จากวันที่ผู้ผลิตรถยนต์พากันประกาศเดินหน้าเต็มสูบเข้าสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้า มาในวันนี้หลายค่ายเริ่มชะลอแผนการดังกล่าวรวมไปถึง Aston Martin ที่ผู้บริหารพึ่งให้สัมภาษณ์ว่า กำหนดการเปิดตัว EV คันแรกของค่ายจะเลื่อนออกไปจากเดิมที่วางแผนไว้ในปี 2025 เป็นปี 2026 ก่อนจะเริ่มส่งมอบในปีถัดไป อีกทั้งจะมีการผลิตเครื่องยนต์สันดาปต่อไปจนถึงยุค 2030 ด้วยเพราะนั่นเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการ

Lawrence Stroll ตำแหน่ง Chairman ของ Aston Martin เป็นผู้ให้ข้อมูลดังกล่าว พร้อมกับเปิดเผยเพิ่มเติมว่า แม้จะยังมีความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าจากตลาดอยู่ แต่รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปยังเป็นที่ต้องการอยู่มากเช่นกัน โดยสิ่งที่ลูกค้าต้องการคือเสียงและกลิ่น ทำให้เขามั่นใจว่าจะมีพื้นที่ในตลาดให้รถยนต์อยู่เสมอ การเปิดตัว EV จึงช้าออกไปจากแผนเดิมที่วางเอาไว้ แต่ยังไงก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

 

Aston Martin จึงสนใจในขุมพลัง Plug-In Hybrid เพราะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และยังผ่านเกณฑ์การควบคุมมลพิษอันเข้มงวดของภาครัฐ โดยบริษัทจะลงุทนในเทคโนโลยี PHEV สำหรับขุมพลังขนาดใหญ่แบบ V8 และ V12 โดย Stroll ระบุด้วยว่า Aston Martin จะผลิตเครื่องยนต์สันดาปต่อไปจนถึงทศวรรษ 2030 หรือนานตราบเท่าที่ภาครัฐจะยังอนุญาตให้ผลิต

สำหรับแผนการก้าวเข้าสู่ยุคขุมพลังไฟฟ้าของ Aston Martin ผู้บริหารรายเดิมระบุว่ารถยนต์รุ่นที่พัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมดและเปิดตัวหลังปี 2026 เป็นต้นไป จะมาพร้อมกับขุมพลังพ่วงระบบไฟฟ้า และตั้งเป้าไว้ว่าในปี 2030 รถยนต์ Aston Martin ทุกรุ่นจะขับเคลื่อนด้วยขุมพลังพ่วงระบบไฟฟ้าเช่นกัน ซึ่งเขาได้เน้นย้ำด้วยว่าขุมพลัง V8 ที่จะนำมาจับคู่ PHEV จะเป็นเครื่องของ Mercedes-Benz แต่ของ V12 นั้นยังต้องคอยติดตามกันไปก่อน

 

ที่มา: motor1, carscoops