เมื่อวันที่ 27 มกราคม ที่ผ่านมา กลุ่มพันธมิตร Renault – Nissan – Mitsubishi ได้ร่วมกันประกาศแผนดำเนินธุรกิจ Alliance 2030 ซึ่งสมาชิกทุกบริษัทจะใช้ร่วมกัน พร้อมมุ่งความสำคัญไปยังเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้า EV และ ระบบเชื่อมต่อภายในรถยนต์ สำหรับใจความสำคัญในแต่ละประเด็น มีรายละเอียดโดยสังเขปดังนี้

  • ใช้ platform ร่วมกันในกลุ่มพันธมิตร คิดเป็น 80% ของรถยนต์ 90 รุ่น ภายในปี 2026 เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันในอัตรา 60% ของรถยนต์ทุกรุ่นในกลุ่ม
  • Mitsubishi จะบุกตลาดยุโรปด้วยรถยนต์ใหม่สองรุ่น และหนึ่งในนั้นคือ ASX รุ่นถัดไป ที่จะมีพื้นฐานมาจากรุ่นยอดนิยมของ Renault
  • ลงทุนร่วมกันในเรื่องของระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า มูลค่า 2,300 ล้านยูโร (ราว 85,000 ล้านบาท) ภายในเวลา 5 ปีข้างหน้า

(Makoto Uchida ผู้ดำรงตำแหน่ง President และ CEO, Nissan Motor)

 

  • เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ให้ได้ 35 รุ่น ภายในปี 2030 มุ่งเป้าเป็นผู้ผลิตที่มี EV ให้เลือกเป็นจำนวนรุ่นมากที่สุด โดย 90% ของรถยนต์เหล่านี้จะพื้นฐานมาจาก platform 5 แบบ ประกอบด้วย
    • CMF-AEV เป็น platform ที่มีราคาเป็นมิตรที่สุด โดยจะใช้เป็นพื้นฐานของ Dacia Spring
    • KEI-EV สำหรับรถยนต์ K-Car ขุมพลัง EV
    • LCV-EV สำหรับรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ เช่น Renault Kangoo และ Nissan Town Star
    • CMF-EV เป็น platform ที่มีความยืดหยุ่นสูง รองรับมอเตอร์สมรรถนะสูงและแบตเตอรี่ที่บาง ทั้งยังเป็นพื้นฐานของ Nissan Ariya และ Renault Megane E-Tech Electric
    • CMF-BEV เป็น platform ขนาดเล็กที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง ขับขี่ได้ไกลสุด 400 กิโลเมตร และลดต้นทุนลงได้ 33% ทั้งยังให้ Nissan เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุด โดยมีพื้นฐานมาจาก platform แบบ CMF-BEV ของ Renault โดย Renault เป็นผู้ผลิตด้วย มีตำแหน่งทางการตลาดเป็นตัวแทนของ Nissan Micra ในยุโรป

(Ashwani Gupta ผู้ดำรงตำแหน่ง COO, Nissan Motor)

 

  • มีกำลังการผลิต All-Solid-State Battery (ASSB) รวมกันเป็นขนาด 220 GWh ภายในปี 2030 พร้อมตั้งเป้าลดต้นทุนการผลิตลงให้ได้ 50% ภายในปี 2026 และ 65% ภายในปี 2028 พร้อมตั้งเป้าเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่แบบ solid state โดยให้ Nissan เป็นผู้นำในการพัฒนาเรื่องนี้ เพื่อนำมาใช้ร่วมกันในกลุ่มพันธมิตร
  • Renault เป็นผู้นำในการพัฒนาระบบไฟฟ้าและ platform ของรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมตั้งเป้าเปิดตัวรถยนต์ที่ใช้ software ใหม่เต็มระบบภายในปี 2025 และมีเป้าหมายให้ในปี 2026 รถยนต์จากเครือพันธมิตรจำนวน 45 รุ่น คิดเป็นยอดผลิต 10,000,000 คัน มีระบบขับขี่อัตโนมัติ และ มียอดผลิตรถยนต์อีกปีละ 5,000,000 คัน ที่จะเข้าถึงระบบแลกเปลี่ยนข้อมูล Alliance Cloud

ที่มา: Nissan