
ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่อยู่คู่รถยนต์จีนคือข้อครหาในโลกอินเทอร์เน็ต ซึ่งนี่ไมได้เกิดขึ้นเฉพาะในบ้านเราเท่านั้น เพราะมีในจีนด้วย แถมดูจะรุนแรงกว่าสถานการณ์ในบ้านเรามาก เนื่องจากมีการประเมินว่าหากมีกระแสลบต่อผู้ผลิตรถยนต์ ติดต่อกันนานเป็นเดือน อาจส่งผลให้เกิดความเสียหายยอดขายตก คิดเป็นมูลค่าหลายพันล้านหยวน (1,000 ล้านหยวน = ประมาณ 4,600 ล้านบาท) หรือถึงกับมีการเปรียบเทียบเลยว่า หากมีการชะลอกระแสลบบนโลกออนไลน์ได้ซักหนึ่งวัน จะช่วยระบายสต็อกรถยนต์ได้เป็นพันคันเลยทีเดียว
นั่นทำให้เกิดธุรกิจ ‘PR สายดำ’ ซึ่งมีขึ้นเพื่อใส่ร้ายป้ายสีเป้าหมายโดยเฉพาะ ด้วยการจัดกองทัพทัวร์มาถล่มเป้าหมายในโลกออนไลน์ จนกลายเป็นกระแสลบที่แพร่สะพัดไปทั่วโลกอินเทอร์เน็ต ผลคือไม่ใช่แค่ชื่อเสียงเสียหาย แต่ยังยอดตกตามที่ระบุไป ซึ่งในวงการรถยนต์นั้น มักจะปรากฎในรูปแบบของการร้องเรียนปัญหารถยนต์ ซึ่งอาจเป็นเรื่องเท็จ และการเปรียบเทียบสมรรถนะแบบตั้งใจให้เป้าหมาย ดูด้อยจากคู่แข่งอย่างเห็นได้ชัด โดยอาจเกิดจากปัจจัยการทดสอบอย่างไม่เป็นธรรม

William Li ผู้ก่อตั้ง Nio เคยให้สัมภาษณ์ในประเด็น ‘PR สายดำ’ ว่ากองทัพทัวร์ออนไลน์เหล่านี้สามารถสร้างรายได้ ได้ง่ายกว่าการผลิตรถอย่างมาก อีกแหล่งข่าวยังระบุด้วยว่าแพคเกจการโจมตีคู่แข่งนั้น อาจมีมูลค่าสูงหลักหลายหมื่นหยวนต่อหนึ่งแคมเปญ (10,000 หยวน = ประมาณ 46,000 บาท) และราคาจะยิ่งสูงขึ้น หากเป็นกระแสที่ติดลมบนในโลกโซเชี่ยล จนล่าสุด ผู้ผลิตรถยนต์ใหญ่ 5 รายจากจีน ต่างออกมาตรการเพื่อรับมือกับประเด็นดังกล่าว โดยมีทั้งตั้งทีมรับมือ, ตั้งค่าหัว และฟ้องร้อง ดังรายละเอียดต่อไปนี้
- Deepal ตั้งกองทุนต่อสู้ (Defense Fund) เพื่อปกป้องชื่อเสียงของแบรนด์โดยเฉพาะ
- Avatr เริ่มแคมเปญต่อสู้ ‘PR สายดำ’ ในเดือนเมษายน 2025 และได้รับข้อมูลมาเกือบ 200 รายการ
- Zeekr ตั้งหน่วยงานรักษาและปกป้องชื่อเสียง พร้อมตั้งรางวัลนำจับ 5,000,000 หยวน (ราว 23,160,000 บาท) ให้กับผู้ที่ให้เบาะแส
- Nio ตั้งรางวัลนำจับมูลค่า 10,000 – 1,000,000 หยวน (ราว 46,000 – 4,632,000 บาท) ให้กับผู้ที่ให้เบาะแส
- BYD ฟ้องกลับ influencer จีน Longzhu-Jiche ฐานทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง และชนะคดีเรียกค่าเสียหายได้ประมาณ 2,000,000 หยวน (ราว 9,264,000 บาท)

ที่มา: carnewschina