วันที่ 9 กันยายน 2021 Ford India ได้ประกาศปิดโรงงานทุกแห่งในประเทศ เนื่องจากขาดทุนเป็นจำนวนกว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะเวลา 10 ปี นี่ไม่ได้หมายความว่า Ford จะเลิกการจำหน่ายรถยนต์ในอินเดีย แต่นับจากนี้ไป Ford ทุกคันที่ขายในอินเดียจะเป็นรถที่นำเข้าทั้งคันแบบ CBU

Ford India กลับเข้าสู่ตลาดอินเดียในเดือนตุลาคม 1995 หลังจากการกีดกันทางการค้าของรัฐบาลอินเดียในช่วงยุค 1950 จนถึง 1990 ซึ่งในช่วงเวลานั้น อินเดียก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีการคาดการณ์กันว่า เศรษฐกิจกำลังจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด อันจะส่งผลให้ Demand ของรถยนต์ในประเทศเติบโตขึ้น หลากหลายบริษัทจึงได้เข้ามาเปิดกิจการตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ในประเทศ

ในความเป็นจริง แม้ว่าในช่วงยุค 2000 ยอดขายรถจะเติบโตขึ้น แต่ยอดขายรถในช่วงปี 2011-2021 คงที่อยู่ที่ประมาณปีละ 2.7-3.3 ล้านคันมาโดยตลอด และหลายบริษัทที่เข้ามาทำกิจการก็ไม่สามารถแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดมาจากเจ้าตลาดอย่าง Maruti Suzuki ได้

การปิดโรงงานของ Ford ในอินเดียนี้ เกิดขึ้นหลังจากการปิดโรงงาน Ford ในเมื่อเดือน มกราคม 2021 ซึ่งในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมานี้ ขาดทุนไปกว่า 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จึงเห็นได้ชัดว่า อินเดียไม่ใช่ประเทศเดียวซึ่งในอดีตเคยมีการคาดการณ์ถึงเศรษฐกิจที่จะเติบโต แต่กลับทำไม่ได้ตามเป้าหมายนั้น 

Ford ไม่ใช่บริษัทเดียวเช่นกันที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะดังกล่าวนี้ในอินเดีย General Motors ได้ปิดโรงงานไปก่อนหน้านี้แล้วเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2020 แม้ว่าจะพยายามขายโรงงานให้ Great Wall Motor แต่ก็ไม่สำเร็จ และบริษัทต่างชาติอื่น เช่น Nissan และ Volkswagen ก็มีส่วนแบ่งการตลาดไม่ถึง 1%

นอกจาก Demand ที่ไม่ได้เติบโตตามการคาดการณ์แล้ว รายได้ของประชากรก็ไม่ได้เติบโตมากเช่นกัน นั่นทำให้การตัดสินใจของหลายบริษัทที่จะผลิตรถยนต์ที่หรูหราราคาแพงขึ้นจากในอดีต ไม่สามารถดึงดูดลูกค้าที่สนใจความคุ้มค่าเป็นหลักได้

เมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นที่ประสบความสำเร็จอย่างเช่น Hyundai หรือ Suzuki แล้วนั้น Ford India นำรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่ หรูหรา ราคาแพง และพัฒนาเพื่อตลาดที่มีความร่ำรวยมากกว่าเข้ามาจำหน่าย ซึ่งไม่ตอบโจทย์ตลาดอินเดียอย่างแท้จริง

แม้ว่าจะมีแผนในการพัฒนารถยนต์ขนาดเล็ก ราคาประหยัด ที่จะตอบสนองตลาดอินเดียโดยเฉพาะในปี 2016 รวมไปถึงแผนที่จะร่วมมือกับบริษัท Mahindra ในปี 2018 แต่สุดท้าย Ford India ก็ต้องล้มเลิกแผนดังกล่าวไปเนื่องจากการตัดสินใจจากบริษัทแม่ ที่จะนำเงินไปลงทุน มุ่งพัฒนารถยนต์ SUV แทน

เช่นเดียวกัน ท้ายที่สุดแล้ว กระแสของโลกก็บังคับให้ Ford และบริษัทอื่น ๆ ต้องโฟกัสเงินลงทุนไปยังการพัฒนาเทคโนโลยีของรถยนต์ไฟฟ้า การยกเลิกการดำเนินการกิจการในสาขาย่อยประเทศต่าง ๆ ที่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงเป็นสิ่งที่บริษัทรถยนต์ต่าง ๆ เหล่านั้นต้องทำ

ที่มา : AutoNews