Ferrari Roma

ราคาอย่างเป็นทางการ (นำเข้า CBU)

  • Roma 3.9L V8 ราคาเริ่มต้น 21,230,000 บาท

โดย Cavallino Motors Co. Ltd, ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ Ferrari อย่างเป็นทางการในประเทศไทย

Ferrari Roma (รหัสตัวถัง Type F169) เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน 2019 โดยเป็นรถที่มีพื้นฐานมาจากรุ่น Portofino ซึ่งเป็นรถเปิดประทุน แต่นำมาสร้่างใหม่เป็นรถคูเป้หลังคาแข็งเครื่องยนต์ V8 วางข้างหน้าขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมา รถเครื่องยนต์วางหน้า V8 จะมีแต่รถเปิดประทุนอย่าง California และ Portofino แล้วก็ข้ามไปพิกัดรถขนาดใหญ่อย่าง GTC4 Lusso T ซึ่งมีรูปทรงตัวถังแบบ Shooting Brake ท้ายตัด เมื่อ Ferrari หยุดการผลิต GTC4 ลงเมื่อสิงหาคม 2020 Roma จึงเป็นรถ Grand Tourer V8 หลังคาแข็งรุ่นเดียวที่ Ferrari มีจำหน่ายในปัจจุบัน

Roma มีตำแหน่งทางการตลาดสอดอยู่ระหว่าง Portofino และรถเครื่องวางกลางลำอย่าง F8 โดยมุ่งเน้นสมรรถนะมากกว่า Portofino แต่ยังเน้นการขับใช้งานทุกวันที่สบาย ออกแบบให้รองรับการขับทางไกลได้อย่างผ่อนคลายกว่า F8 และยังมาพร้อมกับภายในที่ดูทันสมัย ออกแบบมาเพื่อจับตลาดลูกค้าที่อายุเฉลี่ยน้อยลง รวมถึงกลุ่มลูกค้าที่กำลังซื้อ Ferrari คันแรกของชีวิต จึงมีการใส่เทคโนโลยี Touch Screen/Touch Button รวมถึงมีลูกเล่นสีสันมากกว่า F8

สมรรถนะอัตราเร่ง (ตัวเลขเคลมจากโรงงาน)

  • 0-100 kmh = 3.4 วินาที
  • 0-200 kmh = 9.3 วินาที
  • ความเร็วสูงสุด มากกว่า 320 kmh

มิติตัวถัง

  • ยาว  4,656 มิลลิเมตร
  • กว้าง  1,974 มิลลิเมตร
  • สูง  1,301 มิลลิเมตร
  • ระยะฐานล้อ wheelbase  2,670 มิลลิเมตร
  • อัตราส่วนกระจายน้ำหนักหน้า-หลัง 50 : 50
  • น้ำหนักตัวถังเปล่า 1,472 กิโลกรัม น้ำหนักตัวถังรวมของเหลวและคนขับตามมาตรฐานยุโรป ประมาณ 1,570กิโลกรัม
  • ที่เก็บสัมภาระ  272/345 ลิตร
  • ความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิง  80 ลิตร

ดีไซน์ตัวถังของ Ferrari Roma เป็นการผสมผสานจาก Ferrari ในอดีตอย่าง 250GT/250GT Lusso บวกกับสัดส่วนของตัวรถที่นำมาจาก Grand Tourer ของค่ายเช่น 456GT และ 612 Scaglietti จากนั้น จึงประยุกต์รูปแบบให้มีความทันสมัย เช่น ดีไซน์ด้านหน้าซึ่งแม้จะไม่เหมือนกับ SF90 Stradale แต่ก็มีเส้นที่พาดผ่านไฟหน้าในลักษณะคล้ายกัน ไฟท้ายของ Roma กลับไปใช้แบบข้างละสองดวงแบบ Ferrari ในยุค 90s แต่ปรับรูปแบบให้เรียวเล็ก

  • ล้อคู่หน้า ขนาด 20 นิ้ว 8.0J x 20″ พร้อมยาง 245/35 ZR20
  • ล้อคู่หลัง ขนาด 20 นิ้ว 10.0J x 20″ พร้อมยาง 285/30 ZR20
  • เบรกหน้า 390 มิลลิเมตร หนา 34 มิลลิเมตร
  • เบรกหลัง 360 มิลลิเมตร หนา 32 มิลลิเมตร

Engine เครื่องยนต์

เครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ของ Roma คือเครื่องรหัส “F154” ซึ่งนับเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบบล็อคแรกที่ Ferrari สร้างใส่รถที่ขายจริงนับตั้งแต่ เครื่องยนต์ F120A ใน Ferrari F40 มีการนำไปใช้ตั้งแต่รุ่น California T, GTC4 Lusso T, 488GTB, Portofino/Portofino M จนถึง F8 มีการปรับจูนในแต่ละรุ่นจนได้ความแรงที่ต่างกันตั้งแต่ 560 ไปจนถึง 780 แรงม้า

โดยตัวเครื่องยนต์ที่ใช้ใน Roma เป็นแบบ “F154BH”  V8 90 องศา ขนาด 3.9 ลิตร 3,855 ซีซี. เทอร์โบคู่ ขนาดกระบอกสูบ x ช่วงชักเท่ากับ 86.5 x 82.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 9.45 : 1 กำลังสูงสุด 620 แรงม้า ที่ 5,750-7,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 760 นิวตันเมตร ที่ 3,000-5,750 รอบ/นาที จับคู่กับ Dual Clutch F1 Gearbox 8 จังหวะรุ่นใหม่กว่าเกียร์ของ F8 โดยเป็นชุดเกียร์ที่เกือบเหมือนกับของ SF90 Stradale ต่างกันตรงที่ Stradale นั้นจะไม่มีเกียร์ถอย (ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับถอยหลังแทน)

การออกแบบภายใน บนแนวทางที่แตกต่างจาก F8

  • เน้นความทันสมัยมากกว่า F8 เช่น มาตรวัด เป็นแบบจอสีทั้งแผง ขนาด 16 นิ้ว
  • มีจอกลางแบบ Touch Screen ใช้สั่งการระบบต่างๆในรถ ขนาด 8.4 นิ้ว
  • กุญแจแบบใหม่ทรงสี่เหลี่ยม โลโก้ Ferrari พร้อมระบบ Comfort Access
  • สวิตช์มัลติฟังก์ชั่นบนพวงมาลัย สวิตช์ปรับกระจกมองข้าง เป็นปุ่ม Touch/Slide
  • วิธีการเปิดประตูจากภายใน เปลี่ยนจากดึงคันโยกแบบรถปกติ เป็นแบบกดปุ่ม
  • ฟังก์ชั่นบางอย่างบนก้านพวงมาลัย จะเป็นจอดำ สว่างเมื่อเดินระบบไฟหรือสตาร์ทเครื่องเท่านั้น

***Ferrari Roma – Short Review by Pan Paitoonpong***

การที่ผมเคยลองขับ F8 720 แรงม้าในสนามปทุมธานีสปีดเวย์มาแล้ว ทำให้ผมคิดไปเองว่า การขับ Roma ซึ่งมีม้าน้อยกว่ากันอยู่ 100 ตัว และหนักกว่ากันราว 70 กิโลกรัมจะไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น…

แต่ผมคาดผิด เพราะในขณะที่ F8 มีความเป็นอสูรร้ายของแท้ Roma นั้นหน้าตาเหมือนไม่ค่อยอยากโชว์ออฟใคร สวยเงียบๆอยู่คนเดียว แต่พอแผลงฤทธิ์ มันก็ทำให้ผมคิดได้ว่า นี่ยังเป็น Ferrari ที่มี 620 แรงม้า กดคันเร่งทีเหมือนโดน Jessica Henwick เตะก้านคอมึนไปชั่วขณะ เกินคาดสำหรับรถที่ทำมาขายลูกค้ากลุ่ม “First Ferrari Purchase”

ในการทดลองขับ ผมไม่สามารถหาจุดที่สามารถจอดออกตัวบนถนนอย่างปลอดภัยได้ แต่แม้จะแบกน้ำหนักผมกับ Instructor บนรถ 240-250 กิโลกรัม Roma ไม่มีปัญหาเลยในการถีบวาร์ปจาก 80 สู่ 120 kmh ภายใน 2.2 วินาที และถ้าอยากวิ่ง 200 ล่ะ? สมมติว่าแล่นแบบโหมดเรือใบอยู่ 100kmh คุณก็แค่กดคันเร่งมิดแล้วนับ 1 ถึง 6 นั่นล่ะครับ 200 แล้ว กดออกตัวแรงๆแม้จะมีระบบช่วยเหลือเปิดไว้หมด ก็ยังต้องกำพวงมาลัยไว้ให้ดี ไม่ใช่รถสำหรับเด็กคะนองไฟแน่นอน ขนาดวิ่งอยู่ 30kmh แล้วใช้เกียร์สอง..ย้ำ ว่าเกียร์สอง กดเต็มออกไปรถยังทะยานราวกับจะบินมีอาการเลื้อยเบาๆให้รู้สึก ในขณะเดียวกัน Soundtrack จากเครื่องยนต์ V8 Flatplane Crank ชั้นเลิศให้อารมณ์ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างเยอรมันเทอร์โบ V8 กับเสียงที่แผดแบบโหดทุ้มๆของรุ่นพี่อย่าง F8 Spider

มันอาจจะเงียบกว่า F8 แต่ถ้าไม่ได้ควักนาฬิกาออกมาจับ สาบานได้ว่า 0-200 นี่คุณอาจจะแยกไม่ออกว่าพี่กับน้องใครแรงกว่า คิดดูว่าวิ่ง 180 แล้วกดคันเร่งยังมีแรงดึงกดหน้าอกให้รู้สึกได้

นอกจากนิสัยจะดุเหมือนพี่มันแล้ว การตอบสนองในการขับใช้งานแบบปกติยังดียิ่งกว่า ด้วยเกียร์ 8 จังหวะลูกใหม่ที่แม้จะขับในลานจอดรถ ลักษณะการออกตัว หรือเปลี่ยนเกียร์แบบย่อง ก็ถือว่าดีถ้าวัดกันด้วยมาตรฐานซูเปอร์คาร์ แรงบิดรอบต่ำดีมากจนสามารถใช้เกียร์สูงๆ คารอบไว้ 2,000 แล้วกดคันเร่งนิดหน่อย ความเร็วก็ทะยานเหมือนขับรถเครื่องบล็อค 5 ลิตร

การจูนช่วงล่างของ Roma นั้น ออกจะน่าแปลกใจนิดๆตรงที่แม้พลังจะน้อยกว่า F8 แต่อาการพยศเวลาลงแส้เต็มๆ จะออกอาการมากกว่า ผมคาดว่าทางวิศวกรน่าจะจูนลิมิตการเกาะถนนของ Roma ให้ต่ำกว่าเล็กน้อย ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคถ้าคุณไปขับในสนามแข่งแล้วเพื่อนขับ F8 นำหน้า แต่ถ้าอยู่บนถนน หรือเทียบกับ GT Car คันอื่นๆ Roma ให้อารมณ์แบบที่คนไม่ใช่นักแข่งมืออาชีพจะเข้าถึงความสนุกได้ง่ายกว่า ช่วงล่างแม่เหล็กไฟฟ้า MagneRide นั้นคุมอาการของรถที่ความเร็วสูงได้อยู่หมัด แต่ถ้าวันไหนถนนแย่ ขับช้า คุณก็แค่กดโหมด Comfort แล้วช่วงล่างก็จะนุ่มนวล ซับแรงกระแทกได้ดีเกินคาด รู้สึกเหมือนขับซาลูนเยอรมันที่ใส่ช่วงล่างสปอร์ตขึ้นนิดหน่อยมากกว่าที่จะเป็นซูเปอร์คาร์อิตาเลียน แรงสะเทือนจากด้านหน้ารถน้อยกว่า F8 อย่างเห็นได้ชัด

น่าเสียดายว่าไม่ได้ลองซัดโค้งเต็มๆ เพราะถนนเส้นที่วิ่งนั้นมีแต่โค้งที่ถ้าหากหลุดไปก็เจอตอเป็นคอสะพาน หรือต้นไม้ ไม่ก็ผู้คน ผมจึงได้แค่ลองการเข้าโค้งในสปีดที่เร็วกว่าปกติแต่ไม่จัดเต็ม ซึ่งบอดี้ของ Roma ในโหมดสปอร์ต ไปแบบแบนๆ รถแทบไม่ยวบ ยิ่งหักพวงมาลัยเพิ่ม ช่วงล่างยิ่งมีอาการหนืดขืนสู้เพื่อไม่ให้รถยวบตัว นี่คือข้อดีของเทคโนโลยีช่วงล่างในรถรุ่นใหม่ ที่สามารถปรับแยกความหนืดของโช้คอัพแต่ละกระบอกได้อย่างอิสระ และใน Roma ดูเหมือนเขาจะเซ็ตให้มันแข็งเมื่อรถรับรู้การบู๊ของเราเท่านั้น

นอกเหนือจากด้านความแรงและวิศวกรรม สิ่งที่ทำให้ Roma มีความน่ารัก ก็คือการออกแบบที่เผื่อสำหรับการใช้งานทุกวัน ประตูยาว เปิดได้กว้าง ขึ้นลงได้ง่ายกว่าที่คิด และครั้งแรกตั้งแต่เริ่มทดสอบรถในปี 2009 นี่คือรถ Sport/Special Car คันแรกที่สามารถถอยเบาะได้ไกลเหลือเชื่อ ไกลมากจนเมื่อถอยสุดแล้วผมเหยียบคันเร่งได้ไม่สุด ตัวเบาะปรับไฟฟ้า สามารถปรับสูง/ต่ำจนได้ตำแหน่งการขับที่เหมาะสม เวลาไปรอรับคนพิเศษที่ไหนก็ตาม อยากเอนเบาะนอนก็นอนได้ เบาะหลังนั้นมีไว้วางของมากกว่าที่จะให้ใครโดยสารจริงจัง แต่ก็ยังทำเป็นหลุมล็อคตัวคนนั่งและให้เข็มขัดนิรภัยมา ถ้ามันจำเป็นต้องให้ใครนั่งจริงๆ

สิ่งที่อาจจะถูกใจลูกค้าวัยรุ่น แต่ไม่ค่อยถูกใจวัยคลาสสิค ก็คือการโหมเอาเทคโนโลยียุคใหม่ใส่เข้าไปภายในรถ จอทัชสกรีนกับหน้าปัดจอสีนี่ไม่เท่าไหร่ คนน่าจะชอบเยอะด้วยซ้ำไป แต่สวิตช์ปรับกระจกมองข้างแบบ Touch/Slide กับระบบเปิดประตูจากภายในรถด้วยการกดปุ่ม? จุดนี้คือส่วนที่ผมรู้สึกว่ามันไม่จำเป็น และบริษัทระดับ Ferrari สามารถออกแบบสวิตช์แบบที่สวยและใช้ง่ายได้อยู่แล้ว แต่ตรงนี้เป็นเรื่องของรสนิยม และเข้าใจว่า Ferrari ต้องการสร้างรถมาดึงดูดลูกค้ารุ่นใหม่วัยไม่แก่ ซึ่งนิยม Gadget มันก็คงต้องเป็นแบบนี้

ก็จริงอยู่ว่าสมัยนี้รถที่ม้าทะลุ 600 ตัว ไม่ใช่ของแปลก ถึงคุณไม่คบค่ายม้าป่า ก็มีตัวเลือกอื่นๆเยอะแยะ แต่อารมณ์ของคนที่ซื้อ Roma ไม่ได้มองหาแค่เรื่องแรงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงดีไซน์ภายนอก/ภายใน และวิศวกรรมในตัวรถที่เกิดจากมันสมองของทีมงานที่สร้างแต่รถพลังสูงและรถแข่งมาทั้งชีวิต Roma คือทางแยกที่ความแรง โหด เอกลักษณ์แบบอิตาเลียนในการออกแบบ กับความง่ายในการขับใช้งานประจำวัน มาบรรจบกันได้อย่างเหมาะสม