Audi S3 มีรุ่น Facelift ตามมาแล้วเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2024 โดยไม่ได้มีเพียงการปรับรุงดีไซน์ แต่ยังปรับแต่งหลายองค์ประกอบเพื่อสมรรถนะทั้งขุมพลัง, ช่วงล่าง และระบบเบรก ด้านสีตัวถังมีการเพิ่มทางเลือกใหม่ทั้ง สีเขียว District Green, สีน้ำเงิน Ascari Blue, สีแดง Progressive Red และครั้งแรกกับสีเทาด้าน Daytona Gray

ภายนอกของ Audi S3 Facelift ปรับกระจังหน้า Singleframe ใหม่เป็นแบบ frameless พร้อมกับขยายขนาดช่องดักลมในกันชนหน้า รวมถึงชายกันชนหน้า ไฟหน้าเพิ่มลูกเล่นปรับกราฟฟิก DRL ได้ 4 รูปแบบ ผ่านระบบ MMI ตัวกันชนปรับใหม่เช่นกัน โดยด้านหลังตัดชายล่างด้วยสีดำเงา และเปลี่ยนไปใช้ท่อไอเสียปลายคู่ออกสองฝั่ง ล้อมาตรฐานมีขนาด 18 นิ้ว รัดด้วยยาง 225/40 พร้อมทางเลือกล้อขนาด 19 นิ้ว 2 ลาย รัดด้วยยาง 235/35 ส่วนยางเป็น Falken Label D

 

ห้องโดยสารของ Audi S3 Facelift ปรับดีไซน์ช่องแอร์ใหม่ รวมถึงเพิ่มขอบเขตไฟส่องสว่าง Ambient Lighting ไปยังเหนือฐานเกียร์, แผงประตู, พื้นรถ, คอลโซลกลาง และที่วางแก้ว ส่วนการตกแต่งลดทอนการใช้สีเงิน และเพิ่มการใช้สีเข้มเข้ามาแทนรวมถึงผ้าหลังคาสีดำ ทั้งยังมีการโลหะมาตกแต่งแป้นเหยียบและกันเตะประตู ส่วนระบบแสดงผลมี Audi virtual cockpit มาพร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว และช่องชาร์จ USB-C 2 จุด

ขุมพลังของ Audi S3 Facelift ยังใช้เครื่องยนต์เบนซิน TFSI แบบ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบ กำลังสูงสุด 333 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร ที่ 2,100 – 5,500 รอบ/นาที เพิ่มขึ้นจากเดิม 23 แรงม้า 20 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติ S tronic 7 จังหวะ ขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro ทำอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 4.7 วินาที ความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง

 

เครื่องยนต์เพิ่มรอบเดินเบาขึ้นมาอีก 200 รอบ/นาที เป็น 1,300 รอบ/นาที ช่วยให้ตอบสนองดีขึ้น ทั้งยังปรับแต่งระบบ quattro ของ Audi S3 Facelift ใหม่ด้วยการเพิ่มระบบกระจายแรงบิดระหว่างล้อคู่หลัง ช่วงล่างปรับแต่งใหม่ให้พวงมาลัยตอบสนองไวขึ้นเช่นกัน ทั้งเปลี่ยนแบร์ริ่งใหม่และเพิ่มองศาลบให้กับมุมแคมเบอร์ล้อ ส่วนความสูงเตี้ยลงจาก A3 ทั่วไป 15 มิลลิเมตร และยังสามารถติดตั้ง S sport suspension เพิ่มได้

ระบบเบรกปรับเปลี่ยนใหม่ ทั้งคาลิปเปอร์หน้า 2 สูบ พร้อมขยายขนาดจานเบรกหน้าเป็น 357 x 34 มม. หรือหนาขึ้น 4 มม. Audi S3 Facelift มีให้เลือกทั้งตัวถัง Sedan และ Sportback มีกำหนดการส่งถึงโชว์รูมในยุโรปในไตรมาสสองของปีนี้ สนนราคาจำหน่ายที่นั่นโดยที่ยังไม่รวม ภาษีนำเข้าของประเทศไทย 55,600 ยูโร (ราว 2,187,000 บาท)

 

ที่มา: Audi