ตลาดรถยนต์ในประเทศไทย ตลอดช่วงปี 2012 ถือเป็นช่วงเวลาหรรษาหน้าชื่นแต่อกตรมของ
ทั้งลูกค้า และผู้ผลิตรถยนต์ เพราะหลายรายพึ่งจะฟื้นตัวจากสภาพมหาอุทกภัยในเขตพื้นที่
ราบลุ่มภาคกลางกันมาหมาดๆ กำลังซื้อมหาศาลที่ชะงักงันมาตั้งแต่ปี 2011 ต่อเนื่องมาถึง
ปี 2012 ก็มียอดค้างส่งมอบมากพออยู่แล้ว ทั้งรถเก๋ง และรถกระบะ

อย่างไรก็ตาม อานิสงค์ จากโครงการให้ส่วนลดภาษี สงสุด 100,000 บาท แก่ผู้ซื้อรถคันแรก
ยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของเมืองไทยในปีนี้ เร่งผลิตกันขนานใหญ่
จนทำให้ปีนี้ นอกจากประเทศไทย จะจัดงานฉลองยอดผลิตรถยนต์ครบ 2 ล้านคัน ใน 1 ปี
ได้แล้ว ยอดขายรถยนต์ในประเทศปีนี้ ยังประมาณการกันว่าอาจเติบโตก้าวกระโดดถึง
เกินกว่า 1.2 ล้านคัน!!! ทำลายทุกสถิติ ที่เคยมีมากันเลยทีเดียว

ยิ่งโดยเฉพาะผู้ผลิตรถยนต์ 2 ราย คือ ทั้ง Honda และ Chevrolet กระหน้ำเปิดตัวรถยนต์
กันทุกเดือนชนิดแทบไม่หายใจหายคอกันทันเลย ยิ่งมีส่วนเร่งให้ผู้บริโภคเกิดการตัดสินใจ
ซื้อรถมากยิ่งขึ้น และแน่นอน ยอดสั่งจองของ Honda นั้น ค้างยาวนานมากข้ามปีไปไกล
ขณะที่ Suzuki ก็เป็นผู้ผลิตอีกราย ที่ได้รับผลกระทบ จากการผลิตส่งมอบไม่ทัน ดังนั้น
ถ้าจองรถยนต์วันนี้ อาจต้องไปรับรถกันในเดือนธันวาคม 2013 กันเลยทีเดียว! ถือว่า
เป็นปีที่ บริษัทรถยนต์ต่างเก็บเกี่ยวยอดขายและรายได้กันชื่นมื่นไปตามๆกัน

กระนั้น สิ่งที่น่าเป็นห่วง ไม่เพียงแค่ว่า ลูกค้าที่สั่งจองรถไป และยื่นใช้สิทธิ์รถคันแรก
ทัน 31 ธันวาคม 2012 จะรับรถกันได้เมื่อไหร่ การขอใช้สิทธิ์จะเรียบร้อย ได้เงินคืน
ตามต้องการหรือไม่ แต่ยังมีความเป็นห่วงจากภาคการเงินการคลังว่า ถ้าลูกค้ากลุ่มนี้
ผ่อนส่งไม่ไหว ขอคืนรถ จะทำอย่างไร เพราะถ้าผ่อนส่งไม่ไหว เท่ากับว่า เงินที่เพิ่ง
ได้รับมาจากรัฐบาล 100,000 บาท ก็อาจจะหามาคืนให้กับรัฐบาล ไม่ได้ด้วย เกิดสภาพ
หนี้ภาคครัวเรือนเพิ่มมากขึ้น

อีกทั้งปริมาณการซื้อรถอย่างบ้าระห่ำของคนไทยในปีนี้ มีแนวโน้มจะไปฉุดรั้งให้
ตลาดรถยนต์ปีหน้า เกิดการชะลอตัว ในช่วงครึ่งปีแรก พอสมควร เนื่องจาก กำลังซื้อ
ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปีหน้า ถูกเร่งให้มาตัดสินใจซื้อในรถในปี 2012 แทน
จนทำให้ตัวเลขยอดขายรถ สูงเกินกว่า การเติบโตของสภาพเศรษฐกิจที่แท้จริง

ขณะเดียวกัน บริษัทรถยนต์เอง ก็เร่งเดินเครื่องผลิตรถยนต์กันเต็มอัตราศึก ดังนั้น
โอกาสที่เราจะเห็นรถหลุด QC หรือมี Defect ก็อาจจะเกิดขึ้นได้มากกว่าช่วงที่ผ่านมา
ซึ่งก็เป็นปัญหาที่ผู้บริโภค และหน่วยงานภาครัฐ และบริษัทเอกชน ทุกฝ่าย จะต้อง
หาทางออกในการแก้ไขปัญหาระยะยาวอย่างยั่งยืนร่วมกันต่อไป

สำหรับแนวโน้มของตลาดรถยนต์ในปีหน้านั้น ปัจจัยที่น่าเป็นห่วง อยู่ที่สถานการณ์
ทั้งภัยพิบัติ ความวุ่นวายทางการเมือง ที่ยังครุกรุ่นอยู่ และพร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ จาก
ทุกขั้วฝ่าย แนวโน้มราคาน้ำมัน และปัญหาผลกระทบจากเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป
กับสหรัฐอเมริกา ที่เริ่มส่งสัญญาณมายังประเทศไทยในบางกลุ่มธุรกิจกันแล้ว

แต่ที่แน่ๆ ทุกค่าย ยังคงมีแผนเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ กันอย่างต่อเนื่อง และพร้อมเพรียง
เหมือนเช่นเคย เพียงแต่ ปริมาณ รถยนต์รุ่นใหม่ อาจจะพอกัน หรือไม่มากเท่าปี 2012

จากการรวบรวมข้อมูลในช่วงที่ผ่านมา พบว่า แนวโน้มของรถยนต์รุ่นใหม่ ที่จะเปิดตัวตลอดช่วงปี
2013 ในเมืองไทย จะเน้นหนักไปในกลุ่มรถยนต์นั่ง Passenger Car เป็นหลัก โดยมีทั้งรุ่นเล็ก
รุ่นใหญ่ ประโคมกันเปิดตัวออกมา ไม่แพ้ปี 2012 รถรุ่นสำคัญที่ควรจับตามองในปี 2013 นี้ได้แก่
Toyota Vios , Toyota Yaris (ชื่อที่สวมทับให้กับ ECO Car คันใหม่ที่ยังไม่เคยเปิดตัวที่ไหนใน
โลกมาก่อน) Honda Accord , Honda Civic HYBRID , Nissan Pulsar , Nissan All New
Teana ,Mazda CX-5 , Isuzu MU-7 Full Modelchange, Chevrolet Spin ,Chevrolet 
Sonic 1.6 ลิตร, Ford EcoSport , Ford Fiesta Minorchange, Mercedes-Benz E-Class
Minorchange กับ E300 Bluetec Hybrid และ BMW Active Hybrid 3

พอล่วงเข้าสู่ปี 2014 จะถึงเวลาที่ตลาดรถกระบะ กลับมาสนุกสนานอีกครั้ง จากการเปิดตัวทั้งบรรดารุ่น
เปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน ของทั้ง Toyota Hilux Vigo ใหม่ , Nissan All New Navara ,Mitsubishi
All New Triton และรุ่นปรับโฉม Minorchange ของทั้ง Isuzu D-Max Twin Turbo , Mazda
BT-50 PRO และ Ford Ranger

จนถึงปี 2015 จะเป็นปีสำคัญที่ ตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ กลุ่ม SUV / PPV จะร้อนแรงขึ้นยิ่งกว่าที่
เคยมีมา เพราะ เป็นปีที่แทบทุกค่าย ซึ่งมีรถยนต์ประเภทนี้อยู่ในมือ จะต้องเปิดตัว ทั้งรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่
รุ่นปรับโฉมเล็กๆน้อยๆ และรุ่นใหม่หมดจดที่ไม่เคยทำตลาดมาก่อน เช่น Toyota All New Fortuner
Mitsubishi All New Pajero Sport , Isuzu MU-7 , Nissan Navara PPV และ Ford All
New Everest

เป็นประจำทุกต้นปีที่ J!MMY จะเขียนบทความสรุปความเคลื่อนไหวของปีที่แล้ว และสรุป
ความเคลื่อนไหว ของบรรดารถรุ่นใหม่ๆ ที่จะเปิดตัวในปีนี้ พร้อมข้อมูลการพัฒนารถยนต์
รุ่นใหม่ๆ ล้ำไปไกลล่วงหน้าก่อนสื่อรายใดถึง 3 ปี เผยแพร่ลงในเว็บไซต์ Headlightmag.com
เป็นประจำ ทุกต้นเดือนมกราคม เพื่อเป็นของกำนัล สำหรับคุณผู้อ่าน ใช้เป็นข้อมูลในการ
เตรียมวางแผนซื้อรถยนต์ล่วงหน้า หรือสำหรับเป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ของผู้คนใน
แวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์

และในปี 2013 นี้ ก็เช่นเดียวกัน ความเคลื่อนไหวในตลาดรถยนต์เมืองไทยนับจากนี้ จนถึงปี
2016 จะเป็นอย่างไร จะมีรถยนต์รุ่นไหนเข้ามาผลิต และเปิดตัวในบ้านเรา ให้ได้เป็นเจ้าของ
กันบ้าง มีเทคโนโลยีอะไรที่จะเข้ามาให้ผู้บริโภคชาวไทยได้สัมผัสกันบ้าง ทุกอย่าง รออยู่ใน
บรรทัดข้างล่างนี้ทั้งหมดแล้ว…

——————————————

***หมายเหตุ***
 
1. ปีนี้ มีความเคลื่อนไหว ของรถยนต์จากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ เพียงแค่ 2 ราย นั่นคือ MG SAIC
ที่คิดจะจับมือกับ CP ตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ในเมืองไทย รวมทั้ง บริษัท Great Wall ที่ยังอยู่ในช่วง
เริ่มต้นหาลู่ทางในการทำธุรกิจในเมืองไทย ดังนั้น รายละเอียดจึงยังมีไม่มากนักในตอนนี้ ต้องขอ
ข้ามไปอีกครั้ง ยังบทความสรุปรถใหม่ 2014 – 2017 ในวันที่ 1 มกราคม 2014
 
2. ข้อมูลทั้งหมดในบทความนี้ ได้รับการตรวจสอบและยืนยันแล้วว่าถูกต้อง ตรงตามข้อเท็จจริงที่
เกิดขึ้นล่าสุด ณ วันที่นำบทความชิ้นนี้ ขึ้นเผยแพร่ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป อาจมีข้อมูลดิบและ/หรือ
ข้อมูลที่กลั่นกรองแล้วปรากฎขึ้นอีกได้ตลอดเวลา ข้อมูลเหล่านั้นอาจจะคลาดเคลื่อนหรือเพิ่มเติม
ข้อมูลเดิมจากบทความชิ้นนี้ย่อมเป็นไปได้ และเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น ทุกเมื่อ เนื่องจากรายงานข่าว
ประเภทเจาะโครงการลับ หรือ Spyshot นั้น ไม่มีสื่อมวลชนเล่มใด รายใดในโลก ที่รายงานได้
ถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง 100% ต่อให้เป็นฝรั่งมังค่าก็ตาม

คุณผู้อ่านควรติดตามข่าว “ด้วยวิจารณญาณ เหตุผลในเชิงตรรกะ หรือเกมการตลาดอย่างปราศจาก
อคติ” รวมทั้งศึกษาจากข้อมูลที่ปรากฎอยู่ในสื่ออื่นๆ ประกอบกันด้วยอยู่เสมอ เพื่อความสดใหม่
ของข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากบทความนี้ เผยแพร่สู่สาธารณชนแล้ว

3. บทความนี้ มีอายุ ในการอ้างอิงได้ 1 ปี คือนับจากวันที่ 1 มกราคม 2013 ถึง 31 ธันวาคม 2013
เท่านั้น หลังจากนี้ ให้ติดตามอ่านข้อมูลอัพเดทได้ จากบทความสรุปรถใหม่ 2014 – 2017 ในวันที่
1 มกราคม 2014

4. หากอยากจะนำบทความชิ้นนี้ ไปเผยแพร่ที่ไหน กรุณาติดต่อมาที่ [email protected]  
เพื่อ ขออนุญาตกันเสียให้ถูกต้องตามธรรมเนียม ก่อนจะนำไปเผยแพร่ ต่อไป ทั้งนี้ ขอสงวนสิทธิ์
ในการอนุญาต เพื่อให้นำไปเผยแพร่ เพื่อเป็นประโยน์แก่สาธารณชน และ ไม่ใช่เพื่อนำไปใช้ใน
ทางธุรกิจใดๆทั้งสิ้น

เมื่อได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ได้ ขอความกรุณา ขึ้นเครดิตของผู้เขียน และทำลิงค์ มายัง เว็บไซต์
Headlightmag.com ให้ถูกต้องเรียบร้อยด้วย การนำบทความไปเผยแพร่ต่อ โดยไม่ขึ้นเครดิตให้
และไม่มีการบอกกล่าวมายังข้าพเจ้า ถือเป็นการ ละเมิดลิขสิทธิ์ ผู้ละเมิด จะถูกดำเนินคดี ตามที่
กฎหมายบัญญัติไว้ สูงสุด โดยไม่มีการยอมความใดๆทั้งสิ้น!

(โดยเฉพาะพวกหน้าด้าน copy ไปโพสต์ในเว็บบล็อกตัวเองกันโครมๆ คิดว่าไม่เห็นกันเลยใช่ไหม
ถ้าเตือนกันดีๆ แล้วถ้ายังไม่ฟัง ก็จะต้องเจอไม้แข็งกันเสียบ้าง นะ ไอ้พวกมักง่ายชอบสวมรอย!
แค่ส่งอีเมล์มาขอนำไปลงเว็บกันดีๆ ผมก็อนุญาตแล้ว ไม่เห็นจะยากเย็นวุ่นวายนักหนา หากไม่ใช่
เพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้า ก็ยินดีอนุญาตให้นำไปเผยแพร่เกือบจะทุกรายอยู่แล้ว แค่ว่าใส่ชื่อ
ผู้เขียน ชื่อเว็บไซต์ และทำลิงค์ให้เว็บไซต์ของเราด้วย แค่นี้เอง หวังว่าคงไม่ยากไปนะครับ!)

——————————————

ALFA ROMEO / FIAT
The future is…still unclear (as in 2012)

เมื่อ 3 วันก่อน เว็บไซต์ Autoblog.gr ได้เผยแพร่ตาราง Roadmap การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ของ
Alfa Romeo จนถึงปี 2016 ทำให้เราได้เห็นภาพในมุมกว้างว่า Fiat วางแผนผลักดัน Alfa Romeo
ให้โตในตลาดโลกมากกว่านี้ โดยเตรียมเปิดตัวรถยนต์ระดับ B-Segment (รุ่น Giulia) ส่วนตลาด
C-Segment จะเป็นรถยนต์ Crossover คัน และ Sport Wagon ใหม่ ขณะที่ตลาดรถยนต์นั่งระดับ
กลาง D-Segment  ก็จะเป็นรถยนต์ Premium Sedan ที่ใช้พื้นฐานเดียวกับ Maserati Ghibli ใหม่
นอกจากนี้ก็ยังเตรียมออกรถยนต์รุ่นพิเศษอย่างเช่น 4C สปอร์ตคอมแพคท์ล้ำหน้า, 4C Spyder,
รถสปอร์ตฝาแฝด Mazda MX-5 ในชื่อ Alfa Romeo Duetto ทั้ 3 รุ่นนี้ จะเผยโฉมในปี 2015

แต่สำหรับเมืองไทย นี่ก็ย่างเข้าสู่ปีที่ 2 แล้ว สำหรับบรรยากาศนิ่งสนิท ไร้ความเคลื่อนไหวอย่าง
เป็นชิ้นเป็นอันของ PNA Group พระนครยนตรการ ผู้ถือสิทธิ์การทำตลาดรถยนต์ Alfa Romeo
และ Fiat ในบ้านเรา ภายใต้ชื่อ บริษัท Thai Prestige Automobile

อย่างไรก็ตาม เมื่อลองเสริชเข้าไปดูใน www.alfaromeo.com อันเป็นเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ
ของรถยนต์ค่ายงูกินเด็กแห่งอิตาลี รวมทั้ง www.fiat.com อันเป็นเว็บไซต์ทางการของต้นสังกัด
กลับไม่ปรากฎชื่อของผู้จำหน่ายในเมืองไทย อยู่ในพื้นที่ของรายชื่อผู้จำหน่ายในต่างประเทศ
แต่อย่างใด!!

คำถามก็คือ ตกลงแล้ว แม้ว่าตอนนี้ เป็นที่เข้าใจกันดีว่า Thai Prestige Automobile ยังคงถือสิทธิ์
ของการทำตลาดรถยนต์ ทั้ง 2 แบรนด์นี้ แต่ในความเป็นจริง การไม่ปรากฎชื่อประเทศไทย อยู่ใน
เว็บไซต์ของบริษัทแม่นั้น มันมีความหมายในเชิงไม่สู้ดีนัก และนั่นทำให้ โอกาสที่เราจะเห็นรถยนต์
รุ่นใหม่ของทั้ง 2 ค่ายเข้ามาขายกันต่อไปนั้น ยิ่งริบหรี่ลงไปอีก

ทั้งที่ในความจริง โชว์รูม ใกล้เมเจอร์รัชโยธิน ก็สร้างเสร็จแล้ว และยังเปิดขายรถยนต์ใหม่ อย่าง
Fiat 500 6 รุ่นย่อย ตั้งแต่ 1.69 – 2.1 ล้านบาท และยังเหลือ Alfa Romeo Brera จอดขายอยู่

แต่อย่างว่าครับ ธุรกิจในเครือของกลุ่ม PNA นั้น มีค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็น ผู้นำเข้า Proton
จากมาเลเซีย ดีลเลอร์ของ Isuzu ดีลเลอร์ของ Honda ดีลเลอร์ของ GM/Chevrolet ธุรกิจ
รถเช่า Thai Rent a Car ฯลฯ อีกมากมาย (แถมยังเป็นเจ้าของโรงงานประกอบรถยนต์ บางชัน
เยอเนอรัล แอสเซมบลี ที่ทาง Honda เคยจ้างให้ประกอบรถขายในเมืองไทยอยู่พักหนึ่งด้วย)
ดังนั้น ในเมื่อธุรกิจอื่นๆ ยังคงอยู่รอดได้อย่างสบายตัว ถ้า Fiat / Alfa Romeo จะถึงแก่การสู
ญสลายไปจากเมืองไทย ก็คงจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตนัก สำหรับกลุ่มที่เคยได้ชื่อในหมู่ผู้คนว่า
“ทิ้งทุกแบรนด์ที่ตนเคยนำเข้ามา” ตั้งแต่ Holden Opel Daihatsu และ Hyundai

กระนั้น  ก็ยังมีคนในกลุ่ม PNA เสียดาย และยังพยายามปรนะคับประคองกันต่อไปให้ได้
ยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้

คงไม่มีอะไรจะเขียนถึงได้มากกว่า การยกข้อความจากบทความสรุปรถใหม่ 2012 – 2015 ในปี
ที่แล้ว นำมาแปะไว้ตรงนี้อีกครั้งว่า

“ดูเหมือนว่า ตอนนี้ สถานการณ์ก็ยังเงียบอยู่ รู้แค่ว่าบริษัทยังไม่ปิดทิ้งหนีหายไปไหน แต่ถ้า
ความเคลื่อนไหวยังเงียบอยู่ขนาดนี้ อนาคตของแบรนด์อิตาเลียนแท้ ๆทั้ง Alfa Romeo และ Fiat
ก็จะตกอยู่ในความเสี่ยง ที่จะโดนกลืนหายไปกับเวลาแน่ๆ สักวันหนึ่ง”

——————————————

Aston Martin
2013 : New Distributor?

ในเมืองนอก มีข่าวคราวรถรุ่นใหม่กันเรื่อยๆ แถมยังเอาไปเข้าฉากในภาพยนตร์ James Bond 007
ตอล่าสุด Skyfall ด้วย ผู้จำหน่ายกว่า 139 ราย ใน 44 ประเทศทั่วโลก ยังคงเดินหน้าทำรายได้และ
ยอดขายให้กับ Aston Martin ได้อย่างสบายๆ แถมรถสปอร์ตรุ่น One77 ที่คลอดออกมาจำนวน
จำกัดมากๆ ก็ขายหมดเกลี้ยงไปแล้ว ขณะที่รุ่น Vanquish ก็ออกสู่ตลาดกันตามติดต่อเนื่อง โดย
จะใช้โครงสร้าง พื้นวิศวกรรมตัวถัง หรือ Platform ที่ชื่อว่า VH ซึ่งใช้มาตั้งแต่รุ่น DB9 แต่ได้รับ
การปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ตามคู่แข่งได้ทัน เครื่องยนต์ V12 ยังมีให้ใช้กันอยู่ และอาจ
อยู่กันไปจนกว่าจะสิ้นทศวรรษ ส่วนขุมพลังไฮบริดนั้น ทาง Aston บอกว่า โครงสร้างแบบ VH
ไม่ได้ออกแบบมาให้รองรับกับแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้า อีกทั้งDemand หรือความต้องการ
ซื้อรถยนต์พลังไฟฟ้า ยังไม่มากเท่าที่ควร ไม่มากพอให้คุ้มจนทำออกมาขายแล้วไปรอดตลอด
อายุตลาดอีก 3-4 ปีที่เหลือ

 แต่ สำหรับเมืองไทย 1 ปีที่ผ่านมา แทบไม่มีความเคลื่อนไหวอื่นใดปรากฎผ่านสื่อสารมวลชน
สักเท่าไหร่ นั่นเพราะว่า ยังหาข้อสรุป เรื่องผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ไม่เจอ

อย่างไรก็ตาม มีกระแสข่าวว่า Aston Martin กำลังจะได้ผู้จำหน่ายรายใหม่ในเมืองไทยอย่างเป็น
ทางการแล้ว (เสียที) และคาดว่า น่าจะพร้อมเปิดตัวได้ ภายในปีนี้ รายละเอียดเพิ่มเติม โปรดติดตาม
กันต่อไป

——————————————–

Audi
2013 : Some new model?

ขณะที่ Audi ในยุโรป ยังคงพยายาม เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ หลากหลายตระกูล แต่ในเมืองไทย
กลุ่ม DAD Yontrakit ยังคงต่อสัญญาการทำตลาด Audi กันไปอีกพักหนึ่ง ฉะนั้น แน่ใจได้เลยว่า
ฝรั่งที่เยอรมัน ก็ยังจะไม่มายุ่งอะไรกับ Audi ในบ้านเราตลอดปี 2013 – 2014 แน่ๆ

แต่ถ้าจะสั่งรถยนต์รุ่นใหม่ที่ยังไม่เปิดตัวในบ้านเราสักที เข้ามาขายกันนั้น ก็ยังมองไม่ออกว่า
จะมีรุ่นไหน เข้ามาให้คนไทยได้เป็นเจ้าของกันบ้าง เพราะหลังจากนำเข้า A6 ใหม่แบบเงียบๆ
รวมทั้ง Q5 และ ล่าสุด ที่เพิ่งแอบอวดโฉมในงาน Motor Expo คือ Q3 ไปแล้วนั้น ก็ยังดูเหมือน
จะหาความแน่นอนในเรื่องของรถยนต์รุ่นใหม่สำหรับตลาดบ้านเราในปีหน้าได้ยาก

เว้นเสียแต่ว่า จะยังตั้งความหวังเล็กๆ ไว้กับ Q3 ให้สามารถสั่งนำเข้าได้ในปริมาณมากกว่านี้
ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับทางเยอรมันด้วยว่า จะเอาอย่างไรกันแน่?

ขณะที่ฝั่ง MTM Thailand ก็รับสั่ง Audi สเป็กตกแต่งให้แรงเป็นพิเศษ ตามลูกค้าต้องการเช่นเคย
รวมทั้งยังมี Q3 และ Q5 ไว้ต้อนรับลูกค้าอีกกลุ่มที่ต้องการความเร้าใจ และความแปลกใหม่ แต่
ก็ยังเตรียมว่าจะนำเข้า S7 กับ A8 HYBRID มาเอาใจกลุ่มลูกค้าที่อยากได้ความหรูและแรงอย่าง
แตกต่าง
 
——————————————

BENTLEY
2013 : Flying Spur ( Continental 4 Door )
2015 : Re-design SUV based on EXP 9F

ปีที่แล้ว AAS Auto Service สั่งนำเข้า Bentley Continental GTC Convertible พร้อมขุมพลังใหม่
V8 4.0 Twin Turbo 507 แรงม้า (BHP) มาเปิดตัว และให้ทดลองขับกันบนพื้นที่สนามโล่งๆของ
กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ เหมือนเช่นเคย และได้รับความสนใจเป็นอย่างดีจากมหาเศรษฐี
ผู้มีรสนิยมเป็นเลิศ

ปี 2013 Bentley มีงานใหญ่ต้องทำคือการเปิดตัว เวอร์ชันเปลี่ยนโฉม Full Model Change ของเจ้า
Continental GT ตัวถัง Sedan 4 ประตู ในชื่อ Flying Spur ซึ่งเป็นชื่อที่เคยใช้มาก่อนหน้านี้แล้ว
โดยรายละเอียดงานวิศวกรรม ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากรุ่น Continental GT กับ GTC มากนัก วาง
ขุมพลัง V8 4.0 ลิตร Twin Turbo บล็อกเดียวกัน ตอนนี้กำลังแล่นทดสอบกันอยู่ คาดว่าจะพร้อม
เปิดตัวได้ในช่วงปีนี้ และน่าจะมาถึงเมืองไทยได้ ช่วงปลายปี 2013 เป็นอย่างเร็วที่สุด ถ้าไม่ทัน
ก็รอไปถึงปี 2014

แต่เหนือสิ่งอื่นใด โครงการที่สำคัญกว่า และคาดว่าจะเป็นรุ่นสร้างยอดขายให้กับ Bentley ได้ดี
คือ SUV รุ่นใหม่ นั่นเอง ปัญหาที่สำคัญก็คือ หลังการเปิดตัวเวอร์ชันต้นแบบในชื่อ EXP 9F
เป็นครั้งแรกในงาน Geneva Motor Show เดือนมีนาคม 2012 ปฏิกิริยาของมหาชนที่มีต่อ
รูปลักษณ์ภายนอกของมันนั่นเป็นไปในทางลบ ในเมื่อ Bentley เองก็ต้องการสร้าง SUV
ที่ลูกค้ายินดีจะซื้อดังนั้นจึงต้องหาทางทำให้มันมีรูปทรงที่ลูกค้าดูแล้วอยากซื้อมากกว่านี้
พวกเขาจึงตัดสินใจ เลื่อนทุกโครงการที่ทำกันอยู่ออกไปเกือบทั้งหมด แล้วเอาแรงงานกับ
มันสมอง มาทุ่มเทเปลี่ยนโฉม SUV คันนี้ขึ้นมาใหม่ แต่ไม่นานเกินรอ คาดว่า ในปี 2015
เราจะได้เห็นเวอร์ชันจำหน่ายจริง ที่ดูดีกว่าเวอร์ชันต้นแบบกันแน่ๆ และเมื่อถึงปีนั้น AAS
น่าจะเตรียมการนำเข้ามาให้มหาเศรษฐีชาวไทย เป็นเจ้าของกันได้ อย่างช้าที่สุดคือ ปี 2016

——————————————

BMW / MINI

2013 : Active Hybrid 3 / Z4 Minorchange / 5-Series Minorchange + Active Hybrid 5
           3-Series New Engine / Mini PACEMAN
2014 : BMW i Seires / All New MINI Next Generation
2015 : All New MINI Clubman
2016 : All New MINI Saloon 4 Door

ปี 2012 BMW ปล่อยทีเด็ดที่ทุกคนรอคอยอย่าง 3-Series F30 ออกสู่ตลาดเมืองไทยอย่างฉับไว
นำเข้า รถประกอบเยอรมัน CBU มาเผยโฉมครั้งแรก ในงานแถลงข่าวช่วงเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์
พร้อมกับ 5-Series 4 ขุมพลังใหม่ 520i 520d 523i และ 525d 4 สูบ พร้อมทั้ง 5-Series Touring
5 ประตู ทั้ง 520i กับ 520d ก่อนที่ทั้งหมดนี้ จะโผล่ให้เห็นอีกทีในงาน Bangkok International
Motor Show เดือนมีนาคม ชนิดที่ว่าเกาะติดตลาดโลกกันอย่างฉับไวเลยทีเดียว เข้าสู่ครึ่งหลังของปี
3-Series เวอร์ชันประกอบในประเทศ แบบ CKD (SKD) รุ่น 320d เปิดตัวตามออกมา พอเข้าสู่
เดือนกันยายน 6-Series Gran Coupe 4 ประตู คันละ 11 ล้านกว่าบาท ก็ส่งมาเผยโฉมในงาน
BMW xPo ก่อนที่จะมี 320i และ 328i ตามมาเปิดตัวในงาน Motor Expo ช่วงปลายปี พร้อมกับ
320d Touring นำเข้า คันละ 4.9 ล้านบาท (แพงเวอร์) และ 7-Series Minorchange ที่แอบ
มาเปิดตัวอย่างเงียบๆ

เข้าสู่ปี 2013 ในเมืองนอก จะถือเป็นปีที่สำคัญของชาว Munich เพราะพวกเขาจะโหมสร้าง
แบรนด์ย่อยใหม่ อย่าง i เพื่อเน้นทำตลาดรถยนต์กลุ่มพลังงานทางเลือกและไฟฟ้าทั้งหลาย
อย่างเต็มตัว

ในเมืองนอกนั้น 3-Series Gran Turismo 5 ประตู น่าจะเผยโฉมออกมาก่อนเป็นรุ่นแรก
ประเดิมปีใหม่ ในเดือนมีนาคม 2013 หลังจากที่พวกเขายังไม่เข็ดกับยอดขายที่ไม่สู้ดี
ของ 5-Series Gran Turismo จากนั้น 1-Series ตัวถังใหม่ Coupe และ เปิดประทุน จะ
ถูกเปิดตัวออกขายในชื่อใหม่ 2-Series

ตามมาด้วยเวอร์ชันจำหน่ายจริงของ 3-Series Coupe ที่ถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น 4-Series
แม้จะมีเวอร์ชันต้นแบบเผยโมมาแล้ว แต่จะเวอร์ชันจำหน่ายจริงจะถูกดัดแปลง ลดโทน
ลงมาจากนั้นอีก เพื่อให้พร้อมทำตลาดได้จริงในปี 2013 นี้ โดยอิงทางเลือกขุมพลังใหม่
จาก 3-Series F30 ทั้งหมด

นั่นหมายความว่า M3 Coupe รุ่นต่อไป จะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น M4 !!! ส่วนชื่อ M3 จะถูก
สงวนไว้ให้กับตัวถัง Saloon และ Touring Wagon เท่านั้น!! (งานนี้ ชาว Bimmer ต่าง
ประเทศพากันวิพากษ์วิจารณ์กันเละเทะว่า BMW เกิดบ้าอะไรขึ้นมา ถึงได้มาทำลาย
ขนบเดิมที่ตนเคยสานต่อมา) โดย M3 รหัสโครงการ F80 มีกำหนดเปิดผ้าคลุมเวอร์ชัน
ต้นแบบในงาน GenevaMotor Show มีนาคมนี้ และเวอร์ชันจำหน่ายจริง จะคลอดใน
งาน Frankfurt Motor Show กันยายน 2013 ส่วน M4 รหัสโครงการ F82 อาจต้องรอ
กันจนถึง ปี 2015

นอกจากนี้ ทั้ง 5-Series และ 5-Series Gran urismo กับ X3 ก็มีกำหนดปรับโฉมแบบ
Minorchange ในปี 2013 ทั้งสิ้น

ไม่เพียงเท่านั้น BMW i3 รถยนต์ Hatchback พลังไฟฟ้า รักโลก ที่ BMW หมายจะ
ปั้นขึ้นมาแจ้งเกิดให้ได้ ก็มีกำหนดจะคลอดในช่วงปลายปี 2013 นี้ ขณะที่ รถสปอร์ต
ขุมพลัง HYBRID เครื่องยนต์วางกลางลำตัว อย่าง i8 จะมีกำหนดเผยโฉมในช่วงปลาย
ปี 2013 ต้นปี 2014 ใช้มอเตอร์ 129 แรงม้า (HP) ขับเคลื่อนล้อคู่หน้า และวางเครื่องยนต์
เบนซิน 3 สูบ 1.5 ลิตร Turboไว้ที่ด้านหลัง พละกำลังของเครื่องยนต์รวมกับมอเตอร์นั้น
อาจสูงถึง 350 แรงม้า มันสามารถวิ่งโดยใช้พลังไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ 35 กิโลเมตร

พอเข้าสู่ปี 2014 จะถึงเวลาออกโรงของ BMW X4 Coupe SUV ที่เรียกง่ายๆว่าคือการนำ
X6 มาย่อขนาดลงไปนั่นเอง ผลิตจากโรงงานในสหรัฐอเมริกาตามคาด และในปีเดียวกัน
X5 ใหม่ ก็จะเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน เป็นรหัสโครงการ F15 และมีเส้นสายที่ โฉบเฉี่ยว
ยิ่งขึ้นกว่าปัจจุบัน

ส่วนโครงการรถสปอร์ตขนาดกระทัดรัด Z2 ยังคงเดินหน้าต่อไป แต่จะเปลี่ยนไปใช้พื้น
ตัวถัง UKL สำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้า (ใช่ครับ Z2 จะกลายเป็นรถเปิดประทุน
ขับเคลื่อนล้อหน้าไปซะงั้น) กำหนดเปิดตัว น่าจะมีแถวๆ 2014 ขึ้นไป

นอกเหนือจากนี้ เมื่อเดือนมิถุนายน 2012 ที่ผ่านมา BMW และ Toyota เพิ่งประกาศ
แผนความร่วมมือในโครงการพัฒนารถสปอร์ตรุ่นใหม่ ขุมพลัง แนวรักโลก ตอนนี้
ยังอีกไกลกว่าจะมีข้อสรุปชัดเจนว่าตัวรถจะออกมาเป็นอย่างไร เราอาจต้องรอกัน
จนถึงปี 2017 – 2018 กันด้วยซ้ำ!

ทั้งหมดนั้น คือเรื่องราวในเมืองนอก แต่สำหรับเมืองไทยนั้น ปี 2013 จะเป็นปีที่ BMW
ต้องหันมามุ่งเน้นการทำตลาด รถยนต์ HYBRID มากขึ้น ถึงจะเปิดตัว Active Hybrid 5
ไปแล้ว แต่ผู้คนจำนวนมากยังไม่รู้เลยว่า รถรุ่นนี้ มีขายในบ้านเราเรียยร้อยแล้ว! ดังนั้น
การเร่งประชาสัมพันธ์ น่าจะเกิดขึ้นได้เต็มที่ ในทันทีที่ Active Hybrid 3 เดินทางมาถึง
อย่าคาหวังกับตัวเลขราคามากนัก มันอาจจะแพงอยู่ดี แต่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการปูทาง
สู่การเตรียมศึกษา เพื่อนำ i3 กับ i8 มาขายในอนาคต

นอกเหนือจากนั้น อาจจะมีทางเลือกขุมพลังใหม่ ให้กับ 3-Series กระตุ้นยอดขายกันต่อ
รวมทั้ง มี Z4 sDrive18i วางเครื่องยนต์เดียวกับ 320i คือ 156 แรงม้า (HP) เพื่อให้กดราคา
ลงมาอยู่แถว 3 ล้านบาทกลางๆ ค่อนปลาย ชนกับ Mercedes-Benz SLK 200 ใหม่ ที่เริ่ม
มีค่าตัวถูกลงมาอยู่แถวๆ 3 ล้านบาทปลายๆ นำร่องไปก่อนแล้ว

ข้ามมาดูแบรนด์ในเครือ เชื้อชาติอังกฤษ อย่าง MINI ในปี 2012 ที่ผ่านมา มีทั้ง MINI Roadster
และขุมพลัง ใหม่ Diesel Turbo Common Rail มาวางลงใน MINI แทบทุกตัวถัง เป็น 2 ความ
เคลื่อนไหวที่สำคัญตลอดปีที่แล้ว

แต่ในช่วง 3 ปีต่อจากนี้ไป MINI จะมีการเปลี่ยนแปลงตามมาเป็นระลอกๆ เริ่มจากในปี 2013 นี้
MINI PACEMAN หรือ เวอร์ชัน Coupe ของ Countryman จะมาถึงเมืองไทย โดยน่าจะ
มีเครื่องยนต์ให้เลือก ทั้งแบบพื้นฐาน Cooper Paceman 122 แรงม้า (HP) Cooper S
Paceman 184 แรงม้า (HP) Cooper SD Paceman Diesel Turbo 143 แรงม้า (HP) และ
John Cooper Works Paceman 211 แรงม้า (HP) นี่คือ MINI รุ่นสุดท้าย ที่จะใช้พื้นฐาน
โครงสร้างวิศวกรรมของ MINI รุ่นปัจจุบัน คาดว่าจะเปิดตัวได้ อย่างเร็วที่สุดคือในงาน
Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคม 2013 แต่ขายจริง อาจต้องรอหลัง
จบงานไปแล้ว สักพัก

เพราะหลังจากนี้ ในปี 2013 – 2014 จะถึงเวลาของการเปลี่ยนโฉมแบบ Full ModelChange
ของ MINI Hatchback รุ่นดั้งเดิม ซึ่งจะเปลี่ยนไปใช้แพลทฟอร์มใหม่พร้อมกับวางขุมพลัง
เบนซิน 3 สูบ 1.3 ลิตร ให้กำลังได้ตั้งแต่ 150 – 200 แรงม้า HP บล็อคใหม่จาก BMW ใครที่
กลัวว่าไม่แรง ไม่ต้องห่วง เพราะเครื่องยนต์บล็อกนี้ ออกแบบมาให้เซ็ตแรงม้าได้ดังใจ แค่
ขึ้นอยู่กับว่า มันจะถูกนำไปวางในรถรุ่นใด

ย่างเข้าปี 2014 MINI Hatchback จะมีตัวถัง 5 ประตู ออกมาเสียที เพื่องัดข้อกับทั้ง Audi
A1 Sportback และ ท้าทายผู้กล้าอย่าง Mercedes-Benz A-Class ใหม่ กว่าจะมาถึงเมืองไทย
อาจต้องรอปี 2015 ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น MINI Clubman (ตัวถัง Wagon) โฉมใหม่ ก็จะคลอด
ออกมา โดยมีบานประตู สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ครบทั้ง 2 ด้านเสียที บ้านเราอาจต้องรอ
ถึงปี 2016

แต่ สิ่งที่ต้องจับตามองคือ ในปี 2016 เราอาจได้เห็น MINI Saloon เวอร์ชัน Sedan 4 ประตู
ที่ทำออกมาเพื่อเอใจตลาดอเมริกาเหนือโดยเแพาะ มาลุ้นกันดีกว่า ว่ามีสิทธิ์จะเข้ามาขาย
ในบ้านเรากันหรือไม่ อาจต้องรอจนถึงปี 2017 หรือเปล่า ยังยากจะคาดเดา

CHEVROLET
2013 : SPIN (Project codename : PM-7) Import from Indonesia
           CRUZE Minorchange
2014 : Colorado Minorchange

ปี 2012 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่ GM / Chevrolet ระดมสรรพกำลัง เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ในเมืองไทย
เยอะที่สุดเป็นประวัติการณ์เท่าที่พวกเขาเคยทำมานับจากการก่อตั้งบริษัทในเมืองไทย อีกทั้งยังถือว่า
เป็นบริษัทที่เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ทั้งใหม่หมดจด และปรับโฉมใหม่ รวมกัน มากเป็นอันดับ 2 โดย
เป็นรองแค่เพียง Honda เท่านั้น

ไม่ว่าจะเป็น SUV / PPV บนพื้นฐานของรถกระบะ Colorado รุ่น Trailblazer ซึ่งเปิดตัวในงาน
Bangkok International Motor Show มีนาคม 2012 พร้อมพรีเซ็นเตอร์ คุณโชค บุลกุล ใน
มาดคาวบอย กับสโลแกนที่ว่า “ใจถึงก็ไปถึง” แต่ดันคาดไม่ถึง ว่าสุดท้าย กว่าจะทำคลอดออกจาก
โรงงาน GM ระยอง กันได้ ก็ปาเขาไปเดือนพฤษภาคม แถมต้องปล่อยรถรุ่น LTZ1 ตัวท็อป ล็อตแรก
ส่งลูกค้าที่จองที่ยังไม่ได้ติดตั้งเครื่องเสียง พร้อมหน้าจอระบบนำทางมาให้ งานนี้ GM ต้องส่งชุด
เครื่องเสียงพร้อมหน้าจอ ให้ทางโชว์รูมต่างๆ เอาไปติดตั้งให้ลูกค้ากันเอง เป็นเรื่องตลกกันไป

ตามด้วย การอัพเกรดใน Cruze 2.0 LTZ ยกขุมพลัง Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร
จาก Chevrolet Captiva Diesel CRDi รุ่น Minorchange 163 แรงม้า (PS) มาวางให้แรง
และประหยัดขึ้นกว่าเดิมแถมขับสนุกขึ้นมาก แต่ราคาก็กระชากจิตเหลือเกิน 1.2 ล้านกว่าบาท กลางๆ
แพงจนน่าจะหันไปรักโลกกับ Toyota Prius แทน อีกทั้งยังเปลี่ยนสเป็กรุ่นเบนซิน 1.8 ลิตร หันมา
ใช้พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้าอย่างเงียบๆ ก่อนหน้านั้น ยังสร้างกระแส ส่งนางเอกเจ้าบทบาทของ ช่อง 3
พลอย เฌอมาลย์ บุณยะศักดิ์ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ พร้อมทำหนังสั้น ฉายเฉพาะในเว็บไซต์ของตน ทาง
Internet แต่ก็ยังไม่ดังเท่าไหร่

ส่วน น้องเล็กอย่าง Sonic ก็เผยโฉมพร้อมกับ Trailblazer แต่กว่าจะเริ่มเปิดตัววางจำหน่ายอย่างเป็น
ทางการ ก็ปาเข้าไปเดือนกรกฎาคม แม้จะมี ตัวถัง Sedan (ที่ใครก็ไม่รู้ อุตริให้เรียกว่า Notchback)
กับ Hatchback 5 ประตู แถมดันมีเครื่องยนต์ แค่ 1.4 ลิตร 100 แรงม้า (PS) ซึ่งสมรรถนะก็เป็นไป
ตามคาดหมาย คือ อืดและกินน้ำมันที่สุดในกลุ่ม แต่ช่วงล่างและพวงมาลัยกับตัวถัง ดีที่สุดในกลุ่ม
ออกมาเอาใจลูกค้าที่อยากใช้สิทธิ์ โครงการรถคันแรกของรัฐบาล โดยเฉพาะ

อย่างไรก็ตาม ใครที่บ่นว่า อยาดได้เครื่องยนต์ที่แรงกว่าเดิม และประหยัดน้ำมันกว่าเดิม ข่าวดีก็คือ
Sonic จะมีเครื่องยนต์ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.6 ลิตร จากใน Cruze  มาให้เลือกกัน ตั้งแต่ช่วงงาน
Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2013 นี้ คงจะช่วยลดกระแสเสียงร่ำลือ
เรื่องความอืดอาดของเครื่องยนต์ ไปได้ในระดับหนึ่ง แต่อย่าคาดหวังมากนักว่าจะแรงมากมาย

นอกจากนี้ ในงานเดียวกัน GM จะเปิดตัว Chevrolet Spin Sub-Compact Minivan สำหรับกลุ่ม
ตลาดประเทศกำลังพัฒนา รหัสโครงการ PM-7 ที่เพิ่งเปิดตัวครั้งแรกในโลกไปแล้ว ณ งาน Indonesia
International Motor Show เป็นผลงานจากศูนย์วิจัยและพัฒนาของ GM ที่ Sao Paolo ในประเทศ
Brazil ข้อมูลเบื้องต้นคาดว่าจะวางเครื่องยนต์ใหญ่ 4 สูบ 1,796 ซีซี 106 แรงม้า (HP) เพื่อให้มีกำลัง
ฉุดลากตัวรถไปได้โดยไม่อืดและไม่กินน้ำมันมากเกินไป ส่วนเวอร์ชันไทย อาจเป็นเคตรื่องยนต์ที่เล็กกว่า
แม้ GM จะสั่งเข้ามาอวดโฉมแล้ว ในงาน Motor Expo 27 พฤศจิกายน 2012 ที่ผ่านมา แต่กว่าจะเริ่ม
ส่งมอบให้ลูกค้าจริงจังได้ คาดว่าต้องเป็นช่วง หลังเดือนมีนาคม ไปแบบฉิวเฉียด

ส่วน C-Segment Compact Sedan รุ่น Cruze ก็จะมีการปรับโฉม Minorchange เปลี่ยนแค่ชุด
กระจังหน้า กับเปลือกกันชนหน้า รวมทั้งออพชันเล็กๆน้อย แต่รายละเอียดทางเทคนิคต่างๆ
ยังคงเหมือนกับรุ่นปัจจุบัน ชนิดโขลกพิมพ์เขียวกันออกมาเลยทีเดียว!

ในปี 2014 คาดว่าจะมีการปรับโฉม Minorchange ให้กับ Chevrolet Colorado เพื่อต่อกรกับบรรดา
รถกระบะรุ่นใหม่ๆ ที่มีกำหนดจะคลอดพร้อมๆกันในปีนั้น รายละเอียดตอนนี้ ยังไม่มีข้อสรุป

ส่วน Chevrolet Voltz รถยนต์พลังไฟฟ้า ที่ใช้เครื่องยนต์ช่วยปั่นไฟอย่างเดียว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับล้อคู่หน้า
ถึงจะถูกสั่งนำเข้ามาอวดโฉม  และเริ่มถูกนำไปใช้ในการศึกษาเรื่องรถยนต์ไฟฟ้า ล้วนๆ เข้ามาแล่น
บนถนนเมืองไทย แต่ก็ยังไม่พร้อมจำหน่ายจริง มี 2 อุปสรรคสำคัญ นั่นคือ ปริมาณสถานีชาร์จไฟฟ้า
ให้กับรถยนต์ในบ้านเรา ยังอยู่ในช่วงเริมตั้งไข่ ยังต้องมีการศึกษาอะไรต่อมิอะไรมากกว่านี้ ส่วน
สาเหตุที่เหลือก็คือ  ราคาขายปลีกที่ยังแพงอยู่”

——————————————

CITROEN
2013 : DS5 & DS3 Cabrio

ความเคลื่อนไหวเพียงอย่างเดียวของ Citroen ภายใต้การดูแลของ DAD Yontrakit กลุ่มธุรกิจที่แยกตัว
ออกมาจาก ยนตรกิจเดิม นั่นคตือ มีการเปิดตัว Citroen DS4 Hatchback 5 ประตู ทรนงแปลก ที่อุดม
ไปด้วยความแปลกและแตกต่างไปจากรคู่แข้ง แทบทั้งคัน วางเครื่องยนต์ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว พ่วง
Turbocharger 155 แรงม้า (PS) ขายในราคา 2 ล้านบาทต้นๆ และพอจะได้รับยอดขายเข้ามาเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม แผนเดิมที่เคยวางไว้ว่าจะนำ DS5 ไปเปิดตัวในงาน Motor Expo เดือนธันวาคม
ที่ผ่านมา ก็มีอบัติเหตุ กลับถูกเลื่อนออกไปเป็นช่วงต้นปี 2013 นี้แทน ปัญหาหลักไม่มีอะไร
มากไปกว่า การที่ PSA มีเกียร์อัตโนมัติ ให้เลือกเพียงขุมพลังเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ความ
เป็นไปได้ ในการนำเวอร์ชัน ขุมพลัง Diedel เชื่อมกับระบบขับเคลื่อน HYBRID เข้ามาขาย
ในเมืองไทย ยังพอหลงเหลืออยู่

อีกรุ่นหนึ่ง ที่น่าจะจับตาดูกันสำหรับค่ายจ่าโทเมืองน้ำหอม ก็คือ Citroen DS3 Cabrio เวอร์ชัน
เปิดหลังคาผ้าใบ ได้จนถึงกระจกบังลมหลัง  ซึ่งจะเข้ามาช่วยต่อยอดความสำเร็จของ DS3 ใน
บ้านเราได้อย่างดี ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการพูดคุย และอาจต้องรอกันจนถึงช่วงครึ่งหลัง
ของปี 2013 นี้ จึงจะมีสิทธิ์ ได้เห็นบนถนนเมืองไทย

——————————————

FERRARI (By Cavalino Motors)
2013 :  F150 Limited Edition , But Unlimited Excitement!

พักหลังมานี้ Cavalino Motors ในฐานะผ้จำหน่าย Ferrari อย่างเป็นทางการแต่ผู้เดียว
ในเมืองไทย เริ่มทำการตลาดในสื่อรูปแบบใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ก็ส่งภาพยนตร์
Product Video ของรถสปอร์ตรุ่นล่าสุด F12 Berlinetta ไปตัดต่อเป็นหนังโฆษณา ฉาย
บนจอ LED ขนาดยักษ์ ริมสี่แยกสาทร จนทำให้เผลอเข้าใจผิดว่า Cavalino สั่งเข้ามา
เปิดตัวไปแล้ว

แต่ความจริงก็คือ ตลอดช่วงปี 2012 ที่ผ่านมา มีการเปิดตัวรถสปอร์ต Ferrari ในไทย
2 รุ่น ทั้ง California 30 (ลดน้ำหนักลงอีก 30 กิโลกรัม และเพิ่มแรงม้า อีก 30 ตัว )
เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2012 และ รุ่น 458 Spyder เวอร์ชันเปิดประทุนของ 458 Italia
วาง เครื่องยนต์ V8 สูบ 4.5 ลิตร 570 แรงม้า (HP) ที่ 9,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
540 นิวตัน-เมตร ที่ 6,000 รอบ/นาที เกียร์ Dual Clutch 7 จังหวะ อัตราเร่ง 0 – 100
กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 3.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 325 กิโลเมตร/ชั่วโมง สามารถเปิดและ
ปิดหลังคาได้อย่างรวดเร็วภายใน 14 วินาที ถือเป็นรถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางคันแรก
ของโลกที่เป็นหลังคาแข็งแบบเปิดและปิดได้ เปิดตัวในงาน Super Car & Import
Car Show ครั้งที่ 3 ที่เมืองทองธานี เมื่อ 12 พฤศจิกายน 2012 ราคา 28.5 ล้านบาท

ในปีนี้ สำหรับตลาดโลกแล้ว ทุกสายตาทั่วโลกต่างเตรียมจับจ้องไปยังรถสปอร์ต
รุ่นพิเศษแบบจำกัดจำนวนผลิต รุ่นใหม่ ที่จะมาแทน Enzo ซึ่งยืนยันมาแล้วว่า
จะใช้ชื่อ F150…(นี่มันชื่อเดียวกับรถกระบะ Full Size Truck ของ Ford ในตลาด
อเมริกาเหนือ เลยนี่หว่า!) ขุมพลังยกมาจากรุ่น F12 Berlinetta เป็นแบบเบนซิน
บล็อก V12 สูบ 6.3 ลิตร 740 แรงม้า (HP) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าในแบบ
HYBRID ที่เรียกว่า HY-KERS ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อ Geneva Motor Show มีนาคม
2010 มีโหมดเพิ่มกำลังพิเศษจนสูงได้ถึง 900 แรงม้า (HP) มีโครงสร้างตัวรถ
ทำจาก Carbon Fiber ที่แกร่งขึ้นและเบาขึ้นกว่า Enzo เพราะ Ferrari ลงทุนดึง
วิศวกรชั้นนำจากทีมแข่ง Scuderia ซึ่งเคยพัฒนารถแข่งให้ นักขับชื่อก้องโลก
Michael Schumacher มารับผิดชอบโครงการนี้โดยเฉพาะ

ล่าสุด ก่อนช่วงปีใหม่ไม่กี่สัปดาห์ Ferrari เผยภาพถ่าย Exclusive ออกมา ทำให้
ผู้คนเริ่มเห็นว่าหน้าตาของรถสปอร์ตคันใหม่นี้ ดุดันทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
ยืนยันได้ว่า เราจะได้เห็นรถคันนี้ บนแท่นหมุนของงานแสดงรถยนต์ Geneva
Motor Show เดือนมีนาคม 2013 กันอย่างเต็มอิ่ม

ส่วนโอกาสที่รถคันนี้จะมาเมืองไทยนั้น อาจต้องรอกันพักใหญ่ อภิมหาเศรษฐีท่านใด
อยากได้ ก็คอยหมั่นสอบถามกับทาง Cavalino Motors เขาเองก็แล้วกัน

——————————————

FORD
2013 : Fiesta Minorchange & Fiesta 1.0 EcoBoost / All New EcoSport
2014 : Ranger Minorchange
2015 : EVEREST Full Model Change !!

ปี 2012 ที่ผ่านมา นอกจากจะเป็นปีแห่งการขยายตัวด้านยอดขายของ Ford ในแทบทุกรุ่น ทั้งจากการ
เปิดตัว Focus ใหม่ 1.6 ลิตร และ 2.0 ลิตร GDI รวมทั้ง การเร่งนำ Fiesta 1.5 ลิตร ออกมาให้ทัน
ลูกค้าอุดหนุน เพื่อไปใช้สิทธิ์ขอคืนภาษีตามโครงการรถคันแรก Ford ยังต้องปวดกบาล กับการทะยอย
เคลียร์ยอดจองของ Ranger โดยเฉพาะรุ่น Wildtrak 3.2 ลิตร รวมทั้งยังคงต้องสะสางปัญหาบริการ
หลังการขาย กันขนานใหญ่ หลังจากมีกรณีลูกค้าซื้อรถไปแล้ว มีปัญหามากมายก่ายกอง บ้างก็จบด้วยดี
บ้างก็จบไม่ค่อยดี บ้างก็ยังไม่จบ แตกต่างกันไปตามแต่ละวาระและผลกรรมที่ทำกันมา

มาถึงปี 2013 ปริมาณรถใหม่ของ Ford จะลดลงจากปีก่อนๆ ไปบ้าง แต่ดูแล้วน่าจะยังคงสร้างความ
ฮือฮาได้แน่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใครที่คิดจะซื้อ Fiesta ขอเหยียบเบรกด้วยท่า ปางห้ามญาติ กันก่อน
เพราะ Ford เตรียมพร้อมที่จะอวดโฉม Fiesta Minorchange หน้าตาเหมือนถอดแบบจากรถสปอร์ต
Aston Martin ในงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2013 แต่กว่า
จะเริ่มทำตลาดจริง อาจต้องรอจนถึง ปลายเดือนมิถุนายน – ต้นเดือน กรกฎาคม

แต่…ยังไม่หมด เพราะหลังจากนั้นอีก 2 เดือน Ford จะปล่อย ขุมพลังใหม่ล่าสุดจากยุโรป ที่คนไทย
หลายคนอยากเป็นเจ้าของกัน นั่นคือ เครื่องยนต์ 3 สูบ 1.0 ลิตร EcoBoost แต่อย่าคิดว่า เป็นรุ่นราคา
ย่อมเยา เพราะเครื่องยนต์ใหม่นี้ราคาแพงมาก จนอาจต้อง ขายเป็นรุ่น Top Version แล้วอัด Option
กันให้จุใจ ไม่น้อยหน้ากันกับรุ่น 1.6 ลิตร ไปเลย ถึงตอนนี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่า Ford จะเปิดตัว
รุ่น 1.0 EcoBoost พร้อมกันกับรุ่น Minorchange แล้วค่อยส่งมอบรถเมื่อพร้อมผลิต หรือ จะรอให้
พร้อมผลิตกันจริงๆก่อนแล้วค่อยเปิดตัวกันแน่

กระนั้น ทีเด็ดที่แท้จริงของ Ford ในบ้านเราปีนี้ก็คือ การประเดิมเป็นผู้เล่นรายแรกในตลาดกลุ่มใหม่
ล่าสุด ส่งตรงจากเมืองนอก นั่นคือ กลุ่ม B-Segment SUV หรือ SUV คันเล็ก ราคาไม่ถูกไม่แพง ซึ่ง
เป็นกลุ่มตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ทั่วโลก ไทยจะเป็นหนึ่งในฐานผลิตของรถรุ่นนี้ สำหรับตลาดในกลุ่ม 
ASEAN โดยจะวางเครื่องยนต์ 3 สูบ 1.0 EcoBoost เช่นเดียวกับ Fiesta Minorchnge และมีการ
ตกแต่งใกล้เคียงกับรถที่คุณเห็นในภาพข้างบนนี้  Ford จะนำ EcoSport รุ่นใหม่ล่าสุด มาขึ้นสายการผลิต
ที่โรงงานแห่งใหม่ของตนในระยอง เคียงคู่กับ Focus ใหม่ เพื่อเปิดตัวในช่วง Motor Expo และจะ
พร้อมส่งมอบได้ อย่างเร็วที่สุด คือ ปลายเดือนธันวาคม 2013 ถึงรอยต่อ เดือนมกราคม 2014

ส่วนปี 2014 ดูเหมือนจะมีแค่การเตรียมปรับโฉม Minorchange ให้กับรถกระบะรุ่น Ranger ซึ่งน่าจะ
ยังคงยืนหยัดกับขุมพลังเดิม เพียงแต่อาจมีการเปลี่ยนหน้าตาให้ดูสดใหม่ยิ่งขึ้นกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม
ก่อนที่จะมองไปไกลถึงรุ่นปรับโฉม เอาแค่ว่าตอนนี้ทะยอยส่งมอบรถให้ลูกค้าตามคิวจองที่ล้นหลาม
ให้หมดภายในปี 2013 กันก่อนจะดีไหม?

อย่างไรก็ตาม ข่าวร้ายสำหรับ ใครที่ยังรอ Everest SUV บนพื้นฐานรถกระบะ Ranger นั้นก็คือ อาจต้อง
รอกันไปนานอีก 1 – 2 ปี เนื่องจาก ตัวรถเพิ่งเริ่มกลับมาพัฒนากันอย่างจริงจัง ก่อนที่ Ranger จะคลอด
ออกมาได้ ไม่นานเท่าใดนัก  แม้ว่าจะมีการกำหนดรายละเอียดคร่าวๆ ไปบ้างแล้ว เช่นการเปลี่ยนระบบ
กันสะเทือนด้านหลัง จากแหนบ เป็นแบบ คอยล์สปริง และใช้ชิ้นส่วนตัวถังด้านหน้า จนถึงเสาหลังคา
กลาง B-Pillar กับเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง รวมทั้งเฟรมแชสซีส์ ร่วมกับ Ranger ใหม่ แต่กว่าจะ
พร้อมเริ่มทำตลาดได้จริง คงต้องรอไปจนถึงปี 2014 – 2015

ขณะที่ตลาด Sedan ขนาดกลางค่อนข้างใหญ่นั้น ความเคลื่อนไหวยังคงนิ่งสนิทอยู่ตามเดิม เพราะ
แม้ว่า Ford จะเผยโฉม Mondeo รุ่นใหม่แล้ว แต่กำหนดทำตลาดยังถูกเลื่อนออกไป เพราะว่า สภาพ
ตลาดรถยนต์ยุโรป ตกต่ำตามสภาพเศรษฐกิจอย่างหนัก ดังนั้น จึงยังไม่มีความแน่ชัด ในการทำตลาด
รถยนต์รุ่นนี้ในเมืองไทย ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด หรือไม่ อย่างเลวร้ายที่สุดก็คือ อาจไม่เกิดขึ้นเลย

นอกจากนี้ ใครที่รอ Compact SUV รุ่น Escape / Kuga ใหม่ รวมทั้งบรรดารถยนต์ Minivan 5 และ
7 ที่นั่ง อย่าง Ford C-Max Ford Galaxy และ Ford S-Max ทำใจได้เลยครับ ยังไม่มีแผนนำเข้ามา
ทำตลาดบ้านเราอย่างแน่นอน ในช่วง 2 – 3 ปีนี้

และสุดท้าย ใครที่ยังมีความหวัง รอการกลับมาของ Focus TDCi และแอบเห็นรถรุ่นนี้ วิ่งเล่นทดสอบ
กันอยู่ในบ้านเรา ก็คงต้องทำใจ เพราะแม้ว่าเมืองไทยเป็นฐานผลิตของ Focus ใหม่ รวมทั้งรุ่น TDCi
ด้วยก็ตาม แต่ Ford ยืนยันว่าจะไม่ทำตลาด เนื่องจากติดปัญหาทั้งด้านภาษี ราคาตัวรถ และคุณภาพ
ของน้ำมัน Diesel บ้านเรา ที่ยังไม่สะอาดพอ ถ้าหากปล่อยออกขายลูกค้าไปแล้วรถมีปัญหาขึ้นมา
ก็จะปวดกบาลกันไม่จบสิ้น เหมือนเช่นที่เคยเจอกันมา

——————————————

HONDA
2013 :  Accord + Accord HYBRID  / Brio Minorchange / CIVIC HYBRID /
            CITY Full Modelchange (+ CNG)
2014 :  Jazz Full Modelchange  / Civic Minorchange / BRIO MPV / B-Segment SUV

แม้ว่าน้องน้ำจะนำพาความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้มาเกิดขึ้นกับ Honda ช่วงปลายปี 2011 แต่
นั่นกลับไม่ได้ทำให้ Honda ง่อยเปลี่ยเสียขาแต่อย่างใด ความพยายายามลุกขึ้นยืนอีกครั้งในปี 2012
กลายเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการรถยนต์เมืองไทย ให้ลูกหลานชาวไทยจดจำ
กันไปอีกนาน เพราะพี่เค้าเล่น “โหมกระหน่ำเปิดตัวรถใหม่แบบบ้าระห่ำ ปีเดียว 10 รุ่นรวด!!!!!!!!”
ซึ่งไม่เคยมีบริษัทรถยนต์รายใดทำได้มาก่อนในบ้านเรา

เริ่มจากช่วงมกราคม – กุมภาพันธ์ ในเมื่อ ยังไม่มีรถผลิตขาย เพราะยังต้องซ่อมโรงงานกันเร่งด่วน
Honda ได้รับอนุญาตให้นำเข้ารถยนต์นั่ง เฉพาะรุ่น Jazz และ Accord จำนวนจำกัดจากญี่ปุ่น ซึ่ง
มีสเป็กบางอย่าง ไม่ตรงกับเวอร์ชันไทยไปเสียทั้งหมด จำนวนไม่กี่พันคัน เพื่อมาบรรเทาปัญหา
ให้ลูกค้าไปก่อน โดย Jazz เป็นสีส้มทึบ ส่วน Accord มาไม่เยอะนัก ซึ่ง Honda ยืนยันว่า ได้ใช้
สิทธิพิเศษส่วนลดด้านภาษี เช่นเดียวกับผู้ผลิตสินค้ารายอื่นๆ อย่าง กูลิโกะ กระนั้น ก็ยังมีบางค่าย
แอบหมั่นไส้ หาทางใช้วิธีตัดแข้งตัดขาเล็กๆน้อยๆ เพื่อไม่ให้ Honda ได้สิทธิ์นั้น แต่สุดท้ายก็
ไม่สำเร็จ

เดือนถัดมา ก่อน Bangkok International Motor Show จะเริ่ม Honda ประกาศนำเข้ารถตู้ 
Minivan รุ่น Odyssey กับ StepWGN และ รถสปอร์ต CR-Z พร้อมกัน 3 รุ่นรวด (บันทึกไว้
เสียหน่อยว่า เหตุที่ CR-Z มาได้ ก็ไม่มีอะไรมาก แค่มีไอเดียว่า ในเมื่อ Toyota เตรียมจะสั่งนำเข้า
Toyota 86 มาขายเอง Honda ก็ควรมีรถสปอร์ต CR-Z เข้ามาขาย ในราคาที่ถูกกว่า เป็นหน้าตา
ให้แก่บริษัทสักหน่อย แค่นั้นเลย ไม่ต้องคิดมาก!)

พอโรงงานเปิดสายการผลิตได้อีกครั้งเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2012 Honda ก็เตรียมพร้อม เพื่อเปิดตัว
Civic FB ใหม่ เมื่อ 10 พฤษภาคม ทันที จากนั้น ตามติดในเดือนกรกฎาคม ด้วย Jazz HYBRID
รถยนต์นั่งขนาดเล็ก B-Segment ขุมพลัง Hybrid รุ่นแรกในไทย ที่ประกอบและขายในประเทศ
เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม เท่านั้นยังไม่พอ เดือนกันยายน Honda อัดเปิดตัวรถใหม่ถึง 3 รุ่นรวด ทั้ง
Honda FREED Minorchange นำเข้าจากอินโดนีเซีย (วันที่ 4 กันยายน) ตามด้วย Brio รุ่นย่อย
ใหม่ S CVT เป็นรุ่นถูกสุดของเกียร์อัตโนมัติ (6 กันยายน) ตามเกาะติดด้วย Honda CR-V ใหม่
ที่หลายคนรอคอยมานาน ก็เปิดตัวตามติดมา (24 กันยายน) ก่อนจะส่งท้ายสิ้นปี ด้วยการดึงดารา
นักร้องชื่อดังจาก XACT บี้ สุกฤษฎ์ มาเป็น Presenter ให้กับ Brio AMAZE Sedan ที่เร่งให้
เปิดตัวได้เร็วก่อนกำหนดเดิมถึง 6 เดือน เปิดผ้าคลุมรับจอง และรับสิทธ์รถคันแรกได้เมื่อวันที่
23 พฤศจิกายน ก่อน Motor Expo ไม่กี่วัน แถมปีนี้ ยังมีโครงการตั้งมูลนิธิ เพื่อสะสมส่วนแบ่ง
จากรายได้ที่ขายรถในแต่ละคัน เพื่อเข้ากองทุน ช่วยเหลือผู้ประสบภัย ในอนาคตอีกด้วย

ปี 2013 นี้ Honda ก็ยังคงจะบุกหนัก และเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ อย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ ปริมาณ
น่าจะลดลงจากปี 2012 กันบ้าง แต่ก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่ากันเลย เพราะอุดมไปด้วย รุ่นสำคัญๆ
สำหรับตลาดเมืองไทยทั้งสิ้น

เริ่มกันที่ Civic HYBRID ซึ่งจะถือเป็น C-Segment Compact Sedan ประกอบไทยรุ่นแรกที่ติดตั้ง
ระบบขับเคลื่อน Hybrid จากโรงงาน ประกอบด้วยขุมพลัง 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1.5 ลิตร i-VTEC
พ่วงมอเตอร์ไฟฟ้า รวมกำลังขับเคลื่อนทั้งระบบ 110 แรงม้า (PS) ยกชุดมาจาก Honda INSIGHT
รุ่น Minorchange ในญี่ปุ่นและอเมริกาเหนือ กำหนดเปิดตัว น่าจะเป็นช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2013

แต่นอกเหนือจากนี้ ถ้าใครสงสัยว่า Honda จะปรับโฉม Civic ในปีนี้ กันเลยหรือเปล่า คำตอบก็คือ
ช้าก่อนพี่น้องทั้งหลาย ช่วงต้นปีนี้ Civic จะไม่มีการปรับปรุงอุปกรณ์ใดๆมากมายนัก หากจะทำ
มากสุด ก็แค่อุปกรณ์และการตกแต่งภายใน ส่วนรูปโฉมใหม่ ที่เห็นในตลาดอเมริกาเหนือนั้น
จะตามมาถึงเมืองไทยในช่วงปี 2014

จากนั้น ตามด้วย Accord ใหม่ Full ModelChange ที่เพิ่งเปิดตัวไปในตลาดอเมริกาเหนือ เมื่อเดือน
สิงหาคม 2012 ที่ผ่านมา เวอร์ชันไทย จะประกอบขึ้นที่โรงงานโรจนะ อยุธยา เหมือนเช่น Honda
รุ่นอื่นๆที่ขายในบ้านเรา เพียงแต่ว่า รุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร อาจยังไม่ใช้เทคโนโลยี Earth Dream
แต่ รุ่นเครื้่องยนต์ 2.4 ลิตร แม้จะใช้พื้นฐานจากเครื่องยนต์ K24A บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว
2.4 ลิตร เหมือนเดิม แต่จะถูกปรับปรุงให้ใช้เทคโนโลยีตัวแรกในกลุ่ม Earth Dream นั่นคือระบบ
ฉีดจ่ายเชื้อเพลิง ตรงเข้าสู่ห้องเผาไหม้ Direct Injection กำลังสูงสุดเพิ่มเป็น 185 แรงม้า (PS)

ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญก็คือ ลูกค้าชาวไทย จะได้เป็นเจ้าของ Accord HYBRID กันแน่นอน
โดยยืนหยัดอยู่บนพื้นฐานของเครื่องยนต์ เบนซิน 2.0 ลิตร EarthDreams i-VTEC 137 แรงม้า
(PS) เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า 166 แรงม้า (PS) เมือทำงานร่วมกันจะได้กำลังสูงสุด 196 แรงม้า (PS)
อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ชัดว่า Accord HYBRID เวอร์ชันไทย จะมีระบบเสียบปลั๊กชาร์จกับไฟบ้าน
แบบ PHV Plug-in Hybrod Vehicle) ได้ด้วยหรือไม่

กำหนดเปิดตัว รุ่นมาตรฐาน จะมีขึ้นในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ – มีนาคม 2013 แต่รุ่น HYBRID นั้น
ยืนยันว่าจะยังไม่เปิดตัวพร้อมกันกับ Accord รุ่นมาตรฐานแน่ๆ เพียงแต่จะเป็นช่วงปลายปี 2013
หรือว่า ต้นปี 2014 นั้น ยังต้องดูกันอีกที เพราะ ตามแผนแล้ว Honda จะต้องส่ง Accord Hybrid
จากเมืองไทย ไปขายในออสเตรเลีย ช่วงปี 2014

หลังจากนั้นจะถึงคิวของ การปรับโฉม Minorchange ครั้งใหญ่ให้กับ เจ้าหนู Brio ECO Car คันจิ๋ว
ให้มีอุปกรณ์ความปลอดภัยที่จำเป็น และปรับปรุงวัสดุต่างๆ ให้มีคุณภาพดีขึ้น ดูได้จาก Brio Amaze
ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ยืนยันแล้วว่า จะมีใบปัดน้ำฝนหลังมาให้อย่างแน่นอน การปรับโฉมน่าจะ
มีขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม 2013 ก่อนงาน Bangkok International Motor Show เล็กน้อย

แต่ ปี 2013 นั้น ยังไม่สิ้นสุดเพียงแค่นี้ เพราะ ทีเด็ดส่งท้ายปี ที่ Honda เตรียมไว้เสยอัปเปอร์คัท
ปลายคาง ของ Toyota Vios Full ModelChange นั่นคือ Honda City รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน
Full Model Change รหัสโครงการพัฒนา 2CT คราวนี้ Honda ตั้งใจจะยุบ Insight ให้มารวมกัน
เป็น City คันเดียวไปเลย เท่ากับว่า City ใหม่ จะมีถูกยกระดับให้เป็น Global Small Sedan มาก
ยิ่งขึ้นกว่าที่เคยเป็นมาในอดีต เวอร์ชันญี่ปุ่น จะมีเฉพาะ ขุมพลัง Hybrid เบนซิน เพียงอย่างเดียว
แต่ เวอร์ชันไทย จะมีเครื่องยนต์ 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1.5 ลิตร ทั้งแบบมาตรฐาน และแบบที่ใช้
ก๊าซ CNG ให้เลือก 2 รูปแบบ แต่เวอร์ชันอินเดีย จะใช้เครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว
1.4 ลิตร CTDi Common Rail Turbo โดยมีรูปโฉมภายนอก ที่ถูกยกระดับจากรุ่นปัจจุบัน ให้ดู
โฉบเฉี่ยวขึ้น เป็นแนวทางเดียวกันกับ การยกระดับจาก Accord 2008 เป็น Accord 2013 และ
มีกำหนดเปิดตัวในเมืองไทย เป็นแห่งแรกในโลก เดือนพฤศจิกายน 2013 ตรงกับงาน Motor
Expo พอดีเป๊ะ!

ไม่เพียงเท่านั้น ปี 2013 จะเป็นปีที่ Honda ต้องเปลี่ยนโฉม Full Model Change ให้กับ Honda
Fit / Jazz Sub-Compact Hatchback สุดอเนกประสงค์ไร้คู่แข่ง ถึงแม้ว่าในญี่ปุ่น จะมีกำหนด
เปิดตัวรุ่นใหม่ เปลี่ยนโฉมทั้งคัน Full Model Change ในช่วงงาน Tokyo Motor Show เดือน
พฤศจิกายน 2013 ก็จริง แต่กว่าจะเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย ต้องรอกันจนถึง เดือนกุมภาพันธ์  
ถึง มีนาคม 2014 รายละเอียดงานวิศวกรรม ก็ยกชุดกันมาจาก City ใหม่เลยนั่นละ และจะมีรุ่น
HYBRID ให้ลูกค้าชาวไทยได้เลือกเหมือนเช่นในปัจจุบันอีกด้วย แต่ไม่มีรุ่น CNG เหมือน
City อย่างแน่นอน

ส่วนปี 2014 นอกเหนือจากจะมี Jazz ใหม่ รวมทั้ง City CNG (เปิดตัวช่วงไตรมาสแรก) รวมทั้ง
Civic Minorchange แล้ว ยังมี โครงการใหม่แปลกประหลาดโผล่มาให้ได้ตกใจกันเล่นๆ นั่นคือ
BRIO MPV ซึ่งจะต้องพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของ Brio และ Brio AMAZE แต่จะวางเครื่องยนต์
1.2 ลิตร หรืออาจจะเป็น 1.5 ลิตร ที่วางอยู่ใน City และ Jazz รุ่นปัจจุบัน วางตำแหน่งการตลาด
ในฐานะ Low-Cost Sub-Compact MPV เพื่อเน้นให้ผลิตและทำตลาดในอินโดนีเซียเป็นหลัก
แต่ในเมื่อ ต้องลิตในอินโดฯ ดังนั้น โอกาสที่จะถูกส่งมาขายในเมืองไทย ก็เป็นไปได้สูง แต่
คาดว่าน่าจะเป็นช่วงใดช่วงหนึ่งของปี 2014 มากกว่า

กระนั้น อยากให้จับตาดู ความเคลื่อนไหวของ Honda FREED สักเล็กน้อย เพราะตอนนี้
Honda ซุ่มเอา FREED SPIKE HYBRID จากญี่ปุ่น เข้ามาวิ่งเล่นทดสอบกันขำขำ เพื่อดู
ความเป็นไปได้ในการนำเข้ามาทำตลาดที่เมืองไทย ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งอยู่ แต่ยัง
ไม่มีความชัดเจนในตอนนี้

และอีกรุ่นหนึ่งที่มีความเป็นไปได้ แต่ยังไม่มีความชัดเจนในตอนนี้ นั่นคือ Honda Urban
SUV ซึ่งจะเข้ามาทำตลาด “ทั่วโลก” ในฐานะ B-Segment SUV ที่สร้างขึ้บนพื้นฐานของ
Jazz และ City เจเนเรชันต่อไป นั่นหมายความว่า เครื่องยนต์กลไก ก็จะยกมาจากทั้ง 2 รุ่น
ดังกล่าว กันแทบทั้งดุ้น เพียงแต่เปลี่ยนเปลือกตัวถังครึ่งคันด้านบน หรือ Top Hat ให้เป็น
รูปแบบ SUV ขนาดเล็กทรงโฉบเฉี่ยวมากขึ้น เวอร์ชันต้นแบบ จะเผยโฉมในงาน Detriot
Auto Show 2013 ต้นเดือนมกราคมนี้ และเวอร์ชันทำตลาดจริง น่าจะพร้อมเปิดตัวในช่วง
ปลายปี 2013 หรือต้นปี 2014 ทั่วโลก จากการคาดการณ์เบื้องต้น Headlightmag.com เชื่อว่า
หากจะมีการประกอบขายในย่านอาเซียน ก็คงจะต้องเป็นหน้าที่ของโรงงาน Honda ใน
อินโดนีเซีย ที่จะเป็นฐานการผลิตของรถยนต์รุ่นนี้ และมันก็มีความเป็นไปได้ในการ
นำ SUV คันเล็กกว่า CR-V รุ่นนี้ เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยเหมือนกัน แต่เราคงต้อง
รอดูความเป็นไปได้ กันถึง ปี 2014

——————————————

HYUNDAI
2013 : Veloster , H1 Facelift , Sonata Sport Minorchange

แม้ว่า 2012 จะเป็นปีที่ ยอดขายของ Hyundai เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการรถตู้ H-1
ที่ยังมีลูกค้าทะยอยเข้ามาอุดหนุนกันเรื่อยๆ ยิ่งหลังจากช่วงเปิดตัว รุ่น Grand Starex ก็ยิ่งกระตุ้น
ให้ลูกค้าเดินเข้ามาที่โชว์รูม Hyundai มากขึ้น แต่ในด้านรถยนต์นั่ง นั้น ดูเหมือนจะมีเพียงแค่
Compact SUV รุ่น Tucson เครื่องยนต์ Diesel Turbo Commonrail CRDi เท่านั้น ที่ยังขายได้
เรื่อยๆ สบายๆ เพราะ ทั้ง Sonata Sport และ Elantra ใหม่ ที่เปิดตัวเมื่อเดือนมีนาคม 2012 นั้น
มียอดขายฝืดเคืองอย่างมาก จนถึงขั้นต้องออกแคมเปญลดราคากระตุ้นตลาด ช่วยระบายสต็อก
จนเริ่มมี Elantra แล่นบนถนนในเมืองไทยเอยะขึ้นชัดเจน

ปี 2013 Hyundai ตั้งใจจะนำเข้า Veloster รถสปอร์ตขนาดเล็กสายพันธุ์แปลก 2 + 1 ประตู
เข้ามาเปิดตัวในบ้านเรา หลังจากที่นำรถคันจริงเข้ามาหยั่งเสียง รอกระแสกันมาตั้งแต่งาน
Bangkok International Motor show มีนาคม 2012 เพียงแต่ช่วงที่ผ่านมา ยังต้องรอให้มีรุ่น
เครื่องยนต์ใหม่ ที่คาดว่าจะโดนใจลูกค้าวัยรุ่นเมืองไทยมากกว่านี้ รวมทั้งยังเตรียมแผนการ
นำเข้า Sonata Sport รุ่นปี 2013 ที่มีการปรับโฉมให้สวยโฉบเฉี่ยวกว่าเดิมเล็กน้อย

และสำหรับรถตู้รุ่น H-1 ปีนี้จะถึงเวลาปรับโฉม Minorchange หรือ Facelift กันเสียที คาดว่า
จะมีการปรับเปลี่ยนลวดลายกระจังหน้า และเปลือกกันชนหน้าใหม่ ให้ต่างไปจากรุ่นเดิม
นิดหน่อย ส่วนรายละเอียดวิศวกรรม จะยังคงไม่แตกต่างไปจากรุ่นที่ทำตลาดอยู่ในปัจจุบัน

ส่วน SUV ขนาดกลาง รุ่น Santa Fe นั้น แม้ Hyundai กำลังมองดูลู่ทางจะนำเข้ามาขายอยู่
แต่หนทาง ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะต่อให้มีการประกอบที่มาเลเซีย ถ้าชิ้นส่วน
ที่ผลิตในภูมิภาคอาเซียน ไม่ถึง 40% ก็ไม่อาจจะได้รับสิทธิพิเศษด้านการลดหย่อนภาษี
และราคาค่าตัว ก็จะแทบไม่ต่างไปจาก Santa Fe เวอร์ชันที่นำเข้าจากเกาหลีใต้เลย ดังนั้น
ยังคงต้องศึกษาความเป็นไปได้กันต่อไป

—————————————–

ISUZU
2013 : D-Max Minorchange
2014 :  MU-7  Full Model Change / D-Max BIG Minorchange

ต้องยอมรับว่า  2012 เป็นปีที่ Isuzu ต้องเจองานหนัก ทั้งการระบายยอดจอง เพื่อลดระยะเวลาในการ
รอรับรถกระบะ D-Max ใหม่ ของลูกค้า ให้สั้นลงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ รวมทั้งจะต้องพยายามหา
ลูกเล่นใหม่ๆ เพื่อปรับภาพลักษณ์ ในสายตาของคนเมือง ให้ Isuzu กลับมาเป็นตัวเลือกเมื่อคิดจะซื้อ
รถกระบะ เช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่ทั้งประเทศ ด้วยสายพัดวิธี เช่นดึงเอา บอย ปกรณ์ ดารานักแสดง
จากช่อง 3 มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ในรุ่น V Cross รวมทั้งการเปิดตัวรุ่นตกแต่งแนวสปอร์ตให้กับรุ่น
ความสูงมาตรฐาน D-Max X-Series เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา กระนั้น ยอดขายที่ทำได้
ในตอนนี้ถือว่า ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงความนิยมของรถกระบะ Isuzu ที่ยังมีอยู่ในสังคมไทย ว่า
ยังอยู่ในเกณฑ์ดี

ปี 2013 นั้น แผนการเปิดตัวรถกระบะรุ่นใหม่ ก็ยังคงต้องดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ในปีนี้ Isuzu อาจ
มีการปรับปรุงอุปกรณ์ของ D-Max ซึ่ง ก็น่าจะคาดการณ์ได้ว่า อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาปกติ เหมือน
เช่นทุกปีที่ผ่านมา นั่นคือ ไตรมาส 3 ของปี 2013 แต่นั่นก็ยังจะไม่ใช่การปรับโฉมครั้งใหญ่ เป็นแค่
การตกแต่งภายใน หรือเพิ่มอุปกรณ์ลูกเล่นใหม่ๆ เข้าไปนิดๆหน่อยๆ ส่วนรุ่นปรับโฉมครั้งใหญ่
Big-Minorchange คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นในช่วง ไตรมาส 3 ของปี 2014 และคราวนี้ อาจได้เจอกัน
กับเครื่องยนต์ใหม่ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.5 ลิตร TWIN TURBO (ครับ ใช่ อ่านไม่ผิดหรอก)
ซึ่งส่งออกไปขายต่างประเทศกันอยู่แล้วในทุกวันนี้ มาประจำการใน D-Max Minorchange ด้วย

อย่างไรก็ตาม ปี 2013 เราอาจจะได้เห็น รูปโฉมใหม่หมดทั้งคัน ของ SUV บนพื้นฐาน D-Max
นั่นคือ Isuzu MU-7 Full Modelchange ซึ่งแม้ว่า คุณหมู ปนัดดา เจณนวาสิน ผู้บริหารหญิงเหล็ก
ของ Isuzu ประกาศบนเวทีงานวันเปิดตัวชัดเจนแล้วว่า จะไม่มีการเปิดตัว MU-7 เจเนอเรชันต่อไป
ในช่วง 2 ปีนี้ อย่างแน่นอน แถมยังเคยมีข่าวลือว่า ผู้บริหารญี่ปุ่น ถอดใจกับตลาด SUV / PPV ใน
บ้านเราไปแล้ว

แต่ความเคลื่อนไหวล่าสุดก็คือ MU-7 รุ่นต่อไป ยังคงอยู่ในระหว่างการพัฒนา แน่นอนแล้วว่า จะยก
โครงสร้างตัวถังของ Chevrolet Trailblazer มาใช้ รวมทั้งประตู 4 บาน แต่จะมีการออกแบบ ด้านหน้า
และด้านหลังใหม่ในสไตล์ของตนเอง ส่วนเครื่องยนต์ แน่นอนว่า พบเห็นกันอยู่แล้วใน D-Max
รุ่นปัจจุบัน และ อาจจะมีเครื่องยนต์ใหม่ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.5 ลิตร TWIN TURBO มาให้
ลูกค้าได้เลือกกันอีกด้วย และคาดการณ์ได้ว่า จะมีระบบนำทาง GPS Navigation System ให้เลือก
ในตัวท็อป ก็ขนาด D-Max ยังมีมาให้ ถ้า MU-7 ไม่มี ลูกค้าก็คงจะเอามานินทาตาม Website แหงๆ

กระนั้น ตอนนี้ ยังไกลเกินกว่าจะสรุปว่า ทั้ง D-Max Big Minorchange และ MU-7 ใหม่ทั้งคัน
Full Modelchange จะเปิดตัวแยกกัน หรือเปิดตัวพร้อมกัน วันเดียวกัน งานเดียวกัน จะในปี
2013 หรือ 2014 ? ที่แน่ๆ ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเปิดตัว ในปี 2014 จะชนกับช่วงเวลาที่ Toyota
จะต้องเผยโฉม Hilux Vigo ใหม่ Full Model Change รหัสโครงการ IMV2 พอดี

อ้อ! ถ้าใครยังสงสัยว่า คราวนี้ เรายังจะได้เห็นชื่อรุ่นพิสดารต่อท้ายคำว่า D-Max หรือ MU-7
กันอีกหรือไม่ คงตอบไม่ได้ในตอนนี้ เพราะยังเป็นเรื่องยากเกินจะคาดการณ์

—————————————–

JAGUAR
2013 : – Change Distributor to “City Automotive”
           – New F-Type

ความเคลื่อนไหวที่น่าจับตามองที่สุดของ Jaguar ในปีที่ผ่านมา อยู่ที่การเปลี่ยนมือผู้นำเข้าและ
จำหน่ายอย่างเป็นทางการ จาก AAS Auto Service ซึ่งทำตลาดรถยนต์ยี่ห้อนี้ในบ้านเรามานาน
หลายสิบปี เป็น ผู้นำเข้ารายใหม่ City Automotive ผู้จำหน่าย Land Rover ในไทย รายล่าสุด

เหตุผล ง่ายดาย และไม่มีอะไรซับซ้อน ในเมื่อผู้บริหารทางฝั่งอังกฤษ มองว่า ในเมื่อทั้ง Jaguar
และ land Rover ใช้เทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนร่วมกัน ดังนั้น ผู้จำหน่ายเพียงรายเดียว แต่ขาย
รถยนต์ทั้ 2 แบรนด์นี้ควบกัน ย่อมจะเกิดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและการทำงานได้
ดีกว่า

แต่ AAS เอง ก็มิได้เกิดอาการสะทกส้ทานแต่อย่างใด เพราะตัวเองก็มี Bentley และ Porsche
อยู่ในมืออยู่แล้ว ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ อาจกระทบกับ AAS ไม่มากนัก

สำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ที่ เศรษฐีเมืองไทยควรจับตาดูไว้ ก็คือ การมาถึงของรถสปอร์ต F-Type
รุ่นล่าสุด ที่เพิ่งเปิดตัวไปในงาน Paris Auto Salon เดือนกันยายนที่ผ่านมา Jaguar จะเริ่มเดิน
สายการผลิต F-Type ที่โรงงาน Castle Bromwich ในเมือง Birmingham อย่างจริงจัง โดยใน
ช่วงแรก จะมีตัวถังเให้เลือกแค่เพียงแบบเดียว นั่นคือรุ่นเปิดประทุน แต่มีขุมพลังให้เลือก
3 ระดับความแรง ตั้งแต่ เครื่องยนต์ เบนซิน V6 DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร Supercharge
335 แรงม้า (HP) รุ่นกลาง F-Type S ใช้เครื่องบล็อคเดียวกันแต่อัพเกรดให้แรงขึ้นเป็น
375 แรงม้า (HP) ตบท้ายด้วยรุ่น F-Type V8S เครื่องยนต์ V8 สูบ DOHC 32 วาล์ว ขนาด
5.0 ลิตร Supercharge 488 แรงม้า (HP) ระบบส่งกำลังเพียงแบบเดียวคือเกียร์อัตโนมัติ
8 จังหวะ
 
หลังจากนั้น รุ่นหลังคาแข็งจะตามออกภายในปลายปี 2013 หรือต้นปี 2014 และในรุ่น
สูงสุด จะมีชื่อว่า F-Type RS ซึ่งมีพละกำลังสูงกว่า 540 แรงม้า ทีมวิศวกรเผยว่า ถ้าอยาก
จะเค้นจริงๆ สามารถอัดบูสท์จนมีพลัง 600 แรงม้าได้ แต่ต้องพิจารณาความเหมาะสม
ในด้านมลภาวะและอายุการใช้งานก่อน
——————————————

KIA MOTORS
2013 : Sorento 2.2 CRDi / Soul facelift / Picanto SE Full option

ตั้งแต่บริษัทแม่ ส่งชาวเกาหลีใต้มาดูแลการทำตลาดร่วมกับ ทางยนตรกิจ ทำให้ พัฒนาการ
ของ Kia ในตลาดรถยนต์บ้านเรา เริ่มกระเตื้องขึ้น หลังจากเร่งเปิดตัวทั้ง น้องเล็กสุดท้อง
K1 Picanto และ Sub-Compact รุ่น Rio ออกมาช่วงปลายปี 2011 ทั้คู่ก็ทำยอดขายได้ดีขึ่น
ปัจจุบัน จนถึงวันสิ้นโลกปี 2012 ยอดขายของ K1 Picanto รวมแล้วอยู่ที่ 300 กว่าคัน ส่วน
Rio มียอดขายสะสม 200 กว่าคัน นับว่าเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของ Kia ในเมืองไทยได้ดี
ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า การใช้วิธี นำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์รุ่นนี้มาประกอบเอง ณ โรงงาน
บางชัน เยเนอรัล แอสแซมบรี ของตน ที่มีนบุรี มีส่วนช่วยกดราคารถลงมา จนน่าสนใจ
ในสายตาผู้บริโภคมากขึ้น แถม Rio สเป็กไทย ยังวางเครื่องยนต์ 4 สูบ  DOHC 16 วาล์ว
1.4 ลิตร 107 แรงม้า (PS) จึงสามารถใช้สิทธิ์รถคันแรกได้เต็มที่ เพราะพิกัดเครื่องยนต์
ไม่เกิน 1.5 ลิตร ตามข้อกำหนด เป๊ะ!

อย่างไรก็ตาม Grand Carnival ก็ยังคงเป็น Minivan ที่ทำยอดขายให้กับ Kia ได้อย่าง
ต่เนื่องเหมือนเช่นเคย ขณะที่ Kia Soul  เอง แม้จะสั่งนำเข้ารุ่นปรับโฉม Minorchange
มากระตุ้นตลาดแล้ว ตัวเลขก็ยังเดินได้ไม่ดีเท่าที่ควร

พอถึงปี 2013 Kia จะขอบุกตลาดโดย สั่งนำเข้า Sorento 7 ที่นั่ง ขุมพลัง Diesel 2.2 ลิตร
CRDi มาหยั่งเชิงล่วงหน้าแล้วในงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน 2012 ติดป้าย
ราคาขายไว้ที่ 1.8 ล้านบาท  ซี่งก็มีลูกค้าจองในงานไปบ้างแล้ว อย่างน้อยๆ ก็คุณผู้อ่าน
ในเว็บ Headlightmag.com ของเรานี่แหละหนึ่งราย!

อีกรุ่นหนุึ่งก็คือ K1 Picanto SE รุ่นย่อยใหม่ จัดออพชันเต็มอัตราศึก ยกระดับความหรู
เพิ่มขึ้นอีกขั้น ด้วยเบาะหนัง พวงมาลัยหุ้มหนัง ฯลฯ ซึ่งก็คงได้แต่รอดูว่าจะมีถุงลม
นิรภัยคู่หน้า พร้อมระบบเบรก ABS และ EBD ติดตั้งร่วมกันมาให้ได้หรือยัง เพราะ
นี่คือจุดด้อยจุดเดียวในสายตาของลูกค้า ของรถรุ่นนี้ มิเช่นนั้น คงจะขายดีกว่านี้
ไปอีกนานแล้ว

ส่วนรุ่นอื่นๆ คาดว่า อาจมีความเคลื่อนไหวในช่วงหลังจากนี้ อีก ต้องคอยติดตามกันต่อไป

——————————————

LAMBORGHINI
2013 : Gallardo Full Modelchange Named “Cabrera” / Aventador SV
2014 : Little Minorchange + Spacial Edition
2015 – 2016 : URUS SUV

ช่วงเดือนธันวาคม ที่ผ่านมา Niche Car เพิ่งจะเปิดตัว Lamborghini Aventador LP700-4 Roadster
ในเมืองไทยเป็นประเทศที่ 3 ในภูมิภาค Asia วางเครื่องยนต์ เบนซิน V12 สูบ 6.5 ลิตร 700 แรงม้า
(HP) อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง แค่ 3 วินาที ความเร็วสูงสุด สูงถึง 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิด
ราคาที่ระดับ 39.5 ล้านบาท!!

แต่ในต่างประเทศนั้น ชาวยุโรป เขาเฝ้าดูรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ของ Gallardo ที่จะใช้ชื่อว่า Cabrera
ซึ่งน่าจะเปิดตัวในงาน Geneva Motor Show เดือนมีนาคม 2013 ที่จะถึงนี้ เพราะรุ่นปัจจุบัน อยู่ใน
ตลาดมาจะครบ 10 ปีแล้ว แต่ยัง ล่าสุด ก็เพิ่งมีการปรับโฉม Minor Change ให้กับรุ่น  LP560-4 ด้วย
กันชนหน้าทรงใหม่ แต่ถ้าเป็นรุ่น Performante กับ Superleggera จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ

นอกจากนี้ ในปี 2013 จะมีการเปิดตัว รุ่นพิเศษ Sesto Elemento ซึ่งจะถูกผลิตออกมาแค่ 20 คัน
เท่านั้น ข่าวร้ายสำหรับเศรษฐีบ้านเราก็คือ พวกมันก็ถูกจองไปหมดแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ยังมี
การเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ ให้กับพี่ชายคนโต Aventador กระทิงใหญ่ของค่ายก็จะมีการเปิดตัวรุ่น
Aventador SV ซึ่งนำเครื่องยนต์เดิมมาปรับแต่งให้สะใจขึ้นเป็น 750 แรงม้า (HP) เพื่อหวัง
กำราบ Ferrari F12 Berlinetta ให้อยู่หมัด ตั้งเป้าเปิดตัวอย่างเร็วสุดคือปี 2013

ส่วน Urus ซึ่งถือเป็น SUV ยุคใหม่คันแรกของ Lamborcgini ที่เผยโฉมไปแล้วในฐานะของ
รถยนต์ต้นแบบนั้น กำลังอยู่ในระหว่างการวิจัยและพัฒนาเพิ่มเติม โดยคาดหวังว่าจะเปิดตัวได้ในปี
2016 และวางหมากเรื่องราคาเอาไว้ว่ามันจะเป็น Lamborghini ที่มีราคาถูกที่สุด เท่าที่เคยมีมา
โดยตั้งเป้าที่จะขายให้ได้ทั่วโลก ปีละ 3,000 คัน

และใช่ว่ารถสปอร์ตระดับ Exotic เยี่ยงนี้ จะรักโลกไม่เป็น ล่าสุด Lamborghini กำลัง
ทดลองระบบขับเคลื่อนแบบ Plug-in Hybrid กันอยู่  แต่กว่าจะมาให้ใช้งานกันได้คง
ต้องรอให้โครงการ Cabrera กับ Urus ออกมาทำตลาดได้ดีผลสำเร็จเสียก่อน

——————————————

LAND ROVER
2013 : New Distributor “City Automotive”
           Range Rover Sport
2014 – 2015 : Next Defender

ในที่สุด ปี 2012 ก็กลายเป็นปีที่เกิดการเปลี่ยนมือผู้ถือสิทธิ์ในการทำตลาด Land Rover ในเมืองไทย จาก
บริษัท British Motor มาเป็นบริษัท City Automotive และเพิ่งจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการต่อสาธารณชน
ไปในงาน Motor Expo ครั้งที่ผ่านมา แถมยังสั่งนำเข้า Range Rover รุ่นใหม่ล่าสุด อัดออพชันมาแน่น
แต่เปิดราคาขายปลีกอยู่ที่แถวๆ 10 กว่าล้านบาท ฟังแล้วแทบลมจับ ส่วนตลาดล่างลงมา ปล่อยให้เจ้า
Range Rover Evoque รุ่น 5 ประตู เข้ามาขายกันอย่างจริงจังเสียที

ดังนั้น คราวนี้จะเหลือรถยนต์รุ่นใหม่ที่จ่อคิวเปิดตัวอยู่ในต่างประเทศอีก 2 รุ่น นั่นคือ Range Rover
Sport ใหม่ ซึ่งจะมีเครื่องยนต์ให้เลือกตั้งแต่ Diesel V6 DOHC 24 วาล์ว Common Rail Turbocahrge
พ่วง Intercooler 255 แรงม้า (BHP) ไปจนถึงขุมพลัง เบนซิน V8 DOHC 32 วาล์ว Twin Turbo และ
ระบบ Common Rail 335 แรม้า (BHP) มีกำหนดคลอดในปี 2013 นี้ เพื่อประกบกับ Porsche Cayenne

อีกรุ่นหนึ่ง ก็คือ Defender Full ModelChange ถือเป็นการวัดดวงครั้งสำคัญ สำหรับการเปลี่ยนโฉม
ครั้งใหญ่ให้กับสุดยอดรถตรวจการขับเคลื่อน 4 ล้อ ของอังกฤษ ในรอบหลายสิบปี โดยออกแบบ
ให้ตัวรถ มีพื้นฐานงานวิศวกรรมร่วมกับ Freelander ใหม่กันไปเลย กำหนดเปิดตัวจะอยู่ในช่วง
ปี 2014 – 2015

ถ้าขนาด Range Rover รุ่นใหญ่ยักษ์ ยังสามารถสั่งนำเข้ามาเปิดตลาดได้แบบฉับไว ดังนั้น โอกาส
ที่ Range Rover Sport รุ่นต่อไปจะถูกสั่งนำเข้ามาโดยเร็ว ก็เป็นไปได้อยู่พอสมควร

——————————————

LOTUS (By Niche Cars)
Still in the middle of Crisis…..

CEO สุดหล่อฟันขาวสะอาด Dany Bahar ผู้ที่ถูกคาดหมายว่าจะพา Lotus ผงาดขึ้นเป็นเจ้าแห่งรถสปอร์ต
สมรรถนะสูง เทียบชั้นได้กับ Ferrari หรือ Porsche สุดท้าย ก็ต้องถูก DRB-HICOM เจ้าของใหม่ ที่ซื้อหุ้น
จาก Proton เขี่ยออกจากงานกันดื้อๆ ทุกความฝันที่เคยเป็นความหวัง มันกลับดับวูบหายไป จนอาจเรียก
ได้ว่า นี่คือช่วงเวลาที่แย่ที่สุดของ Group Lotus เท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์บริษัทเลยทีเดียว

นั่นหมายความว่า ทุกโครงการพัฒนารถสปอร์ต ทั้ง 3-4 แบบ ที่เคยเดินหน้าอยู่ในตอนนี้ ถูกพักไว้ชั่วคราว
โดยเฉพาะโครงการ Esprit อันเป็นรถสปอร์ตรุ่นสำคัญที่จะกำหนดว่า Lotus จะสามารถกลับมาเป็นหนึ่ง
ในจ่าฝูงตลาดรถสปอร์ตอีกครั้ง ก็ถูกจับเข้าช่องแช่แข็งไว้ ซ้ำร้าย สายการผลิตในโรงงาน ก็ต้องหยุดลง
เพราะมีปัญหาด้านการชำระหนี้กับซัพพลายเออร์ มูลค่าหนี้สะสมที่มีอยู่ อาจสูงถึง 300 ล้านปอนด์
ซึ่งเป็นตัวเลขประมาณการ เพราะตัวเลขที่แท้จริงยังไม่มีใครเปิดเผย เมื่อไม่มีรถใหม่ แถมสถานการณ์
ยังเป็นเช่นนี้ พวกเขาจึงเลือกงดเข้าร่วมงาน Paris Auto Salon เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา และรวมทั้ง
Geneva Motor Show เดือนมีนาคม ที่จะถึงนี้ด้วย หลังจากเปิดตัวรถสปอร์ตรุ่น Exige S ขุมพลัง V6
เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2012 ในฐานะรถใหม่ เพียงรุ่นเดียวของค่ายในปีที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้ มีการส่งคนไปเจรจากับทาง Aston Martin เพื่อดูความเป็นไปได้ในเรื่องการควบรวมกิจการ
แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่น ต่อให้ DRB-HICAOM จะประกาศแผนฟื้นฟูกิจการของ Lotus และจัดการ
กับระบบ Cashflow (เงินเดินสะพัด) ของ Lotus แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณบ่งบอกการฟื้นตัวว่าจะเกิดขึ้นใน
เร็ววันนี้ ดังนั้น สถานการณ์ในเมืองไทย ก็จึงทำได้แต่รอดูท่าทีของบริษัทแม่ ว่าจะเอาอย่างไรต่อไป
อนาคตของ Lotus ในยามนี้ก็สว่างพอๆกับบ่อน้ำบาดาลในคืนเดือนหงาย

——————————————

MASERATI
2013 : New Quattroporte
2014 : Ghibli / SUV with a new named “LeVante

ปีที่ผ่านมา Empire Motorsport ผู้จำหน่าย Maserati แบรนด์รถยนต์ระดับพรีเมียม ในกลุ่ม Fiat Auto SpA.
อย่างเป็นทางการในไทย ตัดสินใจลงทุนย้ายตำแหน่ง และเปลี่ยนโชว์รูมใน Siam Paragon ให้สอคล้อง
กับการสื่อสารของแบรนด์ในภาพรวมทั่วโลกมากขึ้น ตอนนี้เปิดดำเนินการแล้ว

แต่นับจากปี 2013 เป็นต้นไป เราจะเริ่มเห็นความเคลื่อนไหวของ Maserati ทั่วโลก มากกว่าที่เคยเป็นมา
เพราะจะได้เวลาที่ โครงการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ๆ สำคัญๆ ต่อการเติบโตของ Maserati พร้อมออกสู่ตลาด
ทั่วโลก มากถึง 3 รุ่น ตามที่ Fiat เจ้าของดั้งเดิม ตั้งใจผลักดันให้แบรนด์นี้โตในตลาดโลกมากกว่านี้อีก

เริ่มจาก Quattroporte รุ่นเปลี่ยนโฉม Full Model Change ซึ่งถึงกาลแก่เวลาที่จะต้องเปลี่ยนรูปโฉม
ภายนอกกันเสียที เครื่องยนต์จะเป็นตระกูลใหม่ All New Next Generation Powertrain จากฝีมือ
ของ Ferrari เป็นบล็อก V8 DOHC 3.8 ลิตร 523 แรงม้า (BHP) แรงบิดสูงสุด 649 นิวตันเมตร ส่วน
รุ่นราคาถูกลงมา จะมาในแนวทาง Down Sizing หันไป คบกับเครื่องยนต์ V6 DOHC 3.0 ลิตร ที่
แรงจัดระดับ 404 แรงม้า (BHP) แรงบิดสูงสุด 406 นิวตันเมตร แทน ถึงจะเผยรูปถ่ายกันแล้ว แต่
การเปิดตัวสู่สาธารณชนครั้งแรก จะเกิดขึ้นในงาน Detriot Auto Show เดือนมกราคม 2013 นี่เอง
(เริ่มผลิตแล้วในเดือนพฤศจิกายน 2012) หลังจากนั้น จะมีกำหนดเปิดตัวในเมืองไทย ช่วงปีนี้
หรืออย่างช้า ไม่เกินปี 2014

จากนั้น Sedan / Saloon ขนาดเล็กกว่า ที่ตอนนี้ ยังต้องเรียกกันเล่นๆว่า Baby Quattroporte ก็จะตาม
ออกมา คราวนี้สวมชื่อรุ่น Ghibli อันเป็นชื่อในระดับตำนานของ Aston Martin เขาละ คาดว่าจะมี
เครื่องยนต์บล็อกเล็ก V6 เข้ามาด้วย ซึ่งจะทำให้ผู้จำหน่ายในบ้านเรา สามารถตั้งราคาขายได้ใน
ระดับเดียวกับ Mercedes-Benz E-Class และ BMW 5-Series หรือ ราวๆ 4 – 5 ล้านบาท Saloon
ขนาดเล็ก เจ้าของสมญานาม Baby Quatroporte รุ่นนี้มีกำหนดจะเปิดตัวในปี 2013

ส่วน SUV ที่แต่เดิมเคยใช้ชื่อ Kubang นั้น สุดท้าย ก็เปลี่ยนชื่อมาเป็น LeVante  อันเป็น SUV ที่
Maserati ฝันอยากจะทำขายมาตั้งแต่ก่อนปี 2000 ถึงขั้นเคยทำรถต้นแบบในชื่อเดียวกันนี้ ออก
มาอวดโฉมต่อชาวโลก ในปี 2003 แต่ความคืบหน้าดังกล่าว ก็หายไปนานถึง 9 ปี กว่าที่เวอร์ชัน
ต้นแบบ คันล่าสุด ซึ่งดูใกล้เคียงกับเวอร์ชันผลิตขายจริงมากๆ จะเปิดผ้าคลุมในงาน Frankfurt
Motor Show เดือนกันยายน 2011 เพื่อหวังจะเป็นทางเลือกในกลุ่ม Premium MidSize SUV
ประกบกับ Mercedes-Benz ML-Class , BMW X5/X6 และ Range Rover Sport

งานออกแบบเครื่องยนต์ รับผิดชอบโดย Paolo Martinelli หัวหน้าฝ่าย Powertrain Department ของ
Maserati ด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปีของเขา ในทีมรถแข่ง Formula 1 และใน Ferrari คาดว่าน่าจะ
เป็นเครื่องยนต์ V8 ขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ แต่รายละเอียดเครื่องยนต์
จะยังไม่เปิดเผยออกมาจนกว่า จะถึงเวลาที่ LeVante ถูกนำไปขึ้นสายการผลิตที่โรงงาน ของ Chrysler
ในมลรัฐ Michigan ภายใต้ไลน์ผลิตเดียวกับ Jeep Grand Cherokee (ฟังดูแปลกๆพิลึกๆอยู่ไม่น้อย)
แต่กว่าที่ LeVante จะเข้ามาเมืองไทย เร็วที่สุด ก็คงจะเป็นช่วงปี 2014 เพราะต้องรอดูการประกอบ
เวอร์ชันพวงมาลัยขวาด้วยว่าจะเกิดขึ้นได้เมื่อใด

ผู้บริหารของทาง Empire Motorsport เคยให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อไม่นานมานี้ว่า มีแผนที่จะสั่งนำเข้า
รถยนต์รุ่นใหม่ ทั้ง 3 รุ่นนี้ มาเอาใจลูกค้าชาวไทยกว่า 80% และชาวต่างชาติอีกว่า 20% ที่เดินเข้า
โชว์รูมของพวกเขา ต่อเนื่องกันนับจากนี้ไป ดังนั้น อนาคตของ Maserati ในไทย จึงยังมีแสง
สีทองผ่องอำไพกันอยู่ต่อไปแน่ๆ อย่างน้อย ก็ในช่วง 2-3 ปีนี้ละ

——————————————

Mazda   
2013 : CX-5 
2014 : Mazda 3 Full Modelchange / BT-50 PRO Minorchange
2015 : All New MX-5 / Mazda 2 Full Modelchange

2012 ถือเป็นปีที่ Mazda บุกตลาดรถยนต์ในเมืองไทย อย่างหนักหน่วง และต่อเนื่องจากช่วง
ปี 2011 ทั้งการเปิดตัว รถกระบะ BT-50 PRO ใหม่หมดจดทั้งคัน ดึงเอา ผู้พันเบิร์ด ทหารหนุ่ม
นักแสดงคนดัง มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ตามด้วย การส่งรุ่นเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร มาเสริมทัพให้กับ
คระกูล Mazda 3 ทั้ง 2 ตัวถัง ไปพร้อมๆกับการกระตุ้นตลาด Mazda 2 ทั้งการออกรุ่นปรับปรุง
อุปกรณ์ เปลี่ยนสีโปรโมท เป็นสีฟ้า ในรุ่น Hatchnack และสีขาว ในรุ่น Sedan และใช้บริการ
2 พรีเซ็นเตอร์ ทั้ง เป้ อารักษ์ และ ณเดชน์ เหมือนเช่นปีก่อนๆ อีกทั้งยังอัดสารพัดแคมเปญ
ทั้งโฆษณา และรายการส่งเสริมการขายกันต่อเนื่อง แทบไม่เว้นว่างกันเลยตลอดทั้งปี และ
ผลลัพธ์ก็คุ้มค่า เพราะยอดขายของ Mazda ดีวันดีคืน และเริ่มจะทาบรัศมีเจ้าตลาดได้แล้ว
ทั้งในด้านยอดขาย และภาพลักษณ์ของแบรนด์

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์เล็กๆ แต่สำคัญและน่่าบันทึกเอาไว้คือ เมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน
ที่ผ่านมาร Mazda จัดให้มี Design Forum ของตน ขึ้นเป็นครั้งแรกสำหรับ Mazda ในเมืองไทย
หลังจากบินไปจัดในประเทศอื่นๆ ก่อนหน้านี้มาแล้ว 2 แห่ง การจัดงานนี้ เป็นเหมือนสัญญาณ
บ่งบอกให้สื่อมวลชน และผู้ที่มีโอกาสเข้าร่วมงานนี้ (ซึ่งมีจำนวนไม่มากนัก) ได้รับรู้ว่า จากนี้
Mazda จะ นำรถยนต์รุ่นใหม่ที่ใช้แนวทางการออกแบบ KODO : Souls Of Motion มาทำตลาด
ในบ้านเราอย่างจริงจังกันเสียที หลังจากปล่อยให้รอมาสักพักใหญ่

แน่นอนว่า รถยนต์รุ่นแรกที่ออกแบบภายใต้แนวทาง KODO ที่จะเปิดตัวในเมืองไทย ก็คือ
Compact SUV 5 ที่นั่ง รุ่น CX-5 ซึ่ง Mazda ยืนยันแล้วว่า จะนำเข้าจากมาเลเซีย เพื่อให้
ทันส่งขึ้นโชว์รูมบ้านเรา ภายในเดือนมีนาคมนี้ และจะมาครบ จัดเต็ม ด้วยเครื่องยนต์ใหม่
ตระกูล SKYACTIV ทั้งแบบเบนซิน SKYACTIV G 4 สูบ 2.0 ลิตร 155 แรงม้า (PS) แรงบิด
200 นิวตันเมตร และ Diesel SKYACTIV D Common-Rail Turbo 2.2 ลิตร สเป็กต่างๆ อ้างอิง
จากตลาดเมืองนอกกันได้เลย เนื่องจากงานนี้ Mazda เลือกใช้วิธีสั่งนำเข้ารถยนต์จากมาเลเซีย
สาเหตุที่ไม่ประกอบในเมืองไทย เพราะ กำลังการผลิตของโรงงาน AAT ที่ระยอง แน่นเปรี๊ยะ
ชนิดกระดิกตัวไปไหนไม่ได้แล้ว เจอกันช่วงก่อนงาน Bangkok International Motor Show
อย่างแน่นอน แต่กว่าจะพร้อมส่งมอบและเริ่มทำตลาดได้จริง อาจต้องรออีก 2-3 เดือนหลังเปิดตัว

นอกจากนี้ ตลอดปี 2013 เราอาจจะได้เห็นรุ่นปรับโฉม หรือรุ่นย่อยพิเศษกระตุ้นตลาดของ
Mazda 2 และ BT-50 PRO เพื่อพยุงยอดขายกันไปเรื่อยๆ



(Illustration โดย Ku @ Thaicardesign.com)

ในขณะเดียวกัน Mazda 3 ใหม่ Full Model change ที่เพิ่งจะมีภาพหลุดออกมารวม 3 รูป แม้ว่า
ทาง Mazda Australia ออกมายืนยันหนักแน่นว่า ทั้ง 3 รูปนั้นจะไม่ใช่ Mazda 3 ใหม่ก็จริง แต่
ยืนยันได้ว่า เส้นสายภายนอก จะถูกปรับเปลี่ยนเป็นแนวทาง KODO แน่ๆ และจะมีเครื่องยนต์ใหม่
SYYACYIV ในตลาดโลก ทั้งแบบเบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร กับ 2.5 ลิตร และ
Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.2 ลิตร Common-Rail Turbo ที่ยกมาจาก SUV รุ่น CX-5 
ส่วนเวอร์ชันไทยนั้น ยังไม่มีข้อสรุปว่า เราจะได้เห็นรุ่นเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร บล็อกใหม่ หรือจะยังคง
ยืนหยัดลากใช้เครื่องยนต์เก่าเก็บลูกเดิม ที่ใช้กันมาแล้ว 2 เจเนอเรชัน ชนิดรอเปลี่ยนเมื่อลูกบวช
Mazda 3 ใหม่ กำหนดจะเผยโฉมออกมาให้เราได้เห็นคันจริง ภายในช่วงปลายปี 2013 แต่คนไทย
อาจต้องรอไปอีกนานจนถึงปี 2014 กันเลยทีเดียว เพราะ Mazda 3 รุ่นปัจจุบันในบ้านเรา เพิ่งเปิดตัว
ไปเมื่อเดือนมีนาคม 2011 (ช่วงแผ่นดินไหวและสึนามิเข้าญี่ปุ่น) นั่นเอง และถึงตอนนี้ ก็ยัง
ไม่ครบอายุตลาดเลยด้วยซ้ำ

นอกจากนี้ ปี 2014 จะถึงเวลาที่ Mazda ต้องเตรียมปรับโฉมแบบ Minorchange ให้กับรถกระบะ
BT-50 PRO แม้ว่าจะไม่น่ามีการเปลี่ยนแปลงในด้านรายละเอียดวิศวกรรมใดๆ แต่งานออกแบบ
ทั้งด้านหน้ารถ และ ชุดไฟท้าย จะถูกปรับปรุงใหม่ ให้มีแนวเส้นสายร่วมกันกับแนวทาง KODO
มากยิ่งขึ้น ได้แต่หวังว่า ชุดไฟท้ายจะออกมาดูแล้ว สวยจบ สบายตา สบายใจทุกคน เพราะมีแค่
งานออกแบบด้านหน้าและบั้นท้ายนี่ละ ที่ทำให้หลายคนยังทำใจไม่ได้ที่จุอุดหนุนรถกระบะ
ซึ่งเซ็ตช่วงล่างมาลงตัวที่สุดในตลาด รุ่นนี้ได้ลง

ส่วนใครที่ยังรอ การเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันของ Mazda 2 นั้น อาจต้องรอไปจนถึง ปี 2014
หรืออาจจะข้ามไปยังปี 2015 กันเลยทีเดียว ความเคลื่อนไหวล่าสุดที่หลุดรอดออกมาก็คือว่า
รถรุ่นนี้ อาจมีความเกี่ยวพันกับ Toyota อยู่ เนื่องจาก เมื่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2012 ที่ผ่านมา
ทั้ง Mazda และ Toyota ลงนามในข้อตกลงร่วมกันว่า จะนำรถยนต์ขนาดเล็กรุ่นใหม่ ที่ใช้
พื้นฐานมาจาก Mazda 2 เจเนอเรชันใหม่ ไป ขึ้นสายการผลิตที่โรงงาน Mazda ใน Mexico
ซึ่งกำลังก่อสร้างกันอยู่  หมายความว่า เราอาจต้องทนเห็นหน้า Mazda 2 รุ่นปัจจุบันกันอีก
อย่างน้อย ก็จนถึงปลายปี 2014 เป็นอย่างเร็วที่สุด

ส่วนโครงการอื่นๆของ Mazda ในตลาดโลก ที่น่าสนใจ และมีความเป็นไปได้ที่ถูกส่งเข้ามา
ขายในเมืองไทย ก็เห็นจะมีแต่ Mazda MX-5 รุ่นใหม่ ซึ่งจะพัฒนาขึ้นร่วมกันกับ FIAT
Auto Spa. แห่งอิตาลี เพื่อทำตลาดเป็น New MX-5 และ New Alfa Romeo Spider 
โดย จะวางเครื่องยนต์ใหม่ SKYACTIV ที่ลดความจุกระบอกสูบลงมาจาก 2.0 ลิตร เหลือแค่
1.3 ลิตร แต่จะต้องมีพละกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 200 แรงม้า (PS) ด้วยการติดตั้ง Turbocharger
เสริมเข้าไป ขณะเดียวกัน ต้องลดน้ำหนักลงอีก 100 กิโลกรัม เพื่อให้ตัวรถเบาไม่เกิน
1,000 กิโลกรัม พอดี!! ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสนุกเร้าใจในการขับขี่ และลดอัตราสิ้นเปลือง
เชื้อเพลิงลงให้ได้มากกว่านี้ แถมยังปล่อยมลพิษน้อยลงกว่าเดิม กำหนดเปิดตัวอยู่ในช่วง
ปี 2015

อีกรุ่นหนึ่ง ที่ เพิ่งมีการยืนยันเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา นั่นคือ Sub-Compact
Crossover SUV ขนาดเล็ก รุ่นใหม่ Mazda CX-3 ที่จะสร้างขึ้นบนพื้นฐานวิศวกรรม
ของ Mazda 2 เจเนอเรชันต่อไป เพื่อร่วมประลองชัย ในศึก B-Segment SUV ที่เริ่ม
ปะทุเดือดขึ้นเรื่อยๆ กว่าที่เราจะได้เห็นคันจริง ก็คงต้องเป็นช่วงปี 2014 หรือ 2015

——————————————

Mercedes-Benz
2013 : New E-Class W212 Facelift + HYBRID ! / CLA-Class / All New S-class CBU
2014 : All New S-Class CKD

ค่ายรถยนต์ตราดาว ยังคงบุกตลาดอย่างหนักหน่วง และต่อเนื่อง ตลอดปี 2012 ที่ผ่านมา เพื่อแก้
ปัญหาเรื่อง การทำตลาดของผู้ค้ารายย่อย Grey Market และด้วยมาตรการ เก็บภาษีนำเข้า ของ
ศุลกากร อย่างตรงไปตรงมามากขึ้น (ไม่ใช่การเพิ่มอัตราภาษีอย่างที่ Grey หลายแห่งหลอกลูกค้า)
ทำให้ การขายรถยนต์ของ Grey Market ซบเซาลงไปอย่างเห็นได้ชัด

แถมตลอดปี 2012 ที่ผ่านมา Mercedes-Benz ในบ้านเรา ก็ถล่มเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะเป็น รถสปอร์ตรุ่นใหญ่ Mercedes-Benz SL ใหม่ น้องเล็กรุ่น B-Class สั่งนำเข้ามาขายกัน
พอเป็นพิธี เอาใจคนที่อยากได้ Benz ราคาประหยัด แต่คุ้มทุกการใช้งาน นอกจากนี้ยังสั่งนำเข้ารุ่น
CLS Shooting Break กับ CLS 250 CDI ในราคาใหม่ ลดราคาฮวบลงมาเหลือแค่ 4.99 ล้านบาท
จากเดิม CLS 250 CGI คันละ 8 ล้านกว่าบาท และส่งท้ายในเดือยพฤศจิกายน ด้วยการเปิดตัว A-Class
ใหม่ ทั้ง รุ่น A180 และ A250 จนเรียกกระแสลูกค้าไหลเข้าโชว์รูมผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ ขายดีมาก
จนค่ายคู่แข่ง และบรรดาชาว “สีเทา” ทำตากันปริบๆ

ส่วนไฮไลต์หลักของ Mercedes-Benz ในบ้านเรา สำหรับปี 2013 จะอยู่ที่ การเตรียมเปิดตัว
E-Class W212 Facelift หรือรุ่น Minorchange ที่เพิ่งเผยภาพกันไปแล้วเมื่อปลายเดือนธันวาคม
ที่ผ่านมาหมาดๆ โดยจะมีรุ่นขุมพลัง HYBRID ที่ผู้ผลิตเคลมว่า ทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้
ประหยัดถึง 4.2 ลิตร / 100 กิโลเมตร หรือราวๆ 23 กิโลเมตร/ลิตร กันเลยทีเดียว มาเปิดตัวและ
พร้อมทำตลาดจริงในเมืองไทย อย่างแน่นอน

อีกรุ่นหนึ่งที่น่าจะถูกนำเข้ามาจำหน่ายในบ้านเรา นั่นคือ CLA ซึ่งเพิ่งมีภาพ Spyshot แบบ
“ผู้ผลิตจงใจปล่อยเอง” อย่างที่เห็นข้างบนนี้ โดยชูเทคโนโลยีหลัก ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
4 MATIC เวอร์ชันใหม่ล่าสุด ในตลาดโลก ช่วงแรกจะมีให้เลือกทั้ง CLA180 (122 แรงม้า)
, CLA200 (156 แรงม้า) , CLA250 (211 แรงม้า) และ CLA220cdi (170 แรงม้า) โดยในตลาด
ยุโรป จะมีรุ่น CLA 35 AMG แรงสุดๆ ถึง 335 แรงม้า ตามออกมาในเดือนกันยายน 2013
แต่สำหรับตลาดเมืองไทย รุ่นที่เป็นไปได้มากที่สุดหากจะนำเข้ามาทำตลาดคือรุ่น CLA180
และ CLA250

ขณะเดียวกัน ยังต้องจับตาดูการเปิดตัว Mercedes-Benz S-Class ใหม่ ในช่วงปี 2013 นี้ ที่ยุโรป
โดยรถรุ่นใหม่ จะมีขนาดตัวถังใหญ่โตขึ้น และถูกอัดแน่นด้วยสารพัดเทคโนโลยี ทั้งเพื่อความ
สะดวกสบายของผู้โดยสาร และเทคโนโลยีขับเคลื่อนเพื่อสิ่งแวดล้อม มากกว่าที่เคยมีมาในบรรดา
S-Class ทุกรุ่น คาดว่า น่าจะส่งมาขายเมืองไทย ในฐานะ รถนำเข้า ช่วงต้นปี 2014 เป็นประเดิม
ก่อนที่ เวอร์ชันประกอบในประเทศ จะตามมาในระยะหลังจากนั้น อีก 6 เดือน หรือช่วงครึ่งหลัง
ของปี 2014

——————————————

(Illustration โดย คุณ อนาวิล สายดำ / Mr.Anawin Saidum)

MITSUBISHI MOTORS
2013 :  ” New Global Small Sedan 1.2 Litre” Based on Mirage   (Quarter 3 or 4) 
2014 :  All New Triton Full Model Change (Stop joint Develop with NISSAN !!)
2015 :  Pajero Sport Full Model Change / Lancer Full Modelchange / Mirage Hybrid ??

นอกเหนือจากจะยังประคับประคองยอดขายของทั้ง Mitsubishi Triton และ Pajero Sport
ซึ่งยังคงถูกปรับปรุงอุปกรณ์ และเพิ่มเครื่องยนต์กันไปเรื่อยๆ ทั้ง Diesel 2.5 VG Turbo
เบนซิน V6 3.0 ลิตร และ เบนซิน 2.4 ลิตร (สำหรับกลุ่มที่อยากเอาไปติดก๊าซ LPG เอง)
มาได้อย่างตลอดรอดฝั่งแล้ว

ความสำเร็จครั้งสำคัญอันยิ่งใหญ่ของ Mitsubishi Motors ในเมืองไทย ช่วงปี 2012 คือการ
เปิดตัว Mitsubishi Mirage ECO Car รุ่นแรกของตนจากโครงการ New Global Small ได้
อย่างสวยสดงดงาม แม้จะนำชื่อเก่าซึ่งเคยใช้กับ รถยนต์ Compact Hatchback ฝาแฝด
ร่วมกับ Lancer รุ่นก่อนๆ ในญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี 1978 แค่ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งการสร้าง
ตัวรถให้เบาหวิวที่สุด เพียง 870 กิโลกรัม แถมยังพัฒนาเครื่องยนต์ 3 สูบ 12 วาล์ว 1.2 ลิตร
มาใช้ แม้ว่าแรงม้าน้อยสุดในกลุ่ม แต่กลับแรงสุด และประหยัดน้ำมันที่สุดในกลุ่ม แถมยัง
มีแผนการตลาดที่เตรียมรับมือกระแสความแรงของ Suzuki Swift อย่างดี ทั้งการดึง นิชคุณ
นักร้องนำคนไทยในวง 2PM จากเกาหลีใต้ มาเป็น Presenter รวมทั้งแคมเปญยั่วใจ ผลก็คือ
ลูกค้าพากันเทใจให้ล้นหลาม แม้จะมีการ Recall ลูกลอยในปั้มติ๊กของถังน้ำมัน ช่วงปลาย
ปี แต่ก็เรียกศรัทธาจากผู้บริโภคกลับมาอย่างรวดเร็ว เพราะเตรียมทางแก้ปัญหาทุกอย่างไว้
ครบถ้วนจนถึงตอนนี้ โรงงานแห่งใหม่มูลค่า 16,000 ล้านบาท ต้องเร่งทำงานกันต่อเนื่อง
เพื่อเคลียร์ยอดจองที่ยาวข้ามปี คาดว่ารับรถกันได้หมดครบสักที เดือนมีนาคม 2013

แต่ถ้าคิดว่า Mirage จะมีแค่ตัวถังเดียว คงต้องบอกว่า คิดผิดคิดใหม่ เพราะ ตอนนี้ กองทัพ
Mirage รุ่นอื่นๆ ยังคงอยู่ในระหว่างการพัฒนา และจะเริ่มจ่อคิวเปิดตัวกันตั้งแต่ปี 2013
เป็นต้นไป

เริ่มจาก Mirage Sedan ที่จะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ 1.2 ลิตร แบบเดียวกันกับรุ่น 5 ประตู
สร้างขึ้นบนพื้นตัวถังเดียวกัน แต่อาจใช้เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar และเสากลาง B-Pillar ร่วมกัน
กับ Mirage Hatchback 5 ประตู โดยรุ่น Sedan มีกำหนดเปิดตัวในเมืองไทย เป็นแห่งแรก
ในโลก ช่วงไตรมาส 3 – 4 ในปีนี้

จากนั้น จะเว้นช่วงสักพัก แล้วตามด้วย เวอร์ชันที่ติดตั้งขุมพลังแบบ HYBRID ซึ่งคาดว่าจะ
ตามออกมา ในปี 2014 หรือ 2015 ทุกรุ่นข้างต้น มีแผนส่งออกกลับไปขายในประเทศญี่ปุ่น
เหมือนกับรุ่น 5 ประตู  ในปัจจุบัน แต่เราก็ต้องมานั่งลุ้นกันต่อว่า ลูกค้าคนไทยจะมีโอกาส
ได้สัมผัส เป็นเจ้าของ Mirage HYBRID ด้วยหรือไม่ เพราะมีความเป็นไปได้สูงว่ายังลุ้น
กันได้อยู่ เพราะถ้าจะลุ้น รถ EV สงสัยจะหมดหวัง

ปี 2013 เราอาจได้เห็น การเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ และรุ่นย่อยพิเศษ จำพวก Spacial Edition ให้กับ
บรรดารถยนต์รุ่นที่ทำตลาดกันอยู่แล้ว ทั้ง Lancer EX ซึ่งก็ยังจำเป็นต้องพยุงตลาดกันต่อไป
ให้ตลอดรอดฝั่ง รวมทั้งรถกระบะ Triton และ Pajero Sport ซึ่งจำเป็นจะลากขายกันต่อไป

โดยเฉพาะ Pajero Sport นั้น จะมีการปรับโฉมอีกเล็กน้อย โดยจะไม่มีการไปแตะต้องอะไร
กับเครื่องยนต์ที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันอีกเป็นอันขาด ความเปลี่ยนแปลงมากที่สุด เห็นจะมีแค่
การปรับปรุงอุปกรณ์ภายในห้องโดยสาร เท่านั้น กำหนดเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2013
จนกว่าจะถึงปี 2014 ซึ่งจะเป็นปีที่ Triton มีกำหนดจะเปิดตัวรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน

อย่างไรก็ตาม จากการรายงานในปีที่แล้วว่า Mitsubishi Motors จะจับมือกับ Nissan 
ร่วมกันวางแผนพัฒนาและผลิตรถกระบะ รุ่นต่อไป จนสร้างความฮือฮาให้กับผู้ที่ติดตาม
ข่าวสารแวดวงอุตสาหกรรมรถยนต์ มาถึงวันนี้ ทั้งคู่ ออกมาบอกว่า “ยกเลิกความร่วมมือ
ในโครงการดังกล่าวนี้เสียแล้ว”!

เหตุผลไม่มีอะไรมาก ในเมื่อ ทั้งคู่ เริ่มงานพัฒนารถกระบะของตนมาสักระยะหนึ่ง ก่อน
ที่จะมาจับเข่าคุยกันแล้ว อีกทั้ง แนวทางการพัฒนารถกระบะรุ่นใหม่ของทั้งคู่ ยังต่างกัน
อีกด้วย โดย Nissan ตั้งใจจะมุ่งเน้นความแข็งแกร่ง ทนทานเพื่อรองรับงานหนักๆ โหดๆ
มากขึ้น แต่ราคาต้องเท่าเดิม หรือถูกกว่าเดิมนิดนึง ให้ได้ ส่วน Mitsubishi Motors มองว่า
จะเน้น รถกระบะ Life Style ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้ในทุกรูปแบบ ทั้งหรูทั้งลุยได้สบาย
ในเมื่อ โจทย์ต่างกัน ขนาดนี้ คงจะร่วมงานในโครงการแบบนี้ต่อไปได้ยากแล้วละ!

สำหรับ Triton รุ่นต่อไปนั้น แนวทางการพัฒนา จะมีการผสมผสานรูปแบบความทรหดบึกบึน
เข้าไปในเส้นสายที่โฉบเฉี่ยว เอาใจลูกค้าชาวไทยมากขึ้น หลังจากที่มีบทเรียนจาก Triton ใน
รุ่นปัจจุบันมาแล้ว ว่า เส้นสายที่ล้ำอนาคตเกินไป คนไทย ไม่ Get! กำหนดเปิดตัวอยู่ในช่วง
ไตรมาส 3 ของปี 2014 ชนกับทั้ง Hilux Vigo IMV2 และ D-Max Big Minorchange

ย่างเข้าสู่ปี 2015 ก็จะเวลาของ Pajero Spot เปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน แบบ Full Model Change
โดยจะมีการพัฒนาบนโครงสร้างเฟรมแชสซี และงานวิศวกรรมของ Triton รุ่นต่อไป ตามคาด
กำหนดขึ้นสายการผลิต น่าจะอยู่ในช่วงปลายปี 2014 ถึงต้นปี 2015 โดยจะใช้ฐานการผลิตใน
โรงงานของตน ที่แหลมฉบัง ตามเคย ยังไม่แน่ชัดว่า จะเปิดตัวได้ทันในปี 2015 หรือไม่ คง
ต้องรอลุ้นกันต่อไป

หลังจากนั้น ก็จะได้เวลา เปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันให้กับ Mitsubishi Lancer ใหม่ โดยในตลาดโลก
ไม่ค่อยประสบความสำเร็จด้านยอดขาย ในแทบทุกประเทศที่เข้าไปจำหน่าย เท่าที่ควร เนื่องจาก
ตัวรถดูเป็นผู้ชายมาก จนกลุ่มลูกค้าสตรี พากันเกลียดขี้หน้า ดังนั้น ตามแผนการเปิดตัว เราจะได้
พบกับโฉมรถยนต์รุ่นนี้ ในปี 2014 แต่เมืองไทย เราอาจจะต้องรอกันต่อไปจนถึงช่วงปลายปี
2014 หรือเร็วที่สุดภายในช่วงปี 2015

 ———————————–

NISSAN
2013 : Next TIIDA B12D will be call “PULSAR” / March Minorchange NV350 Urvan /
           Teana Full Modelchange / Juke…(?)
2014 : Navara Full Modelchange / All New X-Trail Made in Thailand
2015 : Navara SUV / PPV 

ความเคลื่อนไหวที่สำคัญที่สุดของ Nissan ในปีนี้ มีอยู่ 2 เรื่อง นั้นคือ การเปิดตัว Nissan Sylphy
C-Segment Compact Sedan ขนาดตัวถังใหญ่โต วางเครื่องยนต์ 1.6 และ 1.8 ลิตร เมื่อวันที่
30 สิงหาคม 2012 และการประกาศลงทุนในไทยกว่า 11,000 ล้านบาท สร้างโรงงานประกอบรถยนต์
แห่งที่ 2 ในบ้านเรา เพื่อเริ่มผลิตรถกระบะรุ่นใหม่ ในเดือนสิงหาคม 2014 โดยโรงงานแห่งนี้จะ
มีกำลังการผลิตต่อปี ในช่วงเริ่มต้น 75,000 คัน และ 150,000 คันในอนาคต เพื่อดันให้ไทยเป็น
ศูนย์กลางการผลิตเพื่อส่งออกของ Nissan ในอาเซียน และเกิดการจ้างงานเพิ่มให้กับประเทศอีก
2,000 คน นั่นเท่ากับว่าการดำเนินงานตามแผน Nissan Power Up 2016 ยังคงเดินหน้าต่อไป
นอกเหนือจากแผนขยายเครือข่ายโชว์รูมและศูนย์บริการ อีก 50 แห่ง จากเดิม 160 แห่ง ให้เพิ่ม
เป็น 210 แห่ง ในปี 2013 เพื่อ เป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดอีกเท่าตัว หรือประมาณ 15%

ปี 2013 นี้  จะถือเป็นปีที่ Nissan จะเริ่มเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง นับจากนี้เรื่อยไป
จนถึงปี 2016 กันเลยทีเดียว

เริ่มกันที่ Next TIIDA 5 ประตู รหัสโครงการ B12D ได้ชื่อรุ่นเพื่อทำตลาดอย่างเป็นทางการแล้ว
นั่นคือ PULSAR ซึ่งเป็นการหยิบเอาชื่อเก่าที่เคยใช้กับรถยนต์นั่ง Compact Hatchback สำหรับ
ตลาดยุโรป กลับมาใช้อีกครั้ง และรูปโฉม ก็จะไม่แตกต่างจากรถคันสีขาว ซึ่งจอดแสดงอยุ่บน
แท่นหมุนในงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาอีกแล้ว แม้จะใช้หน้าตาเดียวกัน
กับ TIIDA 5 ประตู ใหม่ ในจีน แต่รายละเอียดวิศวกรรม เครื่องยนต์กลไก ทั้ง 1.6 ลิตร เกียร์
ธรรมดา 5 จังหวะ กับ อัตโนมัติ CVT และ 1.8 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ CVT รวมทั้งแผงหน้าปัด
จะยกชุดมาจาก Sylphy ทุกประการ เพียงแต่ภายในห้องโดยสารจะตกแต่งดัวยโทนสีดำ และ
มีพื้นที่โดยสารด้านหลัง ใหญ่โต นั่งสบาย เหมือน TIIDA 5 ประตู รุ่นเก่า กำหนดเปิดตัว อยู่
ในเดือน กุมภาพันธ์ – มีนาคม 2013

จากนั้น ในเดือนมีนาคม ก่อน Bangkok International Motor Show ไม่กี่วัน Nissan ก็เตรียม
ระเบิดลูกเล็ก ไว้ถล่ม ตลาด ECO Car กันอีกรอบ ด้วยการปรับโฉมครั้งใหญ่ ให้กับ Nissan
March แบบ Big Minorchange โดยจะปรับปรุงชิ้นส่วนด้านหน้า และด้านหลัง รวมทั้งแผง
หน้าปัด ให้ดูดุดันขึ้นกว่าปัจจุบัน แต่เครื่องยนต์กลไกและระบบส่งกำลังต่างๆ ยังเหมือนเดิม
ส่วนระบบ Auto Start Stop  ถูกตัดออกไปตั้งแต่รุ่นปี 2012 แล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่า มันไม่จำเป็น
อีกต่อไป ต่อให้ไม่ติดตั้งระบบนี้ March ก็ผ่านมาตรฐานอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง UNECE
ที่ 20 กิโลเมตร/ลิตร อันเป็นข้อกำหนดพื้นฐาน สำหรับรถยนต์ ECO Car ทุกคันในบ้านเรา
อยู่ดี เอางบตรงนี้ มาทำอุปกรณ์เพิ่มความสะดวกในห้องโดยสาร ดีกว่า

ในเดือนเดียวกัน Nissan จะเปิดศึก รถตู้เพื่อการพาณิชย์ ขนานใหญ่อีกครั้ง ด้วยการเปิดตัว
Nissan URVAN รุ่นใหม่ (ซึ่งมันก็คือ Nissan NV350 Caravan ในตลาดญี่ปุ่น ที่ขายดีใน
ตอนนี้นั่นเอง) รหัสพัฒนา X81B ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง Semi – Monocoque ซึ่งไม่ได้
ใช้แชสซีส์ ของ Nissan Navara ทั้งรุ่นปัจจุบันและรุ่นต่อไปใหม่อีกต่อไป แต่หันไปใช้
พื้นฐานช่วงล่างร่วมกับรถตู้ Nissan Primastar รหัสพัฒนา X81A ที่เหมาะกับการพัฒนา
เป็นรถตู้บรรทุกมากกว่า คราวนี้ Urvan ใหม่ ยกทีมมากันครบ ทั้งรุ่นตัวถังกว้างมาตรฐาน
Narrow Body กับรุ่นกว้างมโหฬาร Wide Body จะมีเครื่องยนต์ให้เลือกกัน ทั้ง เบนซิน
และ Diesel Turbo Common Rail อีกทั้งพยายามลบจุดอ่อนด้อยของตัวเอง เพื่องัดข้อกับ
Toyota Hiace / Commuter แบบไม่ไว้หน้ากันอีกต่อไป โดยจะนำไปจัดแสดงในงาน
Bangkok International Motor Show เหมือนกับทั้ง Pulsar และ March Minorchange

เว้นช่วงไปอีกราวๆ 4 เดือน ใครที่คิดหรือวางแผนจะซื้อรถยนต์นั่งขนาดกลางค่อนใหญ่
ในพิกัดระดับ D-Segment เตรียมจับตาดูการเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน Full ModelChange
ของ Nissan TEANA ใหม่ให้ดี เพราะคราวนี้ นอกจากจะยกตัวถังมาจากซีดานรุ่นกลาง
อย่าง Nissan ALTIMA ที่จำหน่ายในสหรัฐอเมริกามาขายกันแล้ว ยังมีการปรับโฉม
รูปลักษณ์ทั้งด้านหน้า และบั้นท้าย ให้ต่างจาก Altima ให้เข้ากับรสนิยมคนเอเซียที่เน้น
ความหรูหรา มากยิ่งขึ้น ขุมพลังจะเป็นบล็อกใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะ รุ่น 2.5 ลิตร จะ
เปลี่ยนจากบล็อก V6 ตระกูล VQ มาเป็นเครื่องยนต์รหัส QR25DE บล็อก 4 สูบ DOHC
16 วาล์ว 2.5 ลิตร พร้อมระบบแปรผันวาล์ว CVTC ส่วนรุ่น 2.0 ลิตร ก็จะเป็นเครื่องยนต์
บล็อกใหม่ อีกเช่นกัน ทั้งคู่จะยืนหยัดกับระบยบขับเคลื่อนล้อหน้า เชื่อมเกียร์อัตโนมัติ
Xtronic CVT ในเบื้องต้น ยังไม่มีระบบ HYBRID มาให้เลือก แต่ในอนาคตนั้น ถือว่า
ยังมีความเป็นไปได้สูงมาก ที่เราจะได้เห็น Teana HYBRID บนถนนเมืองไทย แต่
นั่นต้องรอหลังการเปิดตัว ครั้งแรก ในเดือน สิงหาคม 2013 ผ่านพ้นไปสักระยะหนึ่ง

ส่วน Nissan Juke ยังพอจะมีวี่แววในการทำตลาดบ้านเราอยู่ แม้ว่าจะต้องนำเข้ามาจาก
อินโดนีเซีย และวางเครื่องยนต์ HR16DE ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ ที่ไม่เหมือนกับ Juke ใน
ตลาดอื่นๆ ก่อนหน้านี้ ก็ตาม ปัญหาสำคัญเหลืแค่ การตั้งราคาขายให้เหมาะสมกับการ
ยอมรับของกลุ่มลูกค้า ซึ่งน่าจะเป็น คนโสด อายุ 25 – 35 ปี มากกว่าที่จะเป็นครอบครัว
ขนาดเล็ก อย่างไรก็ตามกำหนดการเปิดตัว ยังมีความไม่แน่นอน ถ้าลงตัวเราจะได้เห็น
Juke เวอร์ชันไทย ในปี 2013 แต่ถ้าสิ้นปีนี้ ไม่ได้เห็นกันอีก คงต้องบอกลารถรุ่นนี้กัน
ไปอย่างถาวรแล้วละ! เพราะกระแสความต้องการ ก็ลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ มาตลอด 2 ปี
ที่มีข่าวชิ้นนี้ออกมา

ย่างเข้าปี 2014 จะถึงเวลาตลาดรถกระบะในบ้านเรา กลับมาคึกคักอีกครั้ง และหนึ่งใน
ผู้เล่นตัวสำคัญอย่าง Nissan เอง ก็อยู่ในระหว่างเตรียมตัวส่ง Navara รุ่นเปลี่ยนโฉม
ใหม่หมดทั้คัน Full ModelChange ออกสู่ตลาดโลกในช่วงไตรมาสแรกของปี 2014
แต่สำหรับบ้านเรานั้น ยังไม่แน่ชัดว่า จะมาถึงในช่วงใดของปี 2014 ว่ากันว่าคราวนี้
Nissan จะเล่นเกม Engine Downsizing ในตลาดกลุ่มนี้ ด้วยการยกขุมพลังใหม่จาก
Renault แบบ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ขนาด 2.3 ลิตร Common Rail พ่วงด้วย
Turbo และ Intercooler มาวางลงใน Navara รุ่นต่อไป พละกำลังจะแรงระห่ำโลก
ไปถึง 200 แรงม้า (PS) ซึ่งนั่นเท่ากับ Mazda BT-50 PRO และ Ford Ranger 3.2
Wildtrak รุ่นปัจจุบันเลยทีเดียว! ทั้งที่มีความจุกระบอกสูบ น้อยกว่ากันถึง 1 ลิตร!!
ส่วนเวอร์ชันส่งออก จะเป็นรุ่น Twin Turbo แรงเพิ่มขึ้นได้อีก 10 แรงม้า รวมเป็น
210 แรงม้า (PS)!! แต่ คงจะไม่ทำตลาดในไทย (มามุขเดียวกับ เครื่องยนต์ Diesel
Twin Turbo ของ Isuzu D-MAX ที่มีไว้เพื่อตลาดส่งออกเท่านั้น) ส่วนเฟรม
แชสซีส์ จะยังเน้นความแข็งแก่ง ทนทรหด เพื่องานบรรทุกตามเดิม แต่จะเสริม
ให้แข็งแกร่งขึ้น โดยที่มีปัจจัยเรื่องต้นทุน มาเกี่ยวข้องค่อนข้างเยอะ เนื่องจาก
Navara รุ่นปัจจุบันนั้น ขายได้เรื่อยๆ แต่กำไรต่อคัน น้อยมาก หรือแทบไม่เหลือ
เลยด้วยซ้ำ ดังนั้น การลดต้นทุน แต่ยังคงรักษามาตรฐานของตัวรถไว้ให้ได้อย่างดี
จึงเป็นโจทย์หินสำหรับทีมวิศวกรของ Nissan ในครั้งนี้

ตามด้วยการปรับโฉม Minorchange ให้กับ Nissan ALMERA ECO Car Sedan
ที่ขายดีสุดในตลาดบ้านเราตอนนี้ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึง
รายละเอียดของตัวรถ ซึ่งยังห่างไกลจากข้อสรุปก่อนการผลิตออกขายจริงกัน
ถึง 1 ปี เศษ ดังนั้น ไว้พอถึง ปี 2014 เราค่อยมาพูดถึงกันอีกครั้ง ก็ยังไม่สาย

แต่ใช่ว่าจะหมดเพียงเท่านี้ Nissan ยังเตรียมขอท้าชิงตลาด SUV อีกครั้ง ด้วยการ
นำ X-Trail รุ่นต่อไป Full ModelChange มาประกอบขายในเมืองไทย X-Trail
รุ่นใหม่ จะถือเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่ใช้พื้นตัวถังใหม่ล่าสุด ที่ชื่อ CMF1 ซึ่งถูกพัฒนาขึ้น
สำหรับรถยนต์ในพิกัด C-Segment และ D-Segment ของทั้ง Renault และ
Nissan ตั้งแต่ ปี 2013 เป็นต้นไป ในแนวทางคล้ายคลึงกับพื้นตัวถัง MQB ของ
Volkswagen Group นั่นเอง  ตัวรถนั้น ดูรูปร่างได้จาก รถยนต์ต้นแบบคันสีเขียว
Hi-Cross Concept ซึ่งเผยโฉมมาตั้งแต่ งาน Geneva Motor Show เมื่อเดือน
มีนาคม 2012 ส่วนงานวิศวกรรมและคาดว่าจะวางขุมพลัง QR25DE พร้อมเกียร์
อัตโนมัติ Xtronic CVT จาก Teana 2013 มาติดตั้งให้ กำหนดเปิดตัว น่าจะ
อยู่ในช่วงกลางปี 2014 ที่สำคัญ X-Trail ใหม่ จะมาในรูปแบบรถยนต์ Urban 
SUV 7 ที่นั่ง ไม่ใช่แค่ 5 ที่นั่ง เหมือน ทั้ง 2 รุ่นก่อนหน้านี้ ที่แน่ๆ Honda
CR-V , Mazda CX-5 และ Chevrolet Captiva เตรียมหนาวได้เลย!

และเพื่อให้เป็นไปตามแผนการ ที่จะเป็นผู้นำในตลาด SUV Nissan ก็เตรียมจะ
พัฒนา Navara SUV / PPV ออกมา เพื่อท้าชนกับทั้ง Toyota Fortuner
Mitsubishi Pajero Sport , Isuzu MU-7 , Chevrolet Trailblazer และ
Ford Everest โดยใช้เครื่องยนต์กลไก เฟรมแชสซี และงานวิศวกรรมต่างๆ ยกชุด
มาจาก Navara 2014 นั่นเอง กำหนดเปิดตัว คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นในปี 2015

ส่วน Nissan LEAF เราอาจต้องรอ ให้ BOI เคาะแผน Green Car Project
ให้เป็น Product Champion ราวยการที่ 3 ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย
ต่อจาก รถกระบะ และ ECO Car เสียก่อน ดังนั้น ในปี 2014 หากภาครัฐ
และเอกชน ทั้ง ปตท. และการไฟฟ้าทั้งฝ่ายผลิต และนครหลวง สามารถ
หาข้อตกลงร่วมกัน ในการจัดสร้าง สถานีชาร์จไฟ ตามจุดต่างๆ ทั่ว กทม.
และปริมณฑล ได้ โอกาสที่ Nissan จะสั่ง นำเข้า LEAF จากญี่ปุ่น เข้ามา
ขายในช่วงแรก ก็เป็นไปได้เช่นกัน แต่ตอนนี้ ยังมืดแปดด้านอยู่

———————————–

PEUGEOT
2013 : RCZ Minorchange ?

ค่ายเสือสำอางค์เมืองน้ำหอม ภายใต้การดูแลของ บริษัท ยูโรเปียน ออโตโมบิลล์ จำกัด อดีต
บริษัทในเครือยนตรกิจ ที่ตอนนี้ แยกตัวจากกลุ่ม เดิมเรียบร้อยแล้ว เริ่มโปรโมทลงโฆษณา
ตามสื่อต่างๆให้เห็นมากขึ้นกว่าปีก่อนๆ เล็กน้อย ส่วนใหญ่ เน้นการทำตลาด 207 Sedan
รวมทั้ง บรรดารถตู้แปลกๆ จากยุโรป เช่น Peugeot Bipper คันละ ล้านกว่าบาท กับชายกลาง
อย่าง Peugeot Partner รวมทั้ง เริ่มสั่งนำเข้า C-Segment Compact Sedan รุ่น 408 หรือที่
รู้จักกันในรหัสโครงการ T73 จากโรงงานในมาเลเซีย ซึ่งช่วยให้ค่าตัว รุ่น เบนซิน 2.0 ลิตร
เหลือเพียง 1 ล้านบาทนิดๆ ขณะที่รุ่น 1.6 Turbo ก็จะแพงขึ้นกว่าเดิมอีกไม่เยอะนัก แถม
ยังมีจุดเด่นที่ ประตูทางเข้าออก สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง จะกว้างใหญ่สุดในตลาดกลุ่ม
C-Segment เมืองไทย และมีพื้นที่วางขาใหญ่อลังการมากที่สุดด้วยเช่นกัน

ปี 2013 นั้น เป็นไปได้ที่เราอาจเห็นการนำเข้า Peugeot RCZ รุ่นปรับโฉม Minorchange
ที่เพิ่งจะเผยโฉมในงาน Paris Auto Salon และเพิ่งเผยภาพถ่ายของเวอร์ชันจำหน่ายจริง
ออกมา เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2012 กันหมาดๆ รายละเอียดที่ต่างจากรถรุ่นเดิม หนีไม่พ้น
กระจังหน้าพร้อมเปลือกกันชนหน้า เอกลักษณ์ใหม่ของ Peugeot และชุดไฟท้าย รวมทั้ง
รายละเอียดการตกแต่งภายในอีกพอสมควร ค่าตัวน่าจะเพิ่มจาก 2.95 ล้านบาท ไปนิดหน่อย

ส่วน Peugeot 4008 ซึ่งก็คือ Mitsubishi RVR / ASX เปลี่ยนหน้าตาใหม่ในสไตล์ Peugeot
เรายังคงไม่ได้เห็นกันแน่ๆ

——————————————

PORSCHE
2013 : Cayman / Macan Cpmpact SUV (Based on Q5)
2014 :  918 Spyder / Macan Coming to Thailand
2015 :  Project “960”

ปี 2012 ที่ผ่านมา ผู้แทนจำหน่าย Porsche อย่างเป็นทางการ AAS Auto Service เริ่มมีนโยบายชี้แจง
ให้ลูกค้าเห็นความเสี่ยงในการซื้อรถยนต์นำเข้า จากผู้ค้ารายย่อย Grey Market นอกเหนือจากเรื่อง
การดูแลลูกค้า ด้วยบริการหลังการขาย และการอัพเดทเครื่องมือซ่อมต่างๆ และฝึกอบรมช่างซ่อมให้
ชำนาญยิ่งขึ้นแล้ว ยังเจริญรอยตามผู้ผลิตร่วมชาติชาวเยอรมัน อย่าง Mercedes-Benz ในการออกมา
ประกาศว่า รถยนต์ Diesel จาก Grey นำเข้าจากยุโรป ใช้มาตรฐานมลพิษ Euro 5 ไม่ได้ออกแบบให้
รองรับกับน้ำมัน Diesel ในประเทศไทย ซึ่งใช้มาตรฐานมลพิษต่ำกว่า คือ Euro 4 ในระยะยาวอาจ
ก่อปัญหากับเครื่องยนต์ได้ แถมพ่วงกับการตัดสินใจจะไม่รับบริการหลังการขาย สำหรับรถยนต์ที่
ลูกค้าซื้อจากผู้นำเข้ารายย่อยมา เพื่อตัดปัญหาความปวดหัวนานับประการอันอาจจะตามมาแล้วนั้น

ขณะเดียวกัน ปีที่แล้ว AAS เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ 2 รุ่นรวด ในปีเดียว ทั้ง Porshce 911 ใหม่ กับ
น้องเล็กรุ่น Boxster เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน  (ซึ่งทั้ง 2 รุ่น หาอ่านรีวิวแบบ First Impression ได้ใน
Headlightmag.com ของเรา)

ปี 2013 คาดว่า รุ่นเปิดประทุนของ 911 จะตามเข้ามา อีกทั้งยังมี น้องเล็ก รุ่น Cayman หลังคาแข็ง
ที่เพิ่งเผยโฉมในต่างประเทศไปหมาดๆ นักเลงรถชาวไทยน่าจะได้สัมผัสเวอร์ชั่นพวงมาลัยขวา
ครบทั้งรุ่น Cayman 2.7 ธรรมดา และรุ่น Cayman S เครื่อง 3.4 ลิตร ซึ่งก็ยกชุดถอดใส่กันได้กับ
น้องเล็กรุ่นเปิดประทุน Boxster ใหม่ล่าสุดนั่นเอง

ส่วนช่วงกลางปี ถึง ปลายปี ในยุโรป จะเป็นคิวของ 911 Turbo ขับเคลื่อนสี่ล้อ ซึ่งวางเครื่องยนต์
Boxer 6 สูบนอน 3.8 ลิตรที่ยกจากรุ่นเก่า 997 มาปรับปรุงจนเป่าเสกให้แรงได้ถึง 540 แรงม้า (HP)
แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร แต่นี่ยังไม่ใช่เวอร์ชั่นแรงที่สุด เพราะ Porsche ยังแอบซ่อนมีดดาบ
ไว้หลังเอวก่อนที่จะเผยโฉมรุ่น Turbo S ซึ่งอาจมีแรงบิดมหาศาลถึง 750 นิวตันเมตร ตามมาอีก

ไม่เพียงเท่านั้น ในยุโรป 918 Spyder รถสปอร์ต Plug-in Hybrid ที่ใช้งานได้ทั้งน้ำมันเบนซิน
และ เสียบชาร์จกับปลั๊กไฟบ้าน วางขุมพลัง V8 DOHC 32 วาล์ว 3,400 ซีซี 500 แรงม้า (PS)
ติดตั้งอยู่กลางลำตัว (Mid-Engine) เกียร์อัตโมัติ  Dual Clutch PDK 7 จังหวะ ถ่ายทอดกำลังสู่
มอเตอร์ 2 ตัว ที่ล้อคู่หน้า และ อีก 1 ตัว ที่ล้อคู่หลัง อีก 218 แรงม้า (PS) รวมกันแล้วแรงเกือบๆ
800 แรงม้า (BHP) ก็ใกล้จะพัฒนาเสร็จแล่ว สเป็กคร่าวๆหลังการทดสอบในตอนนี้ ความเร็ว
สูงสุดได้เกิน 325 กิโลเมตร/ชั่วโมง และในสนามแข่ง Nurburgring 918 Spyder สามารถทำ
เวลาได้ ในช่วง 7 – 10 วินาที ได้แล้ว คาดว่าในปีนี้ จะได้เห็นเวอร์ชันจำหน่ายจริง กันเสียที
และคาดว่าน่าจะมาถึงเมืองไทย ปี 2014

ส่วนโครงการพัฒนา Crossover SUV ขนาดเล็กกว่า Cayenne บนพื้นฐานวิศวกรรมร่วมกับ
Audi Q5 ในชื่อ Porsche Cajun ตอนนี้ ได้เปลี่ยนชื่อรุ่นมาเป็น Porsche Macan แล้ว พูดให้
เข้าใจง่ายๆ มันคือ การนำเอา Cayenne รุ่นล่าสุด ไปย่อส่วน ให้นั่งได้ 5 คน และทำตลาดใน
ราคาถูกกว่าเดิมอีกด้วย อาจกลายเป็น Porsche ราคาถูกที่สุดเท่าที่เคยมีมา ก็เป็นได้ โครงการ
Macan มีกำหนดจะเปิดตัวเวอร์ชันจำหน่ายจริงได้ ในปี 2013 และน่าจะมาถึงเมืองไทยใน
ปี 2014 เช่นเดียวกับ 918 Spyder

ในปี 2015 Porsche ยังเตรียมจะพัฒนารถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางขนาดกลางค่อนข้างใหญ่
รุ่นใหม่ ในรหัสโครงการ 960 ซึ่งแม้ว่า ภาพรวมแล้ว มันคือการนำ Porsche Cayman มาขยายร่าง
แต่เป้าหมายของมัน คือ ถูกสร้างขึ้นเพื่อต่อกรกับ Ferrari 458 Italia หรือรถ Super Car ในระดับ
เท่าๆกัน เช่น Lamborghini Gallado Full Model Change รถคันนี้ต้องคอยดูว่า จะเข้ามาเมืองไทย
ในปี 2015 หรือ 2016 ?
 
——————————————–

PROTON
2013 : Preve Hatchback ?
 
Danny Bahar อดีตผู้กุมบังเหียน Lotus ในช่วงที่ถูก Proton ขายกิจการไปให้กับ DRB-HICOM เคย
ให้สัมภาษณ์ไว้ในนิตยสาร Car Magazine ช่วงเดือนเมษายน 2012 เก่ยวข้องกับ Lotus ไว้ตอนหนึ่ง
ว่า “รถยนต์รุ่นต่อไปของพวกเขานั้น น่าตื่นตาตื่นใจมาก ดังนั้น ในอีก 5-6 ปีนับจากนี้ อนาคตของ
Proton จะสดใสอย่างมาก”

จริงเหรอ?

มันอาจจะจริง ที่มาเลเซีย แต่ กับเมืองไทย ยังไม่อาจพูดได้เต็มปากนัก แม้ว่าปีที่ผ่านมา Proton จะ
ส่งรถยนต์รุ่นใหม่ 2 รุ่น มาเปิดตัวในเมืองไทย ทั้งรุ่นปรับโฉมของ Minivan อย่าง Exora ที่เพิ่ม
ทางเลือกใหม่ด้วยเครื่องยนต์ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Turbo และล่าสุด ที่เพิ่งจะเปิดตัวไปในงาน
Motor Expo นั่นคือ C-Segment Compact Sedan คันใหม่ อย่าง Proton Preve ซึ่งเป็นพัฒนาการ
ก้าวกระโดดครั้งสำคัญของ Proton ในการยกระดับคุณภาพการออกแบบ การใช้ชิ้นส่วน และการ
ประกอบจากโรงงานในมาเลเซีย แต่ บรรยากาศของบูธ Proton ถือว่ายังค่อนข้างเงียบเหงาอยู่
เนื่องจากช่วงที่ผ่านมา PNA พระนครยนตรการ ในฐานะผู้ดูแลการตลาด ภายใต้การสอดส่อง
ของ Proton Thailand บริษัทซึ่ง ทางบริษัทแม่ เข้ามาตั้งกิจการไว้คอยดูความเคลื่อนไหวของ
ตลาดเมืองไทย ก็ยังคงทำผลงานออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร ทั้งด้านยอดขาย และการสร้างความ
พึงพอใจให้กับลูกค้าด้านบริการหลังการขาย

แต่นับจากการเปิดตัว Preve เป็นต้นไป เชื่อแน่ว่า Proton อาจกลับเข้าสู่ยุครุ่งเรืองได้อีกครั้ง
ที่แน่ๆ ในปี 2013 นี้ เราอาจได้พบกับ รุ่นเปลี่ยนโฉมของ Proton Gen 2 ในชื่อว่า Preve
Hatchback 5 ประตู ซึ่งกำลังออกแล่นทดสอบเก็บข้อมูล ตามถนนหนทางในมาเลเซีย และ
ถูกบรรดา ตากล้องสมัครเล่นฝีมือดี บันทึกภาพไว้ได้อยู่เนืองๆ หากรถคันนี้จะเข้ามาเปิดตัว
ในบ้านเรา อาจต้องรอไปจนถึง ไตรมาส 3 หรือเกินกว่านั้น ที่สำคัญ ยังต้องดูยอดขายของ
Preve เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะบ่งบอกอนาคตของ Preve Hatchback ได้เป็นอย่างดี

——————————————–

Rolls Royce
2013 : Phantom-II MY2013 / Ghost MY2013 /
2014 : Ghost Coupe (Corniche) ?

ปี 2012 เป็นปีแรกที่ กลุ่ม Millenium จัดตั้งโชว์รูม Rolls Royce Motor Car Bangkok ขึ้นอย่างเป็น
ทางการ ที่ริมถนนพระราม 3 ใกล้สะพานแขวน พระราม 9 และได้รับความสนใจจากลูกค้าผู้มี
รายได้สูง และประวัติการเงินสะอาดดี เป็นจำนวนมาก

สำหรับปี 2013 นั้น RR เป็นค่ายเดียวที่ยังอุบเงียบอยู่ และยังไม่มีแผนอะไรมากมายนัก นอกจาก
การเผยโฉมรุ่น Phantom -II รุ่นปี 2013 ซึ่งเผยออกมาแล้ว ในงานแสดงรถยนต์คลาสสิกที่ Pebble
Beach ในสหรัฐอเมริกา พร้อมๆกับ Ghost รุ่น ปี 2013

อีกรุ่นหนึ่งที่น่าจับตามอง คือ Ghost Coupe ซึ่งอาจจะใช้ชื่อ Corniche ที่กำลังแล่นทดสอบอยู่ใน
สนาม Nurburgring ที่เยอรมัน ขุมพลังจะเป็นแบบ  V12 สูบ 6.6 ลิตร Twin-Turbo แรงทะลุใจ
ถึง 600 แรงม้า (HP) มีกำหนดออกสู่ตลาดโลกในช่วงกลางปี 2013 แต่ยังไม่แน่ใจว่า จะมาถึง
เมืองไทย ปี 2014 หรือไม่?

SKODA
2013 : Rapid (New Global Model…Not an Indian version at all!)
           New Octavia
2014 : New Octavia RS ?

ปี 2012 ถือเป็นปีที่ Skoda เริ่มมีกิจกรรมกับลูกค้าบ้างแล้ว ทั้งการจัดงาน Test Drive ร่วมกับ
www.Headlightmag.com ของเรา ช่วง ปลายเดือนกุมภาพันธ์ หรือการจัดงานทดลองขับที่
สนามพีระฯ เมื่อช่วงไม่กี่เดือนก่อนปีใหม่ ยอดขายในภาพรวม ถือว่าเติบโตขึ้นกว่าก่อน
และเริ่มมีลูกค้าที่มั่นใจในแบรนด์ Skoda และ DAD Yontrakit มากขึ้น ว่าจะไม่ทอดทิ้ง
พวกเขากันเหมือนแต่ก่อนอีก เพราะแม้ว่าที่ผ่านมา บริการหลังการขายถูกยกระดับขึ้น
กว่าแต่ก่อน และลูกค้าพึงพอใจมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังมีผู้คนอีกมากที่กลัวชื่อเสียเดิมๆ
จากคนในตระกูล กลุ่มอื่น กันอยู่ ซึ่งก็คงต้องใช้เวลาและความตั้งใจมากกว่าปกติในการ
ลบล้างความเชื่อเดิมๆนี้ทิ้งไป

หลังจากที่ Yeti , Fabia 1.2 / Fabia RS และ Superb ทั้ง Sedan และ Combi เริ่มมี
ยอดขายมากขึ้น ก็ถึงเวลาจะต้องหารถยนต์ขนาดกลาง มาอุดช่องว่างอีกสักรุ่นหนึ่ง ขณะนี้ Skoda
อยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ ในการนำ Rapid รถยนต์นั่ง พิกัด C-Segment
Compact รุ่นใหม่ล่าสุดที่เปิดตัวไปแล้วในยุโรป ช่วงปลายปีที่ผ่านมา และเป็นคนละรุ่น
กันกับ Rapid เวอร์ชัน อินเดีย ที่คลอดออกมาเมื่อปี 2011

แม้ตอนนี้ ยังไม่มีการกำหนดสเป็กตายตัว แต่คาดว่า เวอร์ชันไทย น่าจะวางเครื่องยนต์
เบนซิน 1.4 ลิตร TSI (Turbo) 122 แรงม้า (PS) ลูกเดียวกันกับ Audi A1 ซึ่งมี
สมรรถนะแรงพอและเหลือเฟือสำหรับการขับขี่ทั้งในเมือง หรือเดินทางไกล แต่ปัญหา
ที่สำคัญก็คือ ออพชันที่เมืองนอกมีมาให้นั้น ค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับราคารถที่ลูกค้า
ต้องจ่าย

ดังนั้น อีกรุ่นหนึ่ง ที่อยู้ในข่ายเตรียมพิจารณากันอยู่ คือ Octavia ใหม่ ที่เพิ่งจะเผยโฉม
กันไปหมาดๆ ช่วงเดือนธันวาคมนี้เอง โดยเฉพาะรุ่นที่น่าสนใจที่จะนำเข้ามาทำตลาด
เอาใจกลุ่มลูกค้าที่รักความแรงคือ Skoda Octavia RS ซึ่งยังมีเพียงแค่ภาพหลุดออกมา
เท่านั้น ยังไม่มีข้อมูลอื่นใดที่ชัดเจนในตอนนี้

จากนี้ก็ต้องรอดูความชัดเจนจากทั้งทาง เชคฯ และ DAD Yontrakit ว่าจะพร้อม
สั่งนำเข้า Rapid กักับ Octavia ใหม่ได้ในช่วงใดของปีนี้

——————————————–

SSANGYONG
2013 – 2016 : 5 Facelift / Minorchange & 4 New Model

ความเคลื่อนไหวที่สำคัญของ ผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 4 จากเกาหลีใต้ ในเมืองไทย คือการ
เปิดตัว Ssangyong Stavic ขุมพลังใหม่ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,998 ซีซี Turbo
Common-Rail 155 แรงม้า (PS) ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 360 นิวตันเมตร ที่
1,500-2,800 รอบ/นาที หัวฉีดจ่ายเชื้อเพลิงได้รับการพัฒนาใหม่ผ่านมาตรฐานไอเสีย
Euro 5 ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์เพียง 157 กรัม /กิโลเมตร ราคา 1.58 ล้านบาท
เมื่อเดือนกันยายน 2012 รวมทั้งรุ่น Black Edition ราคาเดียวกัน แต่อัดแน่นอุดมด้วย
สารพัดออพชัน ในงาน Motor Show ช่วงเดือนมีนาคม 2012

ขณะเดียวกัน ในต่างประเทศ ภายหลังจากที่ Ssangyong Motor ถูกซื้อกิจการโดยกลุ่ม
บริษัทอุตสาหกรรม Mahindra & Mahindra จากอินเดีย ซึ่งชนะการประมูลสำเร็จ ก็เริ่ม
มีความเคลื่อนไหวออกมาบ้าง ทั้งการตั้งแผน Promise 2013 ว่าจะออกรถยนต์รุ่นใหม่
แบบปรับโฉม Minorchange รวมทั้งหมด 5 รุ่น และทำยอดขายให้ได้ 150,000 คัน/ปี
ภายในปี 2013 และจะเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่หมดทั้งคัน และรุ่น Full ModelChange
รวม 4 รุ่นรวด สร้างยอดขายระดับ 300,000 คัน ให้ได้ ภายในปี 2016 รวมทั้งรถยนต์
ไฟฟ้า EV และบรรดารถยนต์ SUV ที่ใช้เทคโนโลยีเครื่องยนต์ มลพิษต่ำ อีกด้วย

แต่ในเมืองไทย หลังจากที่เผยโฉม Korando เจเนอเรชันใหม่ล่าสุด ก็ยังไม่มีรถยนต์
SUV รุ่นใหม่ๆ คันอื่น เปิดตัวกันเท่าใดเลย ขณะที่ศูนย์บริการ ก็ยังคงทำหน้าที่ดูแล
ซ่อมบำรุงรถยนต์ของลูกค้าไปเรื่อยๆ จนความเคลื่อนไหว จะเริ่มเงียบหายแล้ว

อย่างไรก็ตาม หลังเผยโฉม รถยนต์ต้นแบบ Ssangyong XIV-1 ในงาน Frankfurt Motor
Show เดือนกันยายน 2011 Ssangyong ก็ได้เปิดตัวรถยนต์ต้นแบบ Ssangyong XIV-2
ในงาน Geneva Motor Show เดือนมีนาคม 2012 อันเป็นต้นแบบของ Crossover SUV
ในพิกัดตัวถัง B-segment (พิกัดเดียวกับ Nissan Juke นั่นเอง) ซึ่งรถคันนี้คือ เวอร์ชัน
ต้นแบบ ของรถยนต์ Premium Compact Crossover SUV ที่ Ssangyong กำลังมุ่งหน้า
ที่จะพัฒนาสู่การออกจำหน่ายจริง ในตลาดโลกช่วงปี 2013 ขึ้นไป และเราคงต้องรอดู
กันว่า Ssangyong ในไทย ก็คงตัดสินใจได้ว่า จะสั่งนำเข้ารถยนต์รุ่นใหม่ดังกล่าว
เข้ามาขายในเมืองไทย หรือไม่

——————————————–

SUBARU
2013 : เน้น XV เสริมทัพด้วย Forester 2.0 iL และ Outback MY2013
            Impreza GC ไม่มา!

แม้จะเงียบกันมาตั้งแต่ต้นปี แต่ก็ถือเป็นการอยู่นิ่งๆ ปรับองค์กร เปลี่ยนถ่ายคนทำงาน เพื่อรองรับ
กับงานใหญ่ที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้ อีกหลายปีข้างหน้า

การเปิดตัว Subaru XV ในช่วงงาน Motor Expo ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้สำคัญ ของ Subaru ในเมืองไทย
เพราะการเตรียมแผนล่วงหน้ามาหลายปี ทำให้ Tan Chong Group สามารถนำชิ้นส่วน CKD ไปยัง
โรงงานของตนในมาเลเซีย ประกอบออกมาเป็นรถยนต์สำเร็จรูป ส่งมาขายในบ้านเรา ได้สำเร็จ
แถมยังตั้งราคาได้ต่ำ ด้วยการผ่านข้อกำหนดสิทธิพิเศษ AFTA มาอย่างสบายๆ ขายราคาถูกกว่าที่คิด
เพียง 1.35 ล้านบาท กวาดยอดของกันไป มากถึง 460 คัน (นับจนถึงเดือนธันวาคม 2012) งานนี้
ได้แต่หวังให้ T.C. Subaru บริษัทที่กลุ่ม Tan Chong สิงค์โปร์ ตั้งขึ้นมาใหม่ เพื่อดูแลบริหารงาน
ขายและทำตลาด Subaru ในบ้านเรา สามารถสั่งนำเข้ารถยนต์มาส่งมอบให้ลูกค้าได้โดยเร็วที่สุด

แต่การมาถึงของ XV อาจต้องทำให้ Impreza รุ่นใหม่ จะไม่ถูกสั่งนำเข้ามาในเมืองไทย เพราะ
ตอนนี้ Subaru ต้องการเปลี่ยนแนวการทำตลาด มุ่งเน้นไปยังกลุ่มลูกค้าครอบครัวมากขึ้น จากเดิม
ที่เน้นแต่กลุ่มลูกค้าผู้รักความแรง ในเมื่อ Impreza ใหม่ สั่งเข้ามาแล้ว อาจเจอกลุ่มลูกค้าทับซ้อน
กันกับ XV แถมยังมีค่าตัวแพงกว่า เพราะต้องสั่งนำเข้าจากญี่ปุ่น ทำให้ท้ายสุด แผนสั่งนำเข้า
Impreza รุ่นใหม่ จึงถูกระงับไปเรียบร้อยแล้ว

ส่วน Subaru BRZ คู่แฝดของ Toyota 86 ก็เป็นอีกรุ่นหนึ่งที่ T.C. Subaru ตัดสินใจนำเข้ามา ทั้งที่
ตอนแรกมีกระแสข่าวว่าจะไม่ทำตลาดในบ้านเรา แต่อย่างว่า กระแสดีขนาดนี้ ไม่เอาเข้ามา ก็ผิด
วิสัยพ่อค้าไปสักหน่อยละ เน้นทำตลาด้วยรุ่น Premium เกียร์ธรรมดา คันละ 2.6 ล้านกว่าบาท

แล้วในปี 2013 พวกเขาจะมีรถใหม่รุ่นไหนบ้าง? ไม่ต้องห่วงครับ Forester ใหม่ล่าสุด ที่เพิ่ง
เปิดตัวสู่ตลาดญี่ปุ่น และสหัฐอเมริกา เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาหมาดๆ คือคำตอบ คราวนี้
ตัวรถถูกยกระดับ เพิ่มความสูง และเพิ่มบุคลิกความเป็น SUV ให้มากขึ้นกว่าเดิม โดยใช้พื้นฐาน
งานวิศวกรรมร่วมกับ Impreza ใหม่ ละ XV เวอร์ชันไทย คาดว่าจะใช้เครื่องยนต์ 4 สูบนอน
BOXER 16 วาล์ว 2.0 ลิตร

อีกรุ่นหนึ่ง ก็คงต้องสั่งนำเข้ามาตามวาระ นั่นคือ พี่ใหญ่ Subaru Outback MY 2013 ที่เพิ่งอกสู่
ตลาดโลกไปได้ไม่นานพอกัน คาดว่าทั้ง 2 รุ่นนี้จะเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย ก่อนช่วงปลายปี
2013 เพราะยังไงๆ ปีนี้ จะต้องถือเป็นปีเด่นเด้งที่สุดของ XV ตามความตั้งใจของ Tan Chong
Group นั่นละ!

SUZUKI  
2013 : ERTIGA (APV Replacement)
2014 : New ECO Car Below Swift ! (Alto / Celerio Replacement)
2015 : Swift’s Based Sedan (Not Indian Swift DZire Sedan!)

2012 เป็นปีที่พลิกความคาดหมายอย่างมากมายก่ายกอง สำหรับ Suzuki เพราะกระแสของ Swift ใหม่
ทั้งในช่วงก่อน และหลังการเปิดตัวเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2012 ถือว่าร้อนแรง Suzuki คิดถูกที่ตัดสินใจ
ปรับตำแหน่งการตลาดของ Swift ให้ลงมาแข่งขันในกลุ่ม ECO Car ทั้งที่ตัวรถอยู่ในพิกัด B-Segment
ด้วยรูปโฉมของตัวรถ คุณภาพของชิ้นส่วนและการออกแบบภายใน รวมทั้งการเซ็ตช่วงล่างที่เหนือชั้น
และเครื่องยนต์ที่ถึงจะลดขนาดจาก 1.5 ลิตร เหลือ 1.2 ลิตร แต่ก็แรงน้อยลงกว่ากันไม่มากนัก แถมยัง
ประหยัดน้ำมันขึ้นอีกพะเรอเกวียน ทั้งหมดนี้ ช่วยพลิกสถานการณ์ให้ Suzuki กลายเป็นผู้เล่นระดับ
หัวแถวในตลาดกลุ่ม ECO Car ได้สำเร็จ จากยอดจองข้ามปีที่ยังรออยู่อีกนับหมื่นคัน ล่าสุด ถ้าคุณ
คิดจะจอง Swift วันนี้ กำหนดรับรถเร็วที่สุด ก็คือ ไตรมาส 3 – 4 ของปี 2013 กันเลยทีเดียว! งานนี้
คนใน Suzuki เอง ก็ยังเหงื่อแตกพลั่กๆ ว่าตูข้าจะส่งมอบรถหมดเมื่อไหร่ว้าๆๆ

Suzuki SWIFT ใหม่ ที่จะผลิตขายในเมืองไทย ไม่ใช่รุ่นปัจจุบันที่นำเข้าจากอินโดนีเซีย มาขายกันอยู่
หากแต่เป็นรุ่นเปลี่ยนโฉม Full Modelchangeที่เพิ่งเปิดตัวไปในตลาดยุโรป เมื่อ 11 มิถุนายน 2010 และ
ออกขายในญี่ปุ่น เมื่อ 26 สิงหาคม 2010 ที่ผ่าน หรือเมื่อ 1 ปีที่แล้ว ในทันทีที่เปิดตัว Swift ใหม่ ก็สามารถ
ผ่านการทดสอบการชนตามมาตรฐาน EURO NCAP ในระดับ 5 ดาว เมื่อ 1 กันยายน 2010 และยังรับรางวัล
2011 RJC Car of the year ไปเรียบร้อย เมื่อ 18 พฤศจิกายน 2010 ตามติดกัน

สำหรับปี 2013 Suzuki จะกลับมาบุกตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง ขนาดเล็กอย่างเต็มตัวอีกครั้ง ด้วย
การสั่งนำเข้า Suzuki Ertiga มินิแวน 7 ที่นั่ง บนพื้นฐานวิศวกรรมของ Suzuki Swift จากอินโดนีเซีย มา
มาทำตลาดในบ้านเรา ในฐานะ รุ่นเปลี่ยนโฉมทั้งคันของ Suzuki APV รถตู้โดยสาร 7 ที่นั่งจากพื้นฐาน
ของ Suzuki Carry คราวนี้ Ertiga จะถูกพัฒนาบนพื้นตัวถังแบบรถเก๋ง Swift ขยายฐานล้อให้ยาวขึ้นมาก
และมีเส้นสายได้รับอิทธิพลมาจาก Swift ใหม่อย่างชัดเจน ซึ่งก็รวมไปถึงชุดแผงหน้าปัดที่แทบจะถอด
สลับสับเปลี่ยนใส่กับ Swift ใหม่ได้เลยหลายชิ้น เวอร์ชันอินเดีย จะวางเครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ 1.3 ลิตร
MultiJet 90 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 200 นิวตันเมตร ส่วนเวอร์ชันไทย คาดว่าจะวางเครื่องยนต์เบนซิน
รหัส K14B 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.4 ลิตร 94 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 130 นิวตันเมตร กำหนดเปิดตัว
คาดว่าจะอยู่ในช่วง เดือนมีนาคม ก่อนงาน Bangkok International Motor Show จะเริ่มขึ้นไม่นานนัก
เหมือนเช่นเมื่อครั้งเปิดตัว Swift นั่นเอง ส่วนราคาขาย ใช้คำว่า แข่งขันในตลาดได้แน่ๆ และให้มองดู
ป้ายราคาของ Toyota Avanza เอาไว้ !

พอล่วงเข้าสู่ปี 2014 มีการปรับแผนจากที่เคยรายงานไปแล้วในบทความสรุปรถใหม่ 2012 – 2015 เมื่อ
ปีที่แล้ว เพราะล่าสุดแผนที่มีข้อสรุปชัดเจนแล้ว ก็คือ ECO Car รุ่นที่ 2 ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า Swift จะคลอด
ตามออกมา

รถคันนี้ แม้จะเป็นที่รู้กันดีว่า ถือเป็นรุ่นเปลี่ยนโฉมของ Alto / Celerio เวอร์ชันตลาดโลก (คนละรุ่นกับ
Alto 660 ซีซี ในกลุ่ม K-Car ของ ญี่ปุ่น และคนละคันกับ Maruti Suzuki Alto 800 ที่เพิ่งเปิดตัวไปใน
อินเดีย) แต่ในความเป็นจริง เมื่อตจ้องพร้อมทำตลาดในไทย อาจถูกเปลี่ยนเป็นชื่ออื่น ดังนั้น ตอนนี้
จึงยังไม่สรุปว่าใช้ชื่อ Alto เอาเป็นว่า เบื้องต้นนี้ เรียกมันว่า Suzuki ECO Car รุ่นใหม่ ที่เล็กกว่า Swift
ไปก่อนแล้วกัน

ย่างเข้าสู่ปี 2015 รถยนต์นั่ง Sedan 4 ประตู พิกัด B-Segment ที่ใช้โครงสร้างวิศวกรรมพื้นฐานของ Swift
ก็จะเป็นคิวต่อไปที่รอเวลาเข้าสู่ช่วงทำคลอด แม้ตอนนี้จะยังไม่แน่ชัด ว่าจะใช้เครื่องยนต์ใด ทำตลาดใน
บ้านเรา ระหว่าง 1,200 หรือ 1,500 ซีซี แต่ความเป็นไปได้ที่จะอยู่ในตลาดกลุ่ม 1,200 ซีซี นั้นมีมากกว่า
อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในแง่ของการใช้ชิ้นส่วนร่วมกัน เพื่อช่วยให้ต้นทุนการพัฒนาและการผลิตถูกลง
จนถึงตอนนี้ ความเคลื่อนไหวล่าสุด มีเพียงเสียงร่ำลือว่า เส้นสายตัวรถจะลงตัวกว่า Nissan Almera แต่
มีขนาดตัวถัง ยาวไล่เลี่ยกัน และเน้นความสบายในการโดยสารของทั้งเบาะหน้าและหลัง ให้ดีที่สุด
เหนือกว่าคู่แข่งทุกคันในตลาดกลุ่มนี้ อีกทั้งยังไม่จำเป็นต้องออกแบบให้มีความยาวไม่เกิน 4 เมตร
อย่างที่ Honda Brio Amaze จำเป็นต้องเจอ เพราะในอินเดีย ก็มี Swift DZire ตัวถัง Sedan แบบสั้นกุด
ไม่เกิน 4 เมตรอยู่แล้ว ดังนั้น Sedan คันใหม่นี้ จึงถือว่าเป็น Global Small Sedan คันใหม่ของ Suzuki
อย่างแท้จริง!

——————————————–

(Illustration โดย Ku @ Thaicardesign.com)

TOYOTA / LEXUS
2013 : NEW VIOS  Full Model Change / ALL NEW ECO Car with the same old name “YARIS” /
           ALL NEW Corolla ALTIS / New Lexus IS
2014 : ALL NEW HILUX (Project Code : IMV2) / Camry & Camry Hybrid Minorchange
           LEXUS Made in Thailand ?
2015 : Fortuner Full Model Change / Innova Full Model Change

ยักษ์อันดับ 1 ของญี่ปุ่นรายนี้ เพิ่งฉลองปี 2012 ในโอกาสครบรอบ 50 ปีของการทำตลาดในเมืองไทย
และครบรอบ 75 ปี ของการผลิตจำหน่ายรถยนต์ ทั่วโลก นับเป็นปีที่ Toyota เอาใจคนรักรถชาวไทย
ในระดับปานกลาง เปิดประเดิมปีใหม่ด้วย Toyota Avanza Big Minorchange (เขาเรียกกันภายใน
มาอย่างนี้) ตามด้วย Toyota Yaris รุ่น Last Minorchange ที่จนถึงตอนนี้ก็ยังต้องพยายามดันยอดขาย
กันต่อไปจนกว่ารุ่นปัจจุบันจะเลิกผลิตในปี 2013 เข้าสู่เดือนมีนาคม Camry ใหม่ และ Camry Hybrid
ก็ออกสู่ตลาดพร้อมกันกับ รถตู้ Alphard และ Alphard Hybrid ที่ใช้วิธีสั่งชิ้นส่วนเข้ามาประกอบขาย
ในบ้านเรากันเอาเอง (SKD) แถมยังมีการเปิดตัว Toyota Aqua หรือ Prius-C ในตลาดส่งออก สั่งมา
ขายในราคา 1.3 ล้านบาท เท่ากับ Prius ประกอบในไทย Minorchange ที่เปิดตัวในช่วงไล่เลี่ยกัน มี
จำนวนจำกัด 50 คัน เท่านั้น หมดแล้วหมดเลย แต่จนป่านนี้ ก็ยังไม่หมด เพราะไม่ค่อยมีลูกค้ารู้ว่า
ตกลงแล้ว มันมีขายในบ้านเราจริงๆด้วย! รวมทั้ง การนำ Vios และ Vigo รุ่นพิเศษ สีม่วงใสๆ แบบ
ประหลาดๆ ล้อสีดำ ออกสู่ตลาดในฐานะรุ่นฉลองครอบ 50 ปี

แต่ที่น่าปรบมือให้ที่สุดในปีนี้ คือการนำเข้า Toyota 86 มาขายเอง ตัดหน้าพ่อค้ารายย่อย Grey Market
ทั้งหลาย สร้างความประหลาดใจให้ผู้คนทั้งวงการอย่างมาก ไม่เว้นแม้แต่ราคาขาย ที่ตอนแรกพยายาม
จะตั้งราคารุ่นพื้นฐาน คันละ 1.9 ล้านบาท ไปๆมาๆ ไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ ผ่าไปดันราคาขึ้นเป็น 2.4 ล้านบาท
ในรุ่นเกียร์ธรรมดา ตัวท็อป ไปจบที่ 2.79 ล้านบาท เล่นเอานักเลงรถหลายคนเซ็งกันไปตามๆกัน กระนั้น
ล็อตแรกทั้ง 100 คัน ก็ขายกันหมดเกลี้ยง ต้องรอสั่งนำเข้างวดหน้า อีก 400 คัน แหงละ ไปขายกันถึงใน
สถานบันเทิงยามราตรี เอารถไปจอดโชว์ ทำไมจะขายไม่ได้ละนั่น!

รวมทั้งการลงทุนนำระบบ Telematics G-BOOK ที่มีใช้อยู่แล้วในญี่ปุ่น มาเปิดตัว ให้บริการเป็นครั้งแรก
ในประเทศไทย เชื่อมต่อกับระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS Navigation System ผ่าน Application บน
โทรศัพท์มือถือ Smart Phone ทำได้แม้แต่การเรียกรถพยาบาลฉุกเฉิน กับตรวจสอบสภาพการจราจร
สดๆ จาก ศูนย์ข้อมูล กองบัญชาการตำรวจจราจร!

ตามด้วย การอัพเกรดขุมพลังใหม่ 171 แรงม้า (PS) พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ ให้กับ Hilux Vigo
Champ และ Fortuner ในเดือนสิงหาคม ส่งท้ายด้วย Camry Extremo 2.0 ลิตร และ Vigo TRD
Sportivo ในงาน Motor Expo ธันวาคม ที่ผ่านมา

แต่พอจบงาน Motor Expo ก็มีเรื่องอื้อฉาว อันเกิดขึ้นจากความพยายามของคน Toyota บางคนที่อยาก
จะให้ Vios Full Modelchange 2013 ได้เข้าไปอยู่ในรายชื่อของรถยนต์ที่มีสิทธิ์ให้ลูกค้าได้รับภาษีคืน
จากโครงการรถคันแรกของรัฐบาล 100,000 บาท ตอนแรก ก่อน วันเปิดงาน Motor Expo แม้จะมีชื่ออยู่
ในตารางของกรมสรรพสามิตแล้ว แต่ต่อมา อธิปดี รับรองอธิบดี Say No! จึงต้องถอนรายชื่อออกจาก
ตารางไป ทุกอย่างน่าจะจบด้วยดี แต่จู่ๆ ก่อนปีใหม่ 2-3 สัปดาห์ Vios 2013 ก็กลับเข้ามาอยู่ในตาราง
กันดื้อๆ อีกครั้งอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำเอาทั้งบริษัทคู่แข่ง ลูกค้า และแม้แต่คนใน Toyota เองก็งงกัน
เป็นแถว Honda กับ Nissan ตัดสินใจยื่นหนังสือ ขอคำอธิบายชี้แจง จากกรมสรรพสามิตแต่ยังไม่มี
การตอบกลับมา ณ วันปิดต้นฉบับ บทความนี้ (31 ธันวาคม 2012)

งานนี้ Toyota กับกรมสรรพสามิต ยืนยันคอเป็นเอ็นเลยว่า ทำถูกต้องตามกฎทุกประการ เพราะมีการ
ผลิตออกมาแล้วจริงๆ 70 คัน แต่คำถามก็คือ ในเมื่อ รถยังไม่พร้อมเปิดผ้าคลุมให้ประชาชนเห็น เพราะ
บริษัทแม่ในญี่ปุ่น ยังกลัวว่า สต็อกของ Vios ในประเทศอื่นๆ ยังเหลืออยู่เยอะ ขืนให้เห็นตอนนี้ อาจ
กระทบการทำตลาดในประเทศอื่นได้ แล้วตกลงว่า ลูกค้าเมืองไทย ที่อุดหนุน Vios เยอะที่สุดในบรรดา
ทุกประเทศที่ออกขายนี่ละ? แล้วรถทั้ง 70 คันนั้น ขายให้กับใคร หรือจะเก็บไว้ใช้งานในฐานะรถเพื่อ
งานทดลองขับ และการประชาสัมพันธ์ในอนาคตหรือเปล่า? ไม่มีใครกล้าให้คำตอบเลยสักคน

แต่สุดท้าย กรรมใดใครก่อ กรรมนั้น ย่อมสนอง มีรายงานบางกระแสระบุว่า หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้น
มีผลกระทบต่อการตัดสินใจของลูกค้าจำนวนมากที่เคยจอง Vios รุ่นเดิม อย่างมาก มีจำนวนไม่น้อย
ที่ถอนจอง เพื่อไปจอง Vios 2013 กันใหญ่ ผลคือถ้าผลิตออกมาตามจำนวนเดิม Vios รุ่นเดิม จะมีรถ
เหลือในสต็อกบานตะไท จนแว่วๆมาว่า Toyota อาจต้องออกมาตรการ ยกเลิกการรับจอง Vios 2013
ชั่วคราว และถ้าลูกค้าอยากจอง Vios ตอนนี้ก็จะจองได้แค่รถรุ่นเดิม เท่านั้น!!

นี่เป็นบทเรียนสำหรับผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายว่า ถ้าทำอะไรให้โปร่งใสแต่แรก ทุกอย่างจะไม่ลงเอย
ตอนจบกันแบบนี้ และหวังว่า บทเรียนครั้งนี้ น่าจะช่วยให้หลายๆคน ได้ยับยั้งชั่งใจ เพื่อไม่ให้
เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ในอนาคตกันอีก!

กระนั้น หลายคนคงสงสัยว่า Vios ใหม่ มันดีถึงขนาดต้องรีบซื้อรีบจองทั้งที่ยังไม่มีใครเห็นรถ
คันจริงกันเลยเหรอ? คำตอบก็คือ ตัวรถจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อย แต่ยังมีระยะฐานล้อยาว
2,550 มิลลิเมตร เท่าเดิม และสร้างขึ้นบนพื้นตัวถังเดิม แต่มีรูปโฉมที่โฉบเฉี่ยวมากยิ่งขึ้น และ
ดูมีพลังมากขึ้น กว่ารุ่นปัจจุบัน เหมือนเช่นที่ปรากฎในภาพวาดข้างบนนี้
 
ส่วนรายละเอียดเครื่องยนต์ ไม่แตกต่างไปจากรุ่นปัจจุบัน ยืนหยัดอยู่กับเครื่องยนต์ รหัส 1NZ-FE
4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,500 ซีซี 109 แรงม้า (PS) ตามเดิม แต่อาจปรับปรุงรายละเอียดภายใน
ให้มีแรงเสียดทานน้อยลง ประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และ
เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ส่วนระบบกันสะเทือนหน้า และหลัง จะยังคงใช้ รูปแบบเดียวกับรถรุ่นเดิม
ด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัต ด้านหลังแบบทอร์ชันบีม แต่ อาจมีการปรับปรุงให้มีการยึดเกาะ
ถนนที่ดียิ่งขึ้นไปอีก ส่วน พวงมาลัย ก็จะยังคงเป็น แบบเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS ที่มีการปรับแต่งให้
ตอบสนองได้ดียิ่งขึ้นกว่าปัจจุบัน

รุ่นย่อยที่จะมีขาย ยังคงมีทั้ง J E G และ S โดยมีออพชันมาให้เต็มเหยียดในรุ่น S และ รุ่น G
มีไฟหน้าโปรเจกเตอร์ กับมือเปิดประตูโครเมียม และเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ ในรุ่น G กับ
รุ่น S  ส่วนล้ออัลลอย 16 นิ้ว จะมีเฉพาะรุ่น S เท่านั้น ทุกรุ่น ตกแต่งภายในด้วยเบาผ้าสีดำ
แต่รุ่น E และ G จะมีสีเบจให้ เลือกเพิ่มเติม รุ่นเกียร์อัตโนมัติ มีไฟ ECO บนชุดมาตรวัดทุกรุ่น
เหมือน Corolla Altis ส่วนชุดเครื่องเสียงเป็น วิทยุ AM/FM พร้อมเครื่องเล่น CD มีช่องเสียบ
AUX และUSB 4 ลำโพง ครบทุกรุ่น ยกเว้นลำโพงในรุ่น J มี 2 ชิ้น ส่วนสวิชต์ควบคุมเครื่องเสียง
มีเฉพาะ รุ่น G กับ S ไฟตัดหมอกหน้า มีเฉพาะรุ่น S ส่วนไฟตัดหมอกหลัง ถูกถอดออกไปแล้ว

Vios ใหม่ รหัสรุ่น NCP150 จะเปิดตัวสู่สาธารณชนกันได้ ทันก่อนงาน Bangkok Motor Show
จะเริ่มขึ้นไม่กี่สัปดาห์ น่าจะอยู่ในช่วงเดือนมีนาคม 2013 ไม่มีเลื่อนไปจากนี้อีกแล้ว

จากนั้น ในช่วงประมาณเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม 2013 Toyota ก็จะพร้อมส่ง ECO Car
ของตน ออกสู่ตลาดเมืองไทยเสียที อย่างไรก็ตาม รายละเอียดต่างๆ ที่คุณจะได้อ่านจากนี้
มันจะมีทั้งความเหมือน และแตกต่างไปจากข้อมูลที่คุณเคยรับรู้มาก่อนหน้านี้ มากโข
กระนั้น ยืนยันได้ว่า ไม่ใช่การนำ รถยนต์ขนาดเล็กที่มีอยู่แล้ว ทั้ง Toyota Etios ใน
อินเดีย หรือ Toyota Agya / Daihatsu Ayla ในอินโดนีเซีย มาแปลงโฉมแต่อย่างใด

เริ่มจากขนาดตัวถังของมันกันก่อน ตัวรถจะมีความยาว เกิน 4 เมตร ไปนิดหน่อย และจะ
กลายเป็น Hatchback 5 ประตู ที่ยาวเป็นอันดับต้นๆของตลาด ระยะฐานล้อจะเท่ากันกับ
Vios อยู่ที่ 2,550 มิลลิเมตร (แน่ละ ทั้ง Vios ใหม่ และ ECO Car คันนี้ ถูกพัฒนาขึ้นบน
พื้นตัวถังเดียวกัน และงานวิศวกรรมต่างๆ ร่วมกัน นี่นา) แต่ตัวรถจะสูงราวๆ ไม่เกิน
1.5 เมตร ถือว่า มีแนวหลังคาเตี้ยกว่าคู่แข่งหลายๆคัน

รูปลักษณ์ภายนอก อ้างอิงได้จาก รถต้นแบบ Toyota Dear Qin แบบ 5 ประตู สีเขียวคันที่
อยู่ในรูปข้างบนนี้ ซึ่งเผยโฉมมาตั้งแต่งานแสดงรถยนต์ ที่เมืองจีน กลางปี 2012 ที่ผ่านมา
แต่จะถูกขัดเกลาให้ใกล้เคียงกับการจำหน่ายจริงมากขึ้น แต่ด้วยเส้นสายที่เฉียบคมมาก
มาในสไตล์คล้ายกับ Mitsubishi RVR / ASX รวมทั้ง Lancer EX หน้าฉลาม ทำให้เกิด
ความกังวลกันว่า กลุ่มลูกค้าสุภาพสตรี จะยอมรับได้หรือเปล่า เพราะงานนี้ ลูกค้ากลุ่ม
สุภาพบุรุษ จะเฮลั่น กันแน่ๆ เพราะกระจังหน้าจะมาในแบบ Keen Look บุคลิกใหม่
ของรถยนต์ Toyota ทุกรุ่น ทุกคัน นับตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นไป

ภายในห้องโดยสาร จะเน้นความโปร่งสบาย กว้างขวาง วัสดุภายในตกแต่งด้วยคุณภาพที่ดี
เกินกว่าผู้คนจะคาดคิดไปนิดหน่อย ไม่มากนัก อุปกรณ์ภายใน จะไม่หวือหวามาก ไม่ได้
ไฮเทคนัก ส่วนเครื่องยนต์ จะเป็น ขุมพลังใหม่ ตระกูล NR ขนาด 1.2 ลิตร เน้นการบำรุง
รักษาง่าย เหมือน Toyota รุ่นก่อนๆ ยังคงใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าได้ ทั้งเกียร์ธรรมดา
5 จังหวะ และอัตโนมัติ CVT พวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า EPS ระบบกันสะเทือนหน้า
แม็คเฟอร์สันสตรัต หลัง ทอร์ชันบีม เหมือนๆ กันกับ ECO Car อื่นๆ แต่ถูกปรับเซ็ตให้มี
ช่วงล่างที่เกาะถนน และมั่นใจได้กว่ารถยนต์ในพิกัดเดียวกัน ทั่วๆไป

อย่างไรก็ตาม ยืนยันได้ว่า จะไม่มีเครื่องยนต์ Diesel Common-Rail Turbo มาวางลงในรุ่นที่ขาย
ในประเทศไทย อีกทั้ง Toyota ตั้งใจจะทำ ECO Car ออกมาแค่ตัวถัง Hatchback 5 ประตู เพียง
แบบเดียว ไม่มีตัวถัง Sedan ตามออกมาในเวลาอันใกล้นี้แน่ๆ

ที่สำคัญ ECO Car คันนี้ จะสวมชื่อขึ้นโชว์รูมว่า Toyota YARIS! ก็จริง แต่ไม่มีความเกี่ยวดองกับ
รุ่น Vitz / Yaris รุ่นล่าสุดที่ขายในยุโรป แต่อย่างใด ดังนั้น ห้ามนำไปนับญาติกันอย่าง เด็ดขาด!
ECO car คันนี้ จะถูกสวมชื่อ Yaris ในการทำตลาดบ้านเราเท่านั้น จะเรียกว่าเป็น Toyota Yaris
Thai version ก็เรียกได้เต็มปาก เหตุผล ไม่มีอะไรมาก ชื่อ Yaris เป็นชื่อที่ติดปากคนไทยไปแล้ว
เมื่อนึกถึงรถเล็ก 5 ประตูจาก Toyota นั่นเอง

ขอย้ำว่า ECO Car ที่สวมชื่อ Yaris ขายในบ้านเรา จะไม่เกี่ยวข้องกับ Vitz / Yaris ที่ขายในตลาด
อื่นๆ ทั่วโลกตอนนี้ทั้งสิ้น และกำหนดการเปิดตัว จะอยู่ในช่วงเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม 2013 นี้
โดยจะเปิดตัวในเมืองไทย เป็นแห่งแรกในโลก

ส่วนโครงการพัฒนา Corolla Altis รุ่นต่อไป จะกลับมามีความเคลื่อนไหวอีกครั้ง ยืนยันได้แล้วว่า
ว่าคนไทย จะไม่ได้ใช้ Corolla Axio หน้าตาเห่ยๆ จากญี่ปุ่น แต่จะได้เป็นเจ้าของ Corolla ใหม่
ซึ่งมีแนวเส้นสายจากรถต้นแบบ Toyota Furia Concept ที่จะเผยโฉมในงาน Detriot Auto Show
หรือ NAIAS ต้นเดือนมกราคมนี้ แต่กว่าที่ Corolla ALTIS ใหม่ เวอร์ชันจำหน่ายจริง พร้อมจะ
ออกสู่ตลาดเมืองไทย อาจต้องรอกันอย่างเร็วที่สุด คืองาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน
ที่จะถึงนี้ อย่างไรก็ตาม รายละเอียดทางเทคนิค ยังไม่มีการเปิดเผย

ย่างเข้าสู่ปี 2014 นอกจากจะเป็นปีที่ ทั้ง Camry กับ Camry HYBRID ถึงเวลาต้องปรับโฉมแบบ
Minorchange กันแล้ว อีกโครงการสำคัญแห่งปีนั้น จะเป็นรุ่นใดไปไม่ได้ นอกจากการเปลี่ยน
โฉมใหม่ทั้งคันให้กับ รถกระบะรุ่น Hilux Vigo ภายใต้ชื่อโครงการที่เรียกกันภายในบริษัทว่า
IMV 2 ยังอยู่ในระหว่างเตรียมการ อย่างไรก็ตาม แนวคิดในการพัฒนา จะมุ่งเน้นให้เป็นรถ
กระบะที่ทนทรหดต่องานหนักเพิ่มขึ้นยิ่งกว่ารุ่นเดิม เพื่อรองรับความต้องการของบางประเทศ
ที่ใช้งานรถกระบะโหดกว่าเมืองไทย เช่นในแถบแอฟริกาใต้ ต้องเปลี่ยนกรองอากาศทุกเดือน!!

แต่ที่แน่ๆ ขุมพลังของเวอร์ชันไทยจะยังเป็น ตระกูล KD Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.5 และ
3.0 ลิตร Commonrail Turbo VGT Intercooler รวมทั้งมีบานแค็บเปิดได้ แต่ยังไม่แน่ชัดว่าจะมี
การแก้ไขปรับปรุงสมรรถนะและการทรงตัวให้ดีขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน และจะใช้ชื่อรุ่นว่าอะไร?
เพราะยังมีความเป็นไปได้อยู่บ้างว่า Toyota จะไม่ใช้ชื่อ Vigo ต่อไป ซึ่งหากย้อนดูประวัติศาสตร์
ที่ผ่านมา ดูจะกลายเป็นธรรมเนียมของค่ายไปแล้วว่า ทุกครั้งที่เปลี่ยนโฉมใหม่ให้รถกระบะทั้งคัน
จะต้องเปลี่ยนชื่อ Sub name ตามไปด้วย ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปเพราะกว่าที่ Hilux ใหม่จะ
เปิดตัวก็ต้องรอกันไปถึงปี 2014  

ส่วน ต้นปี 2015 จะเป็นช่วงเวลา ที่ Fortuner ใหม่ Full Model Change จะเผยโฉมออกสู่ตลาด
และจำเป็นจะต้องมี Innova ใหม่ ตามเข้ามาเปิดตัวในเมืองไทยด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  แต่
งานวิศวกรรมต่างๆ จะใช้ร่วมกันกับ Hilux Next Vigo IMV อย่างแน่นอน

มาดูแบรนด์รถยนต์หรู Lexus กันบ้าง 2 รุ่นหลัก สำคัญ ของ Lexus ในปีนี้ ทั้ง GS และ LS
ใหม่ Big Minorchange เปิดตัวเสริมทัพกันครบ ทั้ง GS250 GS350 และ GS450h มากันครบ
ทั้งแบบ มาตรฐาน และ F-Sport package รวมทั้ง LS460 แบบฐานล้อสั้น กับฐานล้อยาว และ
LS600h แบบฐานล้อยาว รวมทั้ง RX270 Minorchange ที่ยังพอจะช่วยให้ยอดขายของ Lexus
เดินหน้าขึ้นไปได้บ้าง เพราะรุ่นอื่นๆที่กล่าวมาข้างต้น มีค่าตัวสูงมาก จนลูกค้าจำต้องตัดใจ
ไปมองคู่แข่งอย่าง E-Class และ 5-Series เป็นการทดแทน

แต่ในปี 2013 ลูกค้าน่าจะเดินกลับเข้าโชว์รูม Lexus อีกครั้ง ถ้า Lexus IS ใหม่ ซึ่งเตรียมจะ
เปิดตัวในช่วงต้นปีหน้า มาถึงเมืองไทยในราคาที่ แข่งขันได้กับ Mercedes-Benz C-Class
และ BMW 320d มิเช่นนั้น อาจต้องเหนื่อยกันอีกยาวนาน แต่นั่น ก็เป็นทางแก้ในระยะสั้น

เพราะทางแก้ในระยะยาว ดูเหมือนจะมีทางเดียว คือ ต้อบหาทางนำ Lexus มาประกอบใน
โรงงานเมืองไทยให้ได้! เรืองนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องพูดเล่น หรือเพ้อฝัน แต่มันเป็นเรื่องที่มีคน
คิดขึ้นกันแล้วจริงๆ อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ที่ยังไม่นิ่ง ความคืบหน้าของการรวม
เป็นประชาคมเศรษฐกิจ ASEAN หรือ AEC ก็มีส่วนให้การตัดสินใจในเรื่องนี้ ยังไม่อาจ
เกิดขึ้นได้ในช่วงนี้ ยังต้องรอดูความชดเจนอีกครั้ง แต่ ถ้าจะถามว่า หากโครงการนี้ เกิดขึ้น
ได้จริง รถรุ่นแรกที่ควรนำมาประกอบ แน่นอนว่า ทุกคนอยากให้เป็น IS ใหม่ กระนั้น
บางที โลกก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ใจเราคาดหวังไปเสียทุกเรื่องเสมอไป

ส่วนรถยนต์รุ่นใหม่หลังปี 2014 เป็นต้นไป ยังคงเป็นรถนำเข้ากันอยู่ แน่นอนว่าน่าจะมี
Lexus IS Coupe ดูเส้นสายได้จาก รถต้นแบบ LF-CC คันสีเทา ที่เพิ่งเผยโฉมใน Paris
Auto Salon เดือนกันยายนที่ผ่านมา รวมทั้ง รถสปอร์ตสมรรถนะค่อนข้างสูง (ต่ำกว่า
LF-A ที่เพิ่งเลิกผลิตไปหมาดๆ เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนสิ้นปี 2012 ) ลงมานิดหน่อย โดย
มีพื้นฐานเส้นสายจาก รถต้นแบบ LF-LC คันสีแดง ที่เพิ่งมาอวดโฉมใน Motor Expo
เดือนธันวาคมที่ผ่านมา

——————————————–

VOLVO
2013 : V40 ! และ V40 Cross Country
2014 : XC90 Full ModelChange Launch Global
2015 : XC90 Full ModelChange launch in Thailand

ค่ายรถยนต์ยุโรประดับ Premium หนึ่งเดียวจากแดนไวกิ้ง เริ่มบุกตลาดอย่างหนักมากขึ้น ทั้งการ
เปิดตัว V60 Sports Wagon CKD นำเข้าจากโรงงานมาเลเซีย เช่นเดียวับ Volvo ทุกรุ่นที่ขายใน
เมืองไทยตอนนี้ มาเรียกความสนใจจากลูกค้าได้เป็นอย่างดี เพราะในเมื่อ การนำเข้าจากประเทศ
ที่ทำข้อตกลงทางการค้า AFTA ด้วยกัน ทำให้ต้นทุนของรถถูกกว่า แถมคุณภาพการประกอบ ก็
ไม่ได้น้อยหน้าโรงงานในเมืองไทยเท่าใดนัก นั่นจึงทำให้ S80 กลายเป็นรถยนต์ Volvo รุ่น
สุดท้าย ที่ประกอบในโรงงาน Thai Swedish Assembly ซึ่งตอนนี้ เปลี่ยนมาประกอบรถบรรทุก
Volvo Truck เป็นการทดแทน

ที่สำคัญ ปีที่แล้ว Volvo ส่ง S80 วางเครื่องยนต์ 1.6 DRIVe Turbo 180 แรงม้า (HP) มาสร้าง
ความแปลกใจให้กับลูกค้า ว่าเครื่องยนต์เล็ก แต่แรง พอมาวางในรถใหญ่ กลับไม่อืดอาด
อย่างที่คิดผลก็คือ ยอดขายที่ดีขึ้นเล็กน้อย นี่ยังไม่นับ S60 CKD ที่ขายดีใช้ได้ พอๆกับ XC60

แต่ในปีนี้ รถยนต์รุ่นที่น่าจับตาดูมากที่สุด เห็นจะได้แก่ Volvo V40 ใหม่ ซึ่งถือเป็นรถยนต์
กลุ่ม Premium Compact Hatchback ที่ Volvo ตั้งใจมาขอชิงส่วนแบ่งการตลาดจากพี่เบิ้มใหญ่
Mercedes-Bnez A-Class ใหม่ ซึ่งกำลังร้อนแรงได้ที่ ตอนนี้ยังไม่แน่ชัดว่าจะวางเครื่องยนต์
แบบใด แต่สิ่งที่หลายๆคนใน Volvo ลุ้นอยู่คือ บ้านเราจะมีการเปิดตัว V40 ได้ในปี 2013 นี้
หรือไม่?

ส่วนในปี 2014 คาดว่าเราจะได้เห็นการเปิดตัวของ Volvo XC90 ใหม่ ในตลาดโลกกันเสียที
หลังจากที่ Volvo เริ่มปล่อยภาพวาดออกมาบ้างแล้ว นิดๆหน่อยๆ อนาคตของ SUV รุ่นนี้
ยังค่อนข้างมืดมน เพราะคาดว่า ครั้งนี้ น่าจะเป็นครั้งสุดท้าย ที่ Volvo จะสร้าง SUV ขนาด
ใหญ่โตแบบนี้ เนื่องจาก งบประมาณในการลงทุนวิจัยและพัฒนารถยนต์ประเภทนี้ สูงมาก
แต่กว่าจะเข้ามาขายในบ้านเรา อาจต้องรอจนถึงปี 2015 ในรูปแบบ รถยนต์นำเข้าจากมาเลเซีย

สรุปว่า หลังจากนี้ ความเคลื่อนไหวของ Volvo ให้ดูว่า โรงงานในมาเลเซีย เตรียมผลิตรถรุ่นไหน?
ก็จับจ้องได้เลยว่าอีกไม่นานนัก สักพัก รรุ่นนั้นจะเข้ามาขายในบ้านเราแน่ๆ

——————————————–


 
VOLKSWAGEN
2013 : Golf Mk VII / New Beetle 1.4 TSI….are coming!

ไทยยานยนตร์ ยังคงได้รับสิทธิ์ในการเป็นผู้จำหน่าย Volkswagen อย่างเป็นทางการในบ้านเรา
ต่อไปอย่างน้อยๆ 1 – 2 ปี นั่นหมายความว่า เรายังคงไม่มีโอกาสได้เห็นบริษัทแม่จากเยอรมัน
เข้ามาเปิดตัวบุกตลาดเอง อย่างที่เคยมีกระแสข่าวมาตลอด อีกทั้งปีนี้ ไทยยานยนตร์ พึ่งจะสั่ง
เปิดตัว รถกระบะ รุ่น Amarok ในแบบ นำเข้าสำเร็จรูปทั้งคัน ราคาเลยกระโดดไปอยู่แถวๆ
1.8 ล้านบาท เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในงาน Motor Expo ที่ผ่านมา แต่ยังไม่ยอมเปิดให้
แม้แต่ผู้ใด ได้ขึ้นไปทดลองนั่งเลย  ยังคง Wrap สีส้มด้านรอบคัน จอดไว้กลางบูธแค่นั้น

มาปีนี้ ไทยยานยนตร์จะสั่งนำเข้า Volkswagen New Beetle ใหม่ ขุมพลัง 1.4 TSI รวมทั้ง
Volkswagen Golf Mk VII ที่เพิ่งเปิดตัวในยุโรปไปสดๆร้อนๆ กันเสียที หลังจากที่ปล่อยให้
รอกันเก้อ ตลอดปี 2012 ที่ผ่านมา เพราะนี่คือ 2 รุ่น ที่มั่นใจได้เลยว่า ขายได้และขายดิบขายดี
อย่างแน่นอน เพียงแต่ ยังไม่แน่ชัดว่า เราจะได้เห็น Golf GTi บนโชว์รูมเมืองไทย ทันปี 2013
หรือว่าจะต้องรอกันถึงปี 2014 ?

—————————————///——————————————-

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน ลิขวิทธิ์ภาพถ่ายต่างประเทศ ของ บริษัทผู้ผลิต และ Website ที่มี Credit ใต้ภาพ
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
1 มกราคม 2013

Copyright (c) 2013 Text and Pictures (All of Pictures are from the Manufacturer & Some Website as in Credit)
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
January 1st,2013

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments Are Welcome ! CLICK HERE!