Tesla เปิดตัวเครือข่าย Supercharger เป็นครั้งแรกในปี 2012 เนื่องจากในตอนนั้นเครือข่ายสถานีชาร์จ DC ที่รองรับการเดินทางไกลด้วยรถยนต์ไฟฟ้า ยังไม่แพร่หลายเท่าใดนัก การตั้งเครือข่ายดังกล่าวจึงเป็นเพียงการช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ Tesla ง่ายขึ้น และแม้แต่ Elon Musk ผู้ก่อตั้ง Tesla เองยังเคยกล่าวไว้ว่า เขาไม่คิดว่าเครือข่าย Supercharger จะสร้างผลกำไรให้ได้ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปแล้ว

ในปัจจุบัน เครือข่าย Supercharger ของ Tesla ได้กลายเป็นเครือข่ายที่มีสถานีครอบคลุมพื้นที่ในอเมริกาเหนือระดับแนวหน้า Dan Ives นักวิเคราะห์อาวุโสและผู้บริหารของบริษัทการเงิน Wedbush Securities จึงคาดการณ์ว่ามูลค่าของธุรกิจ Supercharger จะแตะระดับ 10,000 – 20,000 ล้าน USD (ราว 352,000 – 705,000 ล้านบาท) ภายในปี 2030

 

Ives ยังคาดการณ์ว่ามูลค่าดังกล่าวของ Supercharger ในอนาคตสามารถคิดเป็น 3 – 6% จากรายได้ทั้งหมดของ Tesla เลยทีเดียว ส่วนปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจนี้คือการที่ Tesla เปิดโอกาสให้ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นในสหรัฐฯ เข้าใช้บริการที่เครือข่ายด้วย และผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่หลายค่ายได้ประกาศเตรียมเปลี่ยนเบ้าชาร์จ ไปใช้แบบ NACS ในอนาคต เพื่อให้รองรับการใช้งานที่สถานีชาร์จของ Tesla เรียบร้อยแล้ว

นักวิเคราะห์ที่ Wall Street จัดอันดับให้เป็นนักวิเคราะห์อันดับที่ 121 จาก 8,527 อย่าง Ives จึงมองว่าแม้ Tesla จะไม่เก็บค่าลิขสิทธิ์จากผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ที่เปลี่ยนมาใช้เบ้าชาร์จ NACS แต่สามารถเก็บค่าชาร์จจากลูกค้าที่เข้าใช้บริการนั่นเอง ซึ่งจำนวนลูกค้าไม่ต้องพูดถึงเพราะลำพังลูกค้า Tesla ที่สหรัฐฯ ในปัจจุบันก็มีหลักล้านคันแล้ว ยิ่งในอนาคตมีลูกค้า EV ค่ายอื่นมาใช้บริการด้วย จึงการันตีได้ว่ามีลูกค้าล้นแน่นอน

 

ที่มา: insideevs, electrek