Volkswagen Amarok เป็นกระบะขนาด 1 ตันรุ่นเดียวในตลาดที่มีเพียงเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ
2.0 ลิตรเทอร์โบให้เลือกเท่านั้น ซึ่งดูจะไม่เข้าแนวคิดกระบะบ้าพลังเอาเสียเลย แต่ในโฉมปี 2017
นั้นจะเปลี่ยนไปเพราะ Amarok กลับมาพร้อมจัดหนักด้วยขุมพลัง V6 ดีเซลทำให้มันกลายเป็น
กระบะที่มีเครื่องยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในระดับเดียวกัน และยังมีการปรับโฉมภายนอกและภายในอีกด้วย

amarok-presse-wueste-1

สำหรับภายนอกมีการเปลี่ยนกันชนหน้าที่มาพร้อมกันช่องลมแบบใหม่, ไฟหน้าใหม่แบบ bi-Xenon
พร้อมไฟแบบ LED DRL, ล้อลายใหม่ขนาด 20 นิ้ว, sport bar สีเดียวกับตัวถัง, และไฟส่องป้ายทะ
เบียนแบบ LED สำหรับภายในมาพร้อมกับหน้าปัดและเบาะทรงใหม่พร้อมกับไฟแผงประตูแบบ LED
อีกด้วย

motor-v6-tdi-02-20160323-1

จุดเด่นหลักคือเครื่องยนต์ที่เปลี่ยนเป็นแบบดีเซล V6 3.0 ลิตรมีให้เลือกถึง 3 ระดับความแรงตั้งแต่
163, 204, 224 แรงม้า (PS) ซึ่งในรุ่นท็อปสุดนั้นจะมาพร้อมกับแรงบิด 56.08 กก-ม. (550 นิวตันเมตร)
ที่ 1,500 รอบ/ นาที สำหรับระบบส่งกำลังนั้นมีให้เลือกสามรูปแบบตั้งแต่ขับเคลื่อนล้อหลัง, ขับเคลื่อน 4
ล้อแบบ Part Time ชื่อ 4 Motion พร้อมเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ, และขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Full Time
พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ

asterix-presse-badge-v6-1

กำลังฉุดลากได้เพิ่มขึ้นมาจาก 500 กิโลกรัมเป็น 3,500 กิโลกรัมและแม้ว่าเครื่องยนต์จะใหญ่กว่าเดิม
มากแต่อัตราการบริโภคน้ำมันเฉลี่ยในรุ่นที่แรงสุดยังคงเท่าเดิมที่ 7.6 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรหรือราว 13
กิโลเมตร/ ลิตร แน่นอนว่าเมื่อมีกำลังขึ้นมาขนาดนี้ต้องมีการอัพเกรดขนาดเบรกด้วยการเปลี่ยนไปใช้
ดิสเบรกขนาด 17 และ 16 นิ้วในด้านหน้าและด้านหลัง

amarok-alltag-museum-a4-20160412-1

นอกจากนี้ยังติดตั้ง Post Collision Braking System ซึ่งจะลดความเร็วรถยนต์ลงอัตโนมัติเมื่อเซนเซอร์
ถุงลมนิรภัยจับได้ว่ามีการปะทะเกิดขึ้นอยู่เพื่อลดการชนซ้ำจุดอื่นในกรณีที่รถยนต์ยังไม่หยุดจากการปะทะ
ครั้งแรก สำหรับกำหนดการจำหน่ายของ 2017 Volkswagen Amarok V6 TDI หรือ Amarok Aventura
อันเป็นชื่อที่ใช้เรียก V6 รุ่นท็อปในยุโรปนั้นจะเริ่มต้นตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นไป น่าติดตามว่าลูกค้าจะ
ยังศรัทธาในเครื่องยนต์ดีเซลจากค่ายนี้ต่อหรือไม่

.

ที่มา : wheelsmag, autoblog