หลังจากที่ Skoda เปิดตัว Enyaq iV รุ่นปกติไปเมื่อปลายปี 2020 จนวางขายได้ระยะหนึ่งแล้วในยุโรปเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ก็ถึงคราวเวอร์ชั่นเพรียวลมหรือทรงท้ายลาด อย่าง Enyaq Coupe ที่จะเข้ามาเสริมทัพ และต่อกรกับบรรดาคู่แข่งที่มักจะมีตัวถัง SUV ให้เลือกทั้ง 2 แบบ

Skoda ตั้งใจให้ Enyaq Coupe iV มีความสง่างามและเต็มไปด้วยมัดกล้าม โดยที่ยังคงไว้ซึ่งพื้นที่ใช้สอย ดังเช่นค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน Cd เพียงแค่ 0.234 และ พื้นที่เก็บสัมภาระขนาด 570 ลิตร โดยมาพร้อมกับ 4 ทางเลือกความแรง และ 2 ขนาดแบตเตอรี่ และแน่นอนว่าพื้นฐานของเจ้า Enyaq Coupe iV จะใช้ Platform MEB จาก Volkswagen Group เพียงแต่ได้รับการขยายฐานล้อให้ยาวขึ้นเล็กน้อย เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอย

Skoda ENYAQ Coupe RS iV ถือเป็นครั้งแรกของตระกูล RS ที่มีทางเลือกรถ EV สไตล์สปอร์ต หลังจาก Skoda ได้ปล่อย Octavia RS iV รถซีดานท้ายลาดและแวกอน plug-in hybrid ออกมาก่อนหน้านี้ เป็นทางเลือกเพิ่มเติมจากเดิมที่มีแต่ไลน์อัพเครื่องยนต์สันดาปภายใน

มิติตัวถัง

  •  ความยาว : 4,653 มิลลิเมตร
  • ความกว้าง : 1,879 มิลลิเมตร
  • ความสูง : 1,621-1,622 มิลลิเมตร (รุ่น 60-80/80x/RS)
  • ความยาวฐานล้อ : 2,764-2,765 มิลลิเมตร (รุ่น 60-80/80x/RS)

ภายนอกโดดเด่นด้วยกระจังหน้าแบบ Crystal Face ที่ประกอบได้ด้วยหลอด LED จำนวน 131 หลอด ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ตัวถังที่มีหลังคาลาดลงตั้งแต่แนวเสา B เป็นต้นไป พร้อมติดตั้งหลังคากระจกพาโนรามิกมาให้ทุกรุ่นย่อย สำหรับรุ่น RS จะเพิ่มทริมตกแต่งสีดำเพิ่มลุคสปอร์ต และแถบสะท้อนแสงที่ชายกันชนหลังซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของตระกูล RS นอกจากนี้ยังมีรุ่น Sportline สำหรับคนที่อยากได้ลุคสปอร์ตเพิ่มยิ่งขึ้น ซึ่งทั้งสองรุ่นยังได้ไฟหน้าแบบ Full-LED Matrix เพิ่มมาอีกด้วย

ภายในมาในธีมเรียบง่ายตามสไตล์ Skoda เน้นความอบอุ่นเหมือนนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นเคลื่อนที่ วัสดุหุ้มเบาะทำจากเส้นใยรีไซเคิลจากขวด PET และเส้นใยธรรมชาติ คอนโซลด้านหน้าหุ้มด้วยผ้า สำหรับรุ่น Lodge ในรุ่นที่สูงกว่าอย่าง รุ่น Lounge ใช้วัสดุหนังและหนังกลับ เพิ่มความหรูหรา นอกจากนี้ยังมีแพ็คเกจวัสดุหนัง ecoSuite ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สำหรับรุ่น Sportline จะมาพร้อมภายในสีดำ พร้อมเบาะนั่งแบบสปอร์ต ในขณะที่รุ่น RS จะใช้ทริมคาร์บอนไฟเบอร์ตกแต่งภายในและมาพร้อมแป้นเหยียบอลูมิเนียม พร้อมเบาะนั่งทรงเฉี่ยวที่มีให้เลือกวัสดุผ้าผสมหนังกลับสำหรับรุ่นย่อย RS Lounge หรือหนังล้วนสำหรับรุ่นย่อย RS Suite

จอเรือนไมล์จะเป็นแบบ Digital cockpit ขนาด 5.3 นิ้ว ที่มาพร้อมกับจอกลาง infotainment แบบทัชสกรีน ขนาด 13 นิ้ว ทรง widescreen ตั้งอยู่โดดเด่น ที่ทำหน้าที่ควบคุมระบบปรับอากาศแบบ dual-zone ซึ่งก็เป็นไปตามสมัยนิยม ทำให้เหลือปุ่มกดบนคอนโซลเท่าที่จำเป็น ระบบปฏิบัติการ ME3 สามารถอัพเดทได้ด้วย over-the-air ผ่านระบบเครือข่าย eSIM ทำงานร่วมกับ แอพพลิเคชั่น MyŠKODA บนมือถือที่สามารถตรวจสอบข้อมูลตัวรถและควบคุมการชาร์จ รวมไปถึงเปิด/ปิด ระบบปรับอากาศ นอกจากนี้ยังมีระบบพวงมาลัยอุ่นและแป้นแพดเดิ้ลชิพที่ปรับระดับของการหน่วงในการนำพลังงานชาร์จกลับสำหรับรุ่นแบตเตอรี่ 82 kWh

สำหรับอ็อพชั่นที่สามารถเลือกซื้อเพิ่มเติมนั่นมีรายการยาวพอสมควร ตั้งแต่มาเป็นแพ็คเกจไปจนถึงซื้อแยกตามรายการได้ ตรงนี้ถือเป็นแนวทางของ Skoda เพื่อให้ลูกค้าได้สิ่งที่ต้องการ โดยที่ไม่ต้องจ่ายเงินเกินความจำเป็นกับสิ่งที่ไม่ได้ใช้งาน เช่น ระบบปรับอากาศแบบ tri-zone เบาะนวด ถุงลมนิรภัยที่ด้านข้างของเบาะคู่หลัง ช่วงล่างแบบสปอร์ตที่ลดความสูงลงที่ด้านหน้า 15 มม. และ ด้านหลัง 10 มม. ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของรุ่น Sportline และ RS

ขุมพลังของ Skoda Enyaq Coupe iV & RS iV เป็นแบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor และมอเตอร์ไฟฟ้า Asynchronous Motor (สำหรับล้อคู่หน้า ของรุ่น AWD) มีความแรงให้เลือก 4 ระดับ ได้แก่

60

  • กำลังสูงสุด 180 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหน้า พ่วงด้วยแบตเตอรี่แบบ Lithium Ion Polymer ความจุ 60 kWh
    • ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 8.8 วินาที
    • ความเร็วสูงสุด 160 กม./ชม.

80

  • กำลังสูงสุด 204 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหน้า พ่วงด้วยแบตเตอรี่แบบ Lithium Ion Polymer ความจุ 82 kWh
    • ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 8.7 วินาที
    • ความเร็วสูงสุด 160 กม./ชม.

80x (AWD)

  • กำลังสูงสุด 265 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 425 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ พ่วงด้วยแบตเตอรี่แบบ Lithium Ion Polymer ความจุ 82 kWh
    • ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 7.0 วินาที
    • ความเร็วสูงสุด 160 กม./ชม.

RS (AWD)

  • กำลังสูงสุด 299 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 460 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ พ่วงด้วยแบตเตอรี่แบบ Lithium Ion Polymer ความจุ 82 kWh
    • ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 6.5 วินาที
    • ความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม.

โดยรุ่น 80 จะเป็นรุ่นที่มีระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง มากที่สุด อยู่ที่ 545 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP และ สามารถอัดประจุด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC Fast Charging จาก 10 – 80% ภายในเวลา 29 นาที และสามารถชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ AC ได้สูงสุด 11 kW ใช้เวลาชาร์จจาก 0 – 100% ภายในเวลา 6-8 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังมี On-board Charger 2.3 kW แถมมาให้ด้วย

ระบบบังคับเลี้ยว

ระบบบังคับเลี้ยว เป็นแบบ  Rack & Pinion พร้อมมอเตอร์ผ่อนแรงผสมระบบไฮดรอลิค

ระบบกันสะเทือน

ระบบกันสะเทือน ด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบมัลติลิงค์ พร้อมเหล็กกันโคลง ล้ออัลลอยมีให้เลือกตั้งแต่ 19 นิ้วเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน สำหรับรุ่น Sportline จะได้ขนาด 20 นิ้ว และ รุ่น RS จะได้ขนาด 21 นิ้ว

ระบบห้ามล้อ

ระบบห้ามล้อเป็นแบบ หน้าดิสก์ หลังดรัม โดยทุกรุ่นจะติดตั้งจานเบรกคู่หน้าแบบมีครีบระบายความร้อน จับคู่กับคาลิเปอร์แบบ 2 ลูกสูบ แต่เฉพาะรุ่น 60 เท่านั้น ที่จะมาพร้อมคาลิเปอร์แบบ 1 ลูกสูบ

 

ระบบความปลอดภัย Travel Assist 2.5 ที่ประกอบไปด้วย ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Adaptive Cruise Control (ACC) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนพร้อมการจดจำทางจราจร Adaptive Lane Assist including roadwork ระบบช่วยเคลื่อนที่รถตามสภาพจราจรที่ความเร็วต่ำ Traffic Jam Assist และระบบแจ้งเตือนพร้อมช่วยเหลือคนขับหากเกิดเหตุคับขัน Emergency Assist นอกจากนี้ยังมี ระบบช่วยเหลือการจอดรถ Park Assist ที่สามารถจดจำเส้นทางการจอดรถที่ใช้งานบ่อยได้ พร้อมทั้ง head-up display ที่แสดงผลในระดับสายตาแบบ AR (augmented reality) ให้เลือกเป็นอ็อพชั่นเสริม

ที่มา: Skoda