Volvo ได้ผลิตรถยนต์ที่ใช้ขุมพลังดีเซลเป็นครั้งแรกเมื่อ 45 ปีก่อน ด้วยรุ่น 244 GL D6 และเป็นขุมพลังแบบ 6 สูบที่หยิบยืมมาจาก Volkswagen และ Audi ซึ่งกว่า Volvo จะมีขุมพลังดีเซลของตัวเอง ต้องรอถึงปี 2001 ที่มีการผลิตเครื่องยนต์ดีเซลขึ้นเอง ณ โรงงานใน Skövde ของสวีเดน จนกลายเป็นสินค้าขายดีของค่ายในยุโรป โดยในปี 2008 ยอดขาย 95% ของ Volvo XC90 ที่ขายได้ในยุโรป เป็นรุ่นขุมพลังดีเซล

 

อย่างไรก็ตาม ในปีที่แล้ว Volvo ประกาศว่าจะยุติการผลิตรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล ในช่วงต้นปี 2024 ล่าสุด พวกเขาทำตามสัญญาแล้ว ด้วยการผลิต Volvo XC90 ขุมพลังดีเซล แบบ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบ เป็นคันสุดท้ายของบริษัทจากโรงงานใน Torslanda เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2024 โดยรถยนต์คันนี้จะถูกส่งไปเก็บที่พิพิธภัณฑ์ World of Volvo ใน Gothenburg สวีเดน และมีกำหนดการเปิดให้เข้าชมในวันที่ 14 เมษายนนี้

นับเป็นการปิดตำนานขุมพลังดีเซลของ Volvo ส่วนจำนวนการผลิตทั้งหมด ไม่มีการบันทึกตัวเลขในปี 1979 – 1991 และมีการบันทึกหลังปี 1991 เท่านั้น ซึ่งมียอดสะสมทั้งหมดราว 9 ล้านคัน ต่อจากนี้ Volvo จะยังคงกรอบเวลาเดิม ในการก้าวเข้าสู่แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าอย่างเดียวภายในปี 2030 แม้ค่ายใหญ่ค่ายอื่นอย่าง Mercedes-Benz และ Bentley จะเลื่อนกำหนดการเป็นแบรนด์ EV ล้วนออกไปจากเดิม ซึ่งนั่นหมายความว่าการผลิตรถยนต์ที่ใช้ขุมพลังเบนซินหรือ PHEV ของ Volvo กำลังจะถึงจุดจบเช่นกัน

 

สำหรับสถานการณ์ตลาดล่าสุดในยุโรป ซึ่งเป็นตลาดหลักของรถยนต์ดีเซล สมาคมผู้ผลิตรถยนต์ยุโรป หรือ European Automobile Manufacturers’ Association (ACEA) ได้รายงานส่วนแบ่งของแต่ละขุมพลังในปี 2023 ดังนี้

  • ขุมพลังเบนซิน มีส่วนแบ่งจากทั้งตลาด 35.3%
  • ขุมพลัง Hybrid มีส่วนแบ่งจากทั้งตลาด 25.8%
  • ขุมพลังดีเซล มีส่วนแบ่งจากทั้งตลาด 13.6% (ลดลงจาก 16.4% ในปี 2022)
  • ขุมพลัง EV มีส่วนแบ่งจากทั้งตลาด 14.6%
  • ขุมพลัง PHEV มีส่วนแบ่งจากทั้งตลาด 7.7%
  • ขุมพลังอื่น มีส่วนแบ่งจากทั้งตลาด 3%

 

ที่มา: motor1, autocar