MASERATI GHIBLI HYBRID

  • ราคาเริ่มต้น 5,990,000 บาท
  • รุ่นที่โชว์ในบทความ ตกแต่งด้วยแพ็คเกจ GranLusso (สีทรายทอง) และ GranSport (น้ำเงิน, ดำ)
  • ทางบริษัทฯไม่แจ้งราคาแพ็คเกจทั้งสองแบบเพราะอุปกรณ์อาจไม่ตรงกับภาพรถทดสอบ ซึ่งมีการเสริมอุปกรณ์นอกจากแพ็คเกจเข้าไป
  • รวม Warranty 3 ปี ไม่จำกัดระยะทาง และฟรีค่าบำรุงรักษา 3 ปี หรือ 60,000 กม.

ขนาดมิติตัวรถ

  • ยาว 4,971 มม.
  • กว้าง 1,945 มม.
  • สูง 1,461 มม.
  • ความยาวฐานล้อ 2,998 มม.
  • ระยะแทร็คล้อคู่หน้า/หลัง เท่ากับ 1,635/1,653 มม.
  • น้ำหนักตัวถัง 1,878 กก. (1,950 กก. เมื่อรวมของเหลวตามมาตรฐาน EU)

Powertrain – เครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อน

เครื่องยนต์ GME T4 MultiAir แบบ 4 สูบเรียง 16 วาล์ว 1,998 ซีซี. ขนาดกระบอกสูบxช่วงชักเท่ากับ 84 x 90 มม. อัตราส่วนกำลังอัด 9.5 : 1 อัดอากาศด้วย e-Booster 48V (เทอร์โบไฟฟ้า) ที่รอบต่ำ เทอร์โบชาร์จเจอร์เดี่ยวแบบ Mono-scroll ที่รอบกลางและสูง และมอเตอร์ Mild-hybrid

ให้กำลังสูงสุด 330 แรงม้า (PS) ที่ 5,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที  ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ ZF 8HP70 8 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหลัง

ตัวเลขเคลมจากโรงงาน

  • อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 5.7 วินาที
  • ความเร็วสูงสุด 255 กม./ชม.
  • ระยะเบรกจาก 100 กม./ชม. ถึงหยุดนิ่ง 35.5 เมตร

จุดแตกต่างของรุ่น HYBRID เมื่อเทียบกับรุ่น V6

  • ช่องระบายอากาศแก้มข้างรถมีขอบสีฟ้า
  • โลโก้ตรีศูลย์ที่เสา C-Pillar มีแถบล่างสีฟ้า
  • คาลิเปอร์เบรกสีฟ้า

*ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกเป็นสีอื่นได้ ถ้าไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเป็นรุ่น Hybrid

ระบบกันสะเทือน

  • หน้า: ดับเบิล-วิชโบน พร้อมเหล็กกันโคลง
  • หลัง: มัลติ-ลิงค์ พร้อมเหล็กกันโคลง
  • สามารถเลือกสั่งช่วงล่างแบบ Skyhook ปรับความหนืดได้ (เป็นอุปกรณ์มาตรฐานของแพ็คเกจ GranSport)

ระบบเบรก

  • หน้า: คาลิเปอร์ เบรมโบ 4 Pot พร้อมจานเบรก 345×28 มม. แบบมีช่องระบายความร้อน
  • หลัง: คาลิเปอร์ 1 พ็อต พร้อมจานเบรก 330×22 มม. แบบมีช่องระบายความร้อน
  • แพ็คเกจ GranSport คาลิเปอร์เบรกจะเป็นสีแดง GranLusso จะเป็นสีดำ สามารถเลือกสีได้ถ้าไม่ชอบ

อุปกรณ์ภายในห้องโดยสาร (GranLusso Pack)

  • เบาะหนังแท้เกรดพรีเมียม
  • พวงมาลัยแบบสปอร์ต
  • เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า 12 ทิศทาง พร้อมการบันทึกตำแหน่งฝั่งผู้ขับ
  • ลายไม้ Radica Open Pore
  • จอทัชสกรีน 10.1 นิ้ว
  • ชุดเครื่องเสียงลำโพง 8 ตำแหน่ง

อุปกรณ์ภายในห้องโดยสาร (GranSport Pack)

  • ลายไม้ขัดเงาและวัสดุสีดำเปียโนแบล็ค
  • ซันรูฟไฟฟ้า
  • แป้นเหยียบอะลูมิเนียม

ทดลองขับแบบสั้น กับ Maserati Ghibli Hybrid by Pan Paitoonpong

สมัยวัยรุ่น Maserati ที่ผมเคยขับ ก็มีแค่ 430 4V Bi-turbo 280 แรงม้า และที่จำได้ไม่ลืมคือ Shamal V8 326 แรงม้า ซึ่งขอสารภาพว่าเป็นรถคันที่สองในชีวิตที่ผมขับแล้วหมุนเช่นกัน..นั่นคือ 20 ปีมาแล้วนะครับ จากนั้น ผมได้ขับอีกครั้งก็คือ Quattroporte V8 4.2L เกียร์ Automated manual ซึ่งมีมาดเป็นผู้ใหญ่อ่อนช้อยมากภายนอก แต่นิสัยห้าวลั่นน่าเกรงขาม ดังนั้น 12 ปีผ่านไป การได้มาอยู่หลังพวงมาลัย Maserati อีกครั้ง กับเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงบนทางด่วนกรุงเทพยามบ่าย..ควรจะเรียกว่าเล่าให้ฟังมากกว่าการรีวิว

รูปทรงภายนอก หากไม่นับไฟท้ายที่ดูเรียบจนผิดวิสัยอิตาเลียน ส่วนอื่นๆของรถนั้น ผสมกันลงตัวระหว่างความดุดันกับความอ่อนช้อย ซึ่งทำให้ผมนึกถึง Quattroporte ที่เคยขับมาก แต่สิ่งที่ประหลาดใจมากกว่า กลับเป็นด้านในรถ เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ผมมีความคิดว่ารถจากประเทศนี้ ชอบดีไซน์ทุกอย่างตามใจตัวเองแล้วปล่อยเป็นหน้าที่เจ้าของรถต้องปรับตัวเขาหาพวกเขา แต่ Ghibli นี่ดูเอาใจลูกค้ามากขึ้น  แม้รถจะดูแบนเตี้ยแต่คนไซส์ผมขึ้นนั่งได้สะดวกกว่า 5 Series F10 เสียอีก เบาะนั่งหนานุ่มกำลังดี นุ่มกว่าเบาะของรถเยอรมันยุคนี้อย่างเห็นได้ชัด มีที่วางขวดวางแก้ว มีช่องเก็บของกระจุกกระจิกเยอะ คล้ายกับว่า Maserati พยายามศึกษาข้อดีของรถหรูจากญี่ปุ่นและเยอรมันมาพอควร

Ghibli Hybrid มีเป้าที่ชัดเจนว่ามันไม่ใช่รถไฮบริดจ๋า แต่ทำมาเพราะรู้ว่าอนาคตโลกจะให้ดีเซลเล่นบทร้าย จึงต้องหาขุมพลังใหม่ที่มลภาวะต่ำ ประหยัดเหมือนดีเซล V6 แต่ยังได้ความแรงสมกับเป็น Maserati และแค่นั้น ระบบไฮบริดที่ว่าจึงเป็นแค่ Mild Hybrid 48V พูดแบบง่ายๆคือ พฤติกรรมรถจะไม่เหมือนพวกยุโรป Plug-in คุณกดปุ่มสตาร์ท เครื่องก็จะติด คุณวิ่งในเมือง ถอนคันเร่ง เครื่องไม่ดับ วันนี้ผมขับไป 24 กม. เจอเครื่องดับตอนเดียวก็คือตอนผมกดให้มันดับนั่นแหละ และแน่นอนไม่มีปุ่ม EV Drive

ขุมพลัง MultiAir Turbo 2.0 ลิตร 330 แรงม้า 450Nm มีเทอร์โบชาร์จเจอร์ แล้วยังมี eBooster ซึ่งพูดง่ายๆก็คือเทอร์โบไฟฟ้าที่ใช้กำลังไฟ 48V นั่นเอง เมื่อรอบสูงพอ จะมีกลไก Bypass ให้อากาศอ้อมตัว e-Booster ไปหาเทอร์โบโดยตรง  การใช้เครื่อง 4 สูบ ทำให้น้ำหนักตกหน้าเบาลงมาก และแบตเตอรี่ไฮบริดเล็กมาก ก็ติดตั้งอยู่ในช่องยางอะไหล่คู่กับแบต 12V ปกติ ดังนั้น Weight balance จึงดีกว่ารุ่นดีเซล V6 มาก ระบบเบรกเป็นไฮดรอลิก แต่หม้อลมผ่อนแรงจะใช้ปั๊มสุญญากาศไฟฟ้า

ในการขับขี่สั้นๆ พบว่าข้อเสียข้อเดียวที่เจอคือ บางครั้งเวลาคิกดาวน์รถจะคิดนานแม้อยู่ในโหมด Sport แต่นอกนั้นก็เป็นไปตามคาด 80-120 ประมาณ 4.4-4.6 วินาที ก็เร็วสมเหตุผลกับ 330 แรงม้าในรถที่หนักเกือบสองตัน ช่วงล่างไฟฟ้า Skyhook ในโหมดปกติ นุ่มและแน่นขับสบายพ่อไม่ด่า ในโหมด Sport ก็ยังไม่แข็งกระด้างเกินไป เหวี่ยงเล่นแล้วไม่เสียว แต่ยังหาจังหวะลองสาดแรงๆไม่ได้เพราะเป็นจังหวะที่การจราจรคับคั่ง

ที่ตลกคือรถคันนี้มีสองอารมณ์ในตัวเอง ในอารมณ์สบายมันนุ่มนวล สบายเหมือนได้ช่วงล่างรถใหญ่อย่าง S-Class แต่อีกมุมนึงเวลากระแทกคันเร่ง เสียงเครื่องไม่ดัง แต่เวสต์เกตลั่นดังจนชวนนึกถึง Maserati ยุคตัวถังเหลี่ยม Bi-turbo ผมฟังไม่ออกว่าเสียงสังเคราะห์หรือเสียงจริง จนต้องเปิดกระจกลองวิ่งเลียบกำแพงแล้วฟัง จึงรู้ว่านั่นคือเสียงจากเครื่องแท้ๆ แถมพอฟังจากข้างนอก ตอนเร่ง ตอนสตาร์ทเดินเบา หันหลังฟังคุณก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ซีดานหรูทั่วไป อย่างไรก็ตาม มันคือรถอิตาเลียนสำหรับเศรษฐีที่อยากเปลี่ยนไปลองคบอะไรที่ไม่ใช่ค่ายใบพัดหรือดาว เน้นความสวย เน้นเสน่ห์รายละเอียดดีไซน์แบบที่หาไม่ได้ในรถเยอรมัน

แต่ถ้าเป็นเรื่องอัตราเร่ง ความโหดเวลาเหยียบให้พุ่ง แบบนี้พวก Mild-Hybrid หกสูบอย่าง CLS53 ก็ยังเร็วกว่า..แต่อย่าลืมว่า Ghibili Hybrid นี่คือรุ่นเริ่มต้นของเขาเท่านั้นเองนะครับ ยังมีหลายรุ่นที่แรงกว่า โหดกว่านี้