งาน มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 37 – Thailand International Motor Expo 2020

ระยะเวลาการจัดงาน – ระหว่างวันที่ 1-13 ธันวาคม  2563

เวลาเปิด/ปิดงาน(3-13 ธันวาคม)

วันจันทร์ – ศุกร์: 12.00 น. – 22.00 น.
วันเสาร์ – อาทิตย์: 11.00 น. – 22.00 น.
วันหยุดนักขัตฤกษ์: 11.00 น. – 22.00 น

*โปรดเตรียมเวลาสำหรับการเข้าชมงานภายใต้มาตรการความปลอดภัยจาก COVID-19 และใส่หน้ากากก่อนเข้าบริเวณงาน

กลับมาอีกครั้งกับมหกรรมงานจัดแสดงยานยนต์ซึ่งจัดโดยบริษัทสื่อสากล ซึ่งในปีนี้ การจัดงานอยู่ภายใต้แนวคิด “Whatever Changes will be…Move on” หรือ “พร้อมขับเคลื่อนไปในความเปลี่ยนแปลง” ไม่ว่ารูปโฉมของรถ หรือสิ่งที่ใช้เพื่อการขับเคลื่อนจะเปลี่ยนไปขนาดไหน เป้าหมายของการพัฒนาในอุตสาหกรรมรถยนต์ยังคงเดิม รถยนต์ถูกทำให้มีความปลอดภัยมากขึ้น และใช้เชื้อเพลิงอย่างคุ้มค่าขึ้น เช่นเดียวกับมลภาวะจากตัวลดที่ทุกค่ายพยายามลดกันอยู่ เพื่อการรถยนต์ เป็นรูปแบบของการเดินทางที่ยั่งยืนอยู่กับเราไปได้นานที่สุด

สิ่งที่ผมเห็นได้ชัดจากงานนี้ ก็คือ รถถ่านกำลังเข้าไปหามวลชนมากขึ้น จากเดิม หากคุณต้องการรถยนต์ไฮบริดหรือ EV ก็ต้องมีเงินถุงถัง แต่ในปัจจุบัน รถไฮบริดที่ถูกที่สุด กำเงินแปดแสนต้นๆก็ซื้อได้แล้ว อย่างเจ้า Honda City E-HEV (ถ้าเราไม่นับไฮบริดที่ยังใช้ความเป็นไฮบริดไม่ค่อยคุ้มอย่างสมัย Jazz GE Hybrid น่ะนะ) หรือถ้าหันไปดูทางรถแบบไร้เครื่องยนต์สันดาป หากเป็นเมื่อก่อน คุณมีเงินไม่ถึงล้าน ก็อย่าหวังรถคันใหญ่ไซส์เต็ม แต่วันนี้ MG EP กับราคา 988,000 บาท นั่งได้ 5 คน บรรทุกสัมภาระได้อีกเยอะ จำนวนผู้เล่นในตลาดรถถ่าน เพิ่มมากกว่าแต่ก่อน และยังขยับเข้าไปหาฐานลูกค้าที่เป็นชนชั้นกลางมากขึ้น ในขณะที่ตลาดระดับหรู ก็เอ็นจอยไปกับตัวเลือกพลังถ่านที่มากขึ้นในแต่ละปีเช่นกัน

ถึงเวลาได้แล้ว ที่เราจะเปิดใจรับพลังงานทางเลือกใหม่เหล่านี้ แล้วแทนที่จะกีดกัน ตีกรอบให้มันอยู่กับคำว่า ซ่อม แพง กลัวพัง เปลี่ยนเป็นการสนับสนุนคนที่อยากใช้ให้ได้ใช้ แต่เน้นการให้ความรู้เพื่อเตรียมรับขุมพลังใหม่นี้อย่างรอบด้าน และช่วยกันพัฒนาให้มันเป็นขุมพลังที่คนทั้งประเทศจะเลิกกลัว

อย่าลืมติดตามข่าวสารเพิ่มเติมจากทางเพจ Headlightmag ใน Facebook เพราะนอกจากจะมีบทความนี้แล้ว ทางคุณหมู ธีรพัฒน์ ยังได้ทำกระทู้เจาะลึกสำหรับรถรุ่นต่างๆ และมีรายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับรถบางรุ่นที่คุณอาจสนใจเป็นพิเศษ

 

AUDI

ตอนแรกเขาบอกว่าเขายังไม่แตะรถ EV แต่พอลูกค้าส่งซิกว่ากระแส EV กำลังมา เขาก็เอา e-tron มาขายตั้งแต่มีนาคม 2019 และปีกว่าให้หลัง เมื่อเดือนตุลาคมนี้ ก็รุกต่อด้วย e-tron Sportback 55 quattro S line โดยเพิ่มราคาจากรุ่นปกติอีก 200,000 บาท ไปเป็น 5,299,000 บาท แลกกับมาดของรถที่ดูทะมัดทะแมงขึ้นจากหลังคาที่เตี้ย ลาด เส้นสาย ไฟหน้าและท้ายเหมือนสาวผู้ดีที่กำลังมีโมโหแต่เก็บอาการไว้อยู่ พลังขับเคลื่อนมาจากมอเตอร์คู่ หน้า/หลัง ที่สามารถสร้างพลังรวมได้ 360 แรงม้า กับแรงบิด 561 นิวตันเมตร แต่ถ้าหากถูกยั่วยุ ก็จะเข้าสู่ Boost Mode ที่เพิ่มแรงกระชากเป็น 408 แรงม้า และแรงบิด 664 นิวตันเมตร ใช้แบตเตอรี่ความจุพลังไฟ 95kWh ซึ่งส่งผลให้สามารถวิ่งได้ไกล 463 กิโลเมตรต่อการชาร์จในแต่ละครั้งตามมาตรฐาน NEDC

อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่ยังไม่พร้อมจะปฏิวัติพลังงาน Audi ก็ยังมีรถตระกูล RS ซึ่งมีศักดิ์ศรีเปรียบได้กับ M หรือ AMG Car โดยในงานนี้ เป็นครั้งแรกที่ Audi RS4 Avant ได้มาโชว์ตัว นี่คือรถแวก้อนหน้าตารักครอบครัว แต่พร้อมจะท้าทายรถสปอร์ตด้วยขุมพลัง 2.9 ลิตร Bi-turbo ที่ให้แรงม้าสูงสุด 450 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร ซึ่งเครื่องยนต์นี้ นับเป็นเครื่องสหกรณ์ตัวฉกาจในเครือของ VW Group เพราะนอกจากจะอยู่ใน RS4 แล้ว รถอีกรุ่นที่ใช้เครื่องบล็อคนี้ก็คือ Porsche Panamera S ดังนั้นจะพูดก็ได้ว่า RS4 คือส่วนผสมระหว่างเครื่อง Porsche+ระบบขับสี่ของ Audi+หน้าตาแบบนักบัญชีหนุ่มที่มีแต่ล้อ 20 นิ้วเท่านั้นที่บ่งบอกดีกรีความกร้าว ทั้งหมดนี้ในราคา 5,899,000 บาท

แพงกว่า A4 Avant 2.0 ลิตร 249 แรงม้าอยู่ 2,500,000 บาท แต่พลังก็เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว

และที่พลาดไม่ได้อีกกคันก็คือ Audi TT RS ซึ่งต้องติดแฮชแท็ก #เล็กแต่แสบ เพราะตัวกระจิ๊ดริดแต่ใช้เครื่องยนต์ 5 สูบเทอร์โบ 400 แรงม้า ขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งหากใครที่ยังโหยหาอดีตอันน่าจดจำ ควรมีไว้ครอบครอง เพราะเจนเนอเรชั่นนี้ นอกจากจะเป็นร่างสุดท้ายของ Audi TT ที่มีจำหน่ายแล้ว ยังอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เครื่องยนต์สายพันธุ์แรลลี่ 5 สูบที่มีมาตั้งแต่ยุค 80s จะได้มีโอกาสประจำการใต้ฝากระโปรงของ Audi เครื่องสันดาปภายใน ชอบสไตล์ไหน เลือกเอาตามใจ


 

BMW/MINI

มาบูธ BMW ตั้งแต่เช้าเพื่อเจอ 430i คันจริง พบว่าคลุมผ้าอยู่ แต่ขนาดคลุมผ้ายังเห็นมิติของกระจังหน้าทะลุผ้าคลุมออกมา แอบหวั่นใจในความใหญ่ของฟันหนูเหลือเกิน พอเปิดผ้าคลุมออกมาเท่านั้นแหละ..ก็ยังน่ากลัวอยู่ดี แต่ถ้าเราไม่ไปโฟกัสที่ไตขนาด 8XL คู่นั้นแล้วมองรถทั้งคัน ก็รู้สึกได้ว่า 4 Series G22 นี้ก็มีความเซ็กซี่ดุดันไม่เบา เตี้ย ล่ำ แหลม กว่าเดิม ส่วนหัวใจของรถ ก็ยังเป็นเครื่องยนต์ B48 ขนาด 2.0 ลิตรที่ได้รับการปรับจูนใหม่ จบที่ 258 แรงม้า นอกจากแรงแล้ว 4 Series ใหม่ยังเป็น BMW ยุคพัฒนาด้านอุปกรณ์เซฟตี้ ให้ระบบเตือนรถในจุดบอดด้านข้างตอนเปลี่ยนเลน ระบบเตือนรถเบี่ยงออกนอกเลน รถเบรกเบรกอัตโนมัติทั้งเดินหน้าและถอยหลัง พร้อม Radar Cruise Control ที่สามารถหยุดจนเหลือศูนย์ได้ เรียกว่าไม่น้อยหน้า 330 e เลยทีเดียว 430i M Sport นี้เป็นรถนำเข้าทั้งคัน ราคาอยู่ที่ 3,969,000 บาท อาจจะไม่ได้ถูกเมื่อเทียบกับคู่แข่ง แต่คุณได้ตัวรถสดสุดในตลาด และเป็นรถขับเคลื่อนล้อหลัง กวาดท้ายเล่นสนุกได้

แต่ถ้าคุณมีครอบครัวแล้ว หรือถนนแถวบ้านน้ำท่วมบ่อย ดูรถอย่าง BMW X1 LCI ปรับโฉมใหม่ตามกาลเวลา ก็น่าจะเข้าที คราวนี้ มาพร้อมกับ 3 ตัวเลือกรุ่นย่อย X1 sDrive18i ICONIC เบนซิน 1.5 ลิตรเทอร์โบ 140 แรงม้า ราคา 1,999,000 บาท และขยับขึ้นมาเป็น sDrive20d xLine 2,359,000 บาท แล้วคุณจะได้เครื่องดีเซลแรงสูง 190 แรงม้า ส่วนรุ่น M Sport 2,559,000 บาท ก็ได้รับการเสริมแต่งออพชั่นให้ครบครันด้วยเบาะและพวงมาลัย M Sport การมาของ X1 ในเวลานี้ ค่อนข้างวัดใจกันอยู่บ้าง เพราะเบนซ์ก็เพิ่งเปิดตัว GLA ใหม่ และ Audi ก็ขาย Q3 มาได้สักพักแล้ว แต่เชื่อว่ายังมีลูกค้ารอช้อนอยู่อีกเยอะ

ปิดท้ายไฮไลท์บูธ BMW กับ 220i Gran Coupe ซึ่งมาทำตลาดแทน 218i Gran Coupe รุ่นเดิม รุ่นนี้นับว่าเป็นที่สุดแห่งความคุ้มค่าเลย (ถ้าไม่ใช่ว่าคุณออก 218i ไปแล้ว) เพราะได้รับพลัง 2.0 เทอร์โบ 192 แรงม้า แบบเดียวกับที่พบได้ใน MINI Cooper S แน่นอนว่ามากับเกียร์คลัตช์คู่ 7 จังหวะ และยังเพิ่มอุปกรณ์เข้าไปอีก อย่างหน้าปัดดิจิตอลแบบเต็ม เปลี่ยนแอร์เป็นแบบ 2 Zone Climate control เพิ่ม Cruise Control มาให้ สิ่งที่เคยขาดๆเกินๆใน 218i คราวนี้ มีมาครบแล้ว แต่ยังเซอร์ไพรส์ด้วยราคาที่ถูกลงกว่า 218i อีก 230,000 บาท BMW Thailand เดี๋ยวนี้ Pricing Strategy เขาดุจริงครับ

อ้อ สำหรับคนที่ขับรถม้าต่ำกว่าห้าร้อยแล้วนอนไม่หลับ ..M5 ตัวปัจจุบันในงานนี้ มีส่วนลด 4 ล้านบาทนะครับ ลองไปเสนอคุณภรรยาดู เผลอๆ ภรรยาออก M5 ส่วนคุณก็ขับ 220i พอ


 

FORD

Ford ในงานนี้ มีรถที่เพิ่งเปิดตัวมา อย่างเช่น Ford Ranger ใหม่ใส่เหล็กดัดฟันที่กระจัง ได้ลุคแปลกที่ดูเด็กลงไปอีกแบบ รุ่น Wildtrak มีราคาตั้งแต่ 979,000-1,265,000 บาท เครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อนเหมือนเดิม เพิ่มฝาท้ายแบบ Power Roller Shutter ส่วนบนเวทีนี่อย่างชอบ เพราะเขาเอารถกระบะ Ford ของทีม Ford Thailand Racing มาจอดคู่กับพันธุ์เตี้ยแต่แต่งแล้วสวยอย่าง Ranger XL Street  ในราคาเพียง 669,000 บาท รุ่นนี้จะยังใช้เครื่อง 2.2 ลิตรเทอร์โบ 160 แรงม้า/385 นิวตันเมตร ไม่ต้องห่วง ใช้มานาน ช่างกระบะชาวฟอร์ดรู้วิธีโมดิฟายกันเยอะแล้ว ใช้ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะเพียงแบบเดียว คันจริงสวยแล้ว จับเปลี่ยนล้อหน่อยจบ

ส่วนรถที่ไม่ใช่รถกระบะหรือรถอเนกประสงค์ ขณะนี้ เหลือเพียงรุ่นเดียวคือ พี่ม้าแรงฤทธิ์ Ford Mustang รุ่นฉลองครบรอบ 55 ปี คันที่มาจอดโชว์ในบูธเป็นรุ่น GT เครื่องยนต์ V8 ไร้ระบบอัดอากาศใดๆ แต่ยังเค้นม้าออกมาเพ่นพ่านได้ 449 ตัว มีเบาะ Recaro และล้อ 19 นิ้ว พร้อมสัญลักษณ์ฉลองครบรอบ 55 ปีที่โลกได้รู้จัก Mustang รุ่น 4 สูบ Ecoboost ราคา 3,699,000 บาท ส่วนรุ่น 5.0 GT ราคา 4,899,000 บาท บางคนที่ไม่รู้เรื่องรถอาจจะถามว่าคุณจะบ้าซื้อ Ford ราคาเกือบห้าล้านไปทำไม พวกเขาคงไม่เข้าใจความศักดิ์สิทธิ์ของเสียง V8 ตอนคำราม กับตำนานม้าทุ่งอเมริกันที่อยู่มายาวนานไม่แพ้สปอร์ตยุโรปหลายตัว ที่สำคัญมีรถสองประตูม้าทะลุ 400 ที่ไหนราคาถูกกว่านี้มั้ย ให้ลองคิด


HONDA

สำหรับงานนี้ ต้องยกให้ City ครองความเด่นที่สุด เริ่มต้นจาก Honda City e:HEV ซึ่งจับเอาอีโคคาร์ที่คุ้นเคย มาใส่พลังไฮบริด เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 98 แรงม้า ทำงานคู่กับมอเตอร์ (1 Drive Motor+1 Generator) ทำให้ได้พลังรวม 109 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 253 นิวตันเมตร นับว่าแรงม้าอาจจะแพ้ตัว 1.0 TURBO แต่แรงบิดมากกว่ากันถึง 80 นิวตันเมตร น่าจะแซ่บพอตัว แม้ว่าราคาเปิดมาหลายคนจะผงะกับตัวเลข 839,000 บาทไปบ้าง (แถมมีรุ่นย่อยเดียวจบๆ) แต่ก็มีการเพิ่มอุปกรณ์เข้าไปมากกว่าตัวซีดาน 1.0 TURBO พอสมควร อาทิ ดิสก์เบรกหลัง หน้าปัดแบบที่ดูทันสมัยขึ้น ไฟหน้าอัตโนมัติ เบรกมือไฟฟ้าพร้อมระบบ Auto Hold ระบบ Engine Remote Start ระบบ Walk Away Auto Lock ระบบความปลอดภัย Honda SENSING และ LaneWatch พูดง่ายๆคือเพิ่มไปจนใกล้เคียง Civic RS แต่ตัดระบบ Stop & Go ใน Radar Cruise Control ออก ถ้าไม่ใช่ว่าเพิ่มสิ่งเหล่านี้เข้าไป ราคาของมันก็น่าจะเท่าๆกับที่หลายคนคาดการณ์นั่นล่ะ

ส่วน City Hatchback เปิดตัวมา ก็มีวัยรุ่นให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก Honda สร้างรถรุ่นนี้มาเป็นทางเลือกใหม่เพื่อให้ใช้สิทธิสรรพสามิตอัตราอีโคคาร์ (ถูกกว่าเรตที่ใช้กับ Jazz) อย่างไรก็ตาม Jazz ตัวถัง GK ก็จะยังมีจำหน่ายต่อควบคู่กันไป ขนาดตัวถังเมื่อเทียบกันแล้ว City Hatchback จะยาวกว่ากันเป็นฟุต กว้างกว่ากันถึง 53 มิลลิเมตร แต่เตี้ยกว่า อย่างไรก็ตาม เพราะลูกค้าเดิมของ Jazz รัก Jazz ด้วยความอเนกประสงค์ City Hatchback ใหม่ก็ยังได้มรดกเป็นเบาะนั่งแบบ Ultra Seat ซึ่งไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับ Ultraman แต่หมายถึงเบาะหลังที่ปรับพับได้หลากหลาย เอาส่วนรองนั่งพับขึ้น วางต้นไม้กับกระถางได้ พับให้ราบหน้าถึงหลังวางของยาวก็ได้ หรือจะเอนเบาะหน้าลงมาเชื่อมต่อกันให้เหมือนเก้าอี้ยาวเอาไว้นอนรอแฟนช้อปปิ้งก็ได้

City Hatchback มีทางเลือก กับ 3 รุ่นย่อย ราคาตั้งแต่ 599,000 บาท ไปจนถึง 749,000 บาท (แพงกว่ารุ่น 4 ประตูประมาณ 10,000 บาท)


HYUNDAI

ยังไม่มีรถโมเดลใหม่มากระตุ้นตลาดท่ามกลาง MPV หลังคาเตี้ยแต่ใหม่สดอย่าง Kia Carnival กับรถตู้พันธุ์แท้ใหญ่บ้านบึ้มอย่าง Toyota Majesty วิธีที่จะรอดได้ก็คือ เอารุ่นปัจจุบันนี่ล่ะ มาเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ขายไปก่อน อย่างเช่น H-1 Impressive ซึ่งเป็นการนำรถรุ่นย่อย Elite มาเสริมแต่งอุปกรณ์เข้าไป ราคาเพิ่มอีก 100,000 บาท เป็น 1,629,000 บาท มีสีขาวเพียงสีเดียว เพิ่มชุดแต่งรอบคัน ล้ออัลลอย 17 นิ้ว เบาะนั่งแถวสองมีหมอนรองศีรษะทรงปีกผีเสื้อ ภายในตกแต่งด้วยเบาะหนังสีเบจ และลายไม้สีน้ำตาลโอ๊คแบบเฉพาะรุ่น เครื่องเสียง Pioneer พร้อมจอทัชสกรีน + จอ 10 นิ้วสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง 2 จอ ตบท้ายด้วยกล้องถอยหลัง และ Cruise Control

เรียกได้ว่า เป็นการนำเสนอความคุ้มค่าจากการติดตั้งอุปกรณ์โดยอาศัยประสบการณ์จากฝ่ายขายที่ทราบว่าเวลาลูกค้าตัวจริงซื้อรถ ชอบสั่งอะไรเพิ่มบ้าง ถ้าคุณยังรัก H-1 อยู่ ก็ต้องรีบหน่อย เพราะรุ่นพิเศษอย่าง Impressive นี้จะผลิตขายจำกัดแค่ 200 คันเท่านั้น


ISUZU

เพิ่งจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการไป 28 ตุลาคม ก็ขนมาโชว์กันในงานนี้กับ Isuzu MU-X รถตรวจการณ์พลังดีเซล 1.9 และ 3.0 ลิตร ซึ่งพลิกโฉมรอบคัน ต่างจากรถรุ่นเดิมชนิดไม่รู้เลยว่ามีพ่อมีแม่เดียวกัน เลิกใช้ดีไซน์เอาใจวัยกลางคน หันมาหาสัดส่วนที่ดูเป็นวัยรุ่นขึ้น กระจกบานเล็ก ทำให้ส่วนหลังคาของรถดูเตี้ยเหมือนรถเล็กเวลาจอดอยู่เดี่ยวๆ แต่จริงๆแล้วขนาดของตัวใหม่นั้นขยายขึ้นในทุกมิติ ภายในรถแม้จะเห็นเส้นสายแดชบอร์ดแบบ D-Max อยู่ แต่ก็พยายามปรับให้หรูขึ้น หน้าปัดเปลี่ยนใหม่ เล่นแสงสีดิจิตอลให้ทันคู่แข่ง มีการใช้ Ambient Light ตกแต่งบรรยากาศในห้องโดยสาร ที่สำคัญที่สุด Isuzu รุกคืบเอาเทคโนโลยีความปลอดภัยใหม่ๆมาใส่มากขึ้น อาทิ ADAS ระบบเตือนสารพัด เตือนตอนถอย เตือนรถในจุดบอด เตือนก่อนชนด้านหน้า อีกทั้งยังมีระบบเบรกอัตโนมัติและ Radar Cruise Control แปรผันความเร็วตามรถคันหน้า พร้อมระบบ Stop & Go ราคาเริ่มต้น 1,109,000 บาท และรุ่นท้อปจบที่ 1,579,000 บาท

สำหรับลูกค้ากระบะ เน้นสไตล์การตกแต่งสปอร์ตใช้งานได้ ก็มี D-Max X-Series ภายนอก สีขาว/ดำ ตัดด้วยแดง ล้ออัลลอยสีดำ ขนาด 17 นิ้วในรุ่น Cab และ 18 นิ้วในรุ่นสี่ประตู Hi-lander ภายใน สีดำตัดแดง เครื่องปรับอากาศธรรมดา แต่ได้จอกลางขนาดใหญ่ 7 นิ้ว พร้อมระบบความปลอดภัยพื้นฐาน ระบบกันไถล ระบบรักษาการทรงตัวมีมาให้ครบ รถ X-Series มีทั้งรุ่นตัวเตี้ย “SPEED” 2 และ 4 ประตู ราคา 723,000-814,000 บาท และรุ่น Hi-lander ยกสูง 2-4 ประตู ราคา 838,000-967,000 บาท มีเกียร์อัตโนมัติเฉพาะรุ่น 4 ประตูยกสูง ส่วนถ้าใครต้องการตัวเตี้ยเกียร์อัตโนมัติ จะมีรุ่นธรรมดาที่ไม่ใช่ X-Series ให้เลือก

 


KIA

Kia Carnival เปิดตัวรุ่นใหม่ถอดด้าม ในราคา 2,144,000-2,459,000 บาท มีจุดเด่นที่รูปทรงภายนอก เปลี่ยนจากมาดเรียบๆไปหาดีไซน์ดุแบบหุ่นยนต์ยักษ์ แต่ภายในนั้นหรูหรา มีเอกลักษณ์บางอย่างที่ดูแล้วนึกถึงรถยุโรป เช่นแผงหน้าปัดเชื่อมต่อฝั่งคนขับกับจอกลาง คันเกียร์แบบโยกถูกเปลี่ยนเป็นสวิตช์สำหรับเปลี่ยนเกียร์แบบหมุนคล้ายกับของ Jaguar แต่ในเรื่องความอเนกประสงค์ก็ยังคงอยู่ จุดชาร์จ USB มีมาให้ในเบาะแถว 1, 2 และ 3 ไม่ต้องแย่งกันชาร์จ ระบบความปลอดภัยเพียบพร้อมทั้งระดับเบสิกอย่างกันลื่น ระบบการทรงตัว ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง ระบบ Radar Cruise Control พร้อม Stop & Go และระบบแจ้งเตือนรถเบี่ยงออกนอกเลน

Kia Carnival ใหม่ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบดีเซลเทอร์โบ 2.2 ลิตร ที่ให้กำลัง 202 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 441 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ

สำหรับลูกค้าที่ต้องการรถ 11 ที่นั่งแบบประหยัดงบ ทาง Kia เอง ก็ยังขาย Carnival รุ่นเก่า ประกอบเวียดนาม ราคา 1,397,000 บาท ควบคู่ไปในขณะที่รุ่นใหม่ทำตลาด


MASERATI

ใหม่สุดเพราะเพิ่งเปิดตัวในงานนี้เลย กับ Maserati Ghibli Hybrid ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการเปิดตัวรถไฮบริดลงสู่ตลาดในประเทศไทยของค่ายนี้ ขุมพลังของ Ghibli Hybrid จะแตกต่างจากรุ่นอื่น นอกจากจะเปลี่ยนจากเครื่อง V6 เป็นเครื่องยนต์ 4 สูบเทอร์โบ 2.0 ลิตรแล้ว ก็ยังมีระบบเสริมกำลังด้วยไฟฟ้า “e-Booster” และระบบไฟฟ้าแบบ 48 V ซึ่งทำให้ได้กำลังรวม 330 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร น้ำหนักรวมทั้งคัน เบากว่ารุ่นดีเซล 80 กิโลกรัม และยังมีราคาเริ่มต้นที่ถูกกว่า คือ 5,990,000 บาท


 

MAZDA

นอกจากบรรดา 2, 3 และ CX-30 รุ่นฉลองครบรอบ 100 ปี Mazda ซึ่งเป็นรถสีขาวเบาะแดง (ของจริงดูแล้วก็สวยนะ) ไฮไลท์ในงานนี้ของ Mazda ตามธรรมเนียมการอัปเดตรายปี ก็คือ Mazda CX-3 ซึ่งแต่เดิมนั้น รุ่น 2.0 BASE ราคา 768,000 บาทนั้น ก็กลายเป็นรถเก๋งขนาด 2.0 ลิตร ที่ถูกที่สุดในประเทศไปแล้ว มาถึง Model Year 2021 Mazda บอกว่า ขอเพิ่มราคาอีกสักพันนะ แต่ว่าเพิ่มของใส่ให้อย่างโคตรเสียดายแทนคนที่ออกไปก่อน ไม่ว่าจะเป็น Smart Keyless Entry พวงมาลัยและหัวเกียร์หุ้มด้วยหนัง เครื่องเสียงรองรับ Apple CarPlay/Android Auto แบบ Wireless และกล้องมองภาพขนาดถอยจอด

ยิ่งไปกว่านั้น ยังเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ BASE+ จ่ายเงิน 809,000 บาท สิ่งที่คุณได้จะเหมือนรุ่น BASE แต่เพิ่มไฟหน้า LED พร้อมระบบเปิด/ปิดอัตโนมัติ ไฟท้าย LED Signature เบาะหุ้มหนังสลับผ้า เพิ่มถุงลมเป็น 6 ตำแหน่งและมี Cruise Control ใกล้ปลายอายุตลาดแล้ว ก็ต้องขยับกันแบบนี้เพื่อรักษาฐานยอดขายเอาไว้


MERCEDES-BENZ

สามรุ่น Entry Model สำหรับการเข้าเป็นลูกค้าดาวสามแฉกป้ายแดง ไม่ต้องรวยก็ซื้อได้ ได้แก่ GLA และ A-Class Sedan ทั้งหมดนี้เป็นรถประกอบในประเทศ

เริ่มต้นด้วย GLA 200 AMG Dynamic ราคา 2,399,000 บาท ตกแต่งด้วยชุดแต่ง AMG ล้ออัลลอย 19 นิ้ว สี Tremolite Grey ช่วงล่างสเป็คมาตรฐานแบบลดความสูงลด (Lowered Comfort Suspension) รูปทรงของตัวถัง ถูกปรับปรุงแก้ไขจุดอ่อนของ GLA รุ่นเดิมเรื่องพื้นที่ในห้องโดยสารให้มีความรู้สึกโปร่งโล่งขึ้น ตำแหน่งการนั่ง และพื้นที่วางขา แตกต่างจาก A-Class Hatchback มากขึ้น ส่วนอุปกรณ์อำนวยความสะดวก เวอร์ชั่นไทย มีเบาะไฟฟ้าคู่หน้ามาให้ และมีระบบ Keyless GO แต่ยังขาด Smart Entry จอกลางขนาด 10.6 นิ้ว และไฟ Ambient Light 64 สี

ต่อมาก็ได้แค่ A 200 ซึ่งมีทั้งรุ่น Progressive ราคา 1,990,000 บาท และรุ่น AMG Dynamic ราคา 2,150,000 บาท (ถูกลงกว่าสมัยนำเข้า 340,000 บาท) มีการเปลี่ยนระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ แต่ตัดช่องแอร์คนนั่งหลัง และตัดระบบไฟสูงอัตโนมัติออก นอกนั้นอุปกรณ์ต่างๆเกือบเหมือนเดิม

ทั้ง GLA 200 และ A 200 ใช้เครื่องยนต์ 1.3 ลิตร 4 สูบเบนซิน เทอร์โบ 163 แรงม้า จับคู่กับเกียร์คลัตช์คู่ 7 จังหวะ


MG

กลายเป็นผู้เล่นระดับ Mass Market ที่จริงจังเรื่องพลังงานทางเลือกมากที่สุด เพราะนอกจากจะมี ZS EV ขายมานานแล้ว เปิดตัว HS PHEV Plug-in Hybrid ราคาถูกที่สุดในวงการไปแล้ว มางานนี้ MG เดินหน้าลุยดงรถถ่านเต็มพิกัด ด้วยการเปิดตัว MG EP ซึ่งได้สโลแกนว่าเป็น “EV for Everyone” รถยนต์ไฟฟ้าที่ขนาดตัวไม่เล็ก แต่ราคาไม่ใหญ่ 988,000 บาท มีกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้าที่ใช้รถในชีวิตประจำวัน ต้องการหารถที่ค่าใช้จ่ายต่ำ โดยทาง MG คำนวณมาว่าใช้งาน 100,000 กิโลเมตร ค่าบำรุงรักษาตัวรถ ไม่นับค่าไฟฟ้าแล้วไม่เกิน 8,000 บาท

MG EP ใช้มอเตอร์ขับเคลื่อนที่ให้พลัง 163 แรงม้า แรงบิด 260 นิวตันเมตร ใช้แบตเตอรี่ที่มีความจุไฟฟ้า 50.3 kWh เมื่อชาร์จเต็มหม้อจะสามารถวิ่งได้ไกลประมาณ 380 กิโลเมตร (ของจริงต้องลองอีกรอบว่าได้เท่าไหร่บนถนนที่โหดแบบเมืองไทย)

ส่วนรถที่เพิ่งเปิดตัวก่อนหน้า Motor Expo ไม่นาน อย่าง MG HS PHEV ก็มีการนำมาโชว์ในงานนี้เช่นกัน  ขุมพลัง 1.5 ลิตรเทอร์โบ 162 แรงม้า บวกกับมอเตอร์ไฟฟ้า 122 แรงม้า MG แจ้งสเป็คว่าได้กำลังขับรวม 284 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุด 480 นิวตันเมตร อุปกรณ์ครบครันแบบ HS ตัวท้อป เพิ่มภายในสีน้ำเงิน (มีเฉพาะกับสีภายนอกบางสี) และเครื่องเสียง BOSE ราคาค่าตัวอยู่ที่ 1,359,000 บาท


MITSUBISHI

วินาทีนี้ มีแต่คนพูดถึง Mitsubishi Outlander PHEV รถถ่าน SUV รุ่นล่าสุดจากญี่ปุ่น ซึ่งมาให้เลือก 2 รุ่นย่อย กับราคา 1,640,000-1,749,000 บาท

Outlander PHEV ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.4 ลิตร 4 สูบ 4B12 128 แรงม้า ธรรมดาๆ แต่เพิ่มพลังด้วยมอเตอร์ชุดแยก ด้านหน้า 82 แรงม้า และด้านหลัง 95 แรงม้า ทาง Mitsubishi ก็เอาเลขบวกๆกันแล้วได้พลัง 305 แรงม้า แบตเตอรี่ที่ใช้ เป็นแบบ Lithium-ion ความจุ 13.8 kWh ซึ่งทำให้สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ได้ไกลสุด 55 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ S-AWC Super All-Wheel Control สามารถสั่งล็อคให้ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาได้ (ตามเงื่อนไขการขับขี่) และยังมี Snow Mode เผื่อเมืองไทยหิมะตก, Normal และ Sport Mode ไว้ให้ใช้ ส่วนในด้านความปลอดภัย ก็มีระบบเตือนหน้าเตือนหลัง กล้องรอบคันมาให้พร้อมสรรพ

การจะขาย Outlander ให้สำเร็จนั้น ผมคิดว่าต้องใช้พลังศรัทธาจากลูกค้าพอสมควร เพราะรถโมเดลตัวถังนี้ จำหน่ายในญี่ปุ่นมานานพอสมควรแล้ว และประกอบกับการที่ MG ชิงเผยโฉมกับราคาของ HS PHEV มาก่อนหน้านี้ ทำให้ลูกค้ามีตัวเปรียบเทียบที่โหดพอดู


NISSAN

นอกเหนือจาก Nissan Navara Minorchange ที่เพิ่งเปิดตัวไปแล้ว ในงานนี้ ก็ยังมีการอัปเดตผลิตภัณฑ์ 2 รายการ อย่างแรกก็คือการเพิ่มสีใหม่ให้กับ Nissan Kicks ซึ่งเป็นสีเหลือง ซันไลท์ (Sunlight Yellow) และสีน้ำเงิน ไนท์บลู (Night Blue) พร้อมเสริมภายในด้วยชุดแต่ง สไตลิช Stylish package ด้วยไฟ Ambient Light สีฟ้าที่ข้างแผงประตูและพื้นห้องโดยสารตอนหน้า พร้อมไฟ ‘Welcome’ เมื่อเปิดประตูหน้า และอุปกรณ์ตกแต่งวัสดุสีเงินบริเวณแผงอุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งหมดนี้ มาในราคาเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่บอกไว้ให้เสียใจนิดๆว่า รถสองสีใหม่นี้ ไม่มีหลังคาดำ และไม่สามารถสั่งภายในสีส้ม/ดำ ได้จากโรงงานนะครับ คงต้องให้ดีลเลอร์เจ๋งๆช่วยจัดแล้วล่ะ

ส่วน Almera ขายมานานจะครบปีแล้ว คราวนี้ก็เลยแต่งองค์ทรงเครื่องนิดหน่อยด้วยรุ่นพิเศษผลิตจำนวนจำกัด “Almera N-Sport” มีสีภายนอกแบบทูโทน ได้แก่ สีส้ม โมนาร์ช และ สีเทา กันเมทัลลิค มาพร้อมชุดไหว้ของดำ ได้แก่หลังคาสีดำ กระจกมองข้างสีดำ กระจังหน้าและแถบสปอยเลอร์หลังสีดำ รวมถึงสติกเกอร์ตกแต่งที่ด้านข้าง และตราสัญลักษณ์ตกแต่ง N-SPORT  ที่ด้านท้ายรถ ขณะที่ภายในเสริมความสปอร์ตด้วยแป้นวางเท้าแบบสปอร์ต บันไดประตู พรม และตราสัญลักษณ์ตกแต่ง N-SPORT ที่พวงมาลัย ส่วนล้ออัลลอยนั้น ไปยืนๆมองอยู่ ไม่แน่ใจว่ายกมาจากของ Nissan Note พ่นดำเลยหรือเปล่า ใครก็ได้ลองช่วยไปเล็งที


PORSCHE

Porsche ในประเทศไทยเพิ่งเผยโฉม Panamera Minorchange ไป ในงานนี้ จึงมีการนำ Panamera GTS สีส้มมาจอดโชว์ ส่วนรุ่นอื่นๆไม่ต้องห่วง โดยเฉพาะ Taycan มาครบเลยทีเดียว

Panamera GTS เป็นรุ่นที่สอดอยู่ตรงกลางระหว่างรุ่น S เครื่อง V6 และรุ่น Turbo ที่เป็นเครื่อง V8 โดย GTS นั้นจะเป็นการนำเครื่อง V8 4.0 ลิตรทวินเทอร์โบของรุ่น Turbo มาปรับลดแรงม้าลงเป็น 480 แรงม้า แรงบิด 620 นิวตันเมตร รถสเป็คไทยจะมีประตู Soft Close พวงมาลัย GT-Spec เบาะนั่ง Adaptive Sport 18 Way  ถ้าสั่ง Premium Plus Package ซึ่งจบราคารถที่ 15.5 ล้านบาท จะได้สีเมทัลลิก หลังคา Panoramic และล้อ 21 นิ้ว กับ…ที่วางแก้ว

อย่างไรก็ตาม รถที่ทางประเทศไทยมุ่งเน้นการขายมากกว่า คือ Panamera 4 e-Hybrid ซึ่งใช้ขุมพลัง 2.9 ลิตรทวินเทอร์โบ + มอเตอร์ไฟฟ้า แรงม้าสูงสุด 462 แรงม้ แรงบิด 700 นิวตันเมตร ซึ่งมีการปรับ Position และราคาใหม่ ทำให้รถ 4 e-Hybrid มีราคาเริ่มต้นแค่เพียง 7,300,000 บาท และถ้าหากสั่ง Premium Plus Pack ก็เพิ่มเป็น 7,750,000 บาท แต่ได้ไฟหน้า PDLS, ล้อ 21 นิ้ว, ชุดชาร์จ 7.2kW, สีเมทัลลิก และหลังคา Panoramic ด้วย

 


SUZUKI

Suzuki ทำงานหนักมากในปีที่ผ่านมา หลังจากการเปิดตัวรถ 7 ที่นั่งยกสูงอย่าง XL7 ก็ได้ผลตอบแทนงดงาม โดยหลังจากเปิดตัวจนถึงเดือนพฤศจิกายน ก็สามารถขายไปได้ 3,454 คัน ด้วยกลยุทธ์การให้ของเล่นติดรถที่ดูคุ้มค่า กับราคาที่ถูกกว่าคู่แข่งในขณะที่สมรรถนะการขับขี่และความสะดวกสบายก็ไม่เป็นรองใคร ในงาน Motor Expo นี้ ก็ยังมี Suzuki Swift GL MAX Edition รุ่นตกแต่งพิเศษ ด้วยชุดสเกิร์ตรอบคัน สปอยเลอร์หลัง สติ๊กเกอร์ลายพิเศษรอบคัน และเสาอากาศครีบฉลาม ซึ่งน่าจะเป็นการตกแต่งในรูปแบบคล้ายกันกับ Ciaz รุ่นพิเศษเมื่อปีก่อนๆ โดยนำการสังเกตพฤติกรรมของลูกค้าว่า เวลาซื้อรถชอบขอของแถมอะไรกัน แล้วก็จัดมาให้เลยโดยไม่ต้องขอเพิ่มในราคาเพียง 541,000 บาท

 


TOYOTA/LEXUS

เด็ดที่สุดของเมืองในเวลานี้ ต้องเป็นเจ้าพริกขี้หนู GR Yaris เครื่องยนต์ G16E-GTS มีแค่ 3 สูบ แต่ความจุ 1.6 ลิตร เป่าเสกพลังม้าด้วยเทอร์โบชาร์จ จนได้ 261 แรงม้า แรงบิด 360 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งตอนแรกมีข่าวว่าราคาจะทะลุ 3 ล้าน แต่ไปๆมาๆ Toyota ประเทศไทยบอกว่ารับจองนะจ๊ะ และราคาไม่เกิน 2.7 ล้านด้วย! แต่ต้องรีบหน่อยเพราะมีโควต้าแค่ 70 คันเท่านั้น เรียกได้ว่า ราคานี้นะครับ คนที่บอกว่าแพง คือคุณไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของเขาอยู่แล้ว แต่คนที่พร้อมจะซื้อของแปลกหายาก มีแน่นอนและเชื่อว่าโควต้าน่าจะหมดอย่างเร็ว

ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อของ GR Yaris สามารถปรับการส่งกำลังได้สามแบบ Normal ส่งกำลัง หน้า 40 หลัง 60% Sport จะถ่ายกำลังไปล้อหลังมากขึ้นเป็น 70% ส่วนแบบ Track ที่ต้องการความชัวร์ในการเข้าโค้งแบบสุดๆหรือการขับแบบแรลลี่ จะถ่ายกำลังหน้า/หลังแบบ 50/50

นอกจากรถสำหรับคนมีความพิเศษในทางการเงินอย่าง GR Yaris แล้ว ในบรรดารถทั่วไปที่นำมาโชว์ก็มี Innova Crysta ใหม่ และ Toyota Revo Z-Edition ซึ่งตอนแรกคิดว่าไม่มีอะไรใหม่ แต่เอ๊ะ โป่งข้างแบบเย็บหายไปแล้วนี่หว่า ทั้งๆที่ Z-Edition ตัวล่าสุดเพิ่งเปิดตัวไปไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ รุ่น SmartCab ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 619,000 บาท และรุ่น Double Cab เริ่มต้นที่ 699,000 บาท มีเกียร์อัตโนมัติให้เลือกทั้งสองตัวถัง

ฝั่ง Lexus ดูจะคึกคักเป็นพิเศษ เพราะในช่วงเวลาไม่กี่วันเปิดตัวรถใหม่ 3 รุ่น เริ่มต้นจาก Lexus IS สปอร์ตซีดานคู่แข่ง 3 Series และ C-Class บอดี้ใหม่ สวยและโหดกว่าเดิม ยกเลิกรุ่น IS300 (IS200t) ที่เป็นเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ เหลือแค่รุ่น IS300h ไฮบริด เครื่องยนต์ 2AR-FXE 2.5 ลิตร 4 สูบ บวกมอเตอร์ไฟฟ้าและใช้แบตเตอรี่ Ni-MH ให้พลังรวมสูงสุด 223 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ e-CVT และล็อคความเร็วสูงสุดไว้ที่ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น Luxury 2,690,000 บาท รุ่น Premium 3,370,000 บาท และรุ่น F-Sport ราคา 3,890,000 บาท นับว่าต่างกันมาก รุ่นเริ่มต้นกับตัวท้อป ราคาห่างกันถึง 1,200,000 บาท!

ต่อมา คือ Lexus UX รถครอสโอเวอร์พิกัดเดียวกับ BMW X2 คราวนี้ เพิ่มรุ่นย่อยใหม่ UX300e ที่เป็นขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ ไม่มีวัวหรือเครื่องสันดาปภายในเจือปน มอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังขับเคลื่อน 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร ใช้แบตเตอรีลิเธียมไออ้อน ความจุพลังไฟ 54.35 kWh เมื่อชาร์จเต็มหม้อแล้วสามารถวิ่งได้ไกล 300 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP (โหดกว่ามาตรฐาน NEDC) ราคาจำหน่ายตั้งเอาไว้ที่ 3,490,000 บาท

และปิดท้ายด้วย Lexus LS Minorchange อัครยานยนต์ระดับหรูคู่แข่ง 7 Series กับ S-Class ที่แข่งในทุกด้านยกเว้นราคา ขนาดตัวเริ่มต้น LS 350 เครื่องยนต์ 3.5 ลิตร V6 315 แรงม้า ก็ปาเข้าไป 11,500,000 บาท แล้ว ส่วนรุ่น LS 500 3.4 ลิตรเทอร์โบคู่ 421 แรงม้านั้น อยู่ที่ 13,110,000 บาท รุ่น LS500h พลังไฮบริด  3.5 V6 บวกมอเตอร์ 2 ตัว แบตเตอรี่ลิเธียมไออ้อน 359 แรงม้า ก็มีสองรุ่นคือ Executive ราคา 14,530,000 บาท และ Executive Pleat ราคา 15,860,000 บาท

แต่ถ้าใครเคยได้สัมผัสตัวจริง จะรับรู้ถึงรายละเอียดภายในอันประณีต และมีเอกลักษณ์ในแบบที่เราพบไม่ได้ในรถยุโรป นั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ LS นั้นแม้จะแพงจนซื้อ Porsche Panamera ได้สบาย ก็ยังมีคนที่เลือก LS มาขับ ถึงแม้จะไม่เยอะนักก็เถอะ

 

 

VOLVO

สู่อนาคตแห่งพลังงานสะอาดเต็มรูปแบบ รีแบรนด์ตัวเองให้สื่อถึงการใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน เป็นคำสั้นๆว่า “Recharge” มาคราวนี้ Volvo ประเทศไทย ชูสองรุ่นไฮไลต์ XC40 Recharge Plug-in Hybrid T5 ซึ่งเป็นครอสโอเวอร์ขนาดกระทัดรัด ทำตลาดแทน XC40 เครื่องเบนซินเทอร์โบเดิม และอีกรุ่นก็คือ S90 Recharge Plug-In Hybrid T8 Inscription

XC40 Recharge T5 นั้น มากับขุมพลัง 1.5 ลิตรเทอร์โบ 3 สูบ 180 แรงม้า กับมอเตอร์ไฟฟ้า 82 แรงม้า ทำให้ได้แรงม้าสูงสุด 262 แรงม้า 425 นิวตันเมตร แบตเตอรี่เป็นแบบลิเธียมไออ้อน ความจุไฟ 10.7 kWh ส่วนระบบความปลอดภัยต่างๆนั้นยังอยู่ครบ รวมถึงระบบช่วยขับขี่กึ่งอัตโนมัติ Pilot Assist ด้วยเช่นกัน มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย ได้แก่ R-Design Expression 2,090,000 บาท R-Design 2,390,000 บาท และ Inscription ราคา 2,390,000 บาทเช่นเดียวกัน

ส่วน S90 Recharge นั้น ใช้ขุมพลังเดิม แต่มีการอัปเดตรายละเอียดส่วนหน้าและท้ายของรถเล็กน้อย ยังใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเทอร์โบ บวกกับมอเตอร์ที่ให้พลังรวม 407 แรงม้า แรงบิด 640 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ลิเธียมไออ้อน ความจุ 11.6 kWh และในราคา 3,290,000 บาทนี้ คุณยังได้เครื่องเสียง Bowers & Wilkins Amplifier 1400W Class D 12 Channels  19 ลำโพง ซึ่งนับเป็นอุปกรณ์เด็ดของเขาอีกด้วย

—-/////—-