Audi e-tron Sportback 55 quattro S line

ราคาอย่างเป็นทางการ (นำเข้า CBU)

  • e-tron Sportback 55 quattro S line (รถยนต์ไฟฟ้า 100%) 5,299,000 บาท

โดย Meister Technik ผู้แทนจำหน่ายรายใหม่ รับประกันคุณภาพตัวรถ Warranty 5 ปี หรือ 150,000 km. และ แบตเตอรี่รับประกันนาน 8 ปี หรือ 160,000 km. พร้อม 24hr Road-side Assistant บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง เป็นเวลา 5 ปี รายละเอียดของ Meister Technik อ่านได้ที่ >> http://www.headlightmag.com/audi-thailand-meister-technik-official-launch/


Powertrain ขุมพลัง

ขุมพลังของ Audi e-Tron เป็นมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ (2 Electric Motors)

Normal Mode

  • กำลังสูงสุด 360 แรงม้า (มอเตอร์หน้า 170 แรงม้า – มอเตอร์หลัง 190 แรงม้า)
  • แรงบิดสูงสุด 561 นิวตันเมตร

Boost Mode

  • กำลังสูงสุด 408 แรงม้า (มอเตอร์หน้า 184 แรงม้า – มอเตอร์หลัง 224 แรงม้า)
  • แรงบิดสูงสุด 664 นิวตันเมตร

ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ Single Gear และ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro พร้อมระบบกระจายแรงบิด wheel-selective torque control

  • อัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 5.7 วินาที
  • ความเร็วสูงสุด Top Speed 200 km/h

แบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุขนาด 95 kWh ขนาด 396 โวลต์ ให้กระแสไฟเดินทางได้สูงสุดต่อการชาร์จ 1 ครั้ง เป็นระยะทางมากกว่า 463 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) รองรับทั้งการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC สูงสุด ขนาด 150 kW และ กระแสไฟฟ้าสลับ AC (ไฟฟ้าที่ใช้ในครัวเรือน) ขนาด 11 kW หรือ 22 kW

การชาร์จไฟฟ้า

  • ไฟฟ้า AC 3 phase 11 kW ใช้เวลาชาร์จจาก 0% ประมาณ 8.6 ชั่วโมง
  • ไฟฟ้า AC 3 phase 22 kW ใช้เวลาชาร์จจาก 0% ประมาณ 4.3 ชั่วโมง
  • ไฟฟ้า DC 150 kW ใช้เวลาชาร์จจาก 0% ประมาณ 36 นาที

แบตเตอรี่ แบบ 36 Modules ติดตั้งอยู่ใต้พื้นรถ สามารถเปลี่ยนซ่อม Repairable แยก Modules ได้

Dimension มิติตัวถัง

  • ยาว  4,901 มิลลิเมตร
  • กว้าง  1,935 มิลลิเมตร
  • สูง  1,616 มิลลิเมตร
  • ระยะฐานล้อ  2,928 มิลลิเมตร
  • พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหน้า ขนาด 60 ลิตร
  • ที่เก็บสัมภาระด้านหลัง ขนาด 661 – 1,665 ลิตร (เมื่อพับเบาะลง)
  • ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน cd = 0.25


รายละเอียด Option ของ Audi e-tron Sportback 55 TFSI quattro S-Line

Technology เทคโนโลยี

  • พวงมาลัยไฟฟ้าแบบ Progressive
  • ระบบเบรกคู่หน้า ดิสก์เบรก พร้อมคาลิปเปอร์เบรกสีส้ม
  • ระบบเบรกคู่หลัง ดิสก์เบรก พร้อมคาลิปเปอร์เบรกสีส้ม
  • ช่วงล่างแบบถุงลมแบบสปอร์ต Sport Adaptive Air Suspension
  • ระบบเลือกโหมดการขับขี่ Audi Drive Select

Exterior ภายนอก

  • ชุดตกแต่งภายนอก S line
  • ล้ออัลลอย 9.5 J x 21″ ขนาด 21 นิ้ว
  • ยาง ขนาด 265/45 R21
  • ยางอะไหล่
  • หลังคากระจก Panoramic Sunroof เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า
  • ไฟหน้าแบบ Matrix LED พร้อมไฟ Effect Light Staging ด้านหน้า – หลัง
  • ไฟ Daytime Running Light แบบ LED
  • ระบบไฟสูงอัตโนมัติ Auto High Beam
  • กระจกมองหลัง แบบปรับลดแสงอัตโนมัติ
  • กระจกมองข้าง แบบปรับลดแสงอัตโนมัติ
  • กระจกมองข้าง ปรับ และ พับด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบบันทึกตำแหน่ง Memory
  • ระบบเปิด-ปิดไฟหน้า แบบอัตโนมัติ
  • ระบบปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ Rain Sensor
  • ระบบ Comfort Key
  • ฝาท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า
  • ระบบเปิด-ปิดฝาท้าย โดยไม่ต้องใช้มือ Hands-Free Tailgate

Interior ภายในห้องโดยสาร

  • ภายในห้องโดยสาร ตกแต่งด้วยลาย Dark Matt Brush Aluminium
  • เบาะนั่งหุ้มด้วยหนัง Valcona
  • เบาะนั่งคู่หน้า แบบ S Sports ตกแต่งแบบ Diamond Cut พร้อมสัญลักษณ์ S line
  • เบาะนั่งคู่หน้า ปรับด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบบันทึกตำแหน่ง Memory Seat
  • เบาะนั่งคู่หน้า พร้อมฟังก์ชั่นอุ่นร้อน Heated Seats
  • แดชบอร์ดหน้า แผงประตู และ คอลโซลกลาง หุ้มด้วยหนัง
  • พวงมาลัย Mutifunction สปอร์ตท้ายตัด พร้อมสัญลักษณ์ S line
  • ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ แยกอิสระ 4 โซน
  • พวงมาลัย ปรับระดับด้วยไฟฟ้า
  • ระบบแป้นเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย Paddle Shift
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control
  • ม่านบังแดดประตูหลัง ซ้าย-ขวา
  • ระบบควบคุมอุณหภูมิก่อนเริ่มการขับขี่ Comfort Stationary air conditioning
  • ระบบช่วยผ่อนแรงเมื่อปิดประตู Soft Close

Entertainment ระบบความบันเทิง

  • ระบบเครื่องเสียงแบบ Premium : Bang & Olufsen พร้อมระบบเสียง 3 มิติ
  • จอแสดงข้อมูลมาตรวัดแบบ Virtual Cockpit Plus ขนาด 12.3 นิ้ว
  • ระบบ MMI Navigation Plus with MMI touch response พร้อมจอแสดงผลแบบสัมผัส ขนาด 10.1 นิ้ว
  • ระบบ Audi Smartphone Interface | Apple CarPlay – Android Auto
  • จอควบคุม Multifunction แบบสัมผัส พร้อมตอบสนองการสั่งงาน Haptic Feedback ขนาด 8.6 นิ้ว
  • ระบบเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth
  • ช่องเชื่อมต่อ USB ด้านหน้า 2 ตำแหน่ง / ด้านหลัง 2 ตำแหน่ง
  • ไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร Contour / Ambient Lighting

Safety ระบบความปลอดภัย

  • ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS
  • ระบบกระจายแรงเบรก EBD
  • ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESC
  • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS
  • ระบบเตือนการคาดเข็มขัดนิรภัย
  • ระบบเบรกมือไฟฟ้า Electronic Parking Brake
  • ระบบล็อคเบรกขณะหยุดนิ่ง Audi Hold Assist
  • กล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา
  • เซนเซอร์กะระยะช่วยจอด ด้านหน้า – ด้านหลัง – ด้านข้าง
  • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
  • ถุงลมนิรภัยด้านข้าง
  • ม่านถุงลมนิรภัย
  • จุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX
  • ชุดปฐมพยาบาล

สีตัวถังภายนอก มีให้เลือก 6 สี

  • สีขาว Glacier White Metallic
  • สีเงิน Floret Silver Metallic
  • สีดำ Mythos Black Metallic
  • สีเทา Daytona Grey Metallic
  • สีทอง Siam Beige Metallic
  • สีน้ำเงิน Antigua Blue Metallic

ภายในห้องโดยสาร มีให้เลือก 2 สี (ขึ้นอยู่กับสีตัวถังภายนอก)

  • สีดำ Black
  • สีเทา Grey

 

Audi e-tron Sportback 55 TFSI quattro S-Line  5,299,000 บาท

Comfort Mode / Auto

  • อัตราเร่ง 0 – 100 km/h : 6.62 วินาที
  • อัตราเร่ง 80 – 120 km/h : 3.61 วินาที

Dynamic Mode – Boost Mode

  • อัตราเร่ง 0 – 100 km/h : 5.62 วินาที
  • อัตราเร่ง 80 – 120 km/h : 3.07 วินาที

Top Speed

  • ความเร็วสูงสุด 201 km/h

Audi e-tron Sportback 55 TFSI quattro S-Line  5,299,000 บาท

Short Review

e-tron คือ ตระกูลรถยนต์ไฟฟ้า EV 100% จาก Audi เปิดตัวครั้งแรกในตลาดโลกเดือน ธันวาคม 2018 จากนั้น Audi ประเทศไทย เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าตามมาใน เดือน มีนาคม 2019 กับ Audi e-tron SUV เคาะราคา 5,099,000 บาท มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ 408 แรงม้า 664 นิวตันเมตร วิ่งได้ระยะทางไกลสุด 417 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (มาตรฐาน WLTP)

ส่วนรุ่นที่สอง เปิดตัวเมื่อเดือน ตุลาคม 2020 กับ Audi e-tron Sportback เคาะราคา 5,299,000 บาท มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ 408 แรงม้า 664 นิวตันเมตร วิ่งได้ระยะทางไกลสุด 463 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (มาตรฐาน WLTP) และ วันนี้เราจะมาทำความรู้จัก Audi e-tron Sportback กันครับ

สารภาพตามตรงว่า ตอนแรกผมค่อนข้างกังวลกับรถยนต์ไฟฟ้า 100% ในบ้านเรานะ ขับไปนู่นนี่ จะวิ่งพอไหม ไปชาร์จตรงไหนดี เพราะ รถคันก่อนที่ผมได้ลองคือ MINI Cooper SE (Electric) วิ่งได้ระยะทางน้อยมากกกก จนผม PANIC เกือบทุกครั้งที่ได้ขับมัน แม้จะขับสนุก เร่งประทับใจก็ตาม แต่กับ Audi e-tron Sportback ทำให้ผมเข้าใจรถยนต์ไฟฟ้า 100% มากขึ้นเยอะ (แหม MINI นี่มันวิ่งได้น้อยไปหน่อย นี่หน่า ฮ่าๆ) แถมยังประทับใจมันหลายๆด้าน

อัตราเร่ง คือ สิ่งที่ประทับใจมากใน Audi e-tron Sportback คันนี้ ไม่มีการรอรอบ เหยียบปุ๊ป พุ่งทันที นอกจากประทับใจแล้ว ยังแปลกใจด้วย ที่ตัวเลขเคลมจากโรงงาน อัตราเร่ง 0-100 km/h คือ 5.7 วินาที พอมาขับจริง จับเวลาจริง บนถนนประเทศไทย ก็ได้เวลาเท่ากัน แทบไม่เสีย Loss ใดใดทั้งสิ้นเลย ถ้าอยากได้ตัวเลข 0-100 km/h แบบนี้ ซึ่งเป็นเวลาที่ดีที่สุด ต้องปรับให้อยู่ใน Dynamic Mode เพื่อให้ฟังก์ชั่น Boost Mode ทำงาน เพราะหากอยู่โหมดอื่น จะไม่สามารถใช้งานฟังก์ชั่นนี้ได้ อัตราเร่ง 0-100 km/h ระดับ 5.7 วินาที นี่มันไวกว่า Q8 55 TFSI เบนซิน และ ไล่ๆกับรถตระกูล GLC 43 Coupe’ ได้ หากออกตัวพร้อมๆกัน

อัตราเร่งแซง 80-120 km/h ยิ่งน่าตื่นตาตื่นใจ 3.07 วินาที นี่มันระดับ Performances Cars แล้วล่ะครับ แต่คุณได้ตัวเลขนี้ในบอดี้แบบ SUV ที่ดูไม่มีพิษสงส์เท่ารถเหล่านั้น เทียบกับรหัส 53 ที่อยู่ใน Mercedes-AMG ยิ่งเห็นภาพว่า CLS 53 ทำตัวเลข 80-120 km/h ได้ 3.53 วินาที ใน Sport+ Mode แต่ e-tron Sportback ทำได้ไวกว่า เหลือแค่ 3.07 วินาที เท่านั้น ใน Dynamic / Boost Mode นี่แหละ คือความได้เปรียบของรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่ไม่ต้องรอรอบ เกียร์แบบ Single-Speed กดปุ๊ป พุ่งปั๊ป ไม่ต้องรอ

การชาร์จไฟฟ้า

  • ไฟฟ้า AC 3 phase 11 kW ใช้เวลาชาร์จจาก 0% ประมาณ 8.6 ชั่วโมง
  • ไฟฟ้า AC 3 phase 22 kW ใช้เวลาชาร์จจาก 0% ประมาณ 4 ชั่วโมง 30 นาที << ชาร์จกระแสสลับ AC 3 phase ได้สูงสุดที่กำลังชาร์จนี้
  • ไฟฟ้า DC 150 kW ใช้เวลาชาร์จจาก 0% ประมาณ 30 นาที

ค่าใช้จ่ายในการชาร์จไฟ

คำนวณค่าไฟฟ้า จากการชาร์จไฟฟ้า 0-100% 1 ครั้ง โดย www.headlightmag.com

ค่าไฟของ การไฟฟ้านครหลวง (MEA Metro Electricity Authority of Thailand) ซึ่งคิดในอัตราการใช้ไฟ บ้านอยู่อาศัย ประเภท 1.2
  • ช่วงเวลา Off Peak หน่วยละ 2.6369 บาท (22.00 – 08.59น.)
  • ช่วงเวลา Peak หน่วยละ 5.7982 บาท (09.00 – 21.59น.)
กำลังไฟของเครื่องชาร์จ Wallbox 22 kW แบตเตอรี่ขนาด 95 kWh การชาร์จ 1 ครั้ง จาก 0-100% ใช้เวลา 8.6 ชั่วโมง 
  • ค่าไฟฟ้าต่อการชาร์จเต็มจาก 0-100% : 249 บาท/ครั้ง* (*ขึ้นอยู่กับประเภท และ อัตราค่าไฟฟ้าของแต่ละบ้าน)
  • ชาร์จเต็ม 1 ครั้ง วิ่งได้ระยะทางประมาณ : 400 กิโลเมตร (จากการใช้งานจริงในกรุงเทพมหานคร, ประเทศไทย)
  • ค่าใช้จ่ายต่อการเดินทางโดยประมาณ 0.62บาท/กิโลเมตร* (*ขึ้นอยู่กับประเภท และ อัตราค่าไฟฟ้าของแต่ละบ้าน)

แต่หากใช้บริการตามที่สาธารณะต่างๆ เช่น EA Anywhere ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 4 ชั่วโมง 150 บาท ก็จะประหยัดกว่าชาร์จที่ Wallbox ที่บ้าน แต่ทั้งนี้ต้องเช็คกำลังการชาร์จของแต่ละที่ด้วยว่า สามารถรองรับการชาร์จที่สูงสุด 22 kW หรือไม่ บางแห่งปล่อยที่ 7kW ก็จะใช้ระยะเวลาชาร์จนานกว่า ก็จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการชาร์จที่บ้าน

ระยะทางการวิ่งระยะสูงสุดต่อการชาร์จ ตัวเลขโรงงานเคลมไว้ที่ 463 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) พอมาทดสอบวิ่งใช้งานจริงในประเทศไทย อุณหภูมิ อากาศแบบบ้านเรา มีการเปิดแอร์ และ เจอสภาพการจราจร พบว่าระยะทางที่วิ่งได้จริง หล่นไปเหลือที่ประมาณ 400 กิโลเมตร หรือคิดเป็น 86% ของตัวเลขที่เคลมจากโรงงาน ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี ไม่ได้กินไฟฟ้ามากนัก ในการใช้งานจริง ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งมาจากระบบ Brake Recuperation ที่ดึงเอาพลังงานจากการเบรก และ การวิ่งลอยตัว Coasting กลับมาชาร์จเป็นพลังงาน ตั้งค่าการหน่วงเวลาวิ่งลอยตัวได้ 3 ระดับ จากแป้นตำแหน่ง Paddle Shift บนพวงมาลัย มีเซนเซอร์ตรวจจับรถด้านหน้า ที่เพิ่มการหน่วงให้อัตโนมัติ

เช่น เมื่อรถเราเข้าใกล้รถคันหน้า ระบบจะหน่วงเพิ่มขึ้น และ ดึงพลังงานกลับมาใช้ชาร์จแบตเตอรี่ได้มากขึ้นด้วย คล้ายๆ Regenerative Braking ตอนแรกก็ไม่ทราบว่ามีฟังก์ชั่นทำงานอัตโนมัติแบบนี้ จนได้ลองขับจริง วิ่งใช้งานจริงบนทางด่วน จะเห็นชัดที่สุด หากรถวิ่งห่างปกติ รถก็จะหน่วงปกติ แต่เมื่อรถวิ่งลอยตัว แล้วใกล้รถคันหน้ามากขึ้น ระบบก็จะหน่วงให้เพิ่มขึ้น ทำให้เราแทบไม่ต้องแตะเบรกเลย ลองไปค้นดู พบว่าฟังก์ชั่นนี้ใช้ชื่อว่า Predictive Efficiency Assist (PEA)

ทั้งหมดทำงานร่วมกันทำให้ระยะทางการวิ่ง (Range) ต่อการชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง เพิ่มขึ้นด้วย ตอนสตาร์ทระบบของรถครั้งแรก ผมเห็นตัวเลขบนหน้าจอโชว์ว่า วิ่งได้ระยะทางอีก 312 กิโลเมตร เราก็เริ่มขับใช้งานปกติ จากจุดเริ่มต้น ไปถึงจุดหมายปลายทาง เลข ODO Trip บนหน้าจอ บอกว่าระยะทางที่วิ่งไปคือ 48 กิโลเมตร

แต่เมื่อถึงปลายทางพบว่า Range หรือ ระยะทางที่วิ่งได้ในระบบ ไม่ใช่ 312 – 48 = 264 กิโลเมตร แต่หน้าจอโชว์ว่าเหลือ Range อีก 285 กิโลเมตร ซึ่งระยะทางที่หายไป น้อยกว่า ระยะทางที่วิ่งจริง เพราะ ฟังก์ชั่น Predictive Efficiency Assist (PEA) + Brake Recuperation + Regenerative Braking ที่มีการนำพลังงานกลับมาใหม่ ทำให้ระยะทางวิ่ง Range ต่อการชาร์จเพิ่มขึ้นด้วย

ชาร์จไฟทีนึงราวๆ 250 บาท โห เหมือนจะไม่ถูกนะในความรู้สึก แต่หากคิดกลับกัน เดือนนึงคุณวิ่งเป็นระยะทางราวๆ 3,000 กิโลเมตร ค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง (ไฟฟ้า) ของ e-tron Sportback จะอยู่ที่ราวๆ 3,000 กิโลเมตร หารด้วย 400 กิโลเมตร/การชาร์จ จะต้องชาร์จ 7.5 รอบ คูณ รอบละ 250 บาท เดือนนึงจ่ายประมาณ 1,875 บาท

กลับกันหาก e-tron Sportback ใช้เครื่องยนต์ดีเซลเหมือน Q5 วิ่ง 3,000 กิโลเมตร อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 15 km/l คุณต้องเติมน้ำมัน ราวๆ 200 ลิตร น้ำมันลิตรละ 27 บาท คุณเติมน้ำมันเดือนละ 5,400 บาท เทียบอัตราส่วน รถยนต์ไฟฟ้า และ รถยนต์เครื่องยนต์ดีเซล การใช้รถยนต์ไฟฟ้า 100% ทำให้คุณประหยัดเงินค่าเชื้อเพลิงไปได้ราวๆ 65% หากวิ่งระยะทาง 3,000 กิโลเมตร/เดือน เท่าๆกัน ยังไม่รวมค่าบำรุงรักษาอื่นๆที่ตามมา

แต่ใช่ว่าจะมองแต่มุมนี้อย่างเดียว เพราะ การใช้รถยนต์ไฟฟ้า ในประเทศไทย ณ เวลา นี้ ก็ยังไม่สะดวกเท่าการใช้รถน้ำมัน หรือ Hybrid / Plug-in Hybrid แวะเติมน้ำมัน ไม่เกิน 5 นาที วิ่งได้ไม่ต่ำกว่า 400 กิโลเมตร แน่ๆครับ

พวงมาลัยของ Audi e-tron Sportback คม แม่นยำ เหมือน Audi รุ่นเครื่องยนต์ปกติแบบไม่ผิดเพี้ยน คุณประทับใจฟีลลิ่งพวงมาลัยของ Audi รุ่นอื่นๆยังไง e-tron Sportback ก็ไม่แตกต่างกัน แม้จะไม่มีน้ำหนักเครื่องยนต์ถ่วงด้านหน้าก็ตาม ไม่ได้ทำให้อารมณ์เปลี่ยนไปเลย ช่วงล่างเป็นแบบถุงลม Sport Adaptive Air Suspension ปรับระดับความหนืด และ สูง-ต่ำได้ ตามโหมดการขับขี่ต่างๆ ช่วงล่างนุ่มกว่า Q5 แต่แข็งกว่า Q8 เล็กน้อย ผมว่าเป็นการเซ็ตติ้งที่ลงตัว ด้วยขนาดรถกลางๆ ช่วงล่างไม่แข็ง ไม่นุ่มจนเกินไป Q8 ผมมองว่านุ่มไปนิด แต่ Q5 ก็สะเทือนไปหน่อย ทำให้ผมกลับชอบ e-tron Sportback ที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง 2 รุ่นนี้ ได้อย่างพอดิบพอดี

เหมือนจะดีไปเสียหมด แต่จุดที่ผมไม่ค่อยชอบก็มี อย่างวัสดุภายในห้องโดยสาร ผมว่ายังใช้เกรดเดียวกับ Q5 บวกลบนิดหน่อย แต่ราคาของ e-tron Sportback แพงกว่าราวๆ 1 ล้านบาท ผมคาดหวังให้มันเข้าไปใกล้ Q8 มากกว่านี้อีกหน่อย ไม่ใช่ว่า e-tron Sportback ใช้วัสดุไม่ดี หรือ ราคาถูกนะครับ เพียงแต่มันพรีเมียมมากกว่านี้ได้อีกนิด ถ้าเทียบกับราคาค่าตัว

ค่าตัวของ e-tron อยู่ที่ 5,099,000 บาท และ e-tron Sportback อยู่ที่ 5,299,000 บาท เทียบกับ SUV ในตลาดที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปปกติในค่ายเดียวกันเอง คงจะต้องเทียบกับ Audi Q7 Diesel ทำอัตราเร่ง 0-100 km/h ได้ที่ประมาณ 7.4 วินาที เทียบกัน e-tron / e-tron Sportback ไวกว่าเกือบ 2 วินาที อัตราเร่งแซง 80-120 km/h ก็ไม่ต้องพูดถึงรถยนต์ไฟฟ้า ปรู้ดปร้าดเร็วกว่าอยู่แล้ว

Audi e-tron Sportback เหมาะสำหรับคนที่หารถคันที่ 2 ขึ้นไปไว้ใช้งาน มีรถประจำคันหลักอยู่แล้ว เผื่อต้องการเดินทางไกลแบบไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จ เป็นคนที่อยากลองเทคโนโลยีอะไรใหม่ๆ ได้อัตราเร่งที่ไวปรู้ดปร้าดเป็นของแถม ขนาดของตัวรถ e-tron Sportback อยู่กึ่งกลางระหว่าง Q5 และ Q7 ไม่เล็ก ไม่ใหญ่จนเกินไป ระยะทางที่วิ่งได้ต่อการชาร์จที่ 400 km. ก็ใช้งานได้สบายหายห่วง ทั้งในกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล ออกไปจังหวัดใกล้เคียงก็ได้แบบไม่ต้องกังวล คิดว่าตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันได้สบายๆเลยล่ะครับ ถ้าไม่ติดเรื่องภาพลักษณ์ว่าจ่ายเงิน 5 ล้านกว่าบาท ต้องได้ขับ Porsche Macan ผมว่า Audi e-tron Sportback นี่โคตรน่าใช้เลยล่ะครับ


แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่ >> community.headlightmag.com/79400.0