ผู้ที่มีประสบการณ์ซื้อขายรถยนต์มือสอง ต้องเคยได้ยินความเชื่อที่ว่าสีมีผลต่อราคากันมาบ้าง iseecars จึงได้ทำการพิสูจน์ทฤษฎีดังกล่าว ด้วยการเก็บข้อมูลซื้อขายทั้งรถยนต์ใหม่และรถยนต์ใช้แล้วในสหรัฐฯ ระหว่างปี 2017 – 2020 รวมเป็นจำนวนราว 6,000,000 คัน จนได้ตัวเลขเฉลี่ยของมูลค่ารถยนต์ในแต่ละสีที่ลดลงในช่วงเวลาสามปี จนได้รายละเอียดดังนี้ 


มูลค่ารถยนต์ในแต่ละสี ที่ลดลงแต่ละปีโดยเฉลี่ยในสหรัฐฯ

เรียงอันดับจากค่าเสื่อมต่ำที่สุดไปสูงที่สุด

  • อันดับที่ 1 สีเหลือง             มูลค่าที่ลดลงโดยเฉลี่ยสามปีอยู่ที่ 20.4%
  • อันดับที่ 2 สีเบจ                 มูลค่าที่ลดลงโดยเฉลี่ยสามปีอยู่ที่ 22.8%
  • อันดับที่ 3 สีส้ม                 มูลค่าที่ลดลงโดยเฉลี่ยสามปีอยู่ที่ 27.1%
  • อันดับที่ 4 สีเขียว               มูลค่าที่ลดลงโดยเฉลี่ยสามปีอยู่ที่ 31.3%
  • อันดับที่ 5 สีเทา                 มูลค่าที่ลดลงโดยเฉลี่ยสามปีอยู่ที่ 36.4%
  • อันดับที่ 6 สีแดง                มูลค่าที่ลดลงโดยเฉลี่ยสามปีอยู่ที่ 36.9%
  • อันดับที่ 7 สีน้ำเงิน             มูลค่าที่ลดลงโดยเฉลี่ยสามปีอยู่ที่ 37.0%
  • มูลค่าที่ลดลงโดยเฉลี่ยสามปีของทุกสีอยู่ที่ 37.6%
  • อันดับที่ 8 สีเงิน                 มูลค่าที่ลดลงโดยเฉลี่ยสามปีอยู่ที่ 37.6%
  • อันดับที่ 9 สีขาว                มูลค่าที่ลดลงโดยเฉลี่ยสามปีอยู่ที่ 38.0%
  • อันดับที่ 10 สีดำ                  มูลค่าที่ลดลงโดยเฉลี่ยสามปีอยู่ที่ 38.4%
  • อันดับที่ 11 สีม่วง                มูลค่าที่ลดลงโดยเฉลี่ยสามปีอยู่ที่ 41.2%
  • อันดับที่ 12 สีน้ำตาล            มูลค่าที่ลดลงโดยเฉลี่ยสามปีอยู่ที่ 42.1%
  • อันดับที่ 13 สีทอง                มูลค่าที่ลดลงโดยเฉลี่ยสามปีอยู่ที่ 45.6%

มีการวิเคราะห์ว่าสาเหตุที่สีเหลืองและสีส้ม เป็นสีที่มักพบเห็นในรถสปอร์ตหรือรุ่นพิเศษ ทำให้มีจำนวนไม่มากในตลาด และเมื่อมีคนต้องการจึงสามารถเรียกราคาได้ ส่วนสีเบจนั้นว่ามีน้อยในตลาดเช่นกัน เสริมด้วยเหตุผลว่าแม้จะดูแก่ในสายตาหลายคน แต่มีความโดดเด่นจากสีอื่น ราคาจึงแข็งเป็นอันดับที่สอง

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าสีรถยนต์ที่หายากจะราคาแข็งเสมอไป เพราะสามอันดับบ๊วยอย่างสีม่วง, สีน้ำตาล และ สีทอง ล้วนเป็นสีรถยนต์ที่ไม่ค่อยมีในตลาดเช่นกัน จึงตีความได้ว่าสีที่หายากแต่ไม่ส่งผลต่ออารมณ์ (ความอยากได้) ของผู้บริโภค จะยิ่งทำให้มีผลกระทบด้านลบต่อราคารถยนต์ที่ใช้สีเหล่านั้น

ส่วนสียอดนิยมอย่างสีเงิน, สีดำ และ สีขาว ที่เชื่อว่าซื้อง่ายขายคล่องนั้นเป็นเรื่องจริง ดังจะเห็นได้จากมูลค่าที่ลดลงโดยเฉลี่ยของแต่ละสี มีค่าไล่เลี่ยกับมูลค่าที่ลดลงโดยเฉลี่ยของทุกสี สำหรับสาเหตุวิเคราะห์ได้ว่า สีเหล่านี้เป็นสีทั่วไปที่ผู้คนส่วนใหญ่รับได้ แต่ด้วยความที่ว่ามีรถยนต์สีเหล่านี้มากมาย ลูกค้าจึงเกิดการเปรียบเทียบกับคันอื่นในตลาด ราคาขายเลยไม่สูงหรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมากนัก

ที่มา: iseecars, motor1