นโยบาย “รถคันแรก” ที่ถูกทำคลอดออกมาในช่วงเดือนตุลาคม (จังหวะเดียวกับช่วงน้ำท่วมพอดี
เล่นเอาข่าวนี้ เงียบไปเลย) โดยจะมีการคืนภาษีเป็นส่วนลดในการซื้อรถยนตืใหม่ เป็นคันแรกในชีวิต เป็นเรื่องดี
ก็จริงอยู่ แต่ในเมื่อผู้ผลิตรถยนต์ ไม่อาจผลิตรถยนต์ป้อนตลาดได้ตามปกติ แถมประชาชนจำนวนไม่น้อย ยัง
ประสบปัญหาต้องใช้เงินฟื้นฟูจากช่วงน้ำท่วม ทำให้ ตัวเลขของประชาชน ที่เข้าร่วมโครงการซื้อรถคันแรก
อาจจะไม่มากเท่าที่ประมาณการกันไว้  และเท่ากับว่า โครงการนี้ อาจไม่ประสบความสำเร็จ เพราะอาจจะ
ช่วยเหลือประชาชนได้ไม่ถูกทาง

อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่ผู้ผลิตค่ายใหญ่ๆ มีปัญหาในการผลิตและส่งมอบรถยนต์ ทำให้ ผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์
พระรอง ซึ่งได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมน้อยกว่า และสามารถส่งมอบรถยนต์ให้ผู้บริโภคได้ทันที จะก้าวขึ้นมา
ยืนเทียบบ่าเคียงไหล่กับเจ้าตลาดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์นั่ง ECO Car รถยนต์กลุ่ม B-Segment 1.4 – 1.6 ลิตร
รถยนต์กลุ่ม C=Segment Compact Class 1.6 – 2.0 ลิตร และรวมทั้งรถกระบะ 1 ตันเศษ ที่จะมีการแข่งขันกัน
อย่างดุเดือดรุนแรงมากยิ่งขึ้น เพราะหลังจากที่ Isuzu Toyota Nissan Mitsubishi Mazda Ford Chevrolet ทะยอย
ปรับเปลี่ยนรูปโฉมทั้งคัน ไปจนถึง การวางเครื่องยนต์ให้แรงทะลุโลก และต้องผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro-IV
มีผลบังคับใช้ในปีนี้ ทำให้ตลาดรถยนต์บ้านเราน่าจะสนุกสนานมากกว่าเดิม หากไม่มีปัจจัยการเมือง หรือภัย
ธรรมชาติใดๆมาแทรกแซงกันอีก (ซึ่งมีแนวโน้มว่า อาจจะเกิดขึ้นได้)

ขณะเดียวกัน การปรับราคาก๊าซ LPG และ CNG ให้สูงขึ้นไปอยู่ในระดับใกล้เคียงความจริงมากยิ่งขึ้น ก็จะมีผล
ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคบางส่วนที่จะซื้อรถยนต์นั่ง หรือรถกระบะเครื่องยนต์เบนซิน จะเริ่มพิจารณาให้
ถี่ถ้วนยิ่งขึ้น แต่จะไม่มีผลมากนัก กับผู้บริโภค ที่ใช้งานรถยนต์ติดก๊าซ ทั้ง 2 ประเภทอยู่แล้ว เพราะยังไงๆ ก็
จำเป็นต้องใช้งานต่อไป และได้ควมประหยัดค่าเชื้อเพลิงอย่างชัดเจนเห็นๆกันคุ้มพออยู่แล้ว

อีกประเด็นที่ต้องจับตาดูคือ แนวทางในการส่งเสริม อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ให้เป็น Product Champion
ตัวที่ 3 ของอุตสาหกรรมรถยนต์ในไทย ซึ่งนอกจากจะต้องส่งเสริมการลงทุน และสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภค
หันมาอุดหนุน และทดลองซื้อรถไฟฟ้ามาใช้งานด้วยแล้ว การเตรียมโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐและเอกชน
รวมทั้ง ระบบสาธารณูปโภค เพื่อรองรับรถยนต์พลังไฟฟ้า Electric Vehicles (EV) ยังต้องจับตาดูกันต่อไป

และในฐานะผู้ส่งออกยานยนต์กับชิ้นส่วนอะไห่ รายสำคัญของโลก ความเปลี่ยนแปลงในตลาดรถยนต์
Indonesia เป็นเรื่องน่าจับตามอง เพราะยอดขายที่เพิ่มขึ้น อาจส่งผลให้กลายเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุด
ในภูมิภาคอาเซียน แซงหน้าประเทศไทยของเรา ซึ่งจะเกิดขึ้นในแง่ปริมาณกำลังซื้ออย่างแน่นอน แต่จะ
ยังไม่รวมถึงคุณภาพในด้านการประกอบรถยนต์ อันเกิดจากทักษะ และฝีมือแรงงานในภาคการผลิตของ
ไทย ที่จะยังคงมีศักยภาพ เหนือชั้นกว่าประเทศใดในภูมิภาคเดียวกันอยู่ดี แต่เราอาจจะเห็นการใช้สิทธิ
ประโยชน์จาก เขตการค้าเสรี AFTA โดยผู้ผลิตรถยนต์ ทั้งแบรนด์ใหญ่ และรายย่อยเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่อง
จากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

เป็นประจำทุกต้นปีที่ J!MMY จะเขียนบทความสรุปความเคลื่อนไหวของปีที่แล้ว รวมทั้งสรุปความ
เคลื่อนไหว ของบรรดารถรุ่นใหม่ๆ ที่จะเปิดตัวในปีใหม่นี้ พร้อมข้อมูลการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่ล้ำ
ไปไกลล่วงหน้าก่อนสื่อรายใดถึง 3 ปี เผยแพร่ลงในเว็บไซต์ Headlightmag.com เป็นประจำ ทุกต้นปี
เพื่อเป็นของกำนัล สำหรับคุณผู้อ่าน ใช้เป็นข้อมูลในการเตรียมวางแผนซื้อรถยนต์ล่วงหน้า หรือสำหรับ
เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ของผู้คนในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์

และในปี 2012 นี้ ก็เช่นเดียวกัน ความเคลื่อนไหวในตลาดรถยนต์เมืองไทยนับจากนี้ จนถึงปี 2015
จะเป็นอย่างไร จะมีรถยนต์รุ่นไหนเข้ามาผลิต และเปิดตัวในบ้านเรา ให้ได้เป็นเจ้าของกันบ้าง มี
เทคโนโลยีอะไรที่จะเข้ามาให้ผู้บริโภคชาวไทยได้สัมผัสกันบ้าง ทุกอย่าง รออยู่ในบรรทัดข้างล่างนี้
ทั้งหมดแล้ว…

***หมายเหตุ***
 
1. ปีนี้ จะยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว ของรถยนต์จากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ เหมือนปีที่แล้วอยู่ดี เนื่องจาก
ไม่เพียงแค่ยากต่อการติดตามข่าว หากแต่ยังหาความแน่นอนในการทำตลาดทั้งจากผู้ผลิตชาวจีน และผู้จำหน่าย
ฝั่งไทยได้ยากมาก รายปัจจุบันที่มีอยู่ ก็มีทั้งพยายามฮึดสู้ และเตรียมจะเก็บโครงการเข้าลิ้นชัก หากในอนาคต
ถ้ามีความเคลื่อนไหวในไทยมากกว่านี้ ค่อยเจอกันในบทความ 2013 – 2016 ในช่วงสิ้นปี 2012
 
2. ข้อมูลทั้งหมดในบทความนี้ ได้รับการตรวจสอบและยืนยันแล้วว่าถูกต้อง ตรงตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นล่าสุด
ณ วันที่นำบทความชิ้นนี้ ขึ้นเผยแพร่ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป อาจมีข้อมูลดิบและ/หรือข้อมูลที่กลั่นกรองแล้ว
ปรากฎขึ้นอีกได้ตลอดเวลา ข้อมูลเหล่านั้นอาจจะคลาดเคลื่อนหรือเพิ่มเติมข้อมูลเดิมจากบทความชิ้นนี้
ย่อมเป็นไปได้ และเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น ทุกเมื่อ เนื่องจากรายงานข่าวประเภทเจาะโครงการลับ หรือ Spyshot
นั้น ไม่มีสื่อมวลชนเล่มใด รายใดในโลก ที่สามารถรายงานได้ถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง 100% ต่อให้
เป็นฝรั่งมังค่าก็ตาม คุณผู้อ่านควรติดตามข่าว “ด้วยวิจารณญาณ เหตุผลในเชิงตรรกะ หรือเกมการตลาด
อย่างปราศจากอคติ” รวมทั้งศึกษาจากข้อมูลที่ปรากฎอยู่ในสื่ออื่นๆ ประกอบกันด้วยอยู่เสมอ

3. หากอยากจะนำบทความชิ้นนี้ ไปเผยแพร่ที่ไหน กรุณาติดต่อมาที่ [email protected]  
เพื่อ ขออนุญาตกันเสียให้ถูกต้องตามธรรมเนียม ก่อนจะนำไปเผยแพร่ ต่อไป ทั้งนี้ ขอสงวนสิทธิ์ในการ
อนุญาต เพื่อให้นำไปเผยแพร่ เพื่อเป็นประโยน์แก่สาธารณชน และ ไม่ใช่เพื่อนำไปใช้หากินใดๆ
เมื่อได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ได้ ขอความกรุณา ขึ้นเครดิตของผู้เขียน และทำลิงค์ มายัง เว็บไซต์
Headlightmag.com ให้ถูกต้องเรียบร้อยด้วย การนำบทความไปเผยแพร่ต่อ โดยไม่ขึ้นเครดิตให้
และไม่มีการบอกกล่าวมายังข้าพเจ้า ถือเป็นการ ละเมิดลิขสิทธิ์ ผู้ละเมิด จะถูกดำเนินคดี ตามที่
กฎหมายบัญญัติไว้ สูงสุด โดยไม่มีการยอมความใดๆทั้งสิ้น!

(โดยเฉพาะพวกหน้าด้าน copy ไปโพสต์ในเว็บบล็อกตัวเองกันโครมๆ คิดว่าไม่เห็นกันเลยใช่ไหม
ถ้าเตือนกันดีๆ แล้วถ้ายังไม่ฟัง ก็จะต้องเจอไม้แข็งกันเสียบ้าง นะ ไอ้พวกมักง่ายชอบสวมรอย!
แค่ส่งอีเมล์มาขอนำไปลงเว็บกันดีๆ ผมก็อนุญาตแล้ว ไม่เห็นจะยากเย็นวุ่นวายนักหนา หากไม่ใช่
เพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้า ก็ยินดีอนุญาตให้นำไปเผยแพร่เกือบจะทุกรายอยู่แล้ว แค่ว่าใส่ชื่อ
ผู้เขียน ชื่อเว็บไซต์ และทำลิงค์ให้เว็บไซต์ของเราด้วย แค่นี้เอง หวังว่าคงไม่ยากไปนะครับ!)

——————————————
ALFA ROMEO / FIAT
เงียบหาย ?

เวลาผ่านไปอีก 1 ปี สำหรับการรอคอยให้ PNA Group พระนครยนตรการ ภายใต้ชื่อของบริษัท
Thai Prestige Automobile สั่งนำเข้า Alfa Romeo รุ่นใหม่ๆ มาเปิดตัวในบ้านเรา แต่จนถึงป่านนี้
ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้าไปกว่า ข่าวการทุ่มงบลงทุน 50 ล้านบาท ในการปรับปรุงรูปโฉมของ โชว์รูม
และศูนย์บริการเดิม บนถนนพหลโยธิน (เยื้องตึกช้าง ใกล้สี่แยกรัชโยธิน) ให้แล้วเสร็จ

แต่ดูเหมือนว่า ตอนนี้ สถานการณ์ก็ยังเงียบอยู่ รู้แค่ว่าบริษัทยังไม่ปิดทิ้งหนีหายไปไหน แต่ถ้า
ความเคลื่อนไหวยังเงียบอยู่ขนาดนี้ อนาคตของแบรนด์อิตาเลียนแท้ ๆทั้ง Alfa Romeo และ Fiat
ก็จะตกอยู่ในความเสี่ยง ที่จะโดนกลืนหายไปกับเวลาแน่ๆ สักวันหนึ่ง

——————————————
Aston Martin
DB9…..?

แบรนด์ Aston Martin โผล่กลับเข้ามาอยู่ในทำเนียบรถยนต์ที่มีแผนจะเปิดตัวในเมืองไทยอีกครั้ง
หลังจากมีกระแสข่าวว่า ทางกลุ่ม British Motor และผู้นำเข้ารายย่อย Auto Exchasnge อยากจะสั่ง
Aston martin DB9 เข้ามาทำตลาด ในฐานะ ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทย แต่จนถึงตอนนี้
ก็ยังไม่ลงตัว คงต้องติดตามเฝ้าดูกันต่อไป

——————————————–

Audi
คงต้องพึ่งพา ยนตรกิจ , MTM Thailand และ ผู้ค้ารายย่อยกันไปก่อนตามเคย

แม้จะรู้ดีว่า สักวันหนึ่ง Audi AG บริษัทในเครือของ Volkswagen Group ก็จะต้องเข้ามาทำตลาด
ในเมืองไทยเอง แต่การรอคอยนั้น ดูจะกลายเป็นเรื่องไกลห่างจากความจริงออกไปเรื่อยๆ เพราะ
ปีที่ผ่านมา ทั้งยนตรกิจ MTM Thailand และผู้นำเข้ารายย่อย ต่างก็สั่งนำเข้า รถยนต์ Audi มาขาย
กันแบบตามใจตนเองไปหมด

ยนตรกิจ เปิดตัว Audi A8 ใหม่ คันเบ้อเร่อเบ้อร่า แต่เมื่อมองผ่านๆแบบไม่ได้สนใจนัก รูปลักษณ์
กลับชวนให้เข้าใจผิดว่าเป็นแค่ A4 รุ่นเล็กซะอย่างนั้น ขณะเดียวกัน MTM-Thailand ก็สั่งนำเข้า
A7 มาตกแต่ง และเพิ่มสมรรถนะให้แรงขึ้น ขายกันในราคา 7 ล้านกว่าบาท ส่วน Grey Market
หรือผู้นำเข้ารายย่อย ก็เลือกที่จะเลี่ยงการปะทะ ด้วยการยืนหยัดสั่งนำเข้าทั้ง น้องเล็ก A1 ตามด้วย
SUV รุ่น Q5 และรถสปอร์ตทั้งรุ่น TT กับ R8 ทะยอยกันเข้ามาเรื่อยๆ อย่างสะเปะสะปะ

ปีนี้ ได้ยินมาว่า ทางยนตรกิจ คิดจะสั่งนำเข้า A6 ใหม่ มาเปิดตัวในบ้านเรา ขณะที่ MTM Thailand
ก็ง้าวศรเล็ง เพ่งนำเข้า Audi S7 (เวอร์ชันแรงกว่า ของ A7) รวมทั้ง A1 Hatchback 5 ประตู ที่เพิ่ง
เปิดตัวไปใน Tokyo Motor Show ต้นเดือนธันวาคม 2011 มาสร้างสีสัน ในจำนวนไม่มากนัก
ขณะเดียวกัน ปีนี้ ควรจับตาดูการเปลี่ยนโฉมของ Audi TT อีกทั้งยังต้องรอดูรถยนต์รุ่นใหม่ๆ
ที่ผู้นำเข้าแต่ละราย จำเป็นต้องเลือกให้ถูกต้อง และเหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าจริงๆ
เช่น Q3 ซึ่งมีขนาด ไม่ได้เล็กไม่ได้ใหญ่ไปกว่า Q5 มากมายเลย ดังนั้น จะทำราคาให้ย่อมเยา
ลงมาจนต่างกันได้นั้น เห็นทีว่าเป็นเรื่องยาก

ส่วนใครคิดจะซื้อ Audi จากผู้นำเข้ารายย่อย อาจต้องเช็คสเป็กกันให้ดี เพราะตั้งแต่รถรุ่นปี 2011
เป็นต้นไป จะมีการติดตั้งอุปกรณ์บางอย่างในห้องเครื่องยนต์ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับระบบจ่ายเชื้อเพลิง
และดูเหมือนว่า จะมีวิธีการแก้ปัญหาโดยเฉพาะ ดังนั้น โปรดสอบถามผู้จำหน่ายของคุณเรื่องนี้ให้ดี
 
——————————————

BENTLEY
Continental GTC Convertible & New V8 4.0 507 BHP

ปีที่ผ่านมา Bentley Thailand  (AAS) มีงานสำคัญอยู่ที่ การจัดงานเปิดตัว รุ่นเปลี่ยนโฉม Full Model Change
ของ Bentley Continental GT รถยนต์ คูเป้ 4 ที่นั่ง คันเก่ง รุ่นขายดีที่สุดของตน เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2011
ที่ผ่านมา แทบจะสังเกตได้ว่า ปีก่อนหน้านี้ งานเปิดตัว Bentley Mulsanne ในเมืองไทย ก็ใช้ฤกษ์งาม
ยามดี ช่วงเดือนกันยายน เช่นเดียวกัน

ในเมื่อรุ่น Coupe 2 ประตู เปิดตัวไปแล้ว ดังนั้น ปีนี้ จึงต้องมีรุ่นเปิดประทุนในชื่อ Bentley Continental
GTC Convertible ตามมาเคียงคู่กันด้วย โดยนอกจากจะมีขุมพลังเดิม บล็อก W 12 สูบ DOHC 6,000 ซีซี
Twin Turbocharger  575 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร ซึ่งเติมน้ำมันเบนซินได้หลากหลาย
ตั้งแต่ น้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วปกติ ไปจนถึง แก็สโซฮอลล์ E85 ได้ จากโรงงานเลยทีเดียวแล้ว ยังจะมี
เครื่องยนต์ใหม่ บล็อกเล็กลง V8 สูบ DOHC 32 วาล์ว 4.0 ลิตร High Output 507 แรงม้า อันเป็นเครื่องยนต์
ที่ประจำการอยู่แล้วใน Audi บางรุ่น มาติดตั้งลงในทั้งตัวถัง Coupe และเปิดประทุนอีกด้วย แต่ขุมพลังใหม่
จะพร้อมเปิดตัวได้ในช่วงปลายปี 2011

คาดว่า การเปิดตัว รุ่นเครื่องยนต์ W12 น่าจะอยู่ในช่วงตั้งแต่ งาน Bangkok International Motor Show
เรื่อยไปจนถึงเดือน กันยายน 2012 ตามฤกษ์งามยามเดิม ก็อาจเป็นไปได้ แต่สหรับรุ่นเครื่องยนต์ V8
เราอาจต้องรอกันจนถึงปี 2013 ขึ้นอยู่กับว่า โรงงาน Crewe ที่อังกฤษ จะส่งรถมาถึงบ้านเรา เมื่อใด?

——————————————

BMW / MINI
2012 : The All New 3-Series (F30)  320d CBU & 320i New 2.0 Turbo Engine
           New 520i & Z4 sDrive 20i / MINI Roadster / MINI Countryman Diesel / Paceman
2013 : All New MINI Next Generation

2011 ถือได้ว่า เป็นปีที่ BMW ประเดิมสร้างกระแสด้วยการเปิดตัว ประธานคนใหม่ กันที่โชว์รูม
BMW แห่งใหม่ย่านบางนา แถมยังทำเซอร์ไพรส์ แก่สื่อมวลชน ด้วยการ นำ BMW ซีรีส์ 6 ใหม่
ล่าสุด ตัวถังเปิดประทุน ที่เพิ่งเผยโฉมในโลกได้ยังไม่ทันครบ 3 สัปดาห์ บินมาอวดโฉม กัน
อย่างไวฟ้าผ่า

ด้วยผลบุญบารมีดังกล่าว ก็เลยทำให้ BMW Thailand รับทรัพย์จาก BMW X1 Crossover SUV
รุ่นเล็กสุดของตนอย่างมาก เพราะตั้งแต่เปิดตัวด้วยราคาเขย่าตลาด 2,149,000 บาท พนักงานขาย
ในแต่ละผู้จำหน่าย ถึงกับเหงื่อตก เพราะไม่รู้จะหารถที่ไหนมาส่งมอบได้ครบ ทันเวลา จนต้อง
รอกันข้ามปีเลยทีเดียว

พอเข้าสู่ช่วงงาน Bangkok International Motor Show ก็ยังมี X3 xDrive 20d ประกอบในประเทศ
ตามมาล้วงกระเป๋าจากลูกค้าไปอีกเยอะ คิวส่งมอบรถยาวจนต้องรอกันถึงกลางปี 2012 เลยทีเดียว

เว้นช่วงมาถึง Motor Expo จู่ๆ BMW ก็สั่งนำเข้า 520d Touring ตัวถัง Station Wagon มาดักคอ
ผู้นำเข้าอิสระกันไว้อีก ชนิดว่า หมดทางหากินกันไปพอสมควร (ตั้งแต่ มีนโยบาย ล็อกรหัสรถ
ให้ตรงกับประเทศปลายทางที่รถคันนั้นจะถุกส่งไปขาย เริ่มใช้ทั่วโลกตั้งแต่เดือนเมษายน 2010)

ปิดท้ายกับกิจกรรมในช่วงปลายปี ด้วยการกระตุ้นตลาด X1 ด้วยการหั่นราคาลงมาจนถูกมาก เหลือ
แค่ 1.9 ล้านบาท เท่านั้น พร้อมกันนี้ ยังจัดกิจกรรม ร่วมกับภาพยนตร์ Mission Impossible 4 ของ
Tom Cruise ด้วย BMW ซีรีส์ 6 รุ่นหลังคาแข็ง 640i กันเป็นรุ่นปิดอำลาปี
 
ย่างเข้าปี 2012 ใครที่รอจะซื้อรถยนต์ในกลุ่ม Premium Compact เตรียมเก็บเงินไว้ได้เลย BMW กำลัง
จะส่ง ซีรีส์ 3 รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ Full Model Change รหัสรุ่น F30 ที่เพิ่งเปิดตัวในตลาดโลกสดๆร้อน
เข้ามา เปิดตัวในตลาดโลก ช่วงงาน Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคมนี้ ชนิดที่ว่า
เกาะติดตลาดโลกกันอย่างฉับไวเลยทีเดียว ก่อนที่เวอร์ชันประกอบในประเทศ แบบ CKD (SKD)
จะเปิดตัวตามออกมาในปี 6 เดือนให้หลัง
 
โดยรุ่นแรกที่จะเปิดตัวก่อนเพื่อนคือ 320d CBU นำเข้าจากเยอรมันทั้งคัน เอาใจคนรักความแรงจาก
ขุมพลัง Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร Turbo Common-Rail 184 แรงม้า (PS) จาก ซีรีส์ 3 รุ่น
320d ตัวถัง E90 เดิม และรุ่น 320i เครื่องยนต์ใหม่ เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร Turbo
184 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตร

ซึ่งเครื่องยนต์ใหม่นี้ มีประจำการอยู่แล้วใน BMW Z4 sDrive20i ที่เพิ่งออกจำหน่ายในบ้านเรา ที่
งาน Motor Expo เดือนธันวาคมที่ผ่านมา เป็นงานแรก และในปี 2012 เครื่องยนต์ใหม่นี้ จะตามมา
ประจำการลงใน BMW 520i รุ่นย่อยใหม่ลำดับที่ 5 ซึ่งจะออกสู่ตลาดบ้านเรา ภายในปี 2012 นี้
และในช่วงปลายปี มีลุ้นกับการปรับโฉม Minorchange ของ ซีรีส์ 7 อัตรยานยนต์หรูสุดในตระกูล

ข้ามมาดูแบรนด์ในเครือ เชื้อชาติอังกฤษ อย่าง MINI ปี 2011 ที่ผ่านมา นอกเหนือจากการนำเข้า MINI
Countryman เวอร์ชัน Crossover SUV ของ รถเล็กผู้ครองโลกแฟชัน รุ่นนี้ รวมทั้ง MINI Coupe ที่
เปิดตัวในประเทศไทย ณ งาน Motor Expo พร้อมกันกับ ในประเทศญี่ปุ่น ใน Tokyo Motor Show
ชนิดที่ว่า เปิดตัว วันเดียวกันเป๊ะ!

คราวนี้ก็จะถึงคิวของ อีก 2 รุ่นที่เหลือ นั่นคือ Mini Roadster ที่เพิ่งเผยโฉมไปในงาน Frankfurt
Motor Show เดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในงาน Bangkok International
Motor Show มีนาคม นี้ พร้อมกับ MINI Countryman ขุมพลัง Diesel Turbo CommonRail 
ซึ่งเป็น MINI เครื่องยนต์ diesel Turbo แท้ๆ คันแรกในประวัติศาสตร์ของ MINI และจะต้องปิดท้ายด้วย
Countryman แบบ 2 ประตู ยกสูง ในชื่อ MINI Paceman ภายในช่วงต้นปี 2012 และจะต้องนำเข้ามา
เปิดตัวในบ้านเรา ภายในปี เดียวกัน โดย Paceman จะใช้เครื่องยนต์กลไก และงานวิศวกรรม ร่วมกับ
MINI Countryman เป็นหลัก

เพราะหลังจากนั้น ในปี 2013 MINI ยุคใหม่ เจเนอเรชันที่ 3 นับตั้งแต่มาอยู่ในรั้วบ้าน BMW
ก็จะต้องเปิดตัวออกสู่ตลาดโลกตามกำหนดการเดิมกันแล้ว

——————————————

CHEVROLET
2012 : TRAILBLAZER 2.8 6AT Only (NEW SUV Based on Colorado GMI 700) / SPARK from Indo
           CRUZE New 2.0 Diesel Engine / NEW AVEO (PROJECT T300) 1.4 1.6
2013 : Compact Minivan (Project codename : PM-7) Import from Indonesia

ปี 2011 เป็นปีแห่งการฉลองครบรอบ 100 ปีของแบรนด์ Chevrolet ทั่วโลก และ GM Thailand ก็ใช้ปีนี้
เป็นปีแห่งการเปิดตัวรถกระบะ Chevrolet Colorado ใหม่ทั้งคัน จากโครงการ GMI 700 กันอย่างเอิกเกริก
เริ่มต้นด้วย การจัดงานเผยโฉม เวอร์ชันต้นแบบในชื่อ Chevrolet Colorado Show Truck บนโป๊ะยักษ์
พร้อมแสง สี เสียง อลังการ ตระการตา รวมทั้งขนสารพัดรถกระบะยุคอดีต มาจัดงานในบรรยากาศกึ่ง
ย้อนยุค ณ ห้องประชุม สโมสรกองทัพเรือ เมื่อ 21 มีนาคม 2011 และขนไปจัดแสดงในงาน Bangkok
International Motor Show ในลำดับถัดไป

ล่วงเข้ากลางปี Chevrolet Captiva Minorchange กระจังหน้าบานทะโร่ ก็เปิดตัวเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2011
ดึงเอา มอส ปฏิภาณ และภรรยา (คุณเกม) มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ในช่วงแรก เปิดตัวด้วยเครื่องยนต์เบนซิน
ECOTEC 2.4 ลิตร บล็อกใหม่ 168 แรงม้า (PS) พร้อมระบบนำทาง Navigation System มาให้ในรุ่นท็อป
ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ Diesel บล็อกใหม่ 2.0 ลิตร CRDi ตามมาแบบเงียบเชียบ ในช่วงครึ่งหลังเดือนตุลาคม
ก่อนน้ำท่วมกรุงเทพฯทิศเหนือ ราวๆ 2 สัปดาห์

ส่นว เวอร์ชันจำหน่ายจริงของ Colorado ใหม่ เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ ในบรรยากาศเวทีจำลองทุ่งข้าวโพด
ณ BITEC เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2011 เพียงแต่ในช่วงเปิดตัว จะมีเฉพาะรุ่น X-Cab พร้อมบานแค็บเปิดได้
จากนั้น รุ่น 4 ประตู C-Cab ก็ตามออกมา ในรูปแบบตัวถัง 4 x 4 ยกสูง เปลี่ยนขุมพลังใหม่ มาใช้เครื่องยนต์
ของตนเอง ที่ผลิตจากโรงงาน GM Powertrain แห่งใหม่ บนพื้นฐานศูนย์การผลิตรถยนต์ ในจังหวัดระยอง
ที่เปิดตัวไปในเดือนกันยายน 2011 พอเปิดตัวปุ๊บ น้ำก็เริ่มท่วม และ GM ก็เริ่มต้นช่วยเหลือสังคม หลังงาน
ฉลองครบรอบ 100 ปี ที่โรงงานในระยอง เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2011 ด้วยสารพัดกิจกรรมที่จำกันไม่ไหว

และในช่วงปลายปี งาน Motor Expo เราก้ได้เห็นรถยนต์ต้นแบบ MiRay จาก GM Design Studio ที่เกาหลีใต้
กับรถยนต์ต้นแบบ EN-V มาอวดโฉมคู่กันบนแท่นหมุนในงานดังกล่าว เป็นการปิดฉากปี 2011 ไปได้ด้วยดี
แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมอยู่บ้าง ในด้านชิ้นส่วนการประกอบรถกระบะ Colorado แต่ในไลน์ผลิต
ของรถเก๋ง Cruze Aveo และ Captiva แทบไม่ได้รับผลกระทบเลย

ปี 2012 นี้ นอกจาก GM / Chevrolet จะเริ่มประเดิมปี ด้วยการขนเอา Chevrolet Voltz รถยนต์พลังไฟฟ้า 
(แต่ใช้เครื่องยนต์ช่วยปั่นไฟอย่างเดียว) มาอวดโฉมพร้อมกับรถยนต์ต้นแบบ EN-V ที่ยังคงอยู่ในเมืองไทย
ไม่ได้ขนส่งกลับไปไหน มาอวดโฉมกันในงาน B.O.I. Fair ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคมนี้ เป็นต้นไปแล้ว ยังจะ
เป็นปีที่ ยักษ์อเมริกัน จะต้องเตรียมส่งรถยนต์ รุ่นใหม่แกะกล่อง 3 ตัวถังรวด และบรรดารถยนต์รุ่นพิเศษ
ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง

นั่นจะทำให้ปีนี้ ถือว่าจะเป็นปีอันน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับ GM / Chevrolt เพราะ พวกเขา จะเริ่มเอาจริง
เอาจังมากกว่าทุกปีก่อนหน้านี้ และถือเป็นปีที่จะมีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ถอดด้าม มากที่สุดเท่าที่
พวกเขาเคยทำมาในปีเดียว

เริ่มด้วย Chevrolet Trailblazer หรือเวอร์ชัน SUV ของ รถกระบะ Colorado ใหม่นั่นเอง รูปโฉมก็จะ
เหมือนกับ เวอร์ชัน Prototype ที่เห็นอยู่ในภาพนี้ ซึ่งเพิ่งเปิดผ้าคลุมกันไปในงาน Dubai International
Motor Show เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2011 ที่ผ่านมา เพื่อเตรียมประกบ Toyota Fortuner , Mitsubishi
Pajero Sport , Ford Everest และ Isuzu MU-7 ซึ่งเป็นรถยนต์ SUV ที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานโครงสร้าง
ของรถกระบะเหมือนกันทั้งสิ้น

Trailblazer เป็นชื่อที่ GM / Chevrolet เคยใช้ใน SUV ขนาดกลางสำหรับตลาดอเมริกาเหนือในช่วง
ปลายทศวรรษที่ 1990 ก่อนจะถูกแทนที่ด้วย Chevrolet Equinox ในเวลาต่อมา ชื่อ Trailblazer กลับมา
อีกครั้ง ในฐานะของ SUV ที่สร้างบนพื้นฐานของ Colorado ใหม่ตามออกมาอีกด้วย โดยขุมพลังจะ
ยกมาจาก รถกระบะ Colorado นั่นเอง และมีให้เลือกเพียงแบบเดียวนั้นคือ DURAMAX Diesel 4 สูบ
DOHC 16 วาล์ว 2.8 ลิตร Common Rail Turbocherger พร้อม Intercooler 180 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด
470 นิวตันเมตร และมีเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะให้เลือกเพียงแบบเดียวเท่านั้น ภายในตกแต่งเหมือนกับ
Colorado รุ่นท็อป และมีเบาะนั่งให้ 3 แถว

Trailblazer ทั้ง 3 – 4 รุ่นย่อย จะมีกำหนด ขึ้นสายการผลิต เดือนกุมภาพันธ์ 2012 ตามด้วยการเปิดตัวใน
ช่วงงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม ไม่กี่สัปดาห์ และจะทำตลาดจริงทันที

ในงานเดียวกัน Chevrolet Cruze ก็จะมีการยกขุมพลัง Diesel 2.0 ลิตรเดิมออก แล้ววางเครื่องยนต์ใหม่
Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร ที่ยกมาจาก Chevrolet Captiva Diesel CRDi รุ่น Minorchange
163 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 360 นิวตันเมตร เชื่อมด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ลูกเดิม เปิดตัวอย่าง
เป็นทางการเสียที หลังเจอโรคเลื่อนจากแผนเดิมที่ตั้งใจจะเปิดตัวในงาน Motor Expo ธันวาคม 2011
ด้วยเหตุผลจากประเด็นน้ำท่วมเป็นหลัก

หลังจากนั้น จะถึงคิวของ การเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันให้กับ Chevrolet AVEO รหัสโครงการ T300
ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนโฉม Full Modelchange ครั้งใหญ่ คราวนี้ จะมาให้เลือกกันครบทั้งตัวถัง Sedan
4 ประตู และ Hatchback 5 ประตู เส้นสายภายนอกของตัวถัง Sedan 4 ประตู จะคล้ายกับ Mitsubishi
Lancer EX อย่างมาก ขณะที่รุ่น Htachback 5 ประตู จะมีบั้นท้ายเป็นเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใคร
และคราวนี้ พวกเขาจะใช้ชื่อ เหมือนในสหรัฐอเมริกา ว่า Chevrolet Sonic ชวนให้นึกถึงมอเตอร์ไซค์
Honda รุ่นเก่าขึ้นมาดื้อๆ (ฮา)

รายละเอียดด้านวิศวกรรม จะยังคงสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง GAMMA สำหรับรถยนต์ขนาดเล็ก ของ GM
ในเวอร์ชันไทย จะมีมาให้เลือกครบถ้วน ทั้งเครื่องยนต์ 1,400 ซีซี และ 1,600 ซีซี  เพื่อจะมาประกบ
กับ Ford Fiesta และเหล่าบรรดารถยนต์พิกัด B – Segment Sub – Compact Class ตั้งแต่ Toyota Vios
กับ Yaris , Honda City กับ Jazz , Mazda 2 ฯลฯ

การออกแบบห้องโดยสาร มาในสไตล์คล้ายคลึงกับ พี่ใหญ่รุ่น Cruze แต่ชุดมาตรวัดจะมาในแนวทาง
คล้ายกับ Honda Life รุ่นปี 2005 มีมาตรวัดรอบแบบเข็มอนาล็อก แต่มาตรวัดความเร็วเป็นแบบ Digital
ออกแบบเป็นรูป รูกุญแจขนาดใหญ่ สวยงาม และเอาใจกลุ่มลูกค้าที่ติดจะซื้อรถคันแรกในชีวิต

เวอร์ชันตลาดโลก ออกขายกันมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2010 แล้ว แต่ในเมืองไทย อาจต้องรอกันจนถึง
ช่วงครึ่งหลังของปี 2012

ล่วงเข้าปี 2013 GM / Chevrolet ยังเตรียมแผนสำหรับบุกตลาดโลก ด้วยรถยนต์ Compact Minivan 7 ที่นั่ง
รุ่นใหม่ล่าสุด รหัสโครงการ PM-7 ที่ถูกพัฒนาขึ้น บนพื้นตัวถัง Gamma ร่วมกับทั้ง Opel/Vauxhall Corsa
และ Chevrolet Aveo T300 ใหม่ในบ้านเราด้วย ภายใต้การดูแลของ GM Brazil ซึ่งรับหน้าที่เป็นแม่งาน
ของโครงการนี้ คาดว่าเวอร์ชันไทยจะใช้เครื่องยนต์ใหม่ ขนาด 1.5 ลิตร PM-7 มีกำหนดจะขึ้นสายการผลิต
และเปิดตัวในอินโดนีเซีย ต้นปี 2013 และมีแผนจะเข้ามาเปิดตัวในเมืองไทย อย่างเร็วที่สุดช่วงกลางปี 2013

——————————————


 
CITROEN
2012 January – Febuary : DS4 1.7 – 1.8 ล้านบาท
2012 June – July : C-Crosser ประมาณ 1.5 ล้านบาท
2012 November – December :  DS5 Stylish Minivan

ตลอดปี 2011 ที่ผ่านมา DAD ยนตรกิจ ในฐานะผู้จำหน่ายรถยนต์ Citroen เพียงผู้เดียวในบ้านเรา
เดินหน้าจัดกิจกรรมการตลาด ช่วยกระตุ้นยอดขายของรถยนต์นั่ง Premium Compact Hatchback
3 ประตู รุ่น DS3 ไปได้เรื่อยๆ นับตั้งแต่เปิดตัวในบ้านเรา เมื่อเดือนธันวาคม 2010 จนถึงวันนี้ มี
ยอดขายสะสมรวมกันทั้งสิ้น เกินกว่า 100 และแตะอยู่ 200 คัน แล้ว ไม่เพียงเท่านั้น รถตู้คันเขื่อง
อย่าง Citroen Jumper ก็เริ่มปรากฎเรือนร่างอันใหญ่โตมหึมา ให้เห็นบนถนนในกรุงเทพฯ เพิ่ม
มากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากหั่นราคาลงมาเหลือระดับ 2 ล้านบาทปลายๆ พอจะช่วยให้ อนาคตของ
ค่ายจ่าโท ฝรั่งเศส ภายใต้การดูแลของ DAD ยนตรกิจ ดูมีความหวังในการเดินหน้าต่อไป

ที่แน่ๆ Citroen DS3 Racing ขุมพลังตัวแรง เกียร์ธรรมดา พวงมาลัยขวา ที่ผลิตออกมาในโลกนี้
เพียง 200 คันนั้น โดยบ้านเราได้รับโควต้ามา 2 คัน ติดป้ายราคา 2.8 ล้านบาท และถูกนำมาเปิดตัว
ในงาน DAD Ultimate Auto Showcase ที่ Siam Paragon เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2011 ที่ผ่านมา
ก็ขายออกไปหมดเรียบร้อยแล้ว!

ในปี 2012 จะถือเป็นปีที่ Citroen มีความเคลื่อนไหว ในเรื่องการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ มากที่สุด
เท่าที่เคยมีมาในเมืองไทย เพราะงานนี้ DAD ยนตรกิจ เตรียมแผนเปิดตัวรถใหม่ไว้มากถึง 3 รุ่น
เพื่อจะต่อยอดการทำตลาดตระกูล Citroen ให้ต่อเนื่อง หลังได้รับอานิสงค์ความสำเร็จของ DS3

เริ่มต้นเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ ด้วย Citroen DS4 จากเดิมที่มีแผนเปิดตัวในงาน Motor Expo
เดือนธันวาคมที่ผ่านมา ก็ต้องเลื่อนมาเปิดตัวในช่วงนี้ นั่นหมายความว่า ตอนนี้ มีรถตัวอย่าง จอด
อยู่ในเมืองไทยเรียบร้อยแล้ว

Citroen DS4 เผยโฉมคันจริงครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2010 และเปิดตัว บนแท่นหมุนในงาน
Paris Auto Salon เดือน กันยายน 2010 และเริ่มทะยอยเปิดตัวออกสู่ตลาดในประเทศต่างๆ ไม่เว้น
แม้แต่ในญี่ปุ่น ก็เริ่มมีให้เห็นบนท้องถนนในกรุง Tokyo บ้างแล้ว

ตัวรถมีความยาว 4,270 มิลลิเมตร กว้าง 1,810 มิลลิเมตร สูง 1,530 มิลลิเมตร ออกแบบขึ้นโดยนำ
เส้นสายมาจากรถยนต์ต้นแบบ Citroen DS High Rider Concept จากงาน Geneva Motor Show
เดือนมีนาคม 2010 นั่นเอง วางเครื่องยนต์ 5 ขนาด แบ่งเป็นเบนซิน บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว
1,600 ซีซี เลือกได้ 3 ระดับความแรง ทั้งรุ่น VTi 120 แรงม้า (HP) รุ่นติดตั้ง Turbo THP 150 แรงม้า
(HP) หรือแรงสุด กับระดับ 200 แรงม้า (HP) ส่วนเครื่องยนต์ดีเซล มีให้เลือกในรุ่น 4 สูบ DOHC
16 วาล์ว HDI Commonrail Turbo เลือกได้ทั้งขนาด 1,600 ซีซี 110 แรงม้า (HP) และขนาด 2,000 ซีซี
160 แรงม้า (HP) มาพร้อมเทคโนโลยีดับเคื่องยนต์เองขณะจอดติดไฟแดง Idle Start/Stop

ค่าตัวของ Citroen DS4 น่าจะป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆ 1.7 – 1.8 ล้านบาท กำหนดเปิดตัว อย่างเร็วสุดคือ
มกราคม – กุมภาพันธ์นี้ อย่างช้าที่สุดคืองาน Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคม

ล่วงเข้าช่วงกลางปี Citroen C Crosser SUV จะเป็นรถยนต์รุ่นถัดไป ที่ถูกวางตัวให้เข้ามาทำตลาด
เพื่อตอดส่วนแบ่งลูกค้า จากทั้ง Honda CR-V Chevrolet Captiva Hyundai Tucson และแม้แต่
Skoda Yeti คาดว่า เครื่องยนต์ น่าจะเป็นแบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร พร้อมเกียร์อัตโนมัติ
และระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ จุดเด่นก็คือ ถ้าเห็นหน้าตาแล้ว คุ้นๆ อย่าสงสัย เพราะมันก็คือ
Mitsubishi Outlander นั่นเอง เนื่องจาก C Crosser เป็นรถยนต์ในโครงการความร่วมมือกันระหว่าง
กลุ่ม Mitsubishi Motors กับ PSA Peugeot Citroen Group แห่งฝรั่งเศส ในการสั่งซื้อรถเข้าไปขาย
ในยุโรป และบางประเทศในโลก หมายความว่า หากในอนาคต หาอะไหล่เครื่องยนต์และช่วงล่าง
ไม่ได้แล้ว สามารถ หาอะไหล่ของ Mitsubishi ประกอบใส่ทดแทนกันได้แทบจะทันที! การเปิดตัว
ในเมืองไทย จะมีขึ้น ราวๆ กลางปี ด้วยค่าตัวประมาณ 1.5 ล้านบาท หรืออาจต่ำกว่านั้น!

ส่งท้าย ในเดือนพฤศตจิกายน – ธันวาคม ด้วยการเตรียมเปิดตัว Citroen DS5 Premium Stylish
Minivan สุดโฉบเฉี่ยว ที่เพิงเปิดตัวไปหมาดๆ เมื่องาน Frankfurt Motor Show เดือนกันยายน
ที่ผ่านมา คาดว่าน่าจะเป็นรุ่นเครื่องยนต์ Diesel HYBRID แต่ยังไม่มีการกำหนดค่าตัวอย่างแน่ชัด
เพราะตอนนี้ ยังมีเรื่องปวดกบาลในการทำราคารออยู่อีกมาก

แต่ต้องถือว่า 2012 เป็นปีที่ น่าตื่นตาตื่นใจของ Citroen กันเสียที หลังจากที่ไม่ได้เห็นกันมานานแล้ว !

——————————————

FERRARI (By Cavalino Motors)
2012 : 458 Spyder / All New 599
2013 : 458 Lightweight

ปี 2011 Cavalino Motor สั่งนำเข้า Ferrari FF รถสปอร์ตขับเคลือน 4 ล้อ 4 ที่นั่ง ที่สามารถใช้งานใน
ชีวิตประจำวันได้ จัดงานเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2011 ที่ผ่านมานี้เอง ด้วยราคา 31,175,000 บาท
พร้อมการรับประกัน 3 ปี ไม่จำกัดระยะทาง เป็นอันว่า ในปีนี้ Cavalino Motor เอง ก็ดำเนินกิจการ
ไปได้ด้วยดี ทั้งจากยอดผู้ใช้รถ Ferrari ที่นำรถมาเข้าศูนย์บริการ Authorized Dealer เพิ่มขึ้น รวมทั้ง
ยอดสั่งจองของ รุ่น California และ 458 Italia ที่ยังคงมีคิวส่งมอบรถ ยาวถึงต้นปีนี้

ย่างเข้าปีใหม่ 2012 แฟนๆม้าลำพองสีแดงก็น่าจะรอลุ้นการมาถึงของ Ferrari 458 Spyder เป็นหลัก
เพียงรุ่นเดียวในเบื้องต้น

458 Spyder เผยโฉมครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2011 และมีการเปิดตัวให้ได้สัมผัสคันจริงกันเป็น
ครั้งแรกในงาน Frankfurt Motor Show เดือนกันยายนที่ผ่านมา จุดเด่นของ 458 Spyder อยู่ที่การเป็น
รถสปอร์ต เครื่องยนต์วางกลาง ขับเคลื่อนล้อหลัง และมีหลังคาแข็งเปิดประทุนพับได้ รุ่นแรกในโลก
ที่มีการผลิตขายจริง

ตัวรถยาว 4,527 มิลลิเมตร กว้าง 1,937 มิลลิเมตร สูง 1,211 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,650 มิลลิเมตร
วางขุมพลัง V8 สูบ DOHC 4,499 ซีซี 570 แรงม้า ที่ 5,900n รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 540 นิวตันเมตร
ที่ 6,000 รอบ/นาที (127 แรงม้า / 1 ลิตร และ 2.51 กิโลกรัม / 1 แรงม้า ) เกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ แบบ
Dual Clutch F1 อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 3.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 320 กิโลเมตร/ชั่วโมง

มีแนวโน้มว่า 458 Spyder น่าจะพร้อมนำเข้ามาถึงเมืองไทย และเปิดตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2012

นอกจากนี้ ตามแผนเปิดตัวในตลาดโลก Ferrari จะมีรถสปอร์ตคันใหม่ เป็นรุ่นเปลี่ยนโฉมของรุ่น 599
คลอดออกมาในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2012 ซึ่งกว่าจะมาถึงเมืองไทย น่าจะอยุ่ในช่วงปี 2013

ส่วนปี 2013 นั้น Ferrari เองก็กำลังขมักเขม้นอยู่กับการลดน้ำหนักตัวของ 458 Italia ให้เบาลงยิ่งกว่า
รุ่นปัจจุบันนี้อีก เพื่อจะให้เป็นเวอร์ชันเบาพิเศษ ออกขายสำหรับลูกค้าที่อยากได้ความดิบจนสามารถ
นำไปทำเป็นรถแข่งในสนาม ได้

——————————————

FORD
2012 :  All New FOCUS 4 Door & D Door 1.8 L, 2.0 L ส่วน TDCi ตามมาหลังจากนั้น
             EVEREST Full Modelchange
2013 : All new Escape /  Fiesta Minorchange
2014 : SUV B-size Eco Sport / C-Max / Galaxy / S-Max  & Next D-Segment FWD Sedan ?

สถานการณ์ของ Ford ในสหรัฐอเมริกา กำลังดีวันดีคืน จากคุณภาพของตัวรถที่ดีขึ้น จนลูกค้ายอมเปิดใจ
ซื้อมาใช้งานมากขึ้น ขณะที่ Ford ยุโรป ยังอยู่ในภาวะประคองตัว ส่วนภูมิภาคอื่นๆ ยังพอไปได้เรื่อยๆ

แต่สำหรับเมืองไทย เรื่องน่าแปลกของ Ford ในปีนี้ก็คือ แม้ว่าจะมีการ เผยโฉม Ranger ใหม่ ในงาน
Bangkok International Motor Show กันในเดือนมีนาคม (หลังการเผยโฉมครั้งแรกที่ออสเตรเลีย เมื่อ
14 ตุลาคม 2010) แต่ก็ยังไม่พร้อมขาย และต้องรการทดสอบ รวมทั้งปล่อยให้ผู้คนถ่ายรูป ฝูง Ranger
ขณะแล่นทดสอบกันอย่างหนำใจ จนเบื่อไปข้างหนึ่ง เพราะต้องทำการทดสอบให้ผ่านมาตรฐานต่างๆ
กันเสียก่อน

แต่ต่อให้ Ford เซ็ตสเป็กรถมาเต็มพิกัด ทว่า ของดีๆ ถูกติดตั้งมาให้เฉพาะรุ่นท็อป 3.2 L WildTrak เท่านั้น
แถมค่าตัวก็ยังพุ่งพรวดพราด ทะลุ 1 ล้านบาทไปง่ายดาย ผู้บริโภค ที่อยากได้ ก็พากันไต่ถามว่า จะทำรุ่น
ลดออพชัน หั่นราคาออกมาอีกนิดนึงจะได้ไหม ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรมากนัก

แถม พอถึงเวลาออกจำหน่ายจริง แม้จะอยู่ในสถานการณ์น้ำท่วมภาคกลางคลี่คลายไปแล้ว แต่ Ford กลับ
ไม่ยอมจัดงานเปิดตัว โดยอ้างว่า ไม่มีงบประมาณเพียงพอ !?  ส่วนแคมเปญ Ranger Challenge ที่ให้
ผู้บริโภค ร่วมส่งเรื่องราวคำท้า ในการพา Ranger ไปลุยตามที่ต่างๆ ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
อ้างว่าเพราะไม่มีงบในการประชาสัมพันธ์ลงสื่อโฆษณามากกว่านี้ นี่ยังไม่นับเรืองราวเบื้องหลังต่างๆนาๆ
อีกไม่น้อย ที่เกิดขึ้น ทั้งในเรื่องการดูแลลูกค้า ที่ทำได้ไม่ดี จนเกิดเรื่องราวในอินเตอร์เน็ตหลายเคส รวมทั้ง
การสื่อสาร พิมพ์ตอบโต้ลูกค้า ใน Facebook กันจนบานปลาย และทำให้ผู้บริหารฝรั่งเอง ถึงได้กระจ่างว่า
เรื่องวุ่นๆต่างๆ เกิดจากการสื่อสารที่มีปัญหา กับลูกค้า จนทำให้ผู้คนในแวดวงรถยนต์ ต่างพากันชวนให้สงสัย
ว่าทำไม Ford ถึงทำอะไรแปลกๆ ผิดฟอร์มไปจากบริษัททั่วไปที่จะต้องเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ อันเป็นรุ่น
ความหวังครั้งสำคัญของบริษัทเสียด้วยซ้ำ

จะอย่างไรก็ตาม ใครที่ยังจงรักภักดี และมั่นใจอย่างสูงแล้วว่า จะใช้ Ford ต่อไป ถัดจากนี้คือข่าวดีของคุณ
หากกำลังรอการมาถึงของ Ford Focus ใหม่ ตอนนี้ การก่อสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ แห่งที่ 2 ของ Ford
ในจังหวัดระยอง ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว และอยู่ในช่วงทดลองประกอบ Fortd Focus ใหม่ เพื่อให้พร้อมสำหรับ
การเปิดตัวในเมืองไทย (ซึ่งสงสัยจะไม่มีงานเปิดตัวอีกกระมัง) ในช่วงเดือนมิถุนายน 2012 แต่อาจจะมี
รถตัวอย่าง ไปจอดโชว บนแท่นหมุน ในงาน Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคมกันก่อน
ตามฟอร์มเหมือนทุกรุ่นที่ผ่านๆมา งานนี้ ถือเป็นการย้ายฐานประกอบ Focus จาก โรงงาน Auto Alliance
ในฟิลิปปินส์ มาอยู่ที่เมืองไทย เต็มตัว

ขุมพลังเวอร์ชันไทย จะอยู่บนพื้นฐานเครื่องยนต์ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว มีทั้งแบบเบนซิน 1.8 ลิตร เบนซิน
2.0 ลิตร ในช่วงเริ่มเปิดตัว ส่วนรุ่น 2.0 TDCi ที่หลายๆคนรอคอย จะตามออกมาในภายหลัง

ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ในปี 2012 Ford กำลังเตรียมแผนที่จะเปิดตัว รุ่นเปลี่ยนโฉม Full Model Change
ของ SUV บนพื้นฐานรถกระบะ อย่าง Everest ใหม่ ทั้งคัน คราวนี้ จะใช้โครงสร้างพื้นฐานวิศวกรรม
รวมทั้งเครื่องยนต์ Diesel 2.2 ลิตร และ 3.2 ลิตร 200 แรงม้า (PS) จาก Ranger ใหม่ และมีให้เลือกเฉพาะ
เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ เท่านั้น คาดว่าจะเปิดตัวได้ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2012 เนื่องจากทีมวิศวกร เลือก
จะ เปลี่ยนระบบกันสะเทือนด้านหลัง จากแหนบ เป็นแบบ คอยล์สปริง และต้องการปรับเซ็ตอย่างละเอียด
เพื่อให้ต่อกรกับช่วงล่างของ Chevrolet Trailblazer ใหม่ ได้อย่างถนัดถนี่ และแน่นอนว่า ต้องรอให้ Focus
เปิดตัวไปล่วงหน้าก่อนแล้ว สัก 2-3 เดือน ซึ่งนั่นอาจทำให้ต้องรอกันไปจนถึง ปลายไตรมาส 3

ส่วนใครที่เบื่อหน้า Ford Escape กันแล้ว มีข่าวมาอัพเดทให้ทราบว่า คุณจะทนเห็นหน้ารถรุ่นนี้ต่อไป
จนถึงแค่ ปี 2012 เท่านั้น เพราะ Ford เพิ่งกระชากผ้าคลุม Ford Escape ใหม่ ที่จะมาทำตลาดแทน ทั้ง
Escape ในตลาดโลก และ Kuga ในตลาดยุโรป โดย SUV คันนี้ จะต้องทำหน้าที่เป็น Global Car อีก
รุ่นหนึ่งนอกเหนือจาก Focus Fiesta Mondeo และ Ranger ใหม่ จะต้องรับหน้าที่นี้ไปแล้ว  Ford คิด
ที่จะผลิต Escape ใหม่ ในเมืองไทย ที่ดรงงานใหม่ใสนระยองด้วยเช่นเดียวกัน ส่วนกำหนดเปิดตัว
ในบ้านเรานั้น คาดว่าจะอยู่ในปี 2013

ส่วนปี 2014 นั้น Ford เองกำลังดูความเป็นwปได้ที่จะหารถยนต์ B-segment Small Crossover SUV เข้ามา
เปิดตลาดเอเซีย โดยใช้ไทยเป็นฐานการผลิตอีก 1 รุ่น คาดกันไว้ในเบื้องต้นว่า น่าจะเป็น Ford Fusion
หรือ Ecosport ซี่งทำขายกันอยู่แล้วในเขตอเมริกาใต้ แต่ถ้าจะมาเมืองไทย คงต้องเป็นรุ่นเปลี่ยนโฉม
ใหม่ Full ModelChange กันมาเรียยร้อยแล้ว นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดศึกษาตลาดรถยนต์ Minivan 5 กับ
7 ที่นั่ง อย่าง Ford C-Max Ford Galaxy และ Ford S-Max อีกด้วย แต่ยังต้องรอความชัดเจนในเรื่องนี้
กันอีกพักใหญ่

ขณะที่ตลาด Sedan ขนาดกลางค่อนข้างใหญ่นั้น ในระดับสากล Ford ตั้งใจจะยุบรถยนต์ครอบครัว
รุ่น Mondeo สำหรับยุโรป Ford Taurus สำหรับอเมริกาเหนือ แะล Ford Falcon สำหรับออสเตรเลีย
ให้เหลือเพียงรถยนต์ Saloon ขับเคลื่อนล้อหน้าขนาดใหญ่เพียงรุ่นเดียวเท่านั้น ที่จะแข่งขันต่อกร
กับทั้ง Tohyota Camry Honda accord Nissan Teana และ chevrolet Impala ได้อย่างเต็มที่ ปรเด็นนี้
ก็ยังต้องรอความชัดเจนในอนาคตกันอีกครั้ง ยังไม่มีข้อสรุปในตอนนี้

สิ่งที่ยังคงอยากจะฝากให้ Ford Thailand ยังคงต้องทำการบ้านกันอย่างหนักกว่านี้ต่อไป คือ การปรับปรุง
วิธีคิดในการทำงาน และการสื่อสาร ของกลุ่มพนักงานในองค์กร กับลูกค้าและบุคคลภายนอกให้ดีขึ้น
กว่าที่เป็นอยู่ ไม่ผิดที่จะรักองค์กร แต่อย่ารักจนไม่ลืมหูลืมตา รวมทั้งปรับปรุงคุณภาพในการบริการ
หลังการขาย เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นของลูกค้าให้คืนกลับมา หลังจากที่เสียหายไปเยอะตลอดช่วง
หลายปีที่ผ่านมานี้ เพราะถ้าลูกค้า เกิดพูดกระจาย ปากต่อปากกันไป โอกาสที่ Ford จะขายรถคันต่อไป
ให้ลูกค้ารายเดิม อาจเป็นไปได้ยาก และนั่นอาจส่งผลต่อ Ford Sales Thailand ในอนาคต อยากยากจะ
หลีกเลี่ยง…

——————————————

HONDA
2012 :  CIVIC 2HC ทัน Motor Show / CR-V Full Modelchange / Freed Minorchange
2013 : Accord + Accord HYBRID / Jazz Full Modelchange / Brio Minorchange
2014 : City Full Modelchange (+ CNG) / Civic Minorchange / Brio Sedan

ในบทความสรุปรถใหม่ 2011 – 2014 ของปีที่แล้ว ผมได้ทำนายเอาไว้ว่า ปี 2011 จะเป็นปีที่ Honda กลับมามี
ความเคลื่อนไหวอย่างคึกคักมากๆ ทั้งจากการเปิดตัว Honda Brio รถยนต์ ECO-Car รายที่ 2 ของตลาด ในช่วง
เดือนมีนาคม ก่อนเว้นว้างไป เตรียมเข้าสู่การเปิดตัว Honda Civic ใหม่ ในเดือนพฤศจิกายน 2011

ปรากฎว่า ทุกอย่างกลับตาลปัตร ความเคลื่อนไหวที่คึกคักทั้งหมด กลับเกิดขึ้นแต่ในด้านลบ ทำให้ปี 2011
กลายเป็น ปีที่ Honda สูญเสียมากที่สุดประวัติศาสตร์ 47 ปีที่เข้ามาดำเนินกิจการในประเทศไทย มีปัจจัย
ต่างๆ ที่ทำให้เกิดเรื่องราวน่าเศร้าเหล่านี้ หลักๆ 2 ปัจจัย

ประการแรก เป็นปัจจัยภายในของ Honda เอง จากการทำรถ Brio ออกมา ไม่รอบคอบแต่แรก ใบปัดน้ำฝน
ด้านหลังเป็นหนึ่งในอุปกรณ์พื้นฐาน ที่ไม่ยอมติดตั้งมาให้ และเป็นหนึงในปัญหาต่างๆ มากมายเบื้องหลังการ
พัฒนารถรุ่นนี้ จนทำให้ Brio มีดีแค่เรื่องการขับขี่ที่คล่องตัว แต่ที่เหลือ สอบตกในการทำตลาดมากๆ

ประการที่ 2 หนีไม่พ้น ภัยธรรมชาติ และภัยอันเกิดจากสิ่งที่มนุษย์อาจควบคุมได้ เหตุการณ์แผ่นดินไหว และ
สึนามิ ทางตอนเหนือของกรุง Tokyo ไปไกลเกิน 200 กิโลเมตร นั่นก็ทำให้ศูนย์วิจัยและพัฒนาของ Honda
ที่เมือง Utsunomiya เสียหาย พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่ในศูนย์ฯ เสียชีวิตเพราะฝ้าเพดานห้องอาหาร Canteen ถล่ม
ลงมา 1 ราย กว่าจะเริ่ม กลับมาฟื้นฟูกำลังการผลิตได้เต็มที่ ต้องรอกันจนถึงช่วง เดือนกันยายน

ยังไม่ทันที่การฟื้นตัวจะกลับมาเต็มรูปแบบ ก็มาบังเกิดเหตุการณ์มหาอุทกภัยในแถบพื้นที่ราบลุ่มภาคกลาง
ของไทยกระหน่ำซ้ำเติมอีก เกิดการชะงักงันไปหมดทุกภาคส่วน คราวนี้ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์จำนวนมาก
ถึงกับแปรสภาพกลายเป็นผู้ประสบภัย แต่ที่หนักหนาเกินกว่าใคร หนีไม่พ้น โรงงานประกอบรถยนต์ของ
Honda Automobile (Thailand) ที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ รวมทั้งผู้ผลิตชิ้นส่วนสำหรับ Honda ต่างก็ถึงขั้น
เสียหายอย่างหนัก มีรถยนต์โดนน้ำท่วม ต้องจัดงานแถลงข่าวทำลายทิ้งต่อหน้าสื่อมวลชนทั่วโลก ทั้งหมด
มากถึง 1,055 คัน เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2011 ซึ่งทางโรงงานเอง ก็ได้ทำความสะอาดครั้ใหญ่ไปเรียยร้อยแล้ว
เหลือแต่การเตรียมพร้อมสำหรับการสั่งซื้อและจัดซ่อม เครื่องมือในโรงงานใหม่ทั้งหมด และอย่างเร่งด่วน
เพราะงานนี้ เครื่องจักรต่างๆ เสียหายไปมากถึง ร้อยละ 90 ! แถมยังต้องจัดกิจกรรม ช่วยเหลือสังคม บริจาค
เงินให้สภากาชาดไทย มากที่สุดถึง 100 ล้านบาท แถมยังต้องกอบกู้สภาพจิตใจของพนักงาน กอบกู้ชื่อเสียง
และบรรเทาเยียวยาลูกค้าที่ประสบภัยเหมือนกันอีกด้วย แถมยังต้องหาผู้ผลิตอะไหล่รายใหม่ เพื่อจัดส่ง
ชิ้นส่วนอะไหล่ไปยังโรงงานผลิตทั้งในญี่ปุ่นและทั่วโลกที่ขาดแคลนจนถึงขั้นต้องหยุดการผลิต หรือชะลอ
สายการผลิตออกไป เรียกได้ว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นที่เมืองไทย แต่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก

แน่นอนว่า แผนการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ของ Honda ทั้งหมดนับจากนี้ จะต้องเลื่อนออกไปอย่างยากเกิน
จะหลีกเลี่ยง เริ่มต้นด้วย Honda Civic ใหม่ รหัสโครงการ 2HC ซึ่งเตรียมการทุกอย่าง พร้อมแล้ว แต่ต้อง
เลื่อนออกไป เพราะโรงงานเสียหาย ไม่สามารถผลิตรถยนต์ป้อนลูกค้าได้

ในเมื่อจะต้องฟื้นฟูโรงงานกันครั้งใหญ่ Honda จึงตัดสินใจว่า ไหนๆก็ไหนๆ ติดตั้งเครื่องมือ สำหรับการ
เดินเครื่องประกอบ Civic รุ่นใหม่กันไปเลยจะดีกว่า แม้ว่าในตลาดสหรัฐอเมริกา จะมีเสียงตอบรับใน
เชิงลบ กับ Civic รุ่นนี้มากกว่าที่คาดไว้ จนถึงขั้นต้องตัดสินใจปรับโฉม Minorchange อย่างเร่งด่วน ใน
ช่วงสิ้นปี 2012 แต่ สำหรับตลาดเมืองไทย เราจะได้ใช้ Civic เวอร์ชัน ตลาดโลก ซึ่งจะมีชิ้นส่วนตัวถัง
ด้านหน้า และด้านหลังทั้งหมด แตกต่างจากเวอร์ชันอเมริกาเหนือ แต่เหมือนกับรุ่นที่เปิดตัวในเมืองจีน
และกลุ่มตลาดตะวันออกกลาง

โดยจะมีให้เลือกทั้ง เครื่องยนต์ R18Z2 บล็อก 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1,798 ซีซี  i-VTEC 139 แรงม้า (PS)
ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 17.7 กก.-ม.ที่ 4,300 รอบ/นาที ความเร็วสูงสุด 198 กิโลเมตร/ชั่วโมง และ
รุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ซึ่งคาดว่าจะเปลี่ยนมาใช้ เครื่องยนต์ R20A6 เป็นรหัสรุ่นย่อยที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
บล็อก 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1,997 ซีซี ให้กำลังเพิ่มขึ้นเป็น 152 แรงม้า (PS) ทุกรุ่นยังคงขับเคลื่อนล้อหน้า
ด้วย เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ

เวลานี้ ยังไม่มีใครกล้ายืนยันถึงงห้วงกำหนดเวลาแน่ชัดว่า Honda จะสามารถเปิดตัว Civic ใหม่ได้เมื่อใด
แต่จากการประเมินโดยส่วนตัวของผู้เขียน จากข้อมูลประกอบต่างๆ ค่อนข้างเชื่อได้ว่า Civic ใหม่ น่าจะ
เปิดตัวได้เร็วที่สุด ทันเดือนมีนาคม ในงาน Bangkok International Motor Show พอดีๆ  

ส่วนลูกค้าที่สั่งจอง Civic FD รุ่นเก่าทั้งหมด คาดว่าจะต้องยกเลิกใบจอง เพื่อที่จะเปลี่ยนมารับ Civic รุ่นใหม่
เป็นการทดแทน นั่นเท่ากับว่า Civic FD ถูกยุติสายการผลิตลงในวันที่ 5 ตุลาคม 2011 และจะมีปริมาณของ
Civic Sport อันเป็นรุ่นพิเศษ รุ่นสุดท้าย ที่เปิดตัวออกมา ก่อนน้ำท่วมโรงงาน ไม่กี่สัปดาห์ ถึงมือผู้บริโภค
ไม่ครบตามจำนวนที่ตั้งใจผลิตไว้

จากนั้น ในช่วงครึ่งหลังของปี เรายังมี Honda CR-V เจเนอเรชันที่ 4 อีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งกำลังรอการเปลี่ยนโฉม
ใหม่ทั้งคันอยู่ ถึงแม้รายละเอียดทางเทคนิค จะค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า มีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 ขนาดตามเดิม
ทั้งรหัส R20A บล้อก 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1,998 ซีซี พร้อมระบบแปรผันวาล์ง i-VTEC 150 แรงม้า (PS) ที่
6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 19.5 กก.-ม.ที่ 4.300 รอบ/นาที และรหัส K24A บล็อก 4 สูบ DOHC 24 วาล์ว
2,354 ซีซี พร้อมระบบแปรผันวาล์ว i-VTEC แรงขึ้นเป็น 190 แรงม้า (PS) ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
22,6 กก.-ม.ที่ 4,400 รอบ/นาที ทั้งคู่จะมีให้เลือกทั้งระบบขับเคลื่อนล้อหน้า และขับเคลื่อน 4 ล้อ อัตโนมัติ
4WD เชื่อมด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ เหมือนเดิมก็จริงอยู่ แต่ก็ยังน่าเป็นห่วงว่า ในเมื่อน้ำหนักตัวรถ
เพิ่มขึ้นจากเดิมนิดหน่อย แล้วอัตราเร่ง กับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง จะด้อยลงกว่ารุ่นก่อนหรือไม่

อีกทั้งจนถึงตอนนี้ ยังไม่แน่ชัดว่า Honda จะรอให้โรงงานในประเทศพร้อมเสียก่อน แล้วค่อยเปิดตัวในช่วง
เดือน กรกฎาคม – สิงหาคม หรือจะเลือกใช้วิธีการสั่งนำเข้า CR-V ใหม่ มาจากญี่ปุ่นก่อน ในล็อตแรก แล้ว
ค่อยเริ่มผลิตรุ่นประกอบในประเทศ เมื่อโรงงานพร้อม ในช่วง ราวๆ เดือนกรกฎาคม – สิงหาคม แต่ถ้าเลือก
การนำเข้า นั่นหมายความว่า ทางหน่วยงานภาครัฐ ที่อนุมัติโครงการช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษแก่ Honda นั้น
จะต้องพิจารณาในข้อกำหนดว่า ต้องเป็นรถยนต์ ที่มีการผลิตอยู่ก่อนแล้ว โดยเกี่ยว หรือไม่เกี่ยวกับรถรุ่นใหม่
ซึ่งเรื่องนี้ ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากๆ ภาครัฐต้องรอบคอบในการตัดสินใจอย่างยิ่ง

ขณะเดียวกัน ในปี 2012 นี้ เราอาจจะได้เห็น Honda Freed รุ่นปรับโฉม Minorchange ที่เพิ่งเปิดตัวไปใน
ญี่ปุ่น ช่วงปลายปี 2012 ที่ผ่านมา น่าจะเริ่มประกอบในโรงงาน Honda Indonesia และส่งมาเปิดตัวในไทย
ได้ทันในช่วงใดช่วงหนึ่งของปี 2012 เว้นเสียแต่ว่า Honda Automobile Thailand คิดจะถอดใจจาก Freed
ไปแล้ว ซึ่งประเด็นนี้ คงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะขนาดปรับราคา และทำรุ่นย่อยพิเศษออกมาขายแล้ว ก็ยัง
ไม่มีลูกค้าสนใจเท่าที่ควร

ข้ามไปดูปี 2013 กันบ้าง ได้เวลาที่ Honda จะต้องเปลี่ยนโฉมให้่กับ Accord ใหม่ โดยเวอร์ชันไทย ก็จะ
ยังคงอิงกับ Accord เวอร์ชันอเมริกาเหนือกันเหมือนเดิม ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม 2012
Honda จะเผยโฉม เวอร์ชันต้นแบบของ Accord Coupe ที่มีกำหนดจะเปิดตัวในสหรัฐอเมริกา ราวๆ
เดือนกันยายน 2012 นี้ นั่นหมายความว่า สำหรับเมืองไทยแล้ว Accord ใหม่ น่าจะมีกำหนดเปิดตัว
ตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายนนี้ จนถึง ภายในช่วง เดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2013 รายละเอียดของ Accord
เวอร์ชันไทย จะยังยืนหยัดกับเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร 2.4 ลิตร แต่ยังไม่แน่ชัดว่า จะมีขุมพลัง V6 3.5 ลิตร
ที่ต้องผลิตเพื่อการส่งออกอยู่แล้ว วางตลาดในบ้านเราเหมือนในปัจจุบันด้วยหรือเปล่า และยังไม่
แน่ชัดว่า จะมี Accord IMA HYBRID มาชิมลางตลาดในเมืงไทยกับเขาด้วยหรือไม่?

ปัญหาของ Accord ก็คือ ในปี 2013 Nissan มีกำหนด เปิดตัว Teana รุ่นเปลี่ยนโฉม Full Model Change
ด้วยเช่นเดียวกัน และจากภาพถ่าย Spyshot ที่หลุดออกมาก่อนหน้านี้ บอกให้เราได้เห็นชัดเลยว่า งานนี้
Nissan เอาจริงถึงขนาด ยุบ Nissan Altima กับ Teana ให้กลายเป็นรถยนต์รุ่นเดียวกัน เพื่อให้ต่อกร
กับ Toyota Camry และ Honda Accord ได้สะดวกมือขึ้น ในต้นทุนที่ภถูกลง ปัญหาก็คือ ถ้า Accord
รุ่นต่อไป ไม่ดึงดูดใจผู้บริโภคมากพอ โอกาสที่ Nissan จะแซงหน้า Honda ในตลาดกลุ่มรถยนต์นั่ง
ขนาดกลาง ทั้งในสหรัฐอเมริกา และในเมืองไทย เป็นการถาวร ก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น

แถมในปี 2013 นั้น จะเป็นปีที่ Honda ต้องมีการปรับโฉม Minorchange ครั้งใหญ่ให้กับ เจ้าหนู Brio
ECO Car คันจิ๋วของตน ให้มีอุปกรณ์ความปลอดภัยที่จำเป็น และปรับปรุงวัสดุต่างๆ ให้มีคุณภาพ
ดีขึ้น เพื่อให้ยังพอจะเอาตัวรอดในตลาดกลุ่ม ECO-Car ที่คาดว่า จะซัดกันหนักหน่วง ตั้งแต่ปี 2012
กันเลยทีเดียว คาดว่าการปรับโฉมน่าจะมีขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2013

ไม่เพียงเท่านั้น ปี 2013 จะเป็นปีที่ Honda ต้องเปลี่ยนโฉม Full Model Change ให้กับ Honda Fit / Jazz
Sub-Compact Hatchback สุดอเนกประสงค์ไร้เทียมทาน ขณะนี้ ยังคงอยู่ในระหว่างการพัฒนากันอยู่
และคาดว่า กว่าที่เมืองไทยจะได้สัมผัสกับ Jazz ใหม่ ก็อาจจะต้องรอกันจนถึงช่วง เดือนพฤศจิกายน 2013
หรือช้าที่สุดคือ เดือนมีนาคม 2014

อย่างไรก็ตาม Honda ก็ยังเหลือทีเด็ดในปี 2014 เอาไว้อีกรายการหนึ่ง นั่นคือ โครงการพัฒนา Brio
Sedan 4 ประตู ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา มีการศึกษากันไปบ้างแล้วในเบื้องต้น แต่ตอนนี้ ยังไม่มีคืบหน้า
มากมายนัก เพราะต่างฝ่ายต่างกำลังง่วนอยู่กับการฟื้นฟูโรงงานให้กลับมาผลิตได้โดยเร็วที่สุด และ
หาทางจัดการกับแหล่งผู้ผลิตชิ้นส่วน ทั้งที่ต้องว่าจ้างกันใหม่ชั่วคราว และในกลุ่มที่เจอชะตากรรม
น้ำท่วมเหมือนกัน แถมยังจะต้องเตรียมมาตรการรองรับ เพื่อไม่ให้ ผู้จำหน่าย หรือดีลเลอร์ ต้อ
งเอาตัวรอดด้วยการปลดพนักงาน หรือทำธุรกรรมที่เอาเปรียบผู้บริโภคใดๆทั้งสิ้น ซึ่งดูจะเป็น
เรื่องยากไม่ใช่เล่น
 
ท้ายสุด Honda City รุ่นปัจจุบัน ดูเหมือนจะมีแนวโน้ม ลากขายกันเกินอายุตลาดไปไกล จากเดิม
ที่กำหนดเอาไว้ในปี 2014 ณ วันนี้ ก็มีความเป็นไปได้ว่า อาจจะเลื่อนออกไปไกลถึงปี 2015 เพื่อ
ให้สามารถทำกำไรได้บรรลุเป้าหมายเดิมจนเรียบร้อยเสียก่อน

ส่วนโครงการ นำ City CNG มาติดตั้งระบบก๊าซ CNG นั้น ตอนนี้คงต้องดูสถานการณ์กันให้ดี
เพราะโครงการนี้ อาจส่อแววแท้งได้ เนื่องจากว่า โครงการนี้ เป็นแนวคิดของทางฝั่งการตลาด
ที่เห็นถึงโอกาสในการทำตลาดรถยนต์ติดก๊าซ CNG จากโรงงาน เอาใจลูกค้าประเภทมองแต่
ความคุ้มค่าของตนเป็นหลัก ลูกค้ากลุ่มนี้ จึงอยากได้รถยนต์ขนาดเล็กมาติดก๊าซ LPG หรือ
CNG ก็ได้ แต่ในเมื่อรัฐบาลในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา ไม่อยากสนับสนุนให้มีการใช้ก๊าซ LPG
ในรถยนต์เท่าใดนัก แล้วหันมาผลักดันและส่งเสริมให้ ปตท. นำก๊าซ CNG มาใช้กับรถยนต์
เป็นการทดแทน จึงดูเหมือนจำเป็นต้องติดตั้งระบบก๊าซ CNG เพียงอย่างเดียว

อันที่จริง เรื่องนี้ ฝั่งวิศวกรไม่ค่อยเห็นด้วยนัก เพราะลำพัง City เองก็ประหยัดพออยู่แล้ว การ
นำถัง CNG มาติดตั้ง จะต้องเสริมความแข็งแรงของโครงสร้างตัวถังและระบบกันสะเทือน
ด้านหลังอีกด้วย ขณะที่ยังไม่มีความแน่นอนในประเด็นว่า จะติดตั้งเองในโรงงาน หรือว่า
ส่งรถยนต์ที่ประกอบเสร็จแล้ว ให้บริษัทซัพพลายเออร์ รับติดตั้งระบบ CNG ให้นอกโรงงาน
ปรากฎว่า รัฐบาลปัจจุบันได้ออกมาประกาศว่า จะเริ่มค่อยๆขึ้นราคาก๊าซ CNG ให้สูงขึ้น
จนน่าจะจบอยู่ที่ตัวเลข 14 บาท / 1 กิโลกรัม ดังนั้น นโยบายด้านก๊าซ CNG จึงเกิดความ
ไม่แน่นอนอีกครั้ง และ Honda จะต้องพิจารณาถึงผลกระทบให้ถ้วนถี่ก่อนจะตัดสินใจ
ทำโครงการนี้ออกมาภายในก่อนปี 2014

และสุดท้าย Honda Jazz Hybrid ชะตากรรมในวันนี้ ก็ยังแวนอยู่บนเส้นด้าย พอกันกับ
โครงการ City CNG นั่นเอง แม้ว่าดูแนวโน้มแล้ว Honda เอง ก็อยากจะกลับมาชิมลาง
ตลาดรถยนต์ Hybrid ในบ้านเราอย่างเต็มตัว อยู่บ้างเหมือนกัน เพราะมีกระแสข่าวว่า
อาจมีการนำเข้า Jazz Hybrid ล็อตใหญ่ เข้ามาในเมืองไทย แต่ข่าวนี้ยังถือว่าเป็นข่าว
โคมลอย ดังนั้น ผู้เขียนก็จะไม่ขอยืนยันใดๆทั้งสิ้น คงต้องรอดูกันต่อไป

——————————————

HYUNDAI
2012 : New Elantra ใหม่ เจอกัน กุมภาพันธ์ – มีนาคมนี้
           GENESIS Coupe รอลุ่น พวงมาลัยขวาตั้งไลน์กันต่อไป

           Veloster / Accent และรุ่นอื่นๆ ดูอนาคตกันอีกที

4 ปีที่ผ่านมา Hyundai Motor Thailand ผู้นำเข้าและจำหน่าย Hyundai อย่างเป็นทางการ ภายใต้การ
ดูแลของ SOJITSU เทรดดิง คัมพานี รายใหญ่จากญี่ปุ่น พาร์ตเนอร์คู่ใจ Hyundai ทั่วโลก ยังคงขาย
รถตู้รุ่น H-1 กันอย่างสนุกสนาน เพื่อให้ได้เป้าหมายยอดขายระะดับ 5,000 คันในปี 2011 ที่ผ่านมา
ซึ่งถือว่า พวกเขาทำสำเร็จ ต่อเนื่อง แน่นอนว่า H-1 เป็นรถยนต์รุ่นหลักเพียงหนึ่งเดียว ที่ Hyundai
ยังคงทำตลาดต่อเนื่อง นับตั้งแต่เปิดบริษัทเมื่อปลายปี 2007 เป็นต้นมา 

ขณะเดียวกัน Hyundai ก็พยายามสรรหารถยนต์รุ่นใหม่ๆ มาเปิดตัวทำตลาดกันอย่างต่อเนื่อง ปี 2011
ที่ผ่านมา Hyundai เปิดตัว Sonata YF ในบ้านเรา ภายใต้ชื่อ Hyundai Sonata Sport เมื่อวันที่ 9 มีนาคม
2011  จากนั้น ก็เว้นช่วง เพื่อพยายามทำตลาดอย่างจริงจัง ขณะเดียวกัน ก็มีการเชิญกลุ่มสื่อมวลชน
สายรถยนต์จากบ้านเรา เดินทางไปยังประเทศเกาหลีใต้ มากขนาดต้องแบ่งกลุ่มออกเป็น 2 ทริป รวม
ราวๆ 80 คน เพื่อนอกจากจะแสดงศักยภาพของ Hyundai ในเกาหลีใต้ ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตา
ของสื่อมวลชนชาวไทยแล้ว ยังจะเป็นการแสดงศักยภาพให้ สำนักงานใหญ่ของ Hyundai ที่เกาหลีใต้
ได้เห็นความสำคัญของเมืองไทยมากกว่าที่เป็นอยู่อีกด้วย

อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่า นโยบายการสั่งนำเข้ารถยนต์รุ่นใหม่ๆของ Hyundai นั้น เปลี่ยนแปลง
ไป-มา ชนิดที่ต้องเรียกว่า ห้ามพลาด ห้ามกระพริบตา เพราะมีความเปลี่ยนแปลงกันเดือนต่อเดือน
เลยทีเดียว เช่นในช่วงแรก หลังกลับเข้ามาทำตลาดในบ้านเราได้ราวๆ 1 ปี Hyundai บ้านเรา ก็เล็ง
อยากจะนำเข้า GENESIS Coupe มาขาย แต่จนถึงบัดนี้ ก็ติดปัญหาที่ว่า บริษัทแม่ยังไม่ยอมเปิด
ไลน์ผลิตรถยนต์พวงมาลัยขวาให้สักที มัวแต่ไปมุ่งเน้นผลิตรถยนต์รุ่นนี้ ป้อนตลาดอเมริกาเหนือ
กับยุโรป เป็นหลักจนเพลินอุราไปหน่อย พอรุ่น Minorchange เผยโฉมในช่วงปลายปี 2011 ถึงจะ
มีการประกาว่า จะเปิดไลน์พวงมาลัยขวา ป้อนตลาดอังกฤษกันเสียที จนถึงบัดนี้เราจึงยังไม่ทราบ
ว่า สรุปแล้ว GENESIS Coupe ยังจะเข้ามาทำตลาดในบ้านเราได้หรือไม่

ไม่เพียงเท่านั้น ในทริปสื่อมวลชนไทย ตะลุยแดน Hyundai ถึงเกาหลีใต้ ก็มีการประกาศข่าวว่า
จะนำเข้า Hyundai Accent อันเป็น เจเนอเรชันล่าสุดของ Sub-Compact Sedan ที่เคยขายดีในไทย
ยุคที่พระนครยนตรการ ยังเป็นตัวแทนในการทำตลาดอยู่ แต่พอถึงปลายปี จู่ๆ Hyundai ก็กลับลำ
ประกาศข่าวอีกครั้งบอกว่า จะเปิดตัว All new Elantra ใหม่ C-Segment Compact Sedan สุดแสน
โฉบเฉี่ยว

และพวกเขาก็นำ Elantra ใหม่เข้ามาเปิดตัวกันจริงๆ โดยในตอนแรกตั้งใจจะเปิดตัวกันในงาน
Motor Expo เดือนธันวาคมที่ผ่านมา ปรากฎว่า ด้วยฤทธิ์ของมหาอุทกภัยใน 26 จังหวัด ภาคกลาง
ที่ทำให้ผู้คนได้รับความเดือดร้อนไปถ้วนทั่ว ทำให้ Hyundai นอกจากจะประกาศเลื่อนการจัดงาน
เปิดตัว Elantra ใหม่ จากเดิม ที่ตั้งใจจัดขึ้นช่วงเดือน พฤศจิกายน มาเป็นช่วงต้นปี 2012 แทนแล้ว
ยังต้องเปลี่ยนรูปแบบการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ฉลองครบรอบ 4 ปีของ Hyundai ในไทย จากเดิมที่
จะจัดงานยิ่งใหญ่ ณ BITEC บางนา ก็ต้องเปลี่ยนแผน ยกเลิกการจัดงาน แล้วนำงบประมาณที่จะ
ใช้ในการจัดงานทั้งหมด มามอบบริจาคให้กับ ครอบครัวข่าว 3 ของสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3
แทน เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยจำนวนมาก (ซึ่งสุดท้ายแล้ว ชาว Hyundai หลายๆคนเอง
ก็กลายเป็นผู้ประสบภัยเสียเองไปเป็นเดือนอยู่เหมือนกัน)

แต่พอเข้าสู่บรรยากาศงาน Motor Expo หลังน้ำลด Hyundai กลับทำ Surprise ที่ไม่มีใครคาดคิด
สั่งเปิดตัว Hyundai Tucson 2.0 CRDi ขุมพลัง Diesel Turbo 177 แรงม้า (PS) หลังคา Metal Top
(ไม่มีหลังคากระจกให้อย่างรุ่นเบนซินเขามี) กันดื้อๆ แบบไม่ให้สุ้มไม่ให้เสียงกันมาก่อน ทำเอา
งงกันไปทั้งบาง แถมสุดท้าย พอผ้บริโภคตัดสินใจเลือกซื้อจริง กลับหันไปเลือกสั่งจองรุ่นท็อป
ขุมพลังเบนซินแทนตามเดิม ดึงให้ยอดขายรุ่นเบนซิน ขยับขึ้นมาอีกต่างหาก! ขณะที่ Sonata
มียอดขายที่ไหลไปเรื่อยๆ ช้าๆ

ดังนั้น ปี 2012 นี้ รถยนต์รุ่นใหม่คันแรกและคันเดียว ที่เราจะได้เห็นอย่างแน่นอน ก็คือ Hyundai
All new Elantra ใหม่ โดยเวอร์ชันไทย จะติดตั้งขุมพลัง บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.8 ลิตร
150 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 178 นิวตันเมตร ที่ 4,700 รอบ/นาที ขับล้อหน้า
ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ โครงสร้างตัวถังนิรภัยใช้เหล็กกล้าชนิดเหนียวและแข็งแกร่งพิเศษ
Ultra-high tensile strength  steel ส่งตรงจากโรงผลิตเหล็กของ Hyundai Steel ในเกาหลีใต้ แถม
มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ทั้ง กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวแบบ LED แผงควบคุมกลาง บน
แผงหน้าปัด เป็นแบบ Y-Shaped เบาะคนขับปรับด้วยสวิชต์ไฟฟ้า 10 ทิศทาง พร้อมสวิชต์ปรับ
แผงดันหลัง มีมาตรวัดเรืองแสง แจ้งข้อมูลระยะทาง อัตราสิ้นเปลือง และระยะทางที่เชื้อเพลิง
ในถังจะเหลือพอให้รถแล่นต่อไปได้ มีพวงมาลัยสปอร์ต 4 ก้าน พร้อมสวิชต์ Multi Function
ควบคุมชุเครื่องเสียง บนพวงมาลัย ชุดเครื่องเสียงแบบมีช่อง AUX / USB เชื่อมต่ออุปกรณ์
เล่นเพลงเข้ากับเครื่องเสียงรถอีกด้วย

Elantra ใหม่ มีกำหนดเปิดตัวในเมืองไทยอย่างเป็นทางการ ภายในเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคมนี้
ด้วยค่าตัวที่อาจจะแตะหลัก 1 ล้านบาทต้นๆ ไม่เกินไปกว่านี้ ส่วนความเคลื่อนไหวของรถยนต์
รุ่นใหม่ๆ รุ่นอื่นๆ คงต้องติดตามเฝ้าดูกันต่อเนื่องไปตลอดทั้งปี เพราะสำหรับ Hyundai แล้ว
เป็นหนึ่งในค่ายรถยนต์ที่ไม่สามารถประเมิน หรือคาดการณ์ล่วงหน้าไปไกลเกินกว่า 3 เดือน

—————————————–

ISUZU
2012 : D-MAX Nanochange ปรับอุปกรณ์เล็กน้อย
2013 : D-MAX Minorchange
2014 :  MU-7  Full Model Change / RT-50 BIG Minorchange

ในที่สุด Isuzu ก็จัดงานเปิดตัวรถกระบะ D-MAX รุ่นใหม่ รหัสโครงการ RT-50 อย่างยิ่งใหญ่อลังการ
ณ Challenger Hall เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2011 ถือเป็นวันที่ Isuzu ตัดสินใจ เปลี่ยน
ภาพลักษณ์ และการทำตลาดรถกระบะของตน ครั้งใหญ่ที่สุด เท่าที่พวกเขาเคยทำมา พลิกโฉมหน้า
วงการรถกระบะเมืองไทยให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬารอีกครั้งในรอบ 9 ปี

แม้จะเปิดตัวไปแล้ว และต้องเจอกับปัญหาอุทกภัยในเขตพื้นที่ราบลุ่มภาคกลางอย่างหนัก จนต้อง
ออกแรงระดมความช่วยเหลือจากทั้งสื่อมวลชน และดารา-นักแสดง ลงพื้นที่ช่วยผู้ประสบภัยที่อยุธยา
แต่ยอดสั่งจองของ D-MAX ก็พุ่งพรวดขึ้นไปถึงระดับ 15,000 คัน จากทั่วประเทศ ในสัปดาห์แรก
ที่เปิดตัว ถือเป็นความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมมาก

ปัญหาก็คือ จะส่งมอบรถล็อตใหญ่เหล่านี้ หมดลงเมื่อใด เพราะ Isuzu เอง ก็ประสบปัญหาขาดแคลน
ชิ้นส่วนอะไหล่ในการประกอบรถยนต์เหมือนกับผู้ผลิตแทบทุกค่าย แถมโรงงานผลิตเครื่องยนต์ ยัง
ตั้งอยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง ซึ่งต้องหยุดการผลิตไปนานเป็นเดือน เพื่อเตรียมป้องกัน
ปัญหาน้ำท่วมทะลักเข้าพื้นที่โรงงาน โชคยังดีที่การณ์กลับกลายเป็นว่า น้ำหลาก มาถึงลาดกระบัง อย่าง
แผ่วเบา และดรงงานผลิตเครื่องยนต์ของ Isuz ก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย ดังนั้น Isuzu จึงกลับมา
เริ่มการผลิตได้อีกครั้ง เร็วกว่าที่การคาดการณ์ไว้

หลังจากนั้น Isuzu ได้เริ่มทะยอยเปิดตัว D-Max ใหม่ ในตลาดต่างๆ โดยเฉพาะในยุโรป และโซน
ตะวันออกกลาง ดังนั้น โรงงานปัจจุบันของ Isuzu สำหรับผลิตรถบรรทุกขนาดเล็ก กลาง และใหญ่
ที่นิคมอุตสาหกรรม Gateway จึงต้องมีการขยายการลงทุนเพิ่ม ด้วยการสร้างโรงงานใหม่อีกแห่ง
ในพื้นที่เดียวกัน มูลค่า 6,500 ล้านบาท เริ่มงานในช่วงปลายปี 2011 ที่ผ่านมา จะช่วยเพิ่มยอดผลิต
ให้ Isuzu ได้อีกรวม 200,000 – 250,000 แสนคัน (รวมยอดส่งออกแล้ว) โรงงานใหม่จะเริ่มต้นการ
ส่งออกไปยังตลาดโลก ตั้งแต่ต้นปี 2012 โดยตลาดหลักของ Isuzu นอกเหนือจากไทยแล้ว จะอยู่ที่
ดินแดนตะวันออกกลาง (อิสราเอล ตอร์แดน ซาอุดิอาระเบีย) เป็นอันดับ 1 รองลงมาคือ ยุโรป เช่น
โปแลนด์ ฯลฯ เป็นเบอร์ 2 แบ่งสัดส่วนการผลิตรถส่งออก กับ รถจำหน่ายในประเทศไทย 50 : 50
เลยทีเดียว

จากนั้น ก็จะเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการ ปรับอุปกรณ์ กันปีละ 1 ครั้ง ทั้งในปี 2012 และ 2013 คาดว่า น่าจะ
เกิดขึ้นในช่วงทุกไตรมาส 3 ของแต่ละปี พอล่วงเข้าปี 2014 จะต้องมีการปรับโฉมขนานใหญ่ ในระดับ
Big Minorchange ให้โฉบเฉี่ยวยิ่งกว่านี้อีก เพื่อเตรียมรับมือ และต่อกรกับการเปิดตัว รุ่นเปลี่ยนโฉม
Full Model Change ของ Toyota Hilux เจเนอเรชันใหม่ รหัสโครงการ IMV2 ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการ
พัฒนา และมีกำหนดจะคลอดออกมาในช่วง กลาง ถึง ปลายไตรมาส 3 ปี 2014 สำหรับชื่อรุ่นย่อยพิสดาร
ที่ Isuzu สรรหามาตั้ง จะมีอีกหรือไม่ ยังยากเกินจินตนาการ

ส่วนใครที่รอ เวอร์ชัน SUV หรือรุ่นเปลี่ยนโฉมของ MU-7 นั้น คุณหมู ปนัดดา เจณนวาสิน ผู้บริหาร
หญิงเหล็กของ Isuzu ประกาศบนเวทีงานวันเปิดตัวชัดเจนแล้วว่า จะไม่มีการเปิดตัว MU-7 ใหม่ใน
ช่วง 2 ปีนี้อย่างแน่นอน นั่นหมายความว่า ปี 2012 – 2013 เราจะไม่ได้เห็น MU-7 เจเนอเรชันต่อไป
เปิดตัวกันแน่ๆ

แต่ปัญหาก็คือ แล้วในปี 2014 ละ เราจะได้เห็น MU-7 ใหม่กันหรือเปล่า? เพราะขณะนี้ แม้ว่าตัวรถ
จะถูกพัฒนาไปพอสมควรแล้ว และจะต้องใช้พื้นฐานของเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง กับเฟรมแชสซี
ร่วมกับ D-Max ใหม่ก็ตาม แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า มีแนวโน้มที่ผู้บริหารฝั่งญี่ปุ่นเกิดอยากจะถอดใจขึ้นมา

อยากจะฝากถึงพี่หมู ปนัดดา และชาว Tri Petch Isuzu Sales รวมทั้ง Isuzu Technical Asia Pacific
และ Isuzu Motor co. ประเทศญี่ปุ่น ไว้ตรงนี้ว่า “ผมเป็นคนหนึ่งที่ยังขอเอาใจช่วย เพราะผมยังคง
อยากเห็น MU-7 ใหม่ ให้สำเร็จเป็นรถคันจริง และพร้อมสำหรับการทำตลาด ในปี 2014 อยู่ดี ผมยัง
อยากเห็น Isuzu มีตัวเลือกเลือกในตลาดกลุ่ม Pickup based SUV สำหรับผู้บริโภคชาวไทย เพียงแค่
ตัวรถต้องมีงานออกแบบ ที่สวยงาม มั่นคง และดูได้นาน ไม่มีเบื่อ อรรถประโยชน์ใช้สอยทำได้ดี
และมีช่วงล่างที่ หนึบแน่น มั่นคง กับการตอบสนองของพวงมาลัย และระบบเบรกที่มั่นใจได้ใน
การขับขี่ทางไกล เพียงแค่นี้ คือสิ่งที่จะเติมเต็มลงไปบนโครงสร้างวิศวกรรมของ D-Max และทำให้
MU-7 รุ่นต่อไป สามารถรับมือกับ Toyota Fortuner , Mitsubishi Pajero Sport , Chevrolet Trailblazer
Ford Everest ไปจนถึง Nissan Navara PPV ที่เตรียมจะคลอดกันในปี 2014 – 2015 ได้สบายๆ และ
จะทำให้ลูกค้าที่ไม่เคยคิดจะซื้อ Isuzu ตัดสินใจหันมาซื้อ MU-7 มากขึ้น”

แม้แต่คนของ บริษัทคู่แข่งของ Isuzu ยังเคยพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว และบอกกับผมไว้ดังนี้…

“ในฐานะคนที่ทำรถยนต์ด้วยกัน ผมอยากเห็น พี่หมู ปนัดดา และทีมของ Isuzu ผลักดัน MU-7 ใหม่
ให้สำเร็จ เพราะส่วนตัวผมเอง อยากเห็น คนไทย มีตัวเลือกรถยนต์ในตลาดเยอะๆ และมีรถยนต์ดีๆ
ได้ใช้ สมกับที่ผู้บริโภคต้องทำงานเก็บหอมรอมริบ จ่ายเงินจำนวนมากเพื่อซื้อมาใช้สักคัน และในฐานะ
คนทำรถยนต์ แล้ว การแข่งขันจะได้สนุก ผมไม่อยากเห็น Isuzu ต้องถอนตัวจากตลาดตรงนี้ไป เวลา
แข่งกันแล้วรู้สึกสนุกดี มันกระตุ้นให้เราเองก็เกิดความสนุกในการทำงานด้วย”

เอาใจช่วยนะครับ Isuzu !!

—————————————–

JAGUAR
2012 : New Diesel 2.2 L Commonrail Turbo Intercooler For XJ & XF 2.2
2013 : C-X16

ความเคลื่อนไหวของ Jaguar ค่ายรถยนต์ระดับพรีเมียมจากเมืองผู้ดีอังกฤษ ภายใต้การนำเข้า
จากทาง AAS Auto Service ในปีที่ผ่านมานั้น ไม่ค่อยมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากนัก ส่วนใหญ่
ยังคงอยู่ที่การทำตลาด ทั้ง XJ และ XF อันเป็นรถยนต์ Saloon ยุคใหม่ของ Jaguar ไปเรื่อยๆ
ขณะที่บริษัทแม่ในสหราชอาณาจัการ ภายใต้เจ้าของชาวอินเดียอย่าง Tata Motors ก็ได้เปลี่ยน
สัญลักษณ์ Corporate Identity ไปอีกรอบหนึ่งแล้ว

รวมทั้งยังมี XJ ใหม่ รุ่น Diesel วางเครื่องยนต์ AJ V6D Generation III V6 DOHC 24วาล์ว
3.0 ลิตร 275 แรงม้า (PS) แรงบิด สูงสุด 500 นิวตันเมตร มาเปิดตัวในเมืองไทย เรียบร้อยแล้ว
ในช่วงครึ่งหลังของปี 2011

อย่างไรก็ตาม ในต่างประเทศ XF Minorchange ก็ถูกเปิดตัวออกสู่ตลาดแล้ว และคราวนี้ มีรุ่นย่อย
ใหม่ให้เลือกทั้ง XFR วางขุมพลัง V8 DOHC 32 วาล์ว 5.0 ลิตร 510 แรงม้า (PS) ที่ 6.000 – 6,500
รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 63.7 กก.-ม.ที่ 2,500 – 5,500 รอบ/นาที เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ และขุมพลัง
Diesel ตัวใหม่ล่าสุด รหัส AJ-i4D บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.2 ลิตร Turbocharge 190 แรงม้า
(PS) แรงบิดสูงสุด 45.0 กก.-ม.พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ และระบบ Auto Start/Stop รวมทั้ง
ยังมีรุ่น XJR วางขุมพลัง V8 5.0 ลิตร เหมือนกัน XFR ตามออกมาให้เลือกอีกด้วย

คาดว่าปีนี AAS น่าจะสั่งนำเข้า XF Minorchange พร้อมขุมพลัง Diesel Turbo  4 สูบ ใหม่ มาให้
ลูกค้าชาวไทยได้สัมผัสกัน โดยน่าจะเปิดตัวภายในช่วงครึ่งหลังของปี 2012

แต่สิงที่น่าจับตาของ Jaguar ในปีนี้ และต่อเนื่องถึง ปี 2013 ก็คือ การเปิดตัว เวอร์ชันจำหน่ายจริง
ของรถยนต์ Sport Coupe ต้นแบบ C-X16 Concept ซึ่งจะถูกพัฒนาให้เป็นตัวตายตัวแทนของ
รถ Sport Coupe รุ่น XK ที่อยู่ในตลาดมาตั้งแต่ปี 2006 แล้ว วางขุมพลังเบนซิน V6 DOHC 24 วาล์ว
2,995 ซีซี แรงระดับ 380 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยเกียร์
อัตโนมัติ 8 จังหวะจากทั้งใน XF และ XJ ใหม่ พร้อมระบบขับเคลือนแบบ Hybrid มีมอเตอร์ไฟฟ้า
300 V 70 กิโลวัตต์ 95 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 235 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ใน4.4 วินาที ความเร็วสูงสุด ล็อกไว้ที่ 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง

คาดว่า C-X16 Concept จะถูกขึ้นสายการผลิตจริง ภายในปี 2012 – 2013 และน่าจะถูกนำเข้ามาขาย
ในบ้านเรา เร็วสุดคือภายในปี 2013 – 2014
——————————————

——————————————


 
KIA MOTORS
2012 : Rio / Souls Minorchange / Grand Carnival Minorchange / Forte
2013 : Carens ?

ปี2011 Kia Motor เริ่มมีความเคลื่อนไหวต่อเนื่อง หลังจากที่บริษัทแม่ ในกรุงโซล ส่งผุ้บริหาร
ชาวเกาหลีใต้ เข้ามาช่วยดุแลการทำคตลาดของ Kia ในเมืองไทย หลังจากสร้างความฮือฮาด้วย
การเปิดตลาด ของ รถเล็กรุ่น Picanto K1 รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ Full Model Change นำเข้าทั้งคัน
เครื่องยนต์ 1,250 ซีซี 87 แรงม้า (PS) แต่ตั้งราคาถูกมาก เริ่มต้นแค่ 425,000 บาท เท่านั้น

พอเข้าสู่ช่วงปลายปี ในงาน Motor Expo ผู้บริหารชาวเกาหลีใต้ ก็สั่งเปิดไฟเขียว เดินหน้าเร่ง
เปิดตัว Kia Rio รุ่นใหม่ล่าสุด ส่งตรงจากเกาหลีใต้ สดๆร้อนๆ วางเครื่องยนต์ 4 สูบ  DOHC
16 วาล์ว 1.4 ลิตร 107 แรงม้า (PS) อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 10.5 วินาที ตั้งราคาขายแค่
749,000 บาท เหตุที่ทำราคาได้ถูก แถมยังสามารถขอคืนเงินภาษี ตามโครงการ “รถคันแรก”
ของรัฐบาลได้อีกด้วย เนื่องจาก Kia ใช้วิธี นำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์รุ่นนี้มาประกอบเอง ณ
โรงงานบางชัน เยเนอรัล แอสแซมบรี ของตน ที่มีนบุรี นั่นเอง!

สำหรับปี 2012 นี้ จะเป็นปีที่ บริษัทแม่ในเกาหลี จะเริ่มผลักดันรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เข้ามาทำตลาด
ในเมืองไทยมากขึ้น ควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างองค์กร รวมทั้ง การปรับปรุงเรื่อง งานบริการ
หลังการขาย ของทาง ยนตรกิจ Kia Motor ให้ดูแลลูกค้าดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

ในเรื่องรถยนต์รุ่นใหม่นั้น Kia เตรียมจะส่ง รุ่นปรับโฉม Minorchange ของ Kia Souls รถยนต์
Crossover 5 ประตู สุดแนว ซึ่งนอกจากจะปรับหน้าตาให้ลงตัวขึ้นกว่าเดิมแล้ว คาดว่าจะมีการ
พูดคุยเรื่อง การนำเข้ารุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ แรงกว่าขุมพลังเดิม 1.6 ลิตร 124 แรงม้า (PS) แต่นั่น
อาจทำให้ราคาขายปลีก ต้องเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกเล็กน้อย ประเด็นนี้ ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนนัก

รุ่นถัดไปที่จะตามเข้ามา คือ มินิแวนรุ่นขายดีของ Kia ในบ้านเรา Kia Grand Carnival ซึ่งจะ
มีรุ่นปรับโฉม Minorchange ตามเข้ามาเปิดตัวในไทย ช่วงครึ่งหลังของปี 2012 แต่ยังไม่มี
การกำหนดรายละเอียดเครื่องยนต์ที่แน่นอน ในตอนนี้

ด้านตลาดรถเก๋งนั้น ในตอนแรก ยนตรกิจ Kia Motor มองว่า สู้ไม่ไหวจริงๆ และอยากจะปล่อย
ให้ Picanto รุ่นเดิม ค่อยๆ Fade หายไป แต่เมื่อนำ Picanto ใหม่เข้ามาเปิดตลาดด้วยราคายั่วใจ
เพียง 4 แสนบาท ปลายๆ กลายเป็นว่า มีลูกค้าให้ความสนใจเพิ่มขี้น ใน Motor Expo เมื่อเดือน
ธันวาคมที่ผ่านมา ก็มียอดสั่งจองไปหลายสิบคัน นั่นแสดงว่า จริงๆแล้ว โอกาสสำหรับ Kia ใน
ตลาดรถยนต์นั่ง ยังมีอยู่ ดังนั้น จากที่เราเคยคิดกันว่า รถยนต์ C-Segment Compact Sedan รุ่น
Kia Forte หรือที่ใช้ชื่อในตลาดโลกว่า Cerato อาจหมดอนาคตในไทย คงต้องมานั่งคิดกันใหม่
อีกรอบหนึ่ง เพราะตอนนี้ ผู้บริหารชาวเกาหลีใต้ มีแนวคิดจะส่ง Forte Sedan เข้ามาเปิดตลาด
ในเมืองไทยดูสักตั้ง ขณะนี้ ยังไม่มีการกำหนดรายละเอียดเครื่องยนต์ว่าจะเป็นแบบใด แต่คาด
ว่า น่าจะเป็นขุมพลัง เบนซิน 4 สูบ 1.6 ลิตร 124 แรงม้า เหมือนที่เคยอยู่ใน Kia Soul รุ่นปัจจุบัน
แน่ๆ กำหนดเปิดตัว น่าจะเป็นช่วงครึ่งแรกของปี 2012

ส่วนปี 2013 เราคงต้องรอการเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน ของ Kia Carens Compact Minivan 5 ที่นั่ง
ที่ใกล้ตจะได้เวลาเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันในตลาดโลก ช่วงปี 2012 นี้ และการผลิตส่งออกน่าจะ
เริ่มต้นได้ ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ดังนั้น กว่าจะมาถึงเมืองไทย อาจต้องรอกันจนถึง ปี 2013
เป็นอย่างช้าที่สุด

สำหรับ Kia Sportage SUV ที่เคยสร้างชื่อในเมืองไทย เมื่อหลายสิบปีก่อน ที่หลายๆคนอยากให้
กลับมาทำตลาดใหม่อีกครั้ง สงสัยจะเป็นไปได้ยาก เนื่องจาก ทำราคาขายปลีกในบ้านเราไม่ได้
เพราะราคาน่าจะแพงขึ้นไปกว่าเดิมมาก และขายแข่งกับค่ายอื่นลำบาก

——————————————
 

 
LAMBORGHINI
Gallardo LP550-2 Spyder ขับล้อหลัง !

งานใหญ่ของค่ายกระทิงดุ จากอิตาลี ในบ้านเรา ภายใต้การทำตลาดของ NICHE CAR ผู้นำเข้าและ
จำหน่ายอย่างเป็นทางการ ในปี 2011 ที่ผ่านมา นั่นคือ การเปิดตัว รถสปอร์ตรุ่นสำคัญประจำค่ายอย่าง
Lamborghini Aventador LP700-4  ขุมพลัง V12 สูบ 6.5 ลิตร 700 แรงม้า (BHP) ขับเคลื่อน 4 ล้อ ด้วย
เกียร์กึ่งอัตโนมัติ 7 จังหวะ แบบใหม่ล่าสุด พร้อมกับ ISR (Independent Shifting Rods) ที่ทำให้การ
เปลี่ยนเกียร์ใช้เวลาเพียงแค่ 50/1000 วินาที เท่านั้น อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 2.9 วินาที
ความเร็วสูงสุด 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง ด้วยค่าตัวแพงสูงลิ่วถึง 36 ล้านบาท ไปเรียบร้อยแล้วเมื่อค่ำวันที่
26 กรกฎาคม 2011 และมีลูกค้ารายแรกคือ คุณ ศักดิ์ นานา นักแข่งรถชื่อดังของเมืองไทย

ปี 2012 ก็คงจะไม่มีอะไรมากไปกว่า การทะยอยนำเข้า Aventador และส่งมอบให้ลูกค้าให้ครบทั้ง
14 คัน รวมทั้งการเปิดตัว เวอร์ชันเปิดประทุนขับเคลื่อนล้อหลัง ในตระกูล Gallardo อันเป็นตระกูล
ที่ประสบความสำเร็จในด้านยอดขายที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา ภายใต้ชื่อรุ่น Lamborghini Gallardo
LP550-2 Spyder

รถรุ่นนี้เพิ่งเปิดตัวไปเมื่องาน LA Auto Show วันที่ 15 พฤศจิกายน 2011 ที่ผ่านมา การเปิดประทุน
ใช้หลังคาผ้าใบ Soft-Top ด้วยการออกแบบอย่างพิถีพิถันทำให้น้ำหนักตัวไม่รวมคนขับ และของเหลว
ในระบบ เบาเพียง 1,520 กิโลกรัม เท่านั้น วางเครื่องยนต์ไว้ กลางลำตัว เป็นบล็อก V10 สูบ 5.2 ลิตร
550 แรงม้า (BHP) ที่วางอยู่แล้วใน Audi R8 นั่นเอง อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 4.2 วินาที
ความเร็วสูงสุด 319 กิโลเมตร/ชั่วโมง

คาดว่าทาง NICHE CAR น่าจะสั่งนำเข้า Gallardo LP-550-2 Spyder มาให้มหาเศรษฐีบ้านเราได้
จับจองเป็นเจ้าของกันประมาณครึ่งหลังของปีนี้

——————————————
 
 
LAND ROVER
All New Range Rover & Range Rover EVOQUE ควรจะมาได้แล้ว

แม้ว่า บริษัท British Motor  ดีลเลอร์ที่มีประสบการณ์ค้ารถยนต์จากต่างประเทศ จะเป็นผู้จำหน่ายรถยนต์
Land Rover อย่างเป็นทางการ จากการแต่งตั้งโดย บริษัท Guawa Motor ซึ่งเป็น ผู้รับหน้าที่ดูแลตลาดโซน
Asia Pacific และอีก 26 ประเทศให้กับ Land Rover สหราชอาณาจักรอีกที (งงไหม?) มาได้ราวๆ 1-2 ปีแล้ว
 แต่ดูเหมือนว่า พวกเขาก็ยัง “เงียบๆ อยู่” จนตอนนี้ ผู้นำเข้ารายย่อย Grey Market ทั้งหลาย ต่างก็ตัดสินใจ
สั่งนำเข้า Range Rover Evoque ทั้ง 3 และ 5 ประตู เข้ามาขายกันอย่างสนุกสนานแล้ว

ปัญหาหนึ่งก็คือ British Motor เอง ก็ดูเหมือนน่าจะอยากติดต่อโดยตรงกับบริษัทแม่ในอังกฤษ มากกว่า
เพื่อที่จะให้การทำงานคล่องตัวขึ้น แต่ก็เป็นเรื่องยาก เพราะสัญญาต่างๆ ที่ทำไว้กับ Guawa Motor คงไม่
เอื้ออำนวยให้ทำเช่นนั้น

ดังนั้น เราคงจะต้องรอดูไปกันอีกปีว่า British Motors จะพร้อมนำเข้า Evoque รุ่นใดมาทำตลาดกันบ้าง
แต่ที่แน่ๆคือ ปัญหาเรื่องน้ำมันเชื้อเพลิงในบ้านเรา น่าจะไม่มี เพราะ ในคู่มือของ Evoque นั้น บอกชัด
ว่า รุ่นเบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,000 ซีซี Turbocharger 240 แรงม้า (PS) เติมน้ำมันแก็สโซฮอลล์
ได้ถึงระดับ E10 ส่วนรุ่น Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,200 ซีซี Commonrail Turbocharger 150 แรงม้า
 (PS) ในรุ่น TD4 หรือ 190 แรงม้า (PS) ในรุ่น SD4 สามารถเติมน้ำมัน Bio Diesel ได้ถึงระดับ B7

——————————————

LOTUS (By Niche Cars)
รถต้นแบบ 5 คัน จะคลอดได้จริง แค่ 3 – 4 คัน

CEO สุดหล่อฟันขาวสะอาด Dany Bahar กำลังนำพา Lotus ไปสู่ทิศทางในการผงาดขึ้นเป็นเจ้าแห่งรถสปอร์ต
สมรรถนะสูง เทียบชั้นได้กับ Ferrari หรือ Porsche เลยทีเดียว ช่วงเวลาที่ผ่านมา แผนของ Bahar ที่พลิกล็อคสุด
คือการยกเลิกข้อตกลงจัดซื้อเครื่องยนต์ V8 จาก Toyota / LEXUS แล้วหันมาพัฒนาเครื่องยนต์ V8 บล็อคใหม่
ของตนเอง ภายใต้งบวิจัยและพัฒนาที่มากโขอยู่ เหตุผลง่ายๆของการสร้างเครื่องใหม่มาใช้เองนั้นดูง่ายดายมาก
“ก็ใครจะอยากใช้ซูเปอร์คาร์คันละแสนปอนด์ที่ใช้เครื่องของ Toyota ล่ะครับ” แต่เชื่อกันว่ายังมีเหตุผลทางด้าน
วิศวกรรมเช่นน้ำหนักและความทนทานต่อรอบสูงเป็นเหตุผลเบื้องหลังที่สำคัญไม่แพ้กัน ซ่อนอยู่อีกมาก

ในเมื่อปัจจุบัน Lotus มีให้เลือกไม่กี่รุ่น และพวกมันก็ตอบโจทย์ให้กลุ่มตลาดที่แคบ พอ Dany Bahar เข้ามาเป็น
CEO ใหม่ๆนั้น จึงต้องการขยาย Segment ไปจับตลาดกลุ่มอื่นๆมากขึ้น ปี 2010 Lotus ขายรถไปแค่ 2,745 คัน
และพวกเขาต้องการขยับตัวเลขให้เกิน 7,000 คันต่อปี ถึงจะบรรลุจุดคุ้มทุน ดังนั้น ในปี 2010 เขาจึงระดมทีมงาน
และงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดจากกลุ่มทุนของมาเลเซีย สร้าง รถต้นแบบ สำหรับรถรุ่นใหม่ๆมากถึง 5 รุ่น จน
หลายคนมองว่า ว่าหมอนี้ไม่บ้าก็เพ้อฝันกลางวัน แต่ผ่านไป 1 ปีหลังจากวันประกาศแผนครั้งแรก Bahar ใช้ทั้งการ
คำนวณต้นทุน และเสียงตอบรับจากสื่อในการจัดการอนาคตของรถแต่ละรุ่น ในปัจจุบัน Lotus มีให้เลือกไม่กี่รุ่น
หลังจากที่ปรับแผนใหม่ อนาคตของรถแต่ละรุ่น มีชะตากำหนดไว้ดังนี้

LOTUS ESPRIT (คันสีเงิน มุมซ้ายบน)
Super Car เครื่องยนต์ V8 วางกลางลำซึ่งจะมาสานต่อตำนานที่ห่างหายไปตั้งแต่ขึ้นศตวรรษใหม่ Lotus Esprit V8
ในกาลก่อนนั้นถูกวางหมากให้แข่งกับ F355 ดังนั้น Esprit รุ่นใหม่ จึงเล็งเป้าไปเพื่อพิชิต Ferrari 458 Italia โดยตรง
Esprit รุ่นต่อไป วางแผนจะใช้เครื่องยนต์ 4.8 ลิตร Dry sump ซึ่งอาจปรับแต่งให้แรงได้ตั้งแต่ 500-560 แรงม้า (BHP)
และมีน้ำหนักตัวแค่ 1.3-1.46 ตัน รถต้นแบบคันทดสอบจะออกวิ่งในเดือนมีนาคม 2012 นี้ และมีกำหนดการเปิดตัว
ขายจริงในเดือนมีนาคม 2013

LOTUS ELITE (คันสีเงิน มุมขวาล่าง)
นี่คือรถสปอร์ต เครื่องยนต์วางด้านหน้า ที่เราไม่ได้เห็นจากรั้วของ Lotus มานานมากแล้ว แต่มันไม่ใช่รถสปอร์ต
ขุมพลังจาก Isuzu ทำตัวเป็นรถเปิดประทุนรุ่นจ่ายกับข้าวอย่างที่ Elan รุ่นเก่าๆ เคยเป็น มาคราวนี้ Elite มาในมาด
รถสปอร์ตหรูพร้อมหลังคาแข็งแบบพับได้ที่จะแข่งกับ Ferrari California โดยตรง ใช้เครื่องยนต์ เกียร์ และช่วงล่าง
ที่มีพื้นฐานมาจาก Esprit แต่เพิ่มระยะฐานล้อเป็น 2.7 เมตรเพื่อให้มีพื้นที่วางขายาวขึ้น ELITE นี้จะมีการพัฒนา
ขุมพลัง Hybrid ออกมาควบคู่กันไป โดยมีกำหนดเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2013

LOTUS ELAN (คันสีเหลือง มุมขวาบน)
Elan ใหม่เปลี่ยนสภาพจาก Lotus ขับหน้ามาเป็นรถ 4 ที่นั่งเครื่องวางกลางลำซึ่งมีรูปแบบการจัดพื้นที่คล้ายกัน
กับ Evora และทำให้มันเป็นคู่แข่งของ Porsche 911 ได้อย่างเหมาะเจาะ ทว่ากระแสตอบรับจากสื่อมวลชนในงาน
มอเตอร์โชว์ที่ Paris เป็นไปในทำนองที่ว่า “จะทำมันออกมาทำไมในเมื่อ 1. Evora ยังสดอยู่ และ 2. มันมีคุณลักษณะ
ทับซ้อนกันกับ Esprit” ดังนั้น Bahar จึงสั่งแช่แข็งโครงการนี้ และทำให้เราหมดสิทธิ์ได้เห็น Elan ใหม่ก่อนปี
2017 อันเป็นปีที่ Evora หมดอายุการทำตลาด แม้จะมีความพยายามที่จะเร่งให้เร็วกว่านั้นแต่ด้วยงบลงทุนที่จำกัด
และรถมากมายที่ต้องพัฒนา Elan คงมาเป็นทางเลือกสุดท้าย

LOTUS ETHOS
นี่คือรถขนาดจิ๋วสำหรับคนเมืองที่ Bahar บอกว่า “มาแน่นอน” แต่มันจะถูกแยกการทำตลาดเป็น 2 แบบ
กล่าวคือทาง Proton จะนำไปปะยี่ห้อของตัวเอง แล้วขายในทวีปเอเชียในราคาที่คนทั่วไปซื้อหากันได้ ในขณะที่
อีกฟากหนึ่ง Lotus ก็จะเอาไปแปะโลโก้ตัวเอง แล้วขายในชื่อ Lotus Ethos เช่นกัน ฟังดูแล้วนึกถึงกรณีศึกษาของ
Toyota iQ/Aston Martin Cygnet ซึ่งได้รับกระแสวิจารณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แต่ด้วยเทคโนโลยีด้านวัสดุ
และตัวถัง รวมถึงช่วงล่างของ Lotus รถคันนี้น่าจะเป็นรถเล็กที่ขับได้สนุก เพียงแต่คำถามเดียวก็คือใครกันที่อยาก
จ่ายเงินระดับ 30,000 ปอนด์เพื่อซื้อ Proton ที่แปะตรา Lotus แต่ถ้าคุณไม่แคร์ ปี 2014นี้ เจอกัน

LOTUS ETERNE (คันสีเทาดำ มุมซ้ายล่าง ภาพบน)
มาแปลกที่สุดก็คันนี้ เมื่อ Lotus ตัดสินใจทำรถ 4 ประตูทรงสปอร์ตลิ่ม ซึ่งเล็งเป้าไปที่การแย่งฟันยอดขายกับ
Porsche Panamera และ Aston Martin Rapide รถรุ่น Eterne จะมีพื้นฐานทางวิศวกรรมร่วมกันกับ Elite
โดยลำตัวตั้งแต่ด้านหน้าไปจนเสา A-Pillar จะเหมือนกับ Elite 100% แต่ลำตัวจะถูกขยายจนยาวออกไปอีก
400 ม.ม. เพื่อให้เหมาะกับการเป็นรถ 4 ประตู แต่อย่าคิดว่าจะทำให้รถขับแย่ลง เพราะวิศวกรที่ดูแล Project
ของ Lotus อยู่คือ Wolf Zimmerman ซึ่งเคยทำงานกับ AMG มาก่อน การพัฒนาจะเริ่มต้นในปี 2012
และมีกำหนดขายจริงในปี 2015

LOTUS ELISE
จากนั้น ในปี 2015 Lotus ก็จะเปิดตัว Elise รุ่นใหม่ ซึ่งขยับระดับตัวเองขึ้นไปเทียบกับ Porsche Boxster
แต่ยังรักษาเอกลักษณ์ความเป็นรถน้ำหนักเบาสไตล์ Minimalism ที่ขับสนุกเอาไว้ รถคันนี้จะใช้วัสดุที่ดี
และมีคุณภาพการประกอบที่ไม่ทำให้คุณต้องเบือนหน้าหนี อย่างที่เคยเป็นมา ปัญหาอยู่ที่เครื่องยนต์
เพราะที่ผ่านมา Elise ต้องใช้เครื่องยนต์รอบจัด 4 สูบในรุ่นสูง แต่เครื่องยนต์ 2ZZ-GE จาก Toyota นั้น
ก็ถูกฆ่าตายไปเรียบร้อยแล้วเพราะไม่ผ่านมาตรฐานมลภาวะ ดังนั้นทางรอดของ Lotus อาจต้องพึ่งพา
การทำเครื่อง V8 4.8 ลิตรที่พัฒนาอยู่ มาหั่นให้เหลือ 4 สูบ 2.0-2.4 ลิตร

ทั้งหมดนี้คืออนาคตของ Lotus ที่เราจะได้เห็น ตั้งแต่ปี 2012 – 2015 ส่วน Niche Cars จะสั่งนำเข้ารุ่นใด
มาทำตลาดกันบ้างนั้น ในช่วงนี้ ก็คงจะเป็นบรรดารุ่นพิเศษ ของ Elise ทั้งหลาย ที่เปิดตัวไปแล้วในงาน
Tokyo Motor Show เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ลองย้อนกลับไปอ่านบทความของงานนี้ ได้ในหน้าแรก
ของ Headlightmag.com Section “Motor Show”

——————————————


 
MASERATI
2012 : Baby Quatroporte  
2013 : Kubang , The 1st Maserati SUV

Empire motorsport ผู้จำหน่าย Maserati แบรนด์รถยนต์ระดับพรีเมียม ในกลุ่ม Fiat Auto SpA.อย่างเป็น
ทางการในไทย มีความเคลื่อนไหวขึ้นมาบ้าง จากการเปิดตัว Maserati GranTurismo MC Stradale ในงาน
Super Car & Import Car Show ครั้งที่ 2  เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2011 ถือเป็นรุ่นน้ำหนักเบา และเร็วที่สุด
ในตระกูล Maserati วางเครื่องยนต์ V8 สูบ 4.7 ลิตร 450 แรงม้า (BHP) ความเร็วสูงสุด 301 กิโลเมตร/ชั่วโมง
และมีน้ำหนักเบาเพียง 1,670 กิโลกรัม

ในปีที่ผ่านมา ต่อเนื่องจนถึงปีนี้ และปี 2013 ความเคลื่อนไหวส่วนใหญ่ของ Maserati จะเกิดขึ้นมากกว่า
ช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะจะมีโครงการใหม่ๆ สำคัญๆ ต่อการเติบโตของ Maserati ไม่ว่าจะเป็น รถยนต์
Sedan / Saloon ขนาดเล็กกว่า รุ่น Quatroporte คาดว่าจะมีเครื่องยนต์บล็อกเล็ก V6 เข้ามาด้วย ซึ่งจะทำให้
ผู้จำหน่ายในบ้านเรา สามารถตั้งราคาขายได้ในระดับเดียวกับ Mercedes-Benz S-Class และ BMW 7-Series
หรือ ราวๆ 7 – 8 ล้านบาท Saloon ขนาดเล็ก สมญานาม Baby Quatroporte รุ่นนี้มีกำหนดจะเปิดตัวในปี 2012

และในปี 2013 จะถึงเวลาที่ Maserati จะเปิดตัว SUV รุ่นแรกของตนเสียที นั่นคือ Maserati Kubang
(อ่านชื่อรุ่นว่า “คู-แบงค์”)  อันเป็น SUV ที่ Maserati ฝันอยากจะทำขายมาตั้งแต่ก่อนปี 2000 ถึงขั้น
เคยทำรถต้นแบบในชื่อเดียวกันนี้ ออกจัดแสดงในปี 2003 แต่ความคืบหน้าดังกล่าว ก็หายไปนานถึง
9 ปี กว่าที่เวอร์ชันต้นแบบ คันล่าสุด ซึ่งดูใกล้เคียงกับเวอร์ชันผลิตขายจริงมากๆ ออกอวดโฉมต่อ
ชาวโดลก ในงาน Frankfurt Motor Show เดือนกันยายน 2011 ที่ผ่านมา เพื่อหวังจะเป็นทางเลือก
ในกลุ่ม Premium Mid=Size SUV ประกบกับ Mercedes-Benz ML-Class , BMW X5/X6 และ
Range Rover Sport

งานออกแบบเครื่องยนต์ รับผิดชอบโดย Paolo Martinelli หัวหน้าฝ่าย Powertrain Department ของ
Maserati ด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปีของเขา ในทีมรถแข่ง Formula 1 และใน Ferrari คาดว่าน่าจะ
เป็นเครื่องยนต์ V8 ขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ แต่รายละเอียดเครื่องยนต์
จะยังไม่เปิดเผยออกมาจนกว่า จะถึงเวลาที่ Kubang ถูกนำไปขึ้นสายการผลิตที่โรงงาน ของ Chrysler
ในมลรัฐ Michigan ภายใต้ไลน์ผลิตเดียวกับ Jeep Grand Cherokee (ฟังดูแปลกๆพิลึกๆอยู่ไม่น้อย)
แต่กว่าที่ Kubang จะเข้ามาเมืองไทย เร็วที่สุด ก็คงจะเป็นช่วงปี 2014 เพราะต้องรอดูการประกอบ
เวอร์ชันพวงมาลัยขวาด้วยว่าจะเกิดขึ้นได้เมื่อใด

——————————————


 
Mazda   
2012 : All new BT-50 (Project Code : T6 ) / Mazda 3 1.6 L / Mazda 2 รุ่นพิเศษตามฤดูกาล
2013 : CX-5 มาต้นปี  / All New MX-5
2014 : Mazda 2  3 Full Modelchangeในเมืองนอก? เมืองไทย รอ ไม่นาน

ปี 2011 ที่ผ่านมา แม้ว่า Mazda จะได้รับผลกระทบจากทั้งเหตุการณ์ 3/11 และน้ำท่วมเมืองไทย
ไปบ้าง แต่บาดเจ็บไม่มากมายอย่างที่คิด มีเพียงแค่พักการผลิตที่โรงงาน AAT ระยะสั้นๆมากๆ
นิดนึงเท่านั้น ถือเป็นปีที่ Mazda ได้รับอานิสงค์ด้านยอดขายของ Mazda 2 จากหลายปัจจัย
ไม่ว่าจะเป็น โครงการรถคันแรกของรัฐบาล หรือการขาดตลาด ของคู่แข่งสำคัญ ทั้ง Toyota Vios ,
Toyota Yaris , Honda City , Honda Jazz จนทำให้ผู้คนหันมาอุดหนุน น้องเล็กในโชว์รูมกันอย่าง
อุ่นหนาฝาคั่ง

ผิดกับตลาด รถยนต์นั่ง C-Segment Compact Sedan / Hatchback เพราะ Mazda 3 ใหม่ ต้อง
เปิดตัวในจังหวะหลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว และสึนามิในญี่ปุ่น เพียงแค่ 1 สัปดาห์ และ
เปิดตัวได้แค่รุ่น 2.0 ลิตร ราคา 1,064,000 บาท ท้ั้ง 2 ตัวถัง เท่านั้น จึงต้องเจออาการชิ้นส่วน
ชะงักและชะลอจากญี่ปุ่น ไปราวๆ 1-2 เดือน กว่าจะฟื้นกลับมาส่งมอบรถให้ลูกค้าได้ ก็ต้อง
รอถึงเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม กระนั้น ปริมาณรถรุ่นใหม่บนถนนเมืองไทย ก็มีให้เห็น
หนาตาขึ้นเรื่อยๆ ผิดกับ BT-50 รุ่นเดิม ซึ่งยังพอมีลูกค้าอุดหนุนอยู่บ้าง แต่น้อยลงไปมาก
จนกระทั่งต้องนำฝูง BT-50 ใหม่ หลายคัน ไปจอดแออัด ยัดทะนาน อวดโฉมประชันคู่แข่ง
ในงาน Motor Expo ตอนท้ายปี เพื่อกระตุ้นการรับรู้ของผู้บริโภคว่า BT-50 ใหม่ ใกล้เปิดตัว
แล้วนะ โปรดรออีกนิดนึง
 
นั่นจึงทำให้ Mazda จะต้องเริ่มประเดิมปี 2012 กันด้วยการเปิดตัว รถกระบะ BT-50 PRO
Stylish Pickup Truck รุ่นใหม่ ที่ใหญ่โตกว่า Toyota Hilux VIGO เล็กน้อย ซึ่งหลายคนคง
ได้ไปเห็นคันจริงในงาน Motor Expo เดือนธันวาคม ที่ผ่านมาบ้างแล้ว

จุดขายสำคัญของ BT-50 ใหม่ นอกจากอยู่ที่ขุมพลัง Diesel Commonrail Turbo 2,200 ซีซี และ
3,200 ซีซี บล็อกเดียวกัน กับ Ford Ranger ใหม่ แต่อาจจะมีการปรับจูนค่ากำหนดต่างๆ ทั้งของ
เครื่องยนต์ และระบบกันสะเทือน ให้นุ่มกว่ากันนิดหน่อย และยังมาพร้อมรูปโฉมที่โฉบเฉี่ยว
เกินหน้าเกินตารถกระบะทุกคันในตลาด แถมยังมีห้องโดยสารที่ออกแบบได้ดีที่สุด เท่าที่เคย
มีมาในตลาดรถกระบะทั่วโลกอีกด้วย มีบานแค็บเปิดได้ ในทุกรุ่นเป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับ
รุ่น Open Cab ตามเคย

รายละเอียดต่างๆ คงได้อ่านกันไปแล้ว ในบทความ Exclusive First Impression (ถ้ายังไม่อ่าน
คลิกอ่านได้ ที่นี่) กำหนดเปิดตัว เป็นไปตามที่แจ้งไว้เมื่อปีที่แล้ว คือ วันที่ 24 มกราคม 2012
เหตุผลของการเลื่อนจากกำหนดเดิมเล็กน้อย เพราะสถานที่จัดงานเปิดตัว ไม่ว่าง เลยต้องยอม
เลื่อนออกมา อีก 1 วัน ที่สำคัญ Mazda ประกาศลั่นแล้วว่า จะมีรถพร้อมส่งมอบให้ลูกค้าได้ทันที
2,500 คัน ทุกรุ่น ทุกสี ในวันเปิดตัวกันเลยทีเดียว นี่คือการประกาศพร้อมรบในสมรภูมิตลาด
รถกระบะอย่าลงเต็มตัวของ Mazda อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

หลังจากนั้น ใครที่รอ Mazda 3 ขุมพลัง 1.6 ลิตร ก็เตรียมดีใจกันได้ เพราะ Mazda ตั้งใจจะเปิดตัว
ทางเลือกใหม่ในตระกูล Mazda 3 รุ่นนี้ กันในช่วงดือนมีนาคม ก่อนงาน Bangkok International
Motor Show เดือนมีนาคม 2012 เพียงแต่ต้องทำใจไว้ก่อนว่า ยังจะไม่มีขุมพลัง SKYACTIV
จากเวอร์ชันตลาดโลก ที่เพิ่งเปิดตัวไป ให้ได้เห็นกันในตอนนี้แน่ๆ

เพราะ รถยนต์ที่จะใช้เทคโนโลยีเครื่องยนต์ และโครงสร้างตัวถัง SKYACTIV รุ่นแรกที่จะเปิดตัว
ทำตลาดในเมืองไทย คือ Mazda CX-5 Crossover SUV รุ่นล่าสุด ที่น่าจับตามองที่สุดคันหนึ่ง เพราะ
นอกจากจะเป็น Crossover ขนาดเล็กรุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของ Mazda แล้ว งานนี้ วิศวกรชาว
Hiroshima ยังทำการบ้านมาดีมากอีกด้วย เพราะพยายามงัดข้อไปต่อกรกับคู่แข่งจากยุโรป ไม่ว่า
จะเป็น Volkswagen Tiguan หรือ Skoda Yeti แทนที่จะสนใจเปรียบมวยอยู่แค่ Honda CR-V ซึ่ง
จะเป็นคู่แข่งโดยตรงในเมืองไทย

ในช่วงแรก จะเปิดตัวด้วยเครื่องยนต์ SKYACTIV-G เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร พร้อม
เทคโนโลยีระบบดับและติดเครื่องยนต์เองได้ในช่วงการจราจรติดขัด i-Stop (หลักการทำงานเหมือน
ใน Nissan March , Toyota Prius และ toyota Camry HYBRID คือเหยียบเบรกจมมิด เครื่องจะดับ
พอถอนเท้าจากเบรก เครื่องยนต์จะติดเอง ขับต่อไปได้สบายๆ เน้นประหยัดน้ำมันในช่วงรถติด)

Mazda CX-5 ใหม่ จะถูกนำมาขึ้นสายการผลิตที่โรงงาน Auto Alliance (AAT) ที่ระยอง และมี
กำหนดเปิดตัวในเมืองไทย อย่างเร็วที่สุด คือเดือนธันวาคม 2012 – กุมภาพันธ์ 2013 หลังจากนั้น
อีกสักพักใหญ่ๆ ขุมพลัง Diesel SKYACTIV-D บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.2 ลิตร i-Stop จะ
ตามมาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในช่วงปี 2013

นอกจากนี้ ในปี 2013 นั้น จะเป็นปีที่ Mazda 2 ถึงเวลาปรับปรุงกันครั้งใหญ่ โดยยังไม่นับสารพัด
รุ่นพิเศษกระตุ้นตลาด ที่จะออกมาให้เราได้เห็นกันหลายรุ่น พอกับความถี่ของ ผลไม้ตามฤดูกาล
ขณะที่ รถสปอร์ด Roadster รุ่น สุดฮิตอย่าง Mazda MX-5 ซึ่งมีกระแสข่าวว่า จะถูกลดขนาดตัวถัง
ให้เล็กลง และใช้เทคโนโลยี SKYACTIV อัดแน่นทุกอณูของตัวรถ รวมทั้งเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่
ให้มีขนาดเล็กลงแค่ 1,600 ซีซี แต่ต้องผลิตกำลังออกมาให้มากกว่าเดิม ประหยัดน้ำมันกว่าเดิม แถม
ยังต้องขับสนุกยิ่งกว่าเดิม และปล่อยมลพิษน้อยลงกว่าเดิม ก็จะมีกำหนดเปิดตัวสู่ตลาดโลก ในช่วง
ปี 2013 ด้วย

เช่นเดียวกัน ในตลาดโลก Mazda ตั้งใจจะใช้ปี 2013 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนโฉมใหม่ให้กับรถยนต์
รุ่นหลักๆของตน ไปสู่เจเนอเรชันใหม่ ที่ใช้แนวทางการออกแบบ KODO : Souls Of Motion ไม่ว่า
จะเป็น Mazda 3 Full Model Change หรือ  Mazda 6 รุ่นต่อไป ซึ่งจะมีเส้นสายถอดแม่พิมพ์มาจาก
รถยนต์ต้นแบบ Mazda Takeri จากงาน Tokyo Motor Show 2011 แต่สำหรับบ้านเรา คงยังต้องรอ
กันต่อไป เนื่องจากสถานการณ์ตลาดกลุ่ม D-Segment ของบ้านเรา ยังมียอดขายรวมกันไม่มากพอ
ให้ผู้เล่นหน้าใหม่อย่าง Mazda เข้าร่วมแข่งขันประชันชัยในช่วง 2 ปีข้างหน้านี้แต่อย่างใด ขณะที่
Mazda 3 ใหม่ เพิ่งเปิดตัวในบ้านเรามาได้แค่ ปีเดียว ดังนั้น อายุตลาดจึงน่าจะต้องยาวไปถึงปี 2014
ซึ่งจะเป็นปีเดียวกับที่ Mazda 2 รุ่นใหม่ Full Model Change จะเปิดตัวสู่ตลาดโลก

ส่วนโครงการพัฒนา รถสปอร์ตขุมพลัง Rotary รุ่นต่อไป ที่จะทำตลาดแทน RX-8 แต่จะมีตำแหน่ง
การตลาดที่เหนือขึ้นไปกว่า RX-8 และไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด ภายใต้ชื่อ RX-9 ตอนนี้
ความคืบหน้า ก็ยังดูเงียบๆอยู่ อาจต้องรอรายละเอียดเพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าจะต้องเริ่มเผยให้ผู้คนทั่วโลก
รับรู้ในช่วงปี 2012 นี้เป็นต้นไป ก่อนการเปิดตัวสู่ตลาดโลก ในปี 2013 เช่นเดียวกับ MX-5 ใหม่

——————————————

Mercedes-Benz
2012 : All New SL / ML 250 CDI CKD เครื่อง 4 สูบ Blue Efficiency / B-Class
2013 : All New S-class CKD

ปี 2011 ถือเป็นปีที่ Mercedes-Benz ฉลองครบรอบ 125 ปีของตน ด้วยการเปิดตัว CLS ใหม่ และ SLK
ใหม่ พวงมาลัยขวา ครั้งแรกในโลกที่เมืองไทย กลางงาน Bangkok International Motor Show เดือน
มีนาคมที่ผ่านมา

ย่างเข้าเดือนสิงหาคม Mercedes-Benz Thailand ตัดสินใจ ประกาศกร้าว ออกมาตรการเข้มในรูปแบบ
ต่างๆ เพื่อหวังจะลดปัญหาลูกค้าเลือกซื้อรถจากผู้นำเข้ารายย่อย เพราะเห็นแค่ออพชันเพียบ แถมขาย
ถูกกว่า Mercedes-Benz Thailand ทั้งที่ไม่รู้ว่า ราคาขายปลีกที่ถูกกว่ามากนั้น มีความจริงอื่นใดซ่อนอยู่
อีกบ้าง? พร้อมท้ั้ง ปรับลดราคาของรถยนต์หลายๆรุ่น ทั้งประกอบในประเทศ และนำเข้าสำเร็จรูปให้
ถูกลงกว่าเดิม เพิ่มออพชันให้เยอะขึ้น โดยเฉพาะ C200 รุ่นพื้นฐาน ที่ฮือฮาด้วยราคาเริ่มต้นถูกมาก
เพียง 2,149,000 บาท ชนกับ BMW X1 CKD อย่างจัง รวมทั้งประกาศ เรียกเก็บค่าแรกเข้า ในการเข้า
ศูนย์บริการของผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ ตามราคาถูกแพงลดหลั่นกันไป ฯลฯ อีกมาก และยังเปิดตัว
E200 NGT เวอร์ชัน ติดก๊าซ CNG จากโรงงานธนบุรีประกอบรถยนต์ เอาใจคนรักความหรู คู่ความ
ประหยัด รวมทั้ง เปิดตัวรถตู้ Vito ใหม่ ในงาน Motor Expo เป็นการส่งท้าย

ในปี 2012 นี้ รถยนต์รุ่นใหม่ๆของ Mercedes-Benz ในบ้านเรา มีให้เลือกกันหลักๆ 3 รุ่นใหญ่
ยังไม่นับสารพัดรุ่นย่อย เริ่มกันที่ รถสปอร์ตรุ่นใหญ่ Mercedes-Benz SL ใหม่ ซึ่งจะเปิดตัวใน
งาน Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคมนี้ เป็นอย่างช้าที่สุด และอาจจะมี น้องเล็ก
รุ่นล่าสุด Mercedes-Benz B-Class สั่งนำเข้ามาขายกันขำขำ พอให้มีทางเลือกแบบใหม่ๆ สำหรับ
ผู้ที่ชอบของแปลก โดยเฉพาะ ลูกค้าสูงวัย ที่อยากได้ความสบายในการขับขี่เดินทางในเมือง จาก
บ้านไปซื้อของ หรือไปทำธุระใจกลางเมือง (แม้จะผิดไปจากแนวคิดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในยุโรป
ก็ตามเถอะ)

แต่ไฮไลต์ที่น่าสนใจจริงๆ อยู่ที่  การเปิดตัว ML-Class เวอร์ชันประกอบในประเทศ นับเป็นครั้งแรก
ที่ Mercedes-Benz Thailand ตั้งใจจะบุกตลาดรถยนต์ SUV ระดับหรูอย่างแท้จริง หลังจากซุ่มศึกาา
กันมาพักใหญ่ และเห็นช่องว่างในตลาดบางอย่าง จนทำให้ Mercedes-Benz Thailand เลือกตัดสินใจ
ให้ ธนบุรีประกอบรถยนต์ รับงานประกอบ ML 250 CDI เครื่องยนต์ Diesel Turbo Common Rail
กันอย่างจริงจังในครั้งนี้ และคาดว่า น่าจะพร้อมเปิดตัวออกสู่ตลาดได้ ช่วงกลางปี 2012

ขณะเดียวกัน ยังต้องจับตาดูการเปิดตัว Mercedes-Benz S-Class ใหม่ ในช่วงปลายปีนี้ ที่ยุโรป
โดยรถรุ่นใหม่ จะมีขนาดตัวถังใหญ่โตขึ้น และถูกอัดแน่นด้วยสารพัดเทคโนโลยี ทั้งเพื่อความ
สะดวกสบายของผู้โดยสาร และเทคโนโลยีขับเคลื่อนเพื่อสิ่งแวดล้อม มากกว่าที่เคยมีมาในบรรดา
S-Class ทุกรุ่น คาดว่า น่าจะส่งมาขายเมืองไทย ในฐานะ รถนำเข้า ช่วงต้นปี 2013 เป็นประเดิม
ก่อนที่ เวอร์ชันประกอบในประเทศ จะตามมาในระยะหลังจากนั้น อีก 6 เดือน หรือช่วงครึ่งหลัง
ของปี 2013

——————————————

MITSUBISHI MOTORS
2012 March : “MIRAGE” New Global Small Car  SUB-COMPACT B-Segment
                       World Premier in Thailand ! JOIN with PSA Group / Lancer EX Nano Change /
                       Triton CR45 MY2013 Last Minorchange
2013            :  All New Triton Full Model Change (Joint Develop with NISSAN !!)
2014            : ” New Global Small Sedan 1.2 Litre” Based on Mirage
2015            :  Pajero Sport Full Model Change / Lancer Full Modelchange / Mirage Hybrid & EV ??

แม้ว่าปี 2011 จะเต็มไปด้วยเรื่องราวน่าปวดหัว สำหรับผู้ผลิตรถยนต์ชาวญี่ปุ่น ทั้งจากเหตุการณ์
แผ่นดินไหวพร้อมสึนามิ ในญี่ปุ่น เดือนมีนาคม กับน้ำท่วมภาคกลางในไทย ในเดือนตุลาคม
ถึงพฤศจิกายน แต่ดูเหมือนว่า โชคจะยังเข้าข้าง ชาวทุ่งรังสิต กับแหลมฉบังทั้งหลาย เริ่มกัน
ตั้งแต่เดือนมีนาคม ยอดขายของ Mitsubishi เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหลายสิบเปอร์เซนต์ ในช่วงที่
ยักษ์ใหญ่ในตลาดหลายค่าย ประสบภาวะชิ้นส่วนขาดแคลน แต่ Mitsubishi Motors ยังคง
ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทแม่อย่างดี ป้อนชิ้นส่วนส่งมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้รถกระบะรุ่น
Triton ขายดีขึ้นโดยเฉพาะรุ่น CNG ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2011 ขณะที่ Pajero Sport ซึ่ง
เพิ่งจะอัพเดทขุมพลังใหม่ 2.5 VG Turbo ในเดือนมกราคม 2011 ไปพร้อมกับ Triton (และ
ยุบเครื่องยนต์ Diesel 3.2 ลิตร ออกไป) ก็ขายดีแซงหน้า Toyota Fortuner กลายเป็นเจ้าตลาด
อันดับ 1 ในกลุ่ม Pickup based SUV แทนที่ไปเรียบร้อยแล้ว

พอเข้าสู่ช่วงน้ำท่วม แม้ว่าโรงงานที่แหลมฉบังจะหยุดการผลิตไปพักหนึ่ง แต่ก็กลับมากดปุ่ม
เดินเครื่องผลิตรถยนต์กันอีกครั้งเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2011 ที่ผ่านมา อาจประสบปัญหา
ชิ้นส่วนขาดแคลน อย่างที่ผู้ผลิตรายอื่นเจอกันอยู่บ้าง แต่น้อยมากๆ อาจมีเสียงของพนักงาน
ที่น้อยใจกันบ้าง ในเรื่องความช่วยเหลือระหว่างน้ำท่วม ที่เน้นช่วยสังคมมากพอสมควร แต่
ดูแลพนักงานกันเองยังไม่ดีเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับผู้ผลิตรายอื่น กระนั้น ภาพรวมแล้ว ธุรกิจ
ยังดำเนินอยู่ได้สบายๆ

ปี 2012 จะเป็นปีอันสำคัญยิ่งสำหรับ Mitsubishi Motors ในเมืองไทย เพราะถือเป็นปีที่รถยนต์
จากโครงการ New Global Small ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบาย ECO Car ของ
รัฐบาลไทย ผลผลิตจากโรงงานแห่งใหม่ มูลค่า 16,000 ล้านบาท ในบริเวณติดกับโรงงานปัจจุบัน
ที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง ในจังหวัดชลบุรี ที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว จะได้ฤกษ์ออกสู่ตลาดอย่าง
เป็นทางการในเมืองไทย เป็นแห่งแรกในโลก ภายใต้ชื่อ Mitsubishi MIRAGE โดยสำนักงานใหญ่
ในญี่ปุ่น ปล่อยภาพถ่ายออกมาครั้งแรก เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2011 และนำรถยนต์รุ่นนี้ไปจอด
อวดโฉมจัดแสดงในงาน Tokyo Motor Show 2011 เมื่อ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2011 หลังจากที่เรา
เฝ้ารอติดตามรายงานความคืบหน้าของโครงการนี้มาหลายปี

ชื่อ Mirage ซึ่งเคยใช้กับรถยนต์ Compact Hatchback เมื่อปี 1978 ต่อเนื่องจนถึงปี 2000 ถูกนำ
กลับมาใช้อีกครั้ง กับรถยนต์ Sub – Compact Hatchback (B-Segment) รุ่นใหม่ ที่ถูกสร้างขึ้น
ให้เน้นความประหยัด การขับขี่ง่ายดาย สะดวกสบาย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม วางขุมพลัง
เบนซิน 1.2 ลิตร มีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ CVT Mitsubishi Motors เชื่อมั่นว่า
Mirage จะให้สมรรถนะในการขับขี่ ที่ดีกว่าคูแข่งในพิกัดเดียวกัน ทั้ง Nissan March และ
Honda Brio ในทุกด้าน กำหนดเปิดตัวออกสู่ตลาดในงาน Bangkok International Motor Show
เดือนมีนาคม 2012 ที่จะถึงนี้ ด้วยราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 400,000 บาท อย่างที่ท่านประธานใหญ่
ของ Mitsubishi Motors Corporation Masuko

ที่สำคัญ ในตลาดทั่วโลก Mirage ใหม่จะไม่เพียงแค่มีเครื่องยนต์เบนซิน หรือ Diesel ให้เลือก
เพียงเท่านั้น หากแต่ พวกเขายังเตรียมแผนจะ ผลิต รถยนต์รุ่นใหม่คันนี้ ในเวอร์ชันที่ติดตั้ง
ขุมพลัง HYBRID และเวอร์ชันพลังไฟฟ้า EV 100 % เอาไว้เรียบร้อยแล้วอีกด้วย!! ทั้งหมดนี้
จะทะยอยคลอดออกมา ในปีถัดจากนั้นไป โดยจะมีแผนส่งออกกลับไปขายยังประเทศญี่ปุ่น
อีกด้วย ซึ่งต้องมาลุ้นกันต่อว่า เมืองไทยจะได้ทำตลาด เวอร์ชันประหลาดเหล่านี้ด้วยหรือไม่

สำหรับ Lancer CNG อันเป็นการนำ Lancer รุ่นแซยิด มาติดตั้งระบบก๊าซ CNG จากผู้ประกอบการ
ข้างนอก แต่ได้รับการรับรองโดยบริษัทแม่ จนขายดิบขายดี เดือนละ 300 – 400 คันอยู่พักใหญ่ น่าจะ
ใกล้ถึงเวลายุติการผลิตในช่วงสิ้นปี 2012

นอกนั้น ก็จะมีการเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ และเพิ่มรุ่นพิเศษ Spacial Edition ให้กับบรรดารถยนต์รุ่นที่
ทำตลาดกันอยู่แล้ว ทั้ง Lancer EX ซึ่งก็ยังจำเป็นต้องพยุงตลาดกันต่อไป เท่าที่พอทำได้ รวมทั้ง
รถกระบะ Triton และ Pajero Sport ซึ่งจำเป็นจะต้องรักษาระดับยอดขายเอาไว้ อย่างต่อเนื่อง
จนกว่าจะถึงปี 2013

เพราะสำหรับ Triton แล้ว ยังเหลืออายุตลาด อีกราวๆ 1 ปีครึ่ง จึงจะถึงเวลาเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน
และคราวนี้ Mitsubishi จะจับมือกับ Nissan ร่วมกันวางแผนพัฒนาและผลิตรถกระบะ รุ่นต่อไป
นับเป็นโครงการที่สร้างความฮือฮาให้กับผู้ที่ติดตามข่าวสารในแวดวงอุตสาหกรรมรถยนต์ มาตั้งแต่
ปลายปี 2010 เล่นเอาช็อกกันไปทั้งบาง

เพราะแม้ว่า ทั้งคู่จะร่วมมือกัน ในญี่ปุ่น โดย Nissan สั่งซื้อรถยนต์ K-Car จาก Mitsubishi ไปขาย
ในโชว์รูมตัวเองบ้างแล้ว แต่นี่จะเป็นความร่วมมือ นอกญี่ปุ่น ด้วยกัน ครั้งแรกของทั้งคู่ ถือได้ว่า
เป็นการผสานประโยชน์ ของทั้ง 2 บริษัท อย่างแท้จริง เนื่องจาก Mitsubishi เองก็อยากจะหา
พันธมิตรมาช่วยกันแชร์ค่าใช้จ่ายในการพัฒนารถกระบะ Triton รุ่นต่อไป ขณะที่ Nissan เอง
ก็อยากจะขยายกำลังการผลิตของตนในเมืองไทย โดยไม่ต้องลงทุน
ก็ต้องทุ่มเวลา กับทุนทรัพย์ ไปกับโครงการ Global Small Car เสียยกใหญ่ เงินสำหรับ
พัฒนารถระบะรุ่นเปลี่ยนโฉมให้กับ Triton จึงไม่มากมายนัก ถ้ามีใครสักคน มาช่วย
ลงทุนด้วย ก็จะช่วยให้รถรุ่นใหม่ สู้ชาวบ้านชาวช่องได้ในตลาดโลก สบายขึ้นเยอะ

ขณะเดียวกัน ทุกวันนี้ กำลังการผลิตของโรงงาน Nissan ที่ บางนา-ตราด กม.21 ก็เต็มปรี่
ไปด้วยรถยนต์นั่งอย่าง March แล้วไหนจะต้องมีสารพัดโครงการรถใหม่ ตลอด 3 ปีข้างหน้า
อีกหลายรุ่น ถ้าจะตั้งโรงงานใหม่ ผลิตรถกระบะอย่างเดียว Nissan เอง ก็มองว่าไม่คุ้ม ต่อ
ยอดขายที่ไม่แน่นอนในอนาคต

ฉะนั้น จับมือกันทำรถกระบะ Triton และ Navara รุ่นต่อไป ด้วยกันเสียเลย จะสะดวกกว่าเยอะ
เพราะ Mitsubishi เอง ก็จะได้ ยกระดับปรับปรุงกำลังการผลิตในโรงงาน 2 ซึ่งผลิตแต่รถกระบะ
ให้สามารถป้อนตลาดทั่วโลก ได้ทั้ง 2 ยี่ห้อ เลี้ยงโรงงานให้อยู่รอดไปได้อีกนาน แถมยังทำขาย
ในตลาดเมืองไทยได้อีกด้วย ขณะที่ Nissan เอง ก็ไม่ต้องเสียเงินตั้งโรงงานใหม่ทำรถกระบะ
อย่างเดียว

ขณะนี้ ทั้งคู่กำลังศึกษาความเป็นไปได้ และเริ่มเดินเครื่องพัฒนารถกระบะ ทั้ง 2 รุ่นใหม่ กันแล้ว
โดย Nissan มีกำหนด จะย้ายการผลิตรถกระบะ Navara รุ่นต่อไป ไว้ที่ โรงงาน Mitsubishi ณ
แหลมฉบัง พร้อมกับการเปิดตัวรถกระบะรุ่นใหม่ ของทั้ง 2 ค่าย ในปี 2013

นอกจากรถกระบะรุ่นใหม่แล้ว ยังมีอีกโครงการสำคัญ ในการบุกตลาดรถยนต์นั่ง นั่นคือ การพัฒนา
รถยนต์นั่ง Sedan 4 ประตู โดยใช้พื้นตัวถัง (Platform) และพื้นฐานโครงสร้างวิศวกรรมต่างๆ รวมถึง
เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร พร้อมเกียร์อัตโนมัติ CVT ยกชุดมาจาก Mirage ทั้งดุ้น ความน่าสนใจของ Sedan
รุ่นใหม่ถอดด้ามคันนี้คือ เป็นรถยนต์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่ โดยไม่เคยมีการผลิตขายที่ไหนมาก่อน
คาดว่า ในเมื่อต้องใช้ชิ้นส่นวร่วมกับ Mirage ให้มากที่สุด ก็มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงว่า Sedan
ขนาดเล็กคันนี้ น่าจะใช้กระจกบังลมหน้า บานประคูคู่หน้า เสาหลังคากลาง A-Pillar ร่วมกันกับ
Mirage ใหม่อีกด้วย และคาดว่าจะมีเส้นสายภายนอก ลงตัวกว่า Nissan Almera  กำหนดการเปิดตัว
จะอยู่ในช่วงปลายปี 2013 จนถึง ต้นปี 2014

คิวต่อไปหลังจากนี้ ก็น่าจะถึงคราวเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน แบบ Full Model Change ให้กับ SUV
รุ่นขายดีในบ้านเรา Mitsubishi Pajero Sport ซึ่งพัฒนาขึ้นภายใต้โครงสร้างวิศวกรรมพื้นฐานต่างๆ
ร่วมกับ Mitsubishi Triton  กับ Nissan Navara รุ่นต่อไป รวมทั้ง อาจจะยังรวมไปถึง Nissan Navara
Based SUV ที่ยังอยุ่ในแผนการพัฒนาของทั้งค่อีกด้วย กำหนดขึ้นสายการผลิต น่าจะอยู่ในช่วง
ปลายปี 2014 ถึงต้นปี 2015 โดยจะใช้ฐานการผลิตในโรงงานของตน ที่แหลมฉบัง ตามเคย

หลังจากนั้น ก็จะได้เวลา เปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันให้กับ Mitsubishi Lancer ใหม่ ซึ่งแม้ว่าในตลาดโลก
จะต้องเตรียมเปลี่ยนโฉมรถยนต์รุ่นนี้ ในปี 2013 เพราะไม่ค่อยประสบความสำเร็จด้านยอดขาย ใน
แทบทุกประเทศที่เข้าไปจำหน่าย เท่าที่ควร เนื่องจากตัวรถดูเป็นผู้ชายมาก จนกลุ่มลูกค้าสตรี พากัน
เกลียดขี้หน้า แต่เมืองไทย เราอาจจะต้องรอกันต่อไปจนถึงช่วงปลายปี 2014 หรือเร็วที่สุดภายในช่วง
ต้นปี 2015

เนื่องจากยังมีเวลาอีกมากในการพัฒนา ฉะนั้น รุ่นต่อไปของ Lancer นอกจากจะต้อง ลดความดุดัน
แข็งกร้าวในแบบชายชาตรีลงมาแล้ว ยังต้องเพิ่มเสน่ห์และความโฉบเฉี่ยวบนเรือนร่างให้มัดใจลูกค้า
กลุ่มสาวออฟฟิศมากกว่าทุกวันนี้ ให้จงได้ ขณะเดียวกัน ขุมพลัง ต้องแรงขึ้น แถมยังต้องประหยัด
น้ำมันมากขึ้นอีกด้วย และยังต้องคงไว้ซึ่งการขับขี่ที่มั่นใจได้ในทุกสภาพเส้นทาง และแน่นหนึบใน
ทุกโค้ง ที่แล่นผ่าน มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ทีมวิศวกร ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาของ Mitsubishi
Motors ในเมือง Okazaki จะต้องบรรลุเป้าหมายนี้ให้จงได้!

ส่วน Minivan ขนาดกลางรุ่น Space Wagon ที่ยังอยู่ในตลาดมาได้อย่างยาวนาน ถูกปลดออกจากสาย
การผลิตในบ้านเราไปแล้ว ช่วงเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา อย่างเงียบเชียบ เป็นการปิดตำนาน Minivan
ขนาดกลาง ประกอบในประเทศไปอีกรุ่นอย่างน่าเสียดาย แต่ถ้าถามว่า Mitsubishi คิดทำรถยนต์ 7 ที่นั่ง
แบบ Minivan ออกมาขายอีกหรือไม่ คำตอบก็คือ คิด แต่ตอนนี้ทุกอย่าง ยังคงเต็มไปด้วยความฝันใน
อากาศยามบ่าย หมายความว่า ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันออกมา และดูท่าว่าคงจะอีกนานเลยทีเดียว
 
———————————–

NISSAN
2012 :  L12F C-Segment Sedan Ellure / March Minorchange / NV350 Urvan / NV200 / (Juke?)
2013 : Next TIIDA B12D / Teana Full Modelchange / Navara Full Modelchange /Almera Minorchange
2014 : X-Trail / LEAF ?
2015 : Navara PPV (Based on The Next Mistubishi Pajero Sport)

ปี 2011 ถือเป็นปีที่ 2 ในการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของ Nissan Motor Thailand ชนิดที่ Toyota Honda
และ Isuzu จะต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะนอกเหนือจากการเปิดตัว Nissan Almera รถยนต์นั่งใน
พิกัด ECO Car ตัวถัง Sedan 4 ประตู รายแรกในเมืองไทย พร้อมพรีเซ็นเตอร์ ที่ไม่มีใครคาดถึงมาก่อน
อย่าง โดม ปกรณ์ ลัม ปี 2011 ที่เกิดขึ้นในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นงานโฆษณา ข้อความที่จะ
สื่อสารถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย รวมทั้ง แคมเปญส่งเสริมการขาย และข้อเสนอทางการเงิน ถูกจัดเตรียม
มาอย่างพร้อมสรรพ จนสัมผัสได้เลยว่า Nissan ทำการบ้านในการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่นี้ เป็นอย่างดี
เรียกว่าเป็นครั้งแรก ในรอบหลายปี ที่ Nissan เปิดตัวรถใหม่แล้ว แทบไม่ค่อยมีเรื่องอะไรให้ตำหนิ

พอล่วงเข้าเดือนพฤศจิกายน Nissan ก็ประกาศปรับโฉม Minorchange ให้กับทั้ง Sedan ขนาดกลาง
พิกัด D-Segment อย่าง Teana และ ตรกูลรถกระบะ Navara ซึ่งจะเป็นการปรับโฉมครั้งสุดท้ายของ
ทั้ง 2 ตระกูล

ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของแผนการ Nissan Power Up 2016 ที่มีการแถลงออกมาเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม
2011 โดยเนื้อหาสาระสำคัญ อยู่ที่ การเปิดตัวรถใหม่ในตลาดมากกว่า 10 รุ่น ให้ครอบคลุมมากถึง 90%
ของกลุ่มตลาดรถยนต์ในเมืองไทย จากปัจจุบัน ที่ครอบคลุมเพียง 65% เท่านั้น และแน่นอนว่า Nissan
ต้องการเป็นผู้นำในกลุ่มตลาด ECO car อย่างต่อเนื่อง (ทุกวันนี้ ด้วย March และ Almera พวกเขาก็
ครองตำแหน่งหมายเลข 1 ในตลาดกลุ่มนี้ในเมืองไทยไปแล้ว) ขยายเครือข่ายโชว์รูมและศูนย์บริการ
อีก 50 แห่ง จากเดิม 160 แห่ง ให้เพิ่มเป็น 210 แห่ง ในปี 2013 และจับมือกับพันธมิตรในการลงทุน
ผลิตและพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ (เช่นการดึง Jatco ผู้ผลิตระบบส่งกำลังชั้นนำของญี่ปุ่น มาร่วมลงทุน
ตั้งโรงงานผลิต เกียร์อัตโนมัติ CVT ในเมืองไทยจนสำเร็จ) ตลอดจนทั้งหมดนี้ ก็เพื่อ เป้าหมายจะ
เพิ่มส่วนแบ่งการตลาดอีกเท่าตัว หรือประมาณ 15% จากปัจจุบันอยู่ที่ 7.4% และภายในสิ้นปีนี้จะเพิ่ม
เป็น 9% หรือ ประมาณ 80,000 คัน”

นั่นหมายความว่า แม้ตอนนี้ Nissan จะทำข้อตกลงร่วมกันกับ Mitsubishi Motors ในการพัฒนารถกระบะ
Navara และ Triton รุ่นต่อไป (คลอดในปี 2013) และย้ายการผลิตรถกระบะ Nissan ปีละ 60,000 คัน ไป
ไว้ที่โรงงาน Mitsubishi Motors ที่แหลมฉบัง ซึ่งจะช่วยให้กำลังการผลิตของ โรงงานแหลมฉบัง เต็มอยู่
ตลอดเวลา และ Mitsubishi เอง ก็มีรายได้จากการว่าจ้างประกอบรถกระบะ Nissan มาหล่อเลี้ยงโรงงาน
ของตนอย่างสม่ำเสมอ และ Nissan เองก็สามารถนำกำลังการผลิตที่ว่างลง 60,000 คัน/ปี ในโรงงานตน
ไปเพิ่มการผลิตรถยนต์นั่ง สารพัดรุ่น ทั้งเพื่อจำหน่ายในไทย และส่งออกไปต่างประเทศอีกด้วย

แต่ในอนาคต ด้วยแผนเพิ่มยอดขาย และการเตรียมย้ายการผลิตรถยนต์หลายๆรุ่นจากญี่ปุ่น มาไว้ที่
เมืองไทยแทน ทำให้ Nissan อาจจำเป็นต้องลงทุนขยายโรงงาน หรือก่อสร้างต่อเติมโรงงานเดิม ที่
บางนา-ตราด กม. 21 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เพราะการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญยิ่งกว่าที่เคยมีมาในเมืองไทยของ Nissan เพื่อเพิ่มการเจริญเติบโต
ในไทยและอาเซียน มากถึง 3 เท่า จะเริ่มชัดเจนตั้งแต่ปี 2012 ยาวต่อเนื่องไปจนถึง 2016

เริ่มกันตั้งแต่ปี 2012 Nissan ขอกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ ในตลาดรถยนต์กลุ่ม C-Segment Compact Sedan
คืน ด้วยรถยนต์นั่งรุ่นใหม่ล่าสุด รหัสโครงการพัฒนา L12F ซึ่งจะถือเป็นการยุบรถยนต์รุ่น Sentra ในตลาด
อเมริกาเหนือ Bluebird Sylphy ในญี่ปุ่น จีนและไต้หวัน กับ TIIDA Latio มาเข้าเครื่องมูลิเน็กซ์ ปั่นๆๆๆ
โขลกๆ กันออกมา โดยเวอร์ชันจำหน่ายจริง จะมีแนวเส้นสาย บางส่วนจากรถยนต์ต้นแบบ Ellure ที่เห็นอยู่นี้
เพียงแต่ จะมีการปรับลดความล้ำยุคลงมาอีกนิดหน่อย ให้เหมาะสมกับการผลิตขายจริง โดยพยายามรักษาแนว
เส้นสายตัวถังตามจุดต่างๆ เอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม เชื่อได้เลยว่า บริเวณด้านหน้า
ของรถ จะมีหน้าตาถอดแบบมาจาก Ellure ราวๆ 80 – 90 %

เครื่องยนต์ที่จะวางอยู่ใน L12F เวอร์ชันไทย คาดว่าจะมีทั้งขนาด 1,600 ซีซี และ 1,800 ซีซี ซึ่งจะวางขุมพลัง
ใหม่ล่าสุดในตระกูล MR ที่ยังไม่เคยทำขายมาก่อน นั่นคือ MR18DD บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.8 ลิตร
พร้อมระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงตรงเข้าสู่ห้องเผาไหม้ Direct Injection ขณะที่ในตลาดอเมริกาเหนือ จะต้องมี
เครื่องยนต์ 2,000 ซีซี เวอร์ชันใหม่ มาให้ใช้ เพื่อเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าสาววัยรุ่น ซื้อรถยนต์นั่งเพื่อขับไปเรียน
หรือไปทำงาน แต่ที่แน่นอนแล้วก็คือ ทุกเวอร์ชัน สำหรับทุกตลาดของ L12F จะติดตั้งเกียร์อัตโนมัติ อัตราทด
แปรผัน Xtronic CVT กันอีก มีกำหนดเปิดผ้าคลุมกัน ในช่วงราวๆ เดือนเมษายน 2012 ในงานแสดงรถยนต์
ที่เมืองจีน

ส่วนบ้านเรา จับตาดูรถยนต์รุ่นนี้ไว้ให้ดีๆ เพราะ L12F จะถูกเปิดตัวยในเมืองไทย ตามติดตลาดโลก ในเดือน
สิงหาคม – กันยายน 2012 นี้ อย่างฉับพลันทันใจ ในช่วงระดับราคาตั้งแต่ 7 แสนบาท กลางๆ – 1 ล้านบาทต้นๆ
ไม่เกินนี้

 นอกจากนั้น ในปี 2012 น่าจะมีรุ่น Minorchange ของ Nissan March เปลี่ยนระบบ Idle Stop ให้เป็น
แบบเดียวกับเวอร์ชันญี่ปุ่น คือสามารถใช้งานได้แม้จะเปิดเครื่องปรับอากาศด้วยปุ่ม A/C Onอ รวมทั้ง
ปรับอุปกรณ์ให้ดูดีขึ้น ปรับทางเลืกรุ่นย่อยให้ลงตัวกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น คงมีแค่นั้น

ในช่วงปลายปี 2012 ถึงต้นปี 2013 Nissan จะกลับมาบุกตลาดรถตู้ เพื่อการพาณิชย์ โดย จะส่ง รุ่นเปลี่ยนโฉม
ใหม่ Full Model Change ของ Nissan All New Urvan ซึ่งตอนนี้ เพิ่งมีเวอร์ชันตัวอย่าง สำหรับตลาดญี่ปุ่น
ในชื่อ Nissan NV350 Caravan จัดแสดงให้ชมกันไปเมื่อเดือนธันวาคม ณ งาน Tokyo Motor Show ที่ผ่านมา

All New Nissan NV350 Caravan หรือ All New Nissan Urvan รหัสพัฒนา X81B ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง
Semi – Monocoque ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับโครงสร้างเฟรม แชสซีส์ ของ Nissan Navara ทั้งรุ่นปัจจุบัน
และรุ่นใหม่อีกต่อไป แต่ไปใช้พื้นฐานช่วงล่างร่วมกับรถตู้ Nissan Primastar รหัสพัฒนา X81A ที่เหมาะกับ
การพัฒนาเป็นรถตู้บรรทุกมากกว่า

จุดเด่นของ All New Nissan Urvan ที่เอาใจทั้งผู้ประกอบการและผู้โดยสารทั้งในตลาดไทยและญี่ปุ่นจน
เชื่อได้เลยว่าสามารถต่อกรกับเจ้าตลาด Toyota Hiace/Commuter แบบสบายๆ มีทั้งการเน้นความสบายใน
การขับขี่และนั่งโดยสารเป็นหลัก เครื่องยนต์มีสมรรถนะสูงกว่าคู่แข่ง ทำให้เวลาขับขึ้นเขาไม่เกิดอาการ
Overheat เหมาะกับการขับขี่ทุกสภาวะ นอกจากยังมีอัตราสิ้นเปลืองที่ดีกว่าคู่แข่งอีกด้วยมีค่าบำรุงรักษาต่ำ
ทนทาน มีประสิทธิภาพและประหยัดน้ำมันมากกว่าคู่แข่ง (เพราะ Nissan วางแผนควบคุมงานวิศวกรรม
ด้วยจุดประสงค์นี้ตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อให้วินรถตู้หรือผู้ประกอบการทั้งในเมืองไทยและญี่ปุ่นสามารถถอด
อะไหล่มา แงะหรือซ่อมแซมชิ้นส่วนภายใน “ง่ายกว่า” คู่แข่ง และทำให้ค่าบำรุงรักษาทั้งหมดต่ำกว่าคู่แข่ง
ประมาณ 25% นอกจากนี้ ยังสามารถดัดแปลงเนื้อที่ภายในให้เหมาะสมได้อย่างหลากหลายสารพัดรูปแบบ

ที่สำคัญ Urvan / Caravan ใหม่ จะมีให้เลือก ทั้งตัวถังมาตราน Narrow Body อย่างที่เห็นอยู่ในภาพนี้
(ซึ่งลำพังตัวของมันเอง ก็กว้างกว่า Hiace อยู่แล้ว) กับ รุ่นตัวถังกว้างใหญ่ Wide Body ที่จะใหญ่ชัดๆ
ฟัดเหวี่ยงกับ Commuter เลยทีเดียว Nissan เตรียมวางจำหน่าย All New NV350 Caravan ในญี่ปุ่นช่วง
ฤดูร้อนปี 2012 หรือประมาณเดือนมิถุนายน 2012 และจะถูกนำเข้ามาขายประเทศไทยด้วยชื่อ Nissan
All New Urvan ภายในช่วงก่อนสิ้นปี 2012

ตามด้วย Nissan Vannette NV200 รถตู้ไซส์กลาง ที่เปิดตัว ในญี่ปุ่นมาได้ 2 ปีกว่าแล้ว โดยจะถูกนำไปขึ้น
สายการผลิตในโรงงานที่ Indonesia และเปิดตัวในงาน Indonesia Motor Show เดือนกันยายน 2012 และ
มีกำหนดจะเปิดตัวในเมืองไทย ช่วงปี 2013

อีกคันหนึ่ง ที่มีแนวโน้มว่าจะกลับมาเปิดตัวทำลาดกันใหม่ ในบ้านเราอีกครั้ง คือ TIIDA รุ่นต่อไป
รหัสโครงการ B12D งานนี้ Nissan ตั้งใจจะทำรถออกมา ให้เป็น Hatchback จากญี่ปุ่น ที่ดีที่สุด
เท่าที่เคยมีมา โดยนำเอา Volkswagen Golf เป็น Benchmark ในการพัฒนาโดยมีการเปิดตัวล่วงหน้า
ไปก่อนแล้วที่ประเทศจีน ตั้งแต่ปลายปี 2010 ที่ผ่านมา และจนถึงวันนี้ ก็ยังไม่มีประเทศใด ที่พร้อม
ทำตลาด TIIDA ใหม่เลย

เครื่องยนต์ที่ใช้ก็จะอยู่ในพิกัด 1,600 – 1,800 ซีซี พ่วงด้วยเกียร์ CVT เช่นเดียวกัน กำหนดออกสู่ตลาด
ในญี่ปุ่น คาดว่าน่าจะอยู่ในปีนี้ 2012 ส่วนเวอร์ชันไทย น่าจะ โผล่มาขายขึ้นโชว์รูมกันได้ ช่วงต้นปี 2013
ว่าไงๆก็คือ เปิดตัวตามหลัง Nissan L12F อย่างแน่นอน

นั่นเท่ากับว่า Nissan จะมีรถยนต์ในกลุ่มตลาด C-Segment Compact Class สำหรับตลาดเมืองไทย
และตลาดโลก มากถึง 2 คัน แยกรุ่น แยกกลุ่มลูกค้าเป้าหมายชัดเจน และเป็นรถยนต์ที่อาจจะใช้
ชิ้นส่วนอะไหล่วิศวกรรมภายในที่มองไม่เห็นร่วมกันได้ แต่ไม่อาจใช้ชิ้นส่วนเปลือกตัวถังภายนอก
ร่วมกันได้เลยแต่อย่างใด

ส่วนใครที่ยังรอการมาถึงของ Nissan Juke อยู่ คงต้องรอลุ้นกันต่อไป ว่า หลังการนำไปขึ้นสายการผลิต
ที่อินโดนีเซียแล้ว จะมีโอกาส ส่งมาขายในเมืองไทยได้มากน้อยแค่ไหน เพราะยังมีปัญหา ในเรื่อง
กฎเกณฑ์การใช้ชิ้นส่วนภายในภูมิภาคอาเซียน เป็นอุปสรรคใหญ่ เนื่องจาก รถรุ่นนี้ จะต้องถูกส่ง
ชิ้นส่วน CKD จากญี่ปุ่น ไปยัง อินโดนีเซีย เกือบจะทั้งคัน ทำให้อาจไมได้รับสิทธิประโยชน์ด้าน
ภาษีมากพอที่จะช่วยกดราคาขายปลีกให้ต่ำลงได้ ยิ่งถ้าอยากได้เครื่องยนต์ 1.6 DDT Turbo 190 แรงม้า
ยิ่งแทบจะเป็นไปได้ยากเย็น เพราะราคาขายปลีก ก็ต้องแพงยิ่งขึ้นไปอีก เผลอๆ มีสิทธิ์อาจจะเกิน
1 ล้านบาทด้วยซ้ำ ดังนั้น หากจะมาเมืองไทย ในเบื้องต้น เครื่องยนต์ 1,500 ซีซี เชื่อมด้วยเกียร์อัตโนมัติ
Xtronic CVT ดูจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด สำหรับการทำราคาให้ถูกมากเท่าที่ลูกค้าพอจะจ่ายกันไหว คือ
ไม่เกิน 1 ล้านบาทแน่ๆ แต่ว่าจะถูกลงไปได้มากแค่ไหนยังเป็นคำถามที่ไม่มีใครตอบได้ และจนถึง
ตอนนี้ ก็ยังไม่แน่ชัดเลยด้วยซ้ำ ว่า สรุปแล้ว Nissan จะนำ Juke น้อย เข้ามาขายเอง ไม่แบ่งเค้ก กับ
ผู้ค้ารายย่อย เกรย์มาร์เก็ต ทั้งหลาย ได้หรือไม่? ถ้าทำได้ เร็วสุดที่เราจะได้เป็นเจ้าของกัน คือปี 2012
หรือไม่เช่นนั้น ก็คงหมดสิทธิ์ทำตลาดในบ้านเราไปอย่างน่าเสียดาย

ปี 2013 จะเป็นปีที่ ตลาด D-Segment จะสนุกสนานอีกครั้ง เมื่อ Nissan จะจับ Teana ไปเปลี่ยนโฉม
ใหม่หมดทั้งคันในแบบ Full Modelchange ซึ่งในช่วงป 2011 ที่ผ่านมา ภาพถ่าย Spyshot จากฝั่ง สหรัฐฯ
หลุดออกมาอย่างต่อเนื่อง

เหตุผลก็คือ Nissan มีแนวคิดจะจับ Teana กับ Altima Sedan ขนาดกลางสำหรับตลาดอเมริกาเหนือ
ยุบรวมเข้าด้วยกัน เป็นรถยนต์ที่ใช้ตัวถังเดียวกัน แต่ขายในชื่อที่ต่างกัน ดังนั้น เท่ากับว่า Teana
รุ่นต่อไป ก็จะเป็นฝาแฝดกันกับ Altima ใหม่ ครบทั้งคัน จากเดิมที่มีความเกี่ยวดองแค่การใช้พื้นฐาน
โครงสร้างวิวกรรม กับพื้นตัวยถังร่วมกันมาตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา

เส้นสายของ Teana เจเนอเรชันที่ 3 ถูกออกแบบให้ดโฉบเฉี่ยวขึ้นให้มีความเป็นวัยรุ่น และมีความเป็น
หนุ่มมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ดูแล้ว ไม่เพียงแค่ผู้ใหญ่วัย 50 – 60 ปีจะชอบ แต่เด็กรุ่นหลัง อายุ 30 ปี เห็นแล้ว
ก็ต้องชื่นชอบด้วยเช่นกัน เป็นงานที่ยาก แต่ท้าทาย ไม่เบา ด้านขุมพลังนั้น เวอร์ชันไทย ก็จะยังคงวาง
เครื่องยนต์ QR20 บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร แต่จะมีการปรับรายละเอียดภายในอีกรอบ และ
จะมีการย้ายฐานการผลิตเครื่องยนต์รุ่นนี้ มาไว้ในเมืองไทย (เพราะต้องใส่ในรถยนต์รุ่นอื่นๆด้วย)

ที่สำคัญ คราวนี้ เราอาจจะได้เห็น Teana HYBRID บนพื้นฐานเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว
2.5 ลิตร พ่วงกับมอเตอร์ไฟฟ้า และแบ็ตเตอรี กันอย่างจริงจัง เท่ากับว่า งานนี้ Toyota จะไม่ใช่ค่ายเดียว
ที่ประกอบรถยนต์ HYBRID ขายในเมืองไทย อีกต่อไป เพราะ Nissan เอง ก็วางแผนเรื่อง Teana HYBRID
มานานมากแล้ว
 
กำหนดการปิดตัวในตลาดโลก จะอยู่ที่เดือนพฤษภาคม 2012 แต่จะมีกำหนดเข้าสู่เมืองไทย ช่วง ไตรมาส 3
ของปี 2013 ถือว่า จะเป็นปีที่ Nissan ต้องเปิดตัว รถยนต์ D-Segment ของตน ชนกับ Honda Accord ใหม่พอดี
และต้องประกบกับ Toyota Camry ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านั้น 1 ปี ท่าทางงานนี้ จะสนุกไม่เบาเลยทีเดียว

และในปีเดียวกัน Nissan จะต้องเปิดตัว รถกระบะ Navara Full Model Change ซึ่งอาจจะมีการย้าย
ฐานการผลิตรถกระบะทั้งหมด ยุบไปไว้ยังโรงงาน Mitsubishi Motors ที่แหลมฉบัง ในฐานะ ที่ทั้งคู่
ร่วมกันพัฒนารถกระบะรุ่นต่อไป ของทั้ง Triton และ Navara ขณะเดียวกัน Nissan เอง ก็กำลังกุมขมับ
อยู่ ในเรื่องฐานการผลิตรถกระบะรุ่นใหม่ เพราะทางสหภาพแรงงาน ณ โรงงาน Nissan Iberica ที่สเปน
ก็ยังเรียกร้องให้มีการผลิตรถกระบะรุ่นใหม่ ที่โรงงานของตนต่อไป เพราะไม่เช่นนั้น โรงงานจะเลี้ยง
ตัวเองต่อไปได้ยาก และอาจต้องมีการปลดคนงาน รวมทั้งเกิดการว่างงานขึ้นในสเปนอีกไม่น้อย แต่
ในเมื่อต้นทุนการผลิตที่สเปน ค่อนข้างสูงเอาเรื่อง ทำให้ Carlos Ghosn เอง ก็คงต้องกดเครื่องคิดเลข
คำนวนความเสี่ยงให้ดีๆ

ถ้าถามว่าเร็วไปหรือไม่ กับการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ คงต้องเตือนสติกันสักหน่อย เราต้องไม่ลืมว่า Navara
รุ่นปัจจุบัน เปิดตัวในตลาดโลกมาตั้งแต่ปี 2003 และเหตุที่เข้ามาประกอบขายในไทยล่าช้า จนถึงปี 2007
มาจากความขัดแย้งภายใน ระหว่าง บริษัทแม่ในญี่ปุ่น กับกลุ่มสยามกลการ ในวันที่ ฝ่ายหลัง ยังไม่
ตกลงใจจะขายหุ้นให้กับฝ่ายแรก นั่นเอง ดังนั้น ปี 2013 ก็จะถือว่า ครบ 10 ปี ในการทำตลาด Navara
ทั่วโลก พอดี นั่นเอง

และในปี 2013 Nissan ยังมีอีกภาระกิจที่ต้องทำ นั่นคือ การจับเอา 3 ขุนพลในกลุ่ม SUV สำหรับตลาด
แต่ละทวีป ทั้ง Nissan X-Trail สำหรับตลาดญี่ปุ่น และเอเซีย Nissan Rogue สำหรับตลาดอเมริกาเหนือ
และ Nissan Qashqai +2 สำหรับยุโรป มายุบรวมเป็น Nissan X-Trail เจเนอเรชันที่ 3 และจะมาใน
รูปลักษณ์ ที่ฉีกแนวไปจาก 2 รุ่นเดิม จนสวยล้ำเหนือทุกจินตนาการ! ถูกพัฒนาขึ้น โดยใช้พื้นตัวถัง
สำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้าขนาดกลาง รายละเอียดทางเทคนิคต่างๆ ยังเร็วไปที่จะพูดถึงในตอนนี้

กำหนดการเปิดตัวจะเริ่มจากตลาดอเมริกาเหนือ ในปี 2013 โดยใช้ชื่อ Nissan Rogue เจเนอเรชัน 2
ส่วนในเมืองไทย Nissan เตรียมจะย้ายฐานการผลิตของ X-Trail ใหม่ มายังประเทศไทย อีกเช่นกัน
ในปี 2014

(Qashqai ที่จะถูกยุบเข้าไปกับเพื่อนพ้อง จะโดนเฉพาะรุ่น 7 ที่นั่งเท่านั้น ส่วน Qashqai / Dualis 5 ที่นั่ง
รุ่นปกติ จะยังมีรุ่นใหม่ Full Model Change สำหรับตลาดยุโรปต่อไปตามเดิม และแน่นอนว่า ไม่เข้ามา
ขายในเมืองไทย เพราะมี X-Trail ใหม่อยู่แล้ว)

ไม่เพียงเท่านั้น X-Trail ใหม่ จะเปิดตัวในสหรัฐอเมริกา เดือนกันยายน 2013 ในชื่อ Nissan Rogue ใหม่
จะยุบQashqai +2 Rogue และ X-trail เป็นรถคันเดียวกัน แล้วจะย้ายไลน์มาประกอบในไทย ปี 2014

นอกจากนั้น ปี 2013 ก็จะมีรุ่นปรับโฉม Minorchange ของ Nissan Almera ออกมาอีกด้วย

ส่วนความคืบหน้าของ อนาคต Nissan LEAF ในบ้านเรานั้น Nissan พยายามเริ่มปูทางการทำตลาด ด้วยการ
นำมาให้สื่อมวลชน (รวมทั้ง Headlightmag.com ของเรา) ได้ทดลองขับ ทำรีวิวไปแล้ว และนำไปอวดโฉม
ในงาน Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคม 2011 และล่าสุด ในงาน B.O.I Fair 2011 (ซึ่ง
เริ่มตั้งแต่วันนี้ จนถึง 20 มกราคม 2011) หลังจากนี้ เหลือที่การเจรจากับภาครัฐ ในการลงทุนด้านการจัดหา
ด้านการผลิต การส่งเสริมพิเศษด้านภาษี การลงทุนด้านตู้ชาร์จไฟสาธารณะตามสถานที่ต่างๆ ฯลฯ Nissan
ยังมีงานต้องทำอีกมาก กว่าจะพร้อมนำ LEAF เข้ามาทำตลาดจริงในเมืองไทย ซึ่งคาดว่า เร็วที่สุด ก็คงจะ
อยู่ในช่วงปี 2014 ซึ่งน่าจะเป็นช่วงที่ LEAF เวอร์ชันใหม่ แล่นได้ไกลกว่าเดิม น่าจะคลอดออกมาพอดี

และพอล่วงเข้าปี 2015 Nissan Navara SUV ที่จะต้องออกมาต่อกรกับทั้ง Toyota Fortuner Next Generation
(IMV-2) Chevrolt Trailblazer , Ford Everest Next Generation และสร้างขึ้นบนโครงสร้างวิศวกรรมร่วมกับ
Mitsubishi Pajero Sport รุ่นต่อไป ก็จะมีกำหนดคลอดในปีนั้นเช่นกัน

ทั้งหมดนี้ ก็คือแผน “คร่าวๆ” ที่ Nissan ตั้งใจจะก้าวขึ้นแท่น เบอร์ 2-3 ของตลาดรถยนต์รวมในไทย ให้ได้

——————————————

PEUGEOT
2012 : 508 มาแล้ว / 4007 (Outlander) เอาอย่างไรต่อ?
           408 Sedan Made in Malaysia / 4008
           4008 (RVR / ASX) คาดว่าจะทำในมาเลย์  เพราะเชื่อว่า ยอดขายรถประเภทนี้ จะเพิ่มขึ้นตลอด

ถึงแม้ ค่ายเสือสำอางค์เมืองน้ำหอม ภายใต้การดูแลของ บริษัท ยูโรเปียน ออโตโมบิลล์ จำกัด
อดีตบริษัทในเครือยนตรกิจ ที่ตอนนี้ แยกตัวจากกลุ่ม เดิมเรียบร้อยแล้ว จะทำตลาดแบบเงียบๆ
มาตลอดทั้งปี กระนั้น ก็สามารถทำยอดขายให้มีอัตราเจริญเติบโตได้ถึง 82.5 % สำหรับรถใหม่
ในปี 2011 ถูกเปิดตัวไปแล้ว บนเวทีงาน Motor Expo  นั่นคือ Peugeot 508 HDi Sedan ขนาด
กลาง D-Segment คันใหม่ ที่เปิดตัวเพื่อทำตลาดแทนรุ่น 407 ซึ่งตกรุ่นไปในตลาดโลกเรียบร้อย
แล้วตั้งแต่ปี 2010 โดยเวอร์ชันไทย จะวางเครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร
HDI Turbo 163 แรงม้า ที่ 3,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 34.6 กก.-ม. หรือ 340 นิวตันเมตร ที่
2,000 รอบ/นาที เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ Tiptronic จุดเด่นของอุปกรณ์ติดรถอยู่ที่ชุดเครื่องเสียง
JBL Hi-Fi 10 ลำโพง ระบบกะระยะช่องจอด Pararell Parking System ไฟหน้า Xenon พร้อม
Daytime Running Light ด้วยหลอด LED ไฟหน้า Cornering Headlamp ระบบควบคุม ESP
พร้อมระบบป้องกันล้อล้อก ABS ระบบกระจายแรงเบรกฉุกเฉิน EBD ระบบเพิ่มแรงเบรก
EBA เบาะหน้า และเบาะหลังปรับได้ด้วยไฟฟ้า รีโมทกุญแจ Keyless ติดเครื่องยนต์ด้วยปุ่ม
Push Start มี ระบบ Bluetooth ช่องเสียบ USB เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ แยกฝั่ง 4 Zone
ซ้าย – ขวา หน้า – หลัง ฯลฯ ที่ต้องลงสเป็กให้ละเอียดขนาดนี้ เพราะกลัวคนไม่รู้ว่า มีของดี
อยู่ในรถ เนื่องจากปกติ ไม่ค่อยทำตลาดกันเท่าใดนัก

นอกนั้น Peugeot ก็ยังมี 207 Sedan  207 CC RCZ 308cc Bipper Metro และ รถตู้ Expert
ทำตลาดไปเรื่อยๆ ตามแต่ลูกค้าจะยังต้องการอยู่

ปี 2012 นี้ เราได้แต่หวังจะเห็นรถยนต์รุ่นใหม่ ทะยอยเข้ามาทำตลาดในบ้านเรากันเสียที
อย่างเช่น Peugeot 4007 ซึ่งเป็น Crossover SUV ขนาดกลาง ฝาแฝดร่วมกับ Mitsubishi
Outlander ซึ่งก็ยังไม่นำเข้ามาเสียที ข้อดีอย่างหนึ่งของการซื้อรถ 4007 ในเมืองไทยก็คือ
ข้าวของเครื่องยนต์กลไกในอนาคต หากเสีย พัง นอกจากเข้าศูนย์บริการได้แล้ว ยังพึ่งพา
เซียงกง จากญี่ป่นได้อีกด้วย เพราะถอดสลับสับกันใส่ได้ กับ Outlander และ Lancer EX
ได้ในบางชิ้นอยู่ ยกเว้นแค่เปลือกตัวถังด้านหน้าทั้งหมด

อีก 2 รุ่นที่อยากให้ดูกันไว้ เพราะมีความเป็นไปได้มากกว่าใครเพื่อน นั่นคือ Peugeot
408 ซึ่งเป็น C-Segment Compact Sedan ขนาดกลาง ที่ใช้วิธีการนำ รถยนต์ Compact
Hatchback รุ่น 308 มาเปลี่ยนบั้นท้าย เพิ่มบานประตูเข้าไป ออกแบบให้เป็นไปใน
แนวทางเดียวกับ 508  และเป็นรถยนต์ที่ทำตลาดเฉพาะในประเทศจีน กับภูมิภาคเอเซีย
เท่านั้น

และรุ่นสุดท้ายก็คือ Peugeot 4008 ซึ่งก็คือ Mitsubishi RVR / ASX เปลี่ยนหน้าตาใหม่
ในสไตล์ของ Peugeot นั่นเอง รถยนต์ประเภท Crossover SV ขนาดเล็ก นับวันจะยิ่ง
มียอดขายสูงขึ้นเรื่อยๆในภูมิภาคนี้ และ Peugeot เอง ก็น่าจะกำลังเล็งเห็นโอกาสใน
การทำตลาดรถยนตืรุ่นนี้ ระดับสากลอยู่ไม่มากก็น้อย

มีความเป็นไปได้สูงว่า รถยนต์ทั่ง 2 รุ่นนี้ จะถูกสั่งเข้าไปประกอบที่โรงงาน NAZAใน
มาเลเซีย ก่อนจะส่งเข้ามาขายในบ้านเรา ภายใต้เงื่อนไขพิเศษ เขตการค้าเสรี AFTA
ซึ่งจะช่วยทำให้ราคาขายหน้าโชว์รูม ถูกลงอีกนิดหน่อย

อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัยของ Peugeot ในเมืองไทย อยู่ที่ การสร้างแบรนด์ ไม่เฉพาะแค่
กลุ่มลูกค้าเดิมซึ่งรู้จักดีอยู่แล้ว แต่ได้เวลาต้องขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นกว่านี้ และดูแล
เรื่องการบริการหลังการขายให้ดีๆ ช่างที่มีความสามารถ และซื่อสัตย์ต้องอยู่ในองค์กรได้
อย่างสบายในจ เพราะไม่เช่นนั้น Peugeot ก็จะมีที่ยืนในตลาดเมืองไทย เพียงแค่ที่เห็น
และเป็นอยู่เท่านั้น

สำหรับประเด็นระดับโลกที่เกี่ยวข้องกับเมืองไทยนั้น ผมยังอยากให้เฝ้าดูความเคลื่อนไหว
ในการร่วมงานกันของ PSA Group บริษัทแม่ของ Peugeo กับทาง Mitsubishi Motors ใน
โครงการพัฒนาและผลิตรถยนต์ขนาดเล็ก Global Small ที่โรงงานแหลมฉบัง เอาไว้
ให้ดีๆ เพราะนี่อาจจะเป็น หนทางลัด สู่การเข้ามาบุกตลาดเองอย่างเต็มตัว ของบริษัทแม่
จากฝรั่งเศส ก็พอจะเป็นไปได้อยู่บ้างเหมือนกัน (ถ้าพวกเขาใจกล้าพอ และไม่ปอดแหก
ไปเสียก่อน เหมือนเช่นที่เคยถอยทัพ กลับหลังหัน หลังสำรวจตลาดบ้านเราเมื่อหลายปี
ก่อนนหน้านี้หนะนะ)

——————————————
 

 
PORSCHE
2012 : All New 911 Carrera Coupe  & Cabriolet
2012 : All New Boxster & Cayman
2013 : Baby SUV “Cajun” (Based on Q5)

ปี 2011 ที่ผ่านมา AAS Auto Service ผู้แทนจำหน่าย Porsche อย่างเป็นทางการ พยายามเน้นหนักใน
ด้านการดูแลลูกค้า ด้วยบริการหลังการขาย และการอัพเดทเครื่องมือซ่อมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยัง
ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่รับบริการหลังการขาย สำหรับรถยนต์ที่ลูกค้าซื้อจากผู้นำเข้ารายย่อยมา เพื่อ
ตัดปัญหาความปวดหัวนานับประการอันอาจจะตามมา

ขณะเดียวกัน AAS ยังเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ Porsche Panamera HYBRID ในเมืองไทย อย่างเป็น
ทางการแล้ว เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2011 ติดป้ายราคาเริ่มต้นไว้เพียง 9,600,000 บาท ซึ่งถือว่า แอบถูก
กว่าที่คิดเอาไว้นิดหน่อย วางเครื่องยนต์ V6 DOHC 2,995 ซีซี 333 แรงม้า (PS) เชื่อมกับมอเตอร์ไฟฟ้า
47 แรงม้า โดยมอเตอร์จะทำงานในช่วงความเร็วต่ำ เป็นหลัก เพื่อเน้นความประหยัดน้ำมันในเมือง

แต่หลังจากนั้นเพียงสัปดาห์เศษ  วันที่ 23 สิงหาคม 2011 Porshce ในเยอรมัน เผยภาพชุดแรกของ
Porsche 911 Full Model Change และนำไปเปิดผ้าคลุมครั้งแรกในโลก ณ งาน Frankfurt Motor Show
ตามติดด้วยงาน Tokyo Motor Show (พร้อมกับเผยโฉม Panamera GTS เป็นครั้งแรก) แล้วพอถึงงาน
L.A Auto Show ก็ยังมีรุ่นเปิดประทุน ตามติดออกมาให้ลูกค้ามหาเศรษฐี เลือกกันตาลายไปข้างนึง

911 ใหม่จะมาถึงเมืองไทย ในปี 2012 นี้อย่างแน่นอน และคาดว่าคงจะเป็นรุ่น Carrera ธรรมดา
เครื่องยนต์ 3.4 ลิตร 350 แรงม้า (BHP) และ รุ่น Carrera S เครื่องยนต์เดียวกัน แต่แรงขึ้นเป็นระดับ
400 แรงม้า (BHP) ในเบื้องต้น ส่วนรุ่นเปิดประทุนจะส่งมาเปิดตัวในบ้านเราพร้อมกันเลยหรือไม่
คงต้องติดตามดูกันต่อไป

ขณะที่ความเคลื่อนไหวของน้องเล็ก ทั้งรุ่น Boxster เปิดประทุน และ Cayman หลังคาแข็ง ก็ยังคง
อยู่ในระหว่างการพัฒนา และใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว เตรียมเปิดตัวได้ ในปี 2012 นี้ พร้อมกับ
สารพัดเวอร์ชันใหม่ๆ ของ ตระกูล 911 ที่จะทะยอยออกสู่ตลาดกันแทบจะทุกไตรมาส แต่คาดว่า
AAS น่าจะสั่งเข้ามาทำตลาดในบ้านเรา ราวๆ ปี 2013

ส่วนการพัฒนา 918 Spyder รถสปอร์ต Plug-in Hybrid ที่ใช้งานได้ทั้งน้ำมันเบนซิน และ เสียบชาร์จ
กับปลั๊กไฟบ้าน วางขุมพลัง V8 DOHC 32 วาล์ว 3,400 ซีซี 500 แรงม้า (PS) กลางลำตัว (Mid-Engine)
เกียร์อัตโมัติ  Dual Clutch PDK 7 จังหวะ ถ่ายทอดกำลังสู่ มอเตอร์ 2 ตัว ที่ล้อคู่หน้า และ อีก 1 ตัว ที่
ล้อคู่หลัง รวมกันอีก 218 แรงม้า (PS) ก็ยังไม่เสร็จสิ้น คาดว่าในปี 2012 จะต้องมีความเคลื่อนไหว
เพิ่มเติมเล็ดรอดออกมาให้เราได้ทราบกันอีกครั้ง

เช่นเดียวกับ โครงการพัฒนา Crossover SUV ขนาดเล็กกว่า Cayenne บนพื้นฐานงานวิศวกรรมร่วมกับ
Audi Q5 ในชื่อ Porsche Cajun (นี่เขาคิดจะตั้งชื่อเรียกยากๆกันแบบนี้ต่อไปอีกนานไหมเนี่ย? “เยอะ”
พอกันกับ ผู้ผลิตรถสปอร์ตอิตาเลียนจอมเรื่องมากเหล่านั้นเลยจริงๆเชียว!)  พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ การ
นำเอา Cayenne รุ่นล่าสุด ไปย่อส่วน ให้นั่งได้ 5 คน และทำตลาดในราคาย่อมเยาลงอีกด้วย โครงการ
Cajun ยังคง เดินหน้าไปตามแผนงานเดิม และมีกำหนดจะเปิดตัวเวอร์ชันจำหน่ายจริงได้ ในปี 2013
 
——————————————–

PROTON
2012 : New Espira (Persona’s Replacement, Based on Tuah Concept)
           New Crossover Minivan Based on Exora

 
ปีที่ผ่านมา ผู้ผลิตรถยนต์จากแดนเสือเหลือง มาเลเซีย ยังคงทำตลาดรถยนต์ Proton ไปเรื่อยๆ โดยกลุ่ม
PNA พระนครยนตรการ เป็นผู้ดูแลการตลาด ภายใต้การสอดส่องของ Proton Thailand บริษัทซึ่ง ทาง
บริษัทแม่ เข้ามาตั้งกิจการไว้คอยดูความเคลื่อนไหวของตลาดเมืองไทย โดยเน้นไปที่ Minivan รุ่น EXORA
ซึ่งยังคงขายได้เรื่อยๆ เช่นเดียวกับ Proton SAGA Sedan Minorchange หรือ Savvy ตัวถัง Sedan 4 ประตู
ที่พอจะมียอดขายไปได้นิดๆหน่อยๆ รวมทั้ง Proton Persona CNG E20 รถยนต์พลังงานสารพัดทางเลือก
เติมกันได้หลายชนิด อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวของ Proton ในปีที่ผ่านมา ยังถือว่าเงียบๆ อยู่

จะว่าไปแล้ว ในต่างประเทศเอง Proton ก็อยูในภาวะการเงินที่ไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากปัญหาด้านคุณภาพ
ของตัวรถ ที่สะสมกันมาในสายตาของชาวมาเลเซีย และตลาดโลก ตลอด 25 ปีที่ดำเนินกิจการมา แม้ว่า
ตอนนี้ จะมีการปรับโฉม Minorchange ให้กับ Proton Exora กระตุ้นตลาดกันในแดนเสือเหลือง ชื่อว่า
Proton Expora Bold ก็ได้แต่มองว่า นี่คงจะเป็นรถยนต์รุ่นใหม่นี้ มาทำตลาดในเมืองไทย ช่วงปี 2012
ส่นว Crossover Minivan ที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานของ Exora ก็ยังอยู่ในแผนการพัฒนาเช่นเดียวกัน

ส่วนโครงการอื่นๆ อย่างเช่น Compact Sedan รุ่น Espira ที่จะต้องเข้าทำตลาดแทน Proton Persona
รุ่นปัจจุบัน ก็ยังพัฒนากันอยู่ และมีรถยนต์ต้นแบบออกแล่นทดสอบกันอยู่ คาดว่าคงจะเผยโฉมได้
ในปี 2012 นี้ แต่จะเข้ามาเปิดตัวในบ้านเรา ทันช่วงปลายปีหรือไม่ ยังเป็นเรืองที่ต้องคอยดูกันต่อไป

——————————————–


 
SKODA
2012 : Rapid กับ Citigo ใครจะมา?

2011 เป็นปีที่ Headlightmag.com ของเรา เห็นความตั้งใจในการกลับมาทำตลาดรถยนต์ Skoda
ของ Skoda . MTM-Thailand / DAD ยนตรกิจ แต่ก็ยังเห็นปัยหาติดขัดหลายอย่าง ทำให้การ
ทำงานเดินหน้าสร้างยอดขาย และขยายศูนย์บริการ ยังทำได้ไม่ราบรื่นเท่าที่ควร กระนั้น การ
นำเข้า Skoda Superb 1.8 TSI รวมทั้ง Skoda Yeti 1.2 TSI ในงาน Bangkok International
Motor Show ตามด้วย Skoda Fabia RS 1.4 TSI ตัวแสบ ที่เปิดตัวเมื่อ 12 กันยายน 2011 และ
ปิดท้ายด้วย Skoda Superb Combi ตัวถัง Station Wagon ในงาน Motor Expo เดือนธันวาคม
ที่ผ่านมา ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า คราวนี้ พวกเขา เอาจริง

อย่างไรก็ตาม ปี 2012 ยังคงไม่มีความชัดเจนว่า จะมีรถยนต์รุ่นใหม่ รุ่นใด เปิดตัวในบ้านเรา
ได้หรือไม่ ระหว่าง Skoda Rapid รถยนต์นั่ง พิกัดขนาด B-segment Sub-Compact Sedan ที่
ผลิตขึ้นจากโรงงานของ Skoda ในอินเดีย เครื่องยนต์ 4 สูบ 16 วาล์ว 1.6 ลิตร หรือว่าจะเป็น
Skoda Citigo อันเป็นรถยนต์ Hatchback 3 ประตู ขนาดกระทัดรัด กลุ่มตลาด Sub B-Segment
ฝาแฝดของ Volkswagen UP ขุมพลัง 1.2 ลิตร ทั้งคู่ เป็นรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด ที่เปิดตัวตามกัน
ในตลาดโลก ตลอดปี 2011 ที่ผ่านมา

ทางเลือกอยู่แค่เพียงว่า ความเป็นไปได้ในการทำราคาขาย จะมีมากหรือน้อยแค่ไหน บริษัทแม่
ในสาธารณรัฐเชค และสำนักงานใหญ่ของ Volkswagen ในเยอรมัน จะช่วยเหลือมากน้อย
เพียงใด ถึงตอนนี้เราคงต้องรอดูกันต่อไป

——————————————–


 
SSANGYONG
2012 : Small Size Crossover SUV

ผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 4 จากเกาหลีใต้ ซึ่งเน้นการทำตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ ยังไม่ตาย
ยังคงอยู่รอดมาได้ หลังจากที่ กลุ่ม Mahindra & Mahindra จากอินเดีย ชนะการประมูล
เพื่อเข้าซื้อ กิจการของ Ssangyong ในเกาหลีใต้ เป็นผลสำเร็จ นับจากนั้น ก็ไม่ค่อยมี
ข่าวคราวอะไรโผล่ออกมาให้ได้ยินมากมายนัก

เช่นเดียวกับความเคลื่อนไหวของ Ssangyong ในบ้านเรา ตลอดปี 2011 ก็ยังคงเงียบสนิท
ยิ่งกว่าเป่าสาก ต่อเนื่องมาจากปี 2010 กันตามเดิม หลังจากที่เผยโฉม Korando เจเนอเรชัน
ใหม่ล่าสุด ก็ยังไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่ๆ รุ่นอื่นๆ เปิดตัวกันเท่าใดเลย ขณะที่ศูนย์บริการ ก็
ยังคงทำหน้าที่ดูแลซ่อมบำรุงรถยนต์ของลูกค้าไปเรื่อยๆ ไม่ได้เดือดร้อนอะไรนัก

ปัญหาของ แบรนด์ Ssangyong อยู่ที่ความล้าหลังในการพัฒนารถยนต์ การก้าวตามคู่แข่ง
ทั้งในบ้านตัวเอง และในเวทีโลกไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของตลาด แนวคิดที่จะสร้างความ
แตกต่างให้กับรถยนต์ตัวเอง กลับกลายเป็นแนวคิดอันน่าหัวร่อ เมื่อรถแต่ละรุ่นออกขายจริง
เพิ่งจะเริ่มดูดีขึ้น ในช่วง Ssangyong Korando ใหม่นี่เอง

อย่างไรก็ตาม ในงาน Frankfurt Motor Show เดือนกันยายน ที่ผ่านมา Ssangyong ก็ได้
เผยโฉม รถยนต์ต้นแบบ Ssangyong XIV-1 อันเป็นต้นแบบของ Crossover SUV ใน
พิกัดตัวถัง B-segment (พิกัดเดียวกับ Nissan Juke นั่นเอง) ซึ่งรถคันนี้คือ เครื่องบ่งชี้
ถึงแนวทางการออกแบบของ Ssangyong ที่จะเกิดขึ้นกับรถยนต์รุ่นต่อๆไปของพวกเขา

เวอร์ชันพร้อมจำหน่ายจริงของ Compact Crossover SUV ขนาดเล็ก คันนี้ มีแผนจะออกสู่
ตลาดโลกในปี 2012 – 2013 นี้ เมื่อถึงเวลานั้น Ssangyong ในไทย ก็คงตัดสินใจได้ว่า จะสั่ง
นำเข้ารถยนต์รุ่นใหม่ดังกล่าว เข้ามาขายในเมืองไทย ในช่วงปีใด

——————————————–


 
SUBARU
2012 : Subaru Impreza XV / Subaru BRZ Coupe (Based on Toyota FT-86)
2013 : Impreza GC

ถ้าคิดว่าปี 2010 เป็นปีที่ประคับประคองตัวแล้ว ปี 2011 ต้องถือเป็นปีที่ Motor Image Subaru บริษัท
ในเครือ Tan Chong Group จากสิงค์โปร์ ในฐานะ ผู้นำเข้า และจำหน่ายรถยนต์ Subaru จากญี่ปุ่น
อย่างเป็นทางการในไทย ต้องออกแรงพยายามงัดกิจกรรมต่างๆ ขึ้นมาเพื่อใช้ส่งเสริม สร้างแบรนด์
Subaru ให้เริ่มกลับมาเป็นที่รู้จักของผู้บริโภคในวงกว้างให้ได้อีกครั้ง ต่อเนื่องมาจากปีก่อน ท่ามกลาง
ปัญหาบริษัทแม่ผลิตและส่งมอบรถได้ไม่มากนัก จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิ นี่ยังไม่นับ
รวมกับกิจกรรมการตลาดประจำปี ทั้งรายการ Subaru Impreza Challenge เอามือแปะรถให้นานสุด
ที่สิงค์โปร์ และกิจกรรมเชิญสื่อมวลชนทดลองขับ Subaru กันเป็นคาราวานแรลลีเล็กๆ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ายอดขายจะไม่เอื้ออำนวยนัก ทว่า พวกเขาก็เริ่มมองอนาคตไปข้างหน้าแล้ว ว่า
จะต้องปั้นแบรนด์ Subaru ให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งให้ได้ ดังนั้น การประกาศแผนธุรกิจระยะยาว
จึงเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อช่วงไตรมาส 3 ของปี 2011 โดย Tan Chong Group จะจับมือกับทาง FHI
(Fuji Heavy Industries) บริษัทแม่ของ Subaru ในญี่ปุ่น เตรียมนำ Subaru XV รถยนต์ Compact
Crossover Hatchback 5 ประตู ที่ดัดแปลงต่อเนื่องจาก Subaru Impreza Hatchback 5 ประตูใหม่
ล่าสุด มาขึ้นสายการประกอบ ที่โรงงานของทางกลุ่ม Tan Chong ในมาเลเซีย เพื่อเตรียมส่งออก
สู่ตลาดในย่านอาเซียน ทั้งหมด ซึ่งก็จะรวมทั้งประเทศไทยด้วย

โดย Subaru XV เพิ่งจะมีการเผยโฉม เปิดผ้าคลุมกันในงาน Motor Expo เมื่อวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา
แต่รถคันที่เปิดตัวนั้น ยังเป็นเวอร์ชันญี่ปุ่นแท้ๆ สำหรับการทำตลาดจริงในบ้านเรา จะเริ่มตั้งแต่เดือน
สิงหาคม 2012 เป็นต้นไป โดยจะเป็นรถยนต์นำเข้าจากโรงงานของกลุ่ม Tan Chong ในมาเลเซียล้วนๆ
โดยใช้สิทธิพิเศษทางด้านอัตราภาษี AFTA มาช่วย กดให้ราคาให้ถูกลงในระดับ 1 ล้านบาทต้นๆ เท่านั้น!!

แต่การมาถึงของ XV อาจต้องทำให้ Impreza รุ่นใหม่ เปิดตัวในเมืองไทย ล่าช้าไปกว่าที่ควร หรือไม่
ก็อาจมีการตัดสินใจ ไม่สั่งนำเข้ามาขาย ด้วยเหตุผลที่ว่า ถ้าในเมื่อ Impreza ที่นำเข้าจากญี่ปุ่น มีราคา
แพงกว่า XV ซึ่งประกอบในมาเลเซีย ก็อาจทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ตัดสินใจซื้อ XV กันเป็นหลัก
มากกว่าจะซื้อ Impreza อย่างแน่นอน ดังนั้น ทางออกที่พอจะเป็นไปได้คือ การนำ Impreza มาขึ้น
ไลน์ประกอบในมาเลเซีย เป็นรุ่นต่อไป เพื่อให้สามารถทำราคาแข่งขันกับรถยนต์ C-Segment หรือ
Compact Class ด้วยกัน ได้เต็มที่ เพื่อไม่ให้ทั้ง 2 รุ่นต่างได้รับผลกระทบจากการที่มีลูกค้าเป้าหมาย
และตำแหน่งการตลาดค่อนข้างใกล้เคียงกันอยู่พอสมควร

Motor Image Subaru Thailand มีแผนจะเปิดตัว และเปิดรับจอง XV ในเดือนสิงหาคม 2012 จากนั้น
จะเริ่มส่งมอบรถยนต์คันแรกได้ ในเดือนตุลาคม 2012

อย่างไรก็ตาม เพื่อสร้างสีสันและเอาใจกลุ่มลูกค้าที่ฝันอยากได้รถสปอร์ตราคาไม่แพง Motor Image
Subaru เตรียมสั่งนำเข้า Subaru BRZ รถสปอร์ตขนาดเล็ก ขับเคลื่อนล้อหลัง ผลผลิตร่วมกันจาก
โครงการความร่วมมือกับทาง Toyota ก็จะเดินทางมาถึงเมืองไทยด้วย ยืนยันว่าจะวางเครื่องยนต์
4 สูบนอน BOXER DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร 200 แรงม้า (PS) ขับเคลื่อนล้อหลัง มีทั้งเกียร์ธรรมดา
6 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติให้เลือก กำหนดเปิดตัวอยู่ในเดือน มิถุนายน 2012 เรียกได้ว่า เปิดตัว
ตามเกาะติดตลาดโลกกันเลยทีเดียว ค่าตัวน่าจะอยู่ในระดับประมาณ 2 ล้านบาท กลางๆ ไม่น่าแพง
ไปกว่านี้
 
นั่นหมายความว่า ปี 2012 นี้ จะเป็นปีที่ Motor  Image Subaru กลับมามีสีสันในบ้านเราอย่างชัดเจน
อีกครั้งอย่างแน่นอน!

——————————————–


 
SUZUKI  
2012 April : All New SWIFT 1.2 CVT is the Suzuki’s ECO CAR !…..Confirm!!
2013        : Suzuki Ertiga (APV Replacement)
2014        : Swift Sedan (Long Wheelbase)

ถึงจะดูเหมือนว่า 2011 เป็นปีที่ Suzuki ทำตลาดรถยนต์ที่มีอยู่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Swift รุ่นเดิม SX4
Grand Vitara ,APV และ Carry ไปเรื่อยๆ ไม่หวือหวามากมายเหมือนก่อนหน้านั้นนัก กิจกรรมด้าน
การตลาด ก็มีอยู่บ้างไม่มากนัก

แต่แท้จริงแล้ว 2011 เป็นปีแห่งการเตรียมความพร้อม สำหรับการบุกตลาดรถยนต์นั่งในเมืองไทย ของ
Suzuki อย่างแท้จริง เพราะเป็นปีที่ โรงงานขนาดใหญ่ มูลค่า 9,500 ล้านบาท สร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว และ
อยู่ในระหว่างการติดตั้งเครื่องจักร ทดลองผลิต และฝึกอบรมพนักงาน ทั้งในไลน์ผลิต ส่วนงานด้านต่างๆ
ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งซัพพลายเออร์ ผู้ผลิตชิ้นส่วน ต่างๆ เพื่อรองรับการเปิดตัว Suzuki Swift เจเนอเรชัน 2
ซึ่งจะกลายมาเป็น รถยนต์ ประกอบในเมืองไทยอย่างเต็มตัว และรองรับกับโครงการ ECO Car ของ
รัฐบาลไทย ซึ่งเรากำลังดูกันอยู่ว่า Suzuki จะขอเข้าร่วมใช้สิทธิ์ โครงการ “รถคันแรก” กับส่วนลดสูงสุด
ไม่เกิน 100,000 บาท ของรัฐบาลด้วยหรือไม่?

Suzuki SWIFT ใหม่ ที่จะผลิตขายในเมืองไทย ไม่ใช่รุ่นปัจจุบันที่นำเข้าจากอินโดนีเซีย มาขายกันอยู่
หากแต่เป็นรุ่นเปลี่ยนโฉม Full Modelchangeที่เพิ่งเปิดตัวไปในตลาดยุโรป เมื่อ 11 มิถุนายน 2010 และ
ออกขายในญี่ปุ่น เมื่อ 26 สิงหาคม 2010 ที่ผ่าน หรือเมื่อ 1 ปีที่แล้ว ในทันทีที่เปิดตัว Swift ใหม่ ก็สามารถ
ผ่านการทดสอบการชนตามมาตรฐาน EURO NCAP ในระดับ 5 ดาว เมื่อ 1 กันยายน 2010 และยังรับรางวัล
2011 RJC Car of the year ไปเรียบร้อย เมื่อ 18 พฤศจิกายน 2010 ตามติดกัน

Swift เจเนอเรชัน 2 ใหม่ จะยังคงเป็นตัวถังแบบ Hatchback 5 ประตู มีขนาดตัวถังที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม นิดนึง
แต่จะวางขุมพลังขนาดเล็กลงจาก พิกัด 1,500 ซีซี ลงมาเป็นเครื่องยนต์ K12B บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว
1,242 ซีซี หัวฉีด EPI 91 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 118 นิวตันเมตร ยกชุดมาจากในเวอร์ชันตลาดโลกนั่นละ
มีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ 4 จังหวะ นอกจากนี้ในตลาดยุโรป ยังมีเครื่องยนต์ Diesel D13A
บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,248 ซีซี 74.8 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุดถึง 190 นิวตันเมตร ที่ 1,750 รอบ/นาที
มีเฉพาะ เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ เท่านั้น แต่ตอนนี้ แน่ชัดแล้วว่า เวอร์ชันไทย จะไม่ได้ใช้เครื่องยนต์ Diesel
กับเขาด้วย

เราคงได้แต่รอดูว่า เมื่อถึงกำหนด พร้อมเปิดตัวในงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือน
มีนาคม 2012 สเป็กของเวอร์ชันไทย จะเป็นอย่างไร อุปกรณ์มาตรฐานติดรถจากโรงงาน จะสู้คู่แข่งได้
หรือเปล่า? ที่แน่ๆ ก็คือ การผลิตจริง จะเริ่มได้ในเดือนเมษายน 2012 และพร้อมจะส่งมอบรถคันแรกได้
น่าจะเป็นช่วงเดือน พฤษภาคม หรือ มิถุนายน 2012 ช่วงแรก น่าจะมีเฉพาะรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ซึ่งตลาด
ต้องการมากกว่า หลังจากนั้น รุ่นเกียร์ธรรมดา จึงจะคลานตามออกมา ภายในช่วงปลายปีเดียวกัน

(ภาพจากเว็บไซต์ : www.motoroid.com)

หลังจากนั้น Suzuki Ertiga มินิแวน 7 ที่นั่ง บนพื้นฐานวิศวกรรมของ Suzuki Swift ก็ดูมีแนวโน้มจะถูกสั่ง
นำเข้าจากอินโดนีเซีย มาทำตลาดในบ้านเรา เพื่อทำตลาดในฐานะ รุ่นเปลี่ยนโฉมทั้งคันของ Suzuki APV
รถตู้โดยสาร 7 ที่นั่งจากพื้นฐานของ Suzuki Carry คราวนี้ Ertiga จะถูกพัฒนาบนพื้นตัวถังเฉพาะตัว และ
มีเส้นสายได้รับอิทธิพลมาจาก Suzuki Swift ใหม่อย่างชัดเจน ซึ่งก็รวมไปถึงชุดแผงหน้าปัดที่แทบจะถอด
สลับสับเปลี่ยนใส่กับ Swift ใหม่ได้เลยหลายชิ้น ในเวอร์ชันอินเดีย จะวางเครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ 1.3 ลิตร
MultiJet 90 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 200 นิวตันเมตร ส่วนเครื่องยนต์เบนซิน จะเป็นรหัส K14B 4 สูบ
16 วาล์ว 1.4 ลิตร 94 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 130 นิวตันเมตร กำหนดการเปิดตัวครั้งแรกในโลกที่งาน
Delhi Auto Expo วันที่ 7 มกราคม 2012 นี้ ที่ New Delhi ประเทศอินเดีย ชนกับงาน Detroit Auto Show
กันอย่างจัง ขอบอกกันไว้ก่อนว่า เวอร์ชันจำหน่ายจริง จะตกแต่งดีกว่ารุ่นพื้นฐาน Base Model ที่เห็นนี้

พอล่วงเข้าสู่ปี 2014 จะถึงเวลาที่ รถยนต์รุ่นที่ 2 จากโรงงาน Suzuki ที่ระยอง ถึงเวลาออกอาละวาดกันเสียที
และคราวนี้ จะเป็นรถยนต์นั่ง Sedan 4 ประตู ขนาดพิกัด B-Segment 1,200 – 1,500 ซีซี ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่า
จะเป็น Swift Sedan หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ Sedan ใหม่คันนี้ จะใช้โครงสร้างวิศวกรรมพื้นฐานของ Swift ใหม่
อย่างแน่นอน แต่จะไม่ใช่ Swift Sedan เวอร์ชันท้ายสั้นกุดใน อินเดีย แต่อย่างใด เวลานี้ ยังเร็วเกินไปที่จะ
สรุปข้อมูลของรถรุ่นใหม่คันนี้

แต่ที่แน่ๆ ความร่วมมือระหว่าง Suzuki กับ Volkswagen ที่ผู้เขียนเคยระบุเอาไว้ว่า ฝ่ายเยอรมันจะมีส่วนร่วม
ในโรงงานแห่งนี้ด้วยนั้น ถึงวันนี้ สถานการณ์ต่างๆ เปลี่ยนไปมากพอสมควร และในเมื่อทั้งคู่ เริ่มมีรอยร้าว
ที่บาดลึกเพิ่มมากขึ้นจากการที่ Suzuki ตัดสินใจ สั่งซื้อเครืองยนต์จาก Fiat มาติดตั้งในรถยนต์ SX4 รุ่นต่อไป
ของตน ก็ยิ่งทำให้ VW ถึงขั้นขุ่นเคืองใจมากขึ้น และยิ่งมีปัญหาในความสัมพันธ์มากขึ้น จนวันนี้ ทุกอย่าง
ดูเกินจะเยียวยาแก้ไขได้อีกต่อไป และค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า VW จะไม่มีส่วนมาร่วมเกี่ยวดองใดๆในเขต
โรงงานแห่งใหม่ของ Suzuki แน่ๆ

——————————————–

TATA MOTORS
ยังคงเน้น Commercial Truck กันตามเคย แต่ Nano ก็จะโผล่มา!

ปี 2011 ที่ผ่านมา Tata Motors ยังคงมุ่งเน้นการทำตลาดรถกระบะ และรถบรรทุกเพื่อการพาษณิชย์
อย่างสนุกสนาน ทั้งการเปิดตัว Tata Xenon Max Cab ในงาน Motor Expo ที่ผ่านมา มีการเปิดตัว
รถหัวลาก ซึ่งเพิ่งเริ่มทำตลาดในงาน Bus and Truck ช่วงเดือนธันวาคมเช่นเดียวกัน และลูกค้ากลุ่ม
ผู้ประกอบการด้านขนส่ง ก็ให้ความไว้ใจในเทคโนโลยีเครื่องยนต์ Diesel + CNG จากเกาหลีใต้
ที่ติดตั้งในเหล่ารถบรรทุกรุ่นใหม่นี้อย่างดี รวมทั้ง รถบัส 12 เมตร ทั้ง Low floor กับ Semi Floor
เครื่องยนต์ CNG และ รถบัสช่วงสั้น 6 เมตร เท่ากับว่าตอนนี้ Tata Motor ก็จะเอาดี ทาง Commercial
Vehicle กันอย่างเต็มรูปแบบ

อย่างไรก็ตาม โครงการ Tata Nano ก็ยังไม่ถูกเก็บเข้าลิ้นชัก เพราะในวันนี้ Tata กำลังเตรียมนำเข้า
Tata Nano จากอินเดีย มาวิ่งเล่นกันอีกรอบ เพื่อเก็บข้อมูลสำรวจตลาด เนื่องจาก การทำตลาด Nano
ไม่ใช่แค่เพียงการเปิดตัวรถใหม่ หากแต่เป็นการ เปิดกลุ่มตลาดหรือ Segment ใหม่ ที่เรียกกันว่า
Quadricycle หรือ พาหนะ 4 ล้อ ซึ่งคั่นกลางรหว่าง จักรยานยนต์ และรถยนต์ขนาดกระทัดรัดกลุ่ม
K-Car 660 ซีซี ด้วยซ้ำ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการวิจัยพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างมาก ว่าลูกค้า
ต้งการจะจ่ายค่าผ่อนส่งต่อเดือนเท่าไหร่ ระยะทางใช้งานในชีวิตประจำวันเป็นอย่างไร ค่าใช้จ่าย
ในการบำรุงรักษาที่รับได้สูงสุด อยู่ที่เท่าไหร่ ต่อการเข้าศูนย์บริการ 1 ครั้ง และปัจจัยอื่นๆ อีกมาก

โครงการนี้ ถูกเลื่อนออกมาจาก ช่วง งาน Motor Expo อย่างที่เคยประกาศไว้ตั้งแต่ช่วง เดือนมิถุนายน
ปีที่แล้ว เนื่องมาจาก สถานการณ์น้ำท่วมในภาคกลางของประเทศไทยเรานั่นเอง

ดังนั้น หลังจากนี้ ถ้าคุณผู้อ่านจะเริ่มเห็น Tata Nano กลับมาวิ่งเล่นบนถนนเมืองไทยอีกครั้ง
ก็อย่าแปลกใจนะครับ มีอยู่ไม่มาก แต่ก็เพียงพอให้ทำการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคได้แล้วกัน!
——————————————

TOYOTA / LEXUS
2012 : ALL NEW CAMRY + Camry HYBRID / YARIS Last Minorchange / Prius / GT-86 /
           NEW VIOS & COROLLA ALTIS E85 LAST Minorchange  / Vigo 5AT ไตรมาส 3 /  
           Lexus GS250 & GS 350 กุมภาพันธ์นี้  / Lexus RX Minorchange ครึ่งหลังของปี
2013 : ALL NEW VIOS. มีนาคม 2013  / ECO Car : ครึ่งหลังของปี 2013 
2014 : ALL NEW HILUX (Project Code : IMV2) / ALL NEW COROLLA ALTIS !?

ยักษ์อันดับ 1 ของญี่ปุ่นรายนี้ ยังคงเป็นอีกค่าย ที่ได้รับผลกระทบวุ่นวายมากพอสมควรจากเหตุการณ์ต่างๆ
ที่เกิดขึ้น เพราะ ถึงขั้นต้องหยุดพักการผลิต 2 ครั้ง ในรอบปี และต่อเนื่องกันเป็นเดือน รอบแรกคือช่วงเดือน
มีนาคม – เมษายน รอบที่ 2 คือช่วงเดือน ตุลาคม – พฤศจิกายน ซึ่งทำให้สูญเสียยอดผลิต และโอกาสในการ
ทำรายได้ ช่วงปีที่ผ่านมาไปอย่างมาก และนั่นส่งผลให้เกิดปัญหาชิ้นส่วนสำหรับส่งออกให้โรงงานToyota
ทั่วโลก โดยเฉพาะในเขตอเมริกาเหนือ ถึงขั้นชะงักงัน  TMAP Asia Pacific ก็ต้องวิ่งรอกแก้ปัญหากันแทบ
ตาเหลือกขาขวิดเลยทีเดียว กว่าจะเริ่มกลับมาผลิตได้อีกครั้ง ซึ่งทำให้ Toyota ประกาศงดเปิดรับจองรถยนต์
ทุกรุ่นในงาน Motor Expo (แต่เอาเข้าจริง Lexus ก็ยังสามารถทำตลาดได้ เพราะไม่ได้รับผลกระทบอะไร
เนื่องจากเป็นรถยนต์นำเข้าจากญี่ปุ่นเป็นหลัก)

รายการเปิดตัวรถยนต์ของ Toyota ในปีที่แล้ว มีทั้ง Lexus CT200h ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2011
ตามด้วยการเพิ่มสารพัดรุ่นพิเศษ ทั้ง Prius TRD Sportivo (ขายกันยังไม่ทันครบครึ่งปี ก็มีรุ่นพิเศษกระตุ้น
ตลาดกันแล้ว)  รวมทั้งรุ่นพิเศษตกแต่งแบบ TRD ของทั้ง Vios Corolla Altis และ Camry ที่สำคัญที่สุดคือ
การเปิดตัวรุ่นปรับโฉม Minorchange ใหญ่ของ Toyota Hilux Vigo ที่คราวนี้ใส่ Sub-name มาให้อีกว่า
Vigo Champ แถมยังนำนักฟุบอลชื่อก้องโลก อย่าง Ronaldo มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ (ต่อมาสงสัยกระแสยัง
ไม่บูม เลยต้องเอา พี่ป๋อ ณัฐวุฒิ พรีเซ็นเตอร์ ในแคมเปญ Vigo ประหยัดจิ๊บๆ ตลอด 2 ปีก่อนหน้านี้ มา
ร่วมประกบ Ronaldo อีกรอบหนึ่ง ตั้งใจเลยว่าจะตอกย้ำความทรงจำให้ผู้บริโภคจำแต่ว่า ตนเองเป็นแชมป์
รถกระบะที่แท้จริง ซึ่งก็มีคำถามจากผู้คนรอบวงการว่า แล้วเช่นนี้ ถ้ายอดขายของ Isuzu เกิดชนะขึ้นมาละ
จะบอกกับผู้บริโภค กันยังไง? แถมชื่อนี้ ก็ยังชวนให้นึกถึง Mitsubishi Lancer Champ เมื่อ 20 ปีก่อน อีก
ต่างหาก!

ปี 2012 Toyota จะเริ่มเปิดศึกรถยนต์นั่งกันตั้งแต่ต้นปี เริ่มด้วย Toyota Avanza ใหม่ Full Model Change
สั่งนำเข้าจาก Indonesia ทั้งคัน คราวนี้ มาในมาดใหม่ ที่ดูร่วมสมัย และโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น เพิ่มความกว้างของ
ตัวถังให้กว้างขึ้นอีกนิดหน่อย ช่วยให้การทรงตัวขณะขับขี่ทางไกลดีขึ้นอีกนิดนึง แต่ขุมพลังยังคงเหมือนเดิม
เป็นบล็อกเดิม หน้าตาเดิม จาก Daihatsu แม่งานในโครงการพัฒนา Avanza รุ่นเดิม และรุ่นใหม่นี้ อีกตามเคย

ในตลาดโลก มีเครื่องยนต์ K3-VE 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,298 ซีซี หัวฉีด EFI พร้อมระบบแปรผันวาล์ว
VVT-i 91 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 11.9 กก.-ม.ที่ 4,400 รอบ/นาที แต่เวอร์ชันไทย
จะเป็นเครื่องยนต์เดิม จากรุ่น Minorchange รหัส 3SZ-VE บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,495 ซีซี VVT-i
103 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุ 13.9 กก.-ม.ที่ 4,400 รอบ/นาที มีเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ
4 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหลังตามเคย แต่เปลี่ยนมาใช้พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS
ตามสมัยนิยม ระบบกันสะเทือนหน้า แม็คเฟอร์สันสตรัต ด้านหลังแบบ 4 Link พร้อม Lateral Rods คาดว่า
จะเปิดตัวในช่วง เดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม ด้วยค่าตัวระดับ 5 แสนปลาย – 7 แสนบาทกลางๆ คือแพงกว่า
รุ่นเดิม ไม่มากนัก

ตามติดด้วย Toyota Yaris รุ่นปรับโฉม ครั้งสุดท้าย Last Minorchange ปรับภาพลักษณ์ให้ดูสปอร์ตขึ้น
จนคล้ายกับ Vitz RS ในญี่ปุ่น รุ่นปี 2008 หรือ Yaris T Sport รุ่นปี 2009 ในยุโรป รายละเอียดวิศวกรรมยัง
เหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรไปมากนัก จะเริ่มออกขายภายในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ย้ำอีกทีว่าเป็นรถ
รุ่นเดิม ไม่ใช่รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ของเมืองนอกแต่อย่างใดทั้งสิ้น รุ่นนั้น จะไม่เข้ามาขายในไทยครับ

จากนั้นในเดือนมีนาคม ก็จะถึงเวลาเปิดศึกในตลาดรถยนต์นั่งขนาดกลาง D-Segment ด้วยการเปิดตัว
รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันแบบ Full Model Change ของ Toyota Camry ใหม่ ตามเกาะติดสหรัฐอเมริกา
รัสเซีย และญี่ปุ่น ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2011 ที่ผ่านมา

แต่คราวนี้ ในเมื่อCamry ใหม่ แยกใบหน้าออกมาเป็น 3 แบบ แตกต่างกันที่ชิ้นส่วนฝากระโปรงหน้า
เปลือกกันชนหน้า ชุดไฟหน้า กระจังหน้า และแผงไฟตัดหมอกด้านหลัง รวมทั้งฝากระโปรงหลังอีก
นิดหน่อย ตามเคย

เพียงแต่ว่า ในเมื่อ Camry เวอร์ชันญี่ปุ่น จะมีแต่ขุมพลัง HYBRID 2.5 ลิตร ใหม่ เท่านั้น ใช้กระจังหน้า
แบบเฉพาะตัว แถมเวอร์ชันอเมริกาเหนือ ก็ยังมีใบหน้าในสไตล์สปอร์ตของตัวเองอีกต่างหาก ทำให้
เวอร์ชันไทย จึงต้อง ใช้ชิ้นส่วนตัวถังด้านหน้าของรุ่นมาตรฐาน เหมือนกับ เวอร์ชันตลาดโลก กับรัสเซีย
ที่ดูหรูกว่าส่วนบั้นท้าย ทั้งเวอร์ชันตลาดดลก และญี่ปุ่น จะมีแผงไฟทับทิม และไฟถอยหลัง เต็มพื้นที่
บริเวณฝากระโปรงหลัง ขระที่เวอร์ชันอเมริกาเหนือจะไม่มีมาให้ แต่ในรุ่น HYBRID เวอร์ชันไทย
หน้าตาจะเหมือนกับเวอร์ชันญี่ปุ่นทุกประการ

ขุมพลังของ Camry ใหม่ เวอร์ชันไทย จะยังมีให้เลือกครบถ้วน เพราะโรงงานในไทยจะยังคงต้องผลิต
กันครบทีม ทั้งรุ่น 2,000 ซีซี ใช้เครื่องยนต์ 1AZ-FE ตามเดิม ตามด้วยการถอดเครื่องยนต์เดิม 2AZ-FE
2,400 ซีซีทิ้ง แล้วบรรจุเครื่องยนต์ใหม่ 2AR-FE 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,500 ซีซี Dual VVT-I จับคู่กับ
เกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติ 6 จังหวะ 180 แรงม้า (PS) รวมทั้งขุมพลัง 2,500 ซีซี HYBRID ที่จะปรับปรุง
ใหม่ไปอีกขั้น ยกชุดมาจากเวอร์ชันญี่ปุ่นและอเมริกาเหนือกันเลยทีเดียว

ส่วนรุ่น V6 3,500 ซีซี นั้น ยังไม่แน่ใจว่า Toyota จะยังคงรักษาการผลิตไว้ที่เมืองไทย เพื่อส่งออกไป
ยังออสเตรเลีย และแบ่งขายบางส่วนให้ตลาดเมืองไทยเหมือนในปัจจุบันด้วยหรือไม่ เพราะนั่นอาจ
ช่วยให้โรงงานที่นั่น ยังคงสามารถเลี้ยงตัวเอง และเลี้ยงคนงานอยู่ได้อีกทั้งปริมาณยอดขายของรถรุ่นนี้
ในเมืองไทย ไม่ได้เยอะมากพอให้เกิดความคุ้มทุน ในการตั้งเครื่องจักร เพื่อการผลิตเครื่องยนต์รุ่นนี้
เมื่อเทียบกับ Australia ที่ยังมีความต้องการเครื่องยนต์ขนาดใหญ่แบบนี้ มากกว่าเมืองไทยอยู่มาก

อีกจุดเด่นของ Camry ใหม่คือ การที่ Toyota จะลงทุน นำระบบ Telematics G-BOOK ที่มีใช้อยู่แล้ว
ในญี่ปุ่น มาเปิดตัว ให้บริการเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เชื่อมต่อกับระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS
Navigation System ทั้งหมดนี้ คุณจะได้เห็นกันอย่างแน่นอนในเดือนมีนาคม 2012 ที่จะถึงนี้

และในช่วงใกล้เคียงกันนั้นเอง Toyota จะปรับโฉม Minorchange ของ Prius ตามกำหนดเวลา ต่อเนื่อง
จากตลาดโลก ซึ่งเผยโฉมล่วงหน้าไปก่อนแล้ว เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา รูปลักษณ์หน้าตา ไม่ต่างไป
จากปัจจุบันมากนัก ดูภาพได้จาก Prius เวอร์ชันญี่ปุ่น ที่สำคัญคือ จะมีการติดตั้งกระจกมองข้างพับด้วย
ไฟฟ้า และน่าจะมีการทำระบบปลดล็อกให้เข้าเกียร์ว่าง (เกียร์ N) ได้ เพื่อความสะดวกของลูกค้าคนไทย
เป็นกรณีพิเศษ สำหรับการจอดรถซ้อนคันอย่างจำเป็น

คล้อยหลังจาก 4 รุ่นข้างต้นแล้ว Toyota ยังเตรียมจะสร้างสีสัน ให้ตลาดรถยนต์เมืองไทย มีชีวิตชีวา
มากขึ้น ด้วยการเตรียมสั่งนำเข้่า Toyota 86 หรือ GT-86 การกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ของรถสปอร์ต
ขนาดเล็กขับเคลื่อนล้อหลัง ผลผลิตจากความร่วมมือกับ Subaru (Fuji Heave Industries) วางขุมพลัง
4 สูบนอน Boxer DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร Direct Injection D-4S 200 แรงม้า (PS) เกียร์ธรรมดา 
หรือ อัตโนมัติ 6 จังหวะ ทันทีที่เวอร์ชันญี่ปุ่นเปิดตัวในช่วงไตรมาสแรกของปี 2012 รถรุ่นนี้ จะถูกสั่ง
นำเข้ามาขายในบ้านเราทันที และคาดว่าจะพบกันบนโชว์รูม Toyota ได้ในช่วงเดือนมิถุนายน

นอกจากนี้ Toyota ก็จะเพิ่มทางเลือก เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ ให้กับ รถกระบะ Hilux Vigo Champ
ตามมาในช่วงไตรมาส 2 – 3 ของปีนี้อีกด้วย เพื่อไม่ให้น้อยหน้าคู่แข่งในตลาดคันอื่นๆ ที่เริ่มยกระดับ
ไปใช้เกียร์อัตโนมัติ 5 หรือ 6 จังหวะ กับรถกระบะของตนกันเกือบหมดแล้ว แต่ไม่ต้องคาดหวังถึง
การปรับโฉม Minorchange อื่นใดที่มากมายไปกว่านี้

ล่วงเข้าสู่ปี 2013 อันเป็นปีที่ Akio Toyoda ประธานใหญ่ของ Toyota ประกาศว่า นับตั้งแต่ปี 2013
งานออกแบบของ Toyota จะเข้าสู่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มีเอกลักษณ์ขึ้น และจะสวยงาม
ดึงดูดใจมากยิ่งขึ้น พรอ้มกันทั่วโลก

เราไม่รุ้ว่าจะจริงเท็จแค่ไหน แต่อย่างน้อย เค้าลางในประเด็นนี้ น่าจะเป็นความจริง อย่างน้อยก็คง
จะเริ่มต้นกันที่รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน Full Model Change ของ Toyota VIOS ซึ่งคราวนี้ จะมี
รูปโฉมที่โฉบเฉี่ยวมากยิ่งขึ้น และดูมีพลังมากขึ้น กว่ารุ่นปัจจุบัน แต่คงจะต้องมีการปรับแต่งให้
เหมาะสมกับ Packaging ของรถเล็กพิกัดนี้ กันสักหน่อย
 
ส่วนรายละเอียดเครื่องยนต์ ไม่แตกต่างไปจากรุ่นปัจจุบันเท่าใดนัก ยืนหยัดอยู่กับเครื่องยนต์ รหัส
1NZ-FE 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,500 ซีซี 109 แรงม้า (PS) ตามเดิม แต่อาจปรับปรุงรายละเอียดภายใน
ให้มีแรงเสียดทานน้อยลง ประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น และอาจมีแรงม้าเพิ่มขึ้นกว่าเดิม ไม่กี่ตัว ขับเคลื่อน
ล้อหน้าด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติซึ่งข้อมูลเบื้องต้นในวันนี้ ระบุว่าจะยังคงเป็น
แบบ 4 จังหวะ ขณะเดียวกัน ยังไม่มีการ สรุปว่าเวอร์ชันไทยจะเปลี่ยนมาเป็นเกียร์อัตโนมัติ CVT
หรือไม่ แต่ระบบกันสะเทือนหน้า และหลัง จะยังคงใช้ รูปแบบเดียวกับรถรุ่นปัจจุบัน เพียงแต่ อาจมี
การปรับปรุงให้มีการยึดเกาะถนนที่ดียิ่งขึ้นไปอีก ส่วน พวงมาลัย ก็จะยังคงเป็น แบบเพาเวอร์ไฟฟ้า
 EPS ที่มีการปรับแต่งให้ตอบสนองได้ดียิ่งขึ้นกว่าปัจจุบันอย่างแน่นอน

คาดว่า Vios ใหม่ จะเปิดตัวสู่สาธารณชนกันได้ ทันก่อนงาน Bangkok Motor Show จะเริ่มขึ้น
ไม่กี่สัปดาห์ น่าจะอยู่ในช่วงเดือนมีนาคม 2013 หากไม่มีการเปลี่ยนแผนใดๆ หลังจากนี้

จากนั้น ในช่วงครึ่งหลังของปี 2013 รถยนต์ ECO Car ของ Toyota จะพร้อมเปิดตัวสู่ตลาด
เป็นรายสุดท้าย หลังชาวบ้านเขา โดยในเบื้องต้น ECO Car คันนี้ จะเป็นรถยนต์ Hatchback
5 ประตู มีขนาดพอกัน หรือเล็กกว่า Yaris รุ่นปัจจุบันนิดเดียว ไม่มากนัก วางเครื่องยนต์
1.2 ลิตร ที่คาดว่าน่าจะพัฒนาร่วมกันกับ Daihatsu มีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ
CVT พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS โดยตัวรถ ECO Car ของ Toyota จะสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง
หรือ Platform เดียวกันกับ Vios รุ่นต่อไป นั่นหมายความว่า รายละเอียดงานวิศวกรรมต่างๆ
จะต้องถูกยกมาใช้ร่วมกัน เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าต่อการลงทุนมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม งานออกแบบกำลังอยู่ในช่วงใกล้จะได้ข้อสรุปแล้ว  และได้ยินมาว่า มีเส้นสาย
คล้ายคลึงกับ Mitsubishi ASX / RVR อย่างมาก มาในสไตล์เหลี่ยมสันเฉียบคม ซึ่งชวนให้
สงสัยว่า จะมีลูกค้าสุภาพสตรี ชื่นชอบจนถึงขั้นจ่ายเงินเป็นเจ้าของจับจองกันมากอย่างที่คิด
หรือไม่? ดังนั้นเราคงต้องคอยติดตามความเคลื่อนไหวกันต่อไป ตลอดทั้งปี 2012

ถ้าในเมื่อ ECO Car ของ Toyota ยังออกแบบไม่เสร็จ นั่นก็หมายความว่า โครงการเปลี่ยนโฉม
ใหม่ทั้งคัน ให้กับ รถกระบะรุ่น Hilux ภายใต้รหัสที่เรียกกันภายในบริษัทว่า IMV 2 ก็น่าจะยัง
ออกแบบไม่เสร็จ ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะเวลาที่ผ่านไป 1 ปี ก็ยังไม่เห็นความคืบหน้ามากมาย
แต่ประการใด ยังถือว่าอยู่ในช่วงเข้าสู่ขั้นตอนการออกแบบรูปลักษณ์ ทั้งภายใน และภายนอก
กันอยู่ คาดว่าเราจะเริ่มได้รับรู้ข้อมูลคร่าวๆ กันตั้งแต่ราวๆ ต้นปี 2013 แต่ที่แน่ๆ ขุมพลังของ
เวอร์ชันไทยจะยังเป็น เครื่องยนต์ตระกูล KD Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.5 และ 3.0 ลิตร
Commonrail Turbo VGT Intercooler รวมทั้งมีบานแค็บเปิดได้ แต่จะแก้ไขปรับปรุงสมรรถนะ
และการทรงตัวให้ดีขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน แล้วจะใช้ชื่อรุ่นว่าอะไร? เพราะยังมีความเป็นไปได้
ว่า Toyota จะไม่ใช้ชื่อ Vigo ต่อไป ซึ่งดูจะเป็นธรรมเนียมของค่ายนี้ ทุกครั้งที่เปลี่ยนโฉมใหม่
ทั้งคันในแบบ Full Modelchange ให้กับรถกระบะของตนอยู่แล้ว ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะสรุป
เพราะกว่าที่ Hilux ใหม่จะเปิดตัวก็ต้องรอกันไปถึงปี 2014 ดังนั้น ตอนนี้ มานั่งลุ้นยอดขายของ
Vigo Champ กันต่อดีกว่า

ท้ายสุด โครงการพัฒนา Corolla Altis รุ่นต่อไป ก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่ดี เพราะ ในรุ่นปัจจุบันนั้น
ไม่ถึงขั้นประสบความสำเร็จในตลาดโลก อย่างที่เคยเป็นมาเหมือนแต่ก่อน Headlightmag.com
มองว่า Toyota จำเป็นต้องมองหา Corolla ในแบบที่ยังคงคุณค่าของ Corolla ดั้งเดิมเอาไว้ ทั้งความ
ไว้ใจได้ ซ่อมบำรุงง่าย ราคาไม่แพง วัสดุต้องดีกว่าที่เป็นอยู่ แต่มาในรูปลักษณ์ ที่ถอดร่างจำแลง
มาจาก Toyota Crown Athlete ซึ่งนั่นคือแนวทางที่เราเชื่อว่า จะทำให้ Corolla อยู่รอดปลอดภัย
ในตลาดโลก ไปอีกอย่างน้อย 1-2 เจเนอเรชัน ก่อนที่ Toyota อาจจะคิดยุติบทบาทของ Corolla ลง
ไม่วันใด ก็วันหนึ่ง ในอนาคต

อย่างไรก็ตาม นิตยสาร MAG-X ในญี่ปุ่น ได้เผยภาพถ่ายของ Corolla Axio เวอร์ชันญี่ปุ่น ออกมา
ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2011 แล้ว และบอกได้คำเดียวเลยว่า รุปร่างหน้าตา ไม่ได้มีอะไรให้ต้อง
ลุ้นมากนัก เพราะไม่มีความน่าตื่นเต้นเหลืออยู่เท่าไหร่  อาจจะพอฟัดเหวี่ยงกับ Honda Civic
2HC ใหม่ได้ แต่ถ้าเจอ Nissan L12F ก็อาจจะดับสนิท นั่นหมายความว่า หาก Corolla Altis ใหม่
เวอร์ชันไทย จะต้องใช้รูปร่างหน้าตา จาก เวอร์ชันญี่ปุ่น (Narrow Body) มาขยายความกว้าง
(Wide Body = Altis) กันเหมือนเดิมแล้ว โอกาสที่ Corolla Altis รุ่นนี้จะไม่ประสบความสำเร็จ
ก็อาจเป็นไปได้สูง

กำหนดเปิดตัวของ Corolla ใหม่ ทั้งเวอร์ชันญี่ปุ่น และไทย ควรจะเปิดตัวในช่วงปี 2013 – 2014
เพียงแต่ว่าความเคลื่อนไหวของเวอร์ชันไทยตอนนี้ “ยังเลื่อนกำหนดการไปมาได้อย่างไร้ข้อสรุป”

มาดูแบรนด์รถยนต์หรู Lexus กันบ้าง ในไตรมาสแรกของปี 2012 นี้ Toyota Motor Thailand
จะเปิดตัว Lexus GS ใหม่ ในเมืองไทย คาดว่าน่าจะเป็นประเทศที่ 3 ในโลก และพร้อมออก
จำหน่ายในทันที มีให้เลือกครบทั้งรุ่น GS250 ขุมพลัง 4GR-FSE V6 DOHC 24 วาล์ว 2.5 ลิตร
215 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 26.5 กก.-ม.ที่ 3,800 รอบ/นาที ขับเคลื่อน
ล้อหลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ และ GS350 Navigation Package เครื่องยนต์ 2GR-FE
บล็อก V6 DOHC 24 วาล์ว 3.5 ลิตร 318 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิด 38.7 กก.-ม.
ที่ 4,800 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหลังด้วย เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ Super ECT มาพร้อมกับ
เทคโนโลยีใหม่ ระบบ LDH ซึ่งควบคุมพวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียนพร้อมเพาเวอร์แบบใช้
อัตราทดเฟืองพวงมาลัยแปรผัน Variable Gear Ratio Steering (VGRS) รวมทั้งระบบช่วย
เลี้ยวที่ล้อคู่หลัง Dynamic Rear Steering (DRS) เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการลื่นไถลในช่วง
เข้าโค้งที่ความเร็วสูง โดยค่าตัวคาดว่าคงต้องมีระดับ 3 ล้านบาท ปลาย ๆ ถึง 5 ล้านบาทต้นๆ

และในช่วงครึ่งหลังของปี จะมี Lexus RX รุ่นปรับโฉม Minorchange ยกตระกูล เข้ามา
เปิดตัวในบ้านเรา ตามติดกันเลยทีเดียว เศรษฐีชาวไทยคนไหน เริ่มเบื่อดวงดาว และใบพัด
แถมกลัวความเสี่ยงจากค่ายห่วงเยอะ ก็แปรพักตร์มาดู Lexus กันได้
——————————————–

——————————————–

VOLVO
2012 : V60 CKD Made in Malaysia
2013 : XC90 Full Modelchange  

แม้ว่าในปี 2011 Volvo จะขยันกระตุ้นตลาด ด้วยแคมเปญการตลาดแปลกๆ ไม่ว่าจะเป็นการนำ
S80 Saloon รุ่นยอดนิยมของตน มาอัพเกรดสมรรถนะด้วยอุปกรณ์ชุดแต่ง Polestar จนแรงสะใจ
ขายกันในจำนวนจำกัด รวมทั้ง แคมเปญการเงินพิเศษต่างๆ

แต่จริงๆแล้ว ปี 2011 ถือว่ามีความสำคัญ เพราะจะเป็นปีสุดท้ายที่ โรงงาน Thai Swedish Assembly
ยังคงทำการประกอบรถยนต์ Volvo ในเมืองไทย หลังจากนี้ โรงงานดังกล่าว จะหันไปประกอบ
รถบรรทุก Volvo Truck แทน เพราะในเมื่อ การนำเข้ารถยนต์นั่ง จากโรงงานของ Volvo ในประเทศ
มาเลเซีย ทำให้ต้นทุนในการทำตลาดถูกกว่า เพราะสามารถใช้สิทธิประโยชน์ตามข้อตกลงทางการค้า
AFTA ได้ แถมคุณภาพการประกอบ ก็ไม่ได้น้อยหน้าโรงงานในเมืองไทยเท่าใดนัก นั่นจึงทำให้
S80 กลายเป็นรถยนต์ Volvo ประกอบในไทย รุ่นสุดท้าย

ส่วนการนำเข้ารถยนต์ Volvo จากมาเลเซียนั้น เริ่มต้นมาตั้งแต่ ปี 2010 แล้ว ทั้งรุ่น S40 และ V50
ซึ่งทำตลาดในราคาถูกมาก เพียง 1,799,000 บาท รวมทั้งรุ่น XC60 และล่าสุด กับรุ่น S60 1.6 DRIVe
Turbo 180 แรงม้า เติมน้ำมันแก็สโซฮอลล์ E85 ได้ด้วย แต่เคาะราคาถูกมาก เริ่มต้นแค่ 1,899,000 บาท
และเริ่มได้รับความสนใจจากลูกค้าอย่างมาก แม้จะตองเลื่อนเปิดตัวจากช่วงเดือนตุลาคม อันเป็นผล
มาจากภาวะน้ำท่วมภาคกลางจนวุ่นวายกันไปหมดก็ตาม

ดังนั้น ปี 2012 นี้ สิ่งที่ Volvo ยังคิดว่า ต้องทำอยู่ต่อไป นอกเหนือจากจัดแคมเปญ ดัมพ์ราคาขาย
รถหลายรุ่น ตามงานต่างๆ จนกระชากใจลูกค้าไปได้ เยอะมาก! เพราะถูกยิ่งกว่าราคาช่วงเปิดตัว
แบบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ เหมือนอย่างที่เคยทำแล้ว นั่นคือ การนำเข้า V60 ใหม่ CKD จาก
โรงงานใน มาเลเซีย มาเปิดตัวกัน โดยคาดว่า น่าจะเป็นขุมพลัง 1.6 ลิตร Turbo DRIVe 180 แรงม้า
เหมือนกับ S60 CKD และ คาดว่าค่าตัวน่าจะอยู่ที่ปวนเปี้ยนในระดับ 2 ล้านบาทเศษๆ ไม่น่าเกิน
2.2 ล้านบาท

ส่วนในปี 2013 คาดว่าเราจะได้เห็นการเปิดตัวของ Volvo XC90 ใหม่ กันเสียที หลังจากที่รุ่นปัจจุบัน
ลากขายกันจนจะเป็น Volvo รุ่นแซยิด กันอีกรุ่นไปแล้ว รายละเอียดทางวิศวกรรมยังไม่ปรากฎแน่ชัด
แต่ที่แน่ๆ น่าจะมีเส้นสายตัวถังในสไตล์ใหม่ ซึ่งไม่ค่อยโดนใจวัยรุ่นเท่าใดนัก เพราะได้แนวทาง
มาจากรถต้นแบบ Volvo Concept Universe และ Concept You ซึ่งนำงานออกแบบของ Volvo รุ่นเก่าๆ
มา ประยุกต์ใหม่อีกครั้ง จนทื่อๆแปลกๆ ภายใต้งานวิศวกรรมต่างๆ ร่วมกับ Volvo S80 รุ่นปัจจุบัน

——————————————–
 

 
VOLKSWAGEN
2012 : All New Beetle

ผ่านไปอีก 1 ปี ที่ความเคลื่อนไหวของ ไทยยานยนตร์ ผู้จำหน่าย Volkswagen อย่างเป็นทางการ
ในบ้านเรา มีให้ได้ยินกันไม่ค่อยมากมายนัก หากไม่นับการเปิดตัวรถตู้ Caravelle Multivan ใหม่
ขุมพลัง TDI ที่กลับมาขายกันอย่างจริงจังอีกครั้ง ในงาน Motor Expo ที่เพิ่งเสร็จสิ้นลงไป รวมทั้ง
Golf GTi Minorchange ที่เริ่มสั่งนำเข้ามาขายกันบ้างแล้วไม่กี่คัน

ในเมื่อข้อสรุปก็ยังคงเหมือนเดิมว่า บริษัทแม่จะยังไม่เข้ามาทำตลาดเอง ในช่วง 1-2 ปีนี้ ดังนั้น
คำถามก็คือ แล้ว ไทยยานยนตร์ ในบ้านเรา จะสั่งรถยนต์รุ่นไหนเข้ามาขายกันอีกละเนี่ย? ได้ยินว่า
สั่งรถจากเยอรมันไป ล็อตล่าสุด ราวๆ 70 คัน และเป็นรถเก๋งไม่น้อยเลยทีเดียว

เราได้แต่คาดหวังว่า 1 ในนั้น ควรจะมี Volkswagen Beetle ใหม่ล่าสุด เจเนอเรชันที่ 3 ซึ่ง เพิ่ง
เปิดตัวไปหมาดๆในงาน Frankfurt Motor Show เดือนกันยายน 2011 และถึงแม้ว่า รุ่นที่เหมาะสม
ในการทำตลาดคือรุ่น 2.0 TSI เพราะใช้เครื่องยนต์เดียวกันกับ ทั้ง Golf GTi และ Scirocco แต่ถ้า
จะถามความเห็นของผู้คนในแวดวงรถยนต์ด้วยกัน ส่วนใหญ่ อยากเห็นการนำเข้ารุ่น 1.4 TSI
ขุมพลัง เล็กพริกขี้หนู Supercharger พ่วง Turbocharger 122 แรงม้า (HP) จนถึง 180 แรงม้า (HP)
มากกว่า เพราะน่าจะทำราคาได้ต่ำมาก ราวๆ 1.7 – 2 ล้านบาท ก็น่าจะไม่ยากเย็นนัก

Volkswagen Asia pacific ระบุว่า Beetle ใหม่จะเริ่มส่งถึงมือลูกค้าทั่วเอเซีย ในเดือนกุมภาพันธ์
2012 ดังนั้น เราคงต้องรอดูกันต่อไปว่า ภายในช่วงใดช่วงหนึ่งของปีนี้ ไทยยานยนตร์ จะนำเข้า
Beetle ใหม่ และบรรดารถยนต์รุ่นปรับโฉม Minorchange ไปแล้ว ทั้ง Passat CC กับ Tiguan
และ Scirocco ใหม่ ได้หรือไม่?

—————————————///——————————————-

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน ลิขวิทธิ์ภาพถ่ายต่างประเทศ ของ บริษัทผู้ผลิต
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
3 มกราคม 2012

Copyright (c) 2012 Text and Pictures (All of Pictures are from the Manufacturer)
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.

First publish in www.Headlightmag.com
January 3rd,2012

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ที่นี่ / Comments Are Welcome Click here!