RA ย่อมาจาก Record Attempt หรือความพยายามในการทำสถิติ เป็นรหัสที่ Subaru ใช้ในตัวแรงรุ่นพิเศษของตน โดยใช้ครั้งแรกในปี 1989 กับ Subaru Legacy ที่ทุบสถิติ FIA World Speed Endurance Record ด้วยการวิ่งครบ 62,000 ไมล์ (99,779 กิโลเมตร) ภายใน 18 วัน พร้อมทำความเร็วสูงสุดได้ 222 กิโลเมตร/ชั่วโมง และตอนนี้รหัสดังกล่าว ได้มีทายาทรุ่นล่าสุดออกมาแล้วในชื่อ Subaru WRX STI Type RA

ภายนอกของ Subaru WRX STI Type RA เสริมหล่อด้วยลิ้นหน้าทรงใหม่ พร้อมหลังคาคาร์บอนไฟเบอร์ นอกจากนี้ยังมี เสาอากาศแบบครีบฉลาม, กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว และล้อ Forged จาก BBS ขนาด 19 นิ้ว รัดด้วยยาง Yokohama Advan Sports ขนาด 245/35 R19

ตัวถังยังได้รับการตกแต่งด้วยการขลิบสีแดง Cherry Blossom Red รอบกระจังหน้า และกันชนหลัง พร้อมเปลี่ยนโลโก้ STI บริเวณแก้มคู่หน้าเป็นสีดำ ปิดท้ายด้วยตราสัญลักษณ์ STI Type RA ในด้านหลัง

ภายในเปลี่ยนมาใช้เบาะของ Recaro พร้อมตกแต่งด้วยการเดินด้ายแดง และขลิบสีแดงรอบห้องโดยสาร พวงมาลัยเปลี่ยนวัสดุหุ้มด้วย Ultrasuede ที่ให้สัมผัสการยึดเกาะที่ดีกว่า ทั้งยังตกแต่งพวงมาลัยด้วยสีดำเงา Subaru WRX STI Type RA ยังปักตรา STI บริเวณหมอนรองศีรษะ และระบุ Serial Number บริเวณคอลโซลกลาง พร้อมติดตั้งระบบ Push Start และ Keyless Entry มาให้ด้วย

Subaru WRX STI รุ่นปกติใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบนอน Boxer 2.5 ลิตร เทอร์โบ รหัส EJ257 ให้กำลังสูงสุด 300 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 407 นิวตันเมตร (41.5 กก.-ม.) ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังลงพื้นทั้ง 4 ล้อ ผ่านเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ แต่ใน Subaru WRX STI Type RA ระบุเพียงแค่ว่ากำลังเพิ่มมาอยู่ในระดับ 314 แรงม้า (PS) ด้วยอานิสงส์ของท่อไอดี และทางเดินไอเสียใหม่

ช่วงล่างของ Subaru WRX STI Type RA เป็นแบบ Sturt ในด้านหน้า และ Double Wishbone ในด้านหลัง เสริมด้วยโช๊คอัพจาก Blistein พร้อมปรับแต่งระบบช่วยควบคุมการทรงตัว VDC ให้ตอบสนองดีขึ้น ระบบเบรกอัญเชิญของ Brembo มาสถิตขนาด 6 พอตแบบ Monoblock ในด้านหน้า และ 2 พอตในด้านหลัง พร้อมพ่นสีคาลิปเปอร์ด้วยสีเงินพิเศษ

Subaru WRX STI Type RA จะไม่มียางอะไหล่มาให้เพื่อลดน้ำหนัก ส่วนจำนวนการผลิตจำกัดไว้ที่ 500 คัน มี 3 สีให้เลือก ประกอบไปด้วย สีน้ำเงิน WR Blue Pearl, สีดำ Crystal Black Silica และสีขาว Crystal White Pearl กำหนดการออกจำหน่ายจะเริ่มขึ้นในไตรมาสแรกของปี 2018 ที่ประเทศสหรัฐฯ เท่านั้น ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติมและราคาจะตามมาในภายหลัง

 

ที่มา: media.subaru