การกลับมาอีกครั้งสำหรับ Compact Premium SUV แห่งเกาะอังกฤษอย่าง All New Range Rover Evoque รุ่นเจเนอเรชั่นที่ 2 ซึ่งนับว่าเป็นระยะเวลาราว 8 ปี ที่ Evoque เพิ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงโฉมแบบใหม่หมดจด โดย Evoque รุ่นแรกนั้น ได้สร้างยอดขายสะสมไปมากกว่า 770,000 คัน และกวาดรางวัลทั่วโลกไปกว่า 217 รางวัล อย่างไรก็ตาม บัดนี้ Evoque รุ่นที่ 2 พร้อมแล้วที่จะเดินหน้าขับเคลื่อนความสำเร็จจากรุ่นแรกกันต่อไป

All New Range Rover Evoque มาพร้อมกับรายละเอียดมิติตัวถังดังนี้

  • ยาว x กว้าง x สูง : 4,371 x 1,904 x 1,649 มิลลิเมตร
  • ระยะฐานล้อ : 2,681 มิลลิเมตร
  • ระยะต่ำสุดถึงพื้น Ground Clearance : 212 มิลลิเมตร
  • มุมประชิด 25 องศา มุมจาก 30.6 องศา
  • ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน cd = 0.32 – 0.33
  • ที่เก็บสัมภาระด้านท้าย 591 – 1,383 ลิตร

รูปลักษณ์ภายนอกในภาพรวม อาจจะไม่ได้มีงานดีไซน์ที่แปลกแหวกแนวไปจากตัวเดิมมากนัก โดยยังคงลักษณะของเส้นสายและสัดส่วนของตัวถังที่ใกล้เคียงเดิม ตลอดจนแนวหลังคาที่ลาดต่ำลง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของ Evoque

แต่จุดเด่นหลักๆที่เปลี่ยนไปจากรุ่นแรกอย่างสังเกตได้ก็คือ การดีไซน์ด้านหน้าใหม่ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณ รายละเอียดบนเปลือกกันชน ที่ช่วยเพิ่มความโฉบเฉี่ยวขึ้น, เส้นสายช่องดักอากาศแบบใหม่, กระจังหน้าลวดลายรังผึ้งแบบใหม่ สีเงิน และ โคมไฟหน้าดีไซน์ใหม่ดูตีบบางลง ใช้ตัวหลอดแบบ LED พร้อมไฟ Daytime Running Lights ลายกราฟฟิกใหม่ แบบ LED เช่นเดียวกัน

มากันที่ด้านข้างบรเวณใต้กระจกหูช้าง มีการตกแต่งด้วยชิ้นกาบข้าง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่ได้ดึงมาจาก Evoque รุ่นเดิม แต่ถ้าสังเกตกันตรงที่มือเปิดประตู จะพบว่าได้เปลี่ยนไปมาใช้แบบซ่อนเนียบเรียบไปบบตัวถัง ในขณะเดียวกัน ก็มาพร้อมกับวงล้ออัลลอยลวดลายใหม่

สำหรับบั้นท้าย อัพเกรดให้ดูล้ำสมัยยิ่งขึ้น ด้วยโคมไฟดีไซน์ใหม่ที่คาดเป็นแนวยาวชิ้นเดียวเดียว พร้อมไฟแบบ LED Tube ในส่วนแนวกันชนด้านล่าง มีการทริมสีเงินเป็นแนวเส้นสายในทำนองดียวกับดีไซน์ของช่องดังลมด้านหน้า นอกจากนี้ ปลายท่อไอเสีย ยังถูกซ่อนไว้บริเวณชายล่างของเปลือกกันชนทั้ง 2 ฝั่ง เพื่อความเรียบเนียนตา

ภายในห้องโดยสารได้กลิ่นอายของความแข็งแกร่งและพรีเมี่ยม ที่ถ่ายทอดมาจากพี่คนกลางอย่าง Velar ใช้การตัดเย็บและตกแต่งส่วนต่างๆด้วยวัสดุหนังคุณภาพสูงอย่าง Dinamica ผสมผสานกับตัวเลือกวัสดุอื่นๆ อาทิ Kvadrat, Eucalyptus Textile และ Ultrafabrics รวมทั้ง ตัวเบาะคู่หน้า สามารถปรับไฟฟ้าได้ 16 ทิศทาง

เมื่อมองไปที่แผงคอนโซลหน้า ก็จะพบกับ หน้าจอความบันเทิง InControl Touch Pro Duo™ ระบบสัมผัส Dual-Screen Layout และรองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay / Android Auto รวมไปถึง หน้าจอ Dashboard ก็ยังมาพร้อมกับแบบ Full-Digital Display นอกจากนี้ ในส่วนของ ระบบปรับอากาศ ก็ได้ใช้การหมุนเวียนฟอกอากาศด้วยระบบ Ionization

ห้องโดยสารตอนหลัง ให้ความโอ่โถงด้วยพื้นที่วางขามากที่ขึ้นกว่ารุ่นเดิม พร้อมความปลอดโปร่งของหลังคา Panoramic Glass Roof ส่วนห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง ก็มีพื้นที่ๆมากขึ้นอีก 10 % ด้วยขนาดความจุ 591 ลิตร แต่ถ้าพับตลบเบาะหลังแบบ 40 : 20 : 40 ลงไปจนราบทั้งหมด จะช่วยขยายเนื้อที่ออกไปเป็น 1,383 ลิตร

ขณะเดียวกัน Land Rover ยังออกมาการันตีถึงความเงียบของห้องโดยสารใน All New Evoque ด้วยการใช้วัสดุซับเสียงที่ผสมผสานกันหลากหลาย เพื่อให้ผู้โดยสารรู้สึกเพลิดเพลินและสะดวกสบายมากขึ้นในระหว่างการเดินทาง

รายละเอียดด้านขุมพลังเครื่องยนต์ เบื้องต้นจะมีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 6 แบบ โดยแบ่งเป็น ดีเซล 4 แบบ และ เบนซิน 2 แบบ ดังนี้

ดีเซล

TD4 2WD (150PS)

เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร 1,999 ซีซี. เทอร์โบ กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 83.0 x 92.35 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 15.5 : 1 กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 2,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร ที่ 1,750 – 2,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ขับเคลื่อน 2 ล้อ

  • อัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 10.5 วินาที

TD4 AWD MHEV (150PS)

เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร 1,999 ซีซี. เทอร์โบ กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 83.0 x 92.35 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 15.5 : 1 กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 2,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร ที่ 1,750 – 2,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 48V Mild-Hybrid (Synchronous Reluctance Motor) เพื่อช่วยในการออกตัว แบตเตอรี่ 46.2 V Lithium-ion

  • อัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 11.2 วินาที

TD4 AWD MHEV (180PS)

เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร 1,999 ซีซี. เทอร์โบ กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 83.0 x 92.35 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 15.5 : 1 กำลังสูงสุด 180 แรงม้า ที่ 2,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ที่ 1,750 – 2,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 48V Mild-Hybrid (Synchronous Reluctance Motor) เพื่อช่วยในการออกตัว แบตเตอรี่ 46.2 V Lithium-ion

  • อัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 9.3 วินาที

SD4 AWD MHEV (240PS)

เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร 1,999 ซีซี. เทอร์โบ กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 83.0 x 92.35 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 15.5 : 1 กำลังสูงสุด 240 แรงม้า ที่ 2,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,500 – 2,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 48V Mild-Hybrid (Synchronous Reluctance Motor) เพื่อช่วยในการออกตัว แบตเตอรี่ 46.2 V Lithium-ion

  • อัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 7.7 วินาที

เบนซิน

SI4 AWD MHEV (200PS)

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร 1,998 ซีซี. Twin-scroll Turbo กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 83.0 x 92.30 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1 กำลังสูงสุด 200 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 340 นิวตันเมตร ที่ 1,300 – 4,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 48V Mild-Hybrid (Synchronous Reluctance Motor) เพื่อช่วยในการออกตัว แบตเตอรี่ 46.2 V Lithium-ion

  • อัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 8.5 วินาที

SI4 AWD MHEV (250PS)

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร 1,998 ซีซี. Twin-scroll Turbo กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 83.0 x 92.30 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1 กำลังสูงสุด 249 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 365 นิวตันเมตร ที่ 1,300 – 4,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 48V Mild-Hybrid (Synchronous Reluctance Motor) เพื่อช่วยในการออกตัว แบตเตอรี่ 46.2 V Lithium-ion

  • อัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 7.5 วินาที

อย่างไรก็ดี ในรุ่นขุมพลังรูปแบบ Plug-in Hybrid (PHEV) บนพื้นฐานเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ (Ingenium) ก็จะเตรียมเข้ามาเสริมทัพภายหลังจากนี้ด้วยเช่นกัน โดยมีกำหนดการอยู่ในช่วงปี 2019

All New Evoque มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (AWD) เป็นมาตรฐานสำหรับทุกรุ่นย่อย จึงเป็นเหตุผลที่ว่า จะต้องมาพร้อมกับระบบ Terrain Response System 2 เพื่อควบคุมการถ่ายกำลังไปแต่ละล้อ และ ปรับช่วงล่างให้เหมาะสมกับสภาพพื้นผิวที่รถกำลังจะขับผ่านมากที่สุด โดยจะมีให้เลือกทั้งหมด 6 ด้วยกันคือ General, Eco, Sand, Grass – Gravel – Snow, Mud – Ruts และ Auto

ส่วนเรื่องราวด้านเทคโนโลยี มีการติดตั้งระบบ ClearSight Ground View ใช้กล้องมองภาพบริเวณด้านหน้าและด้านข้างของตัวรถ ให้มุมมองภาพแบบ 180 องศา เพื่อส่องอุปสรรคต่างๆที่อยู่พ้นระดับสายตาจะมองเห็น และชิ้นส่วน Cover ของตัวกล้อง ยังเคลือบสารป้องกันการเกาะของละอองน้ำและโคลน ทำให้สามารถใช้งานได้กับทุกสภาพเส้นทาง นอกจากนี้ ยังมีกล้อง Rear View Mirror ที่แสดงภาพบนกระจกมองหลัง รวมไปถึง การติดตั้งระบบความปลอดภัยแบบ Active Safety อาทิเช่น

  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ แบบแปรผัน พร้อมหน่วงพวงมาลัยอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control with Steering Assist
  • ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน Lane Keep Assist
  • ระบบเบรกอัตโนมัติ ตรวจจับรถ และ คนเดินถนน Autonomous Emergency Braking
  • ระบบตรวจจับความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ Driver Condition Monitor

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจำเพาะอย่างละเอียดของ All New Range Rover Evoque คงต้องรอการเผยแพร่กันอีกครั้ง กับงาน Chicago Auto Show ในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ 2019

ที่มา : land rover, motor1