Special Report

Toyota เอเชียเร่งรัดกลยุทธ Multi-Pathway ในการดำเนินงานตามวิสัยทัศน์ “Mobility for All” วางแผนเปิดตัวรถยนต์ขับเคลื่อนไฟฟ้า (BEV) 10 รุ่นในภูมิภาคเอเชีย ภายใน 3 ปีข้างหน้า

 

28 ตุลาคม 2025

อากาศเย็นสบาย ลมจากอ่าว Shinagawa พัดผ่านใบไม้ต้นใหญ่หน้าโรงแรม Tokyo Marriott at Gotenyama Trust Tower เบาๆ ผมยืนมองอาคารกระจกสูงที่สะท้อนแสงแดดยามสาย ก่อนเดินลงบันไดทางลาดเข้าสู่ชั้นใต้ดินของโรงแรม จุดที่มี Toyota Crown Sport สีเทาด้านจอดอยู่เงียบๆ ใต้แสงไฟสีอุ่น มันดูสงบนิ่งแต่แฝงความมั่นใจ เหมือนจะบอกกลายๆ ว่า วันนี้ Toyota มีบางอย่างจะเล่าให้ฟัง

เดินเลยรถคันนั้นเข้าไป ป้ายขาวเขียนตัวโต “TOYOTA ASIA MEDIA BRIEFING” พร้อมลูกศรชี้ทางขวา เสียงรองเท้าหนังของเหล่าสื่อจากหลายประเทศทั่วเอเชีย กว่า 100 ชีวิต ดังสะท้อนกับพื้นหินอ่อน ดูเหมือนว่าทุกคนจะมาพร้อมคำถามเดียวกันว่า Toyota จะเดินต่อไปทางไหน… !?

งานวันนี้ไม่ใช่แค่การพรีวิวรถรุ่นใหม่ที่จะขึ้นเวที Japan Mobility Show 2025 (ซึ่งจัดทุกปีที่ลงท้ายด้วยเลขคี่) แต่คือเวทีที่  Toyota Motor Asia (TMA) เลือกใช้ประกาศแนวทางใหม่ของทั้งภูมิภาคอย่างชัดเจนที่สุดในรอบหลายปี

ในงาน Toyota Motor Asia Media Day 2025 ครั้งนี้ Toyota เลือกใช้คำเพียงสามคำง่ายๆ คือ “TO YOU TOYOTA” เพื่อสื่อถึงหัวใจของวิสัยทัศน์ใหม่ที่กำลังจะขับเคลื่อนทั้งภูมิภาคเอเชียต่อจากนี้ไป มันไม่ใช่สโลแกนโฆษณา แต่คือภาษาของความตั้งใจที่ Toyota ต้องการสื่อสารกับผู้คนโดยตรงว่า ทุกสิ่งที่บริษัทจะทำต่อจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ พลังงาน หรือระบบ Mobility ที่คิดมาเพื่อ คุณ (ลูกค้า)

แนวคิด TO YOU TOYOTA หมายถึงการออกแบบเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับชีวิตของคนในแต่ละประเทศ มากกว่าจะให้คนต้องปรับตัวตามเทคโนโลยี ไม่ว่าคุณจะอยู่กรุงเทพฯ โตเกียว หรือจาการ์ตา Toyota ก็จะพยายามหาทางเลือกพลังงานที่เหมาะกับคุณ ตั้งแต่ Hybrid ราคาประหยัด ไปจนถึง BEV หรือ Biofuel ในอนาคต

แนวคิดนี้ยังเชื่อมโยงกับ 3 เสาหลักของ Toyota ในเอเชีย ทั้ง Best in Town, Customer Comes First และ Start by Doing เพราะทุกข้อเริ่มจากผู้คนเป็นศูนย์กลาง Best in Town หมายถึงการเป็นแบรนด์ที่เข้าใจเมืองของตัวเองที่สุด Customer Comes First คือการฟังลูกค้าก่อนทำ และ Start by Doing คือการลงมือสร้างสิ่งที่มีประโยชน์จริง มากกว่าพูดถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

เมื่อสไลด์สุดท้ายของงานขึ้นคำว่า TO YOU TOYOTA พร้อมภาพผู้คนจากทั่วเอเชีย วัยรุ่นแต่งรถในเมลเบิร์น คนโสดในโตเกียว หรือแม้กระทั่ง คนขับแท็กซี่ในกรุงเทพฯ เพื่ออธิบายชัดกว่าคำพูดใดๆ ว่า Toyota กำลังเปลี่ยนจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ เป็นเพื่อนร่วมทางของผู้คนในภูมิภาคนี้อย่างแท้จริง เพราะอนาคตของ Mobility ไม่ได้วัดจากเทคโนโลยีที่ล้ำแค่ไหน แต่วัดจากรอยยิ้มของคนที่ได้เคลื่อนไหวไปข้างหน้า

ประกาศกลยุทธ์องค์กรระดับภูมิภาคของบริษัท พร้อมให้ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับแบรนด์ที่โดดเด่นและแนวทางการมีส่วนร่วมในภูมิภาคนี้ งานนี้มีสื่อมวลชนจากทั่วเอเชียเข้าร่วมงานประมาณ 100 คน ตอกย้ำคำมั่นสัญญาของ Toyota ในการตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าที่หลากหลาย และการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ที่สอดคล้องกับแหล่งพลังงานของแต่ละประเทศ

คุณ มาซาฮิโกะ มาเอดะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารประจำภูมิภาคเอเชีย กล่าวว่า “No one should be left behind.” เพื่อจะบอกว่าเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

คำพูดนี้คือหัวใจของกลยุทธ์ที่เรียกว่า Multi-Pathway Strategy ซึ่งกำลังจะกลายเป็นเสาหลักของ Toyota ทั่วเอเชียในช่วงทศวรรษหน้า เนื่องจาก Toyota ไม่ได้เลือกเดินทางเดียวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) เพียงอย่างเดียว แต่ยังสร้างรถยนต์หลากขุมพลัง เพื่อทำหน้าที่เป็นถนนหลายสาย ให้ทุกประเทศ ทุกคน สามารถขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายนั้นในแบบของตัวเอง

ในเชิงแผนงาน Toyota ประกาศชัดเจนว่า…

  1. Toyota จะสร้างความเข้มแข็งในคำมั่นสัญญาที่มีต่อวิสัยทัศน์ “Mobility For All” ทั่วทั้งเอเชีย โดยจะสร้างความมั่นใจว่าไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ผ่านแนวทาง Multi-Pathway ด้วยการนำเสนอโซลูชันการขับขี่มลพิษต่ำและไร้มลพิษ มุ่งมั่นตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าในเอเชียได้ภายใต้หลักการ 3 ประการ ได้แก่ “ดีที่สุดใน (แต่ละ) เมือง (Best in Town)” “ลูกค้ามาก่อน (Customers Comes First)” และ “เริ่มต้นด้วยการลงมือทำ (Start by Doing)”
  2. Toyota ในเอเชียจะขยายไลน์ผลิตภัณฑ์รถยนต์ Hybrid (HEVs) ราคาประหยัด เพื่อขับเคลื่อนการขยายฐานการผลิตรถยนต์ Hybrid ตามแนวทาง “Multi-Pathway”
  3. ทางบริษัทได้ประกาศแผนที่จะเริ่มการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEVs) ในประเทศไทยและอินโดนีเซียภายในสิ้นปีนี้ และในอีกสามปีข้างหน้า Toyota ตั้งเป้าที่จะเปิดตัวรถยนต์ขับเคลื่อนไฟฟ้า (xEV) เพิ่มอีกกว่า 10 รุ่นทั่วเอเชีย
  4. Toyota ในเอเชียปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การเปลี่ยนผ่านสู่ xEV ผ่านพันธกิจ “30 by 30 Mission” โดยตั้งเป้ายอดขาย xEV 30% ในภูมิภาคอาเซียนภายในปี 2030 ภายใต้กลยุทธ์ Multi-Pathway คาดว่ายอดขาย xEV สะสมในภูมิภาคจะทะลุ 5 ล้านคัน ซึ่งเทียบเท่ากับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยการปลูกต้นไม้ 25 ล้านต้น หรือลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 8 ล้านตัน
  5. นอกจากนี้ Toyota ยังประกาศเปิดตัว “Land Cruiser FJ” รุ่นใหม่ ซึ่งจะผลิตในประเทศไทย

 

กลยุทธ์ Multi-Pathway ยึดตามปรัชญา 3 ประการที่สืบทอดมาจากประธาน Akio Toyoda

1. Best in Town – ดีที่สุดใน (แต่ละ) เมือง

หนึ่งในสามปรัชญาหลักที่ Akio Toyoda ถ่ายทอดไว้ในยุค Next Chapter of Toyota คือแนวคิด Best in Town หรือ การเป็น ที่สุดในเมืองของคุณ มากกว่าการเป็น อันดับหนึ่งของโลก

มันคือการเข้าใจว่าความสุขของลูกค้าไม่ได้วัดจากตัวเลขยอดขาย แต่จากความรู้สึกว่า รถคันนี้ตอบโจทย์ชีวิตฉันได้ดีที่สุด Toyota เชื่อว่าความเป็นเลิศไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการเข้าใจภูมิประเทศ วัฒนธรรม และจังหวะชีวิตของผู้คนในแต่ละเมือง เพราะสิ่งที่ใช้ได้ดีในโตเกียว อาจไม่เหมาะกับจาการ์ตา หรือกรุงเทพฯ

จากแนวคิดนั้นเอง Toyota จึงพัฒนาแพลตฟอร์มระดับตำนานอย่าง IMV (Innovative International Multi-Purpose Vehicle) ขึ้นในปี 2002 เพื่อสร้าง พื้นฐานร่วม สำหรับรถหลายประเภทที่ตอบโจทย์ประเทศกำลังพัฒนาอย่างแท้จริง ผลลัพธ์คือการกำเนิดของ Hilux, Fortuner และ Innova รถที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนในเอเชีย และเป็นสัญลักษณ์ของคำว่า ทน ใช้ง่าย และเข้าถึงได้

สองทศวรรษผ่านไป Toyota กำลังจะต่อยอด IMV สู่ยุคไฟฟ้าด้วย IMV BEV รถกระบะพลังงานไฟฟ้าสำหรับคนทำงานจริงในภูมิภาคนี้ ที่ยังคงยึดหลักเดิม คือ ต้องใช้งานได้จริงก่อนสวยหรู และต้องเหมาะกับชีวิตประจำวันของคนเอเชียทุกระดับ

แนวคิด Best in Town ยังสะท้อนผ่านโครงการระดับภูมิภาคอย่าง Move Your World ที่ Toyota เอเชียเปิดตัวเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เพื่อสนับสนุนวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ในแต่ละประเทศ รวมถึงโครงการรากหญ้าที่จะเริ่มในปี 2026 ซึ่งมีเป้าหมายดึงพลังจากคนในท้องถิ่นมาร่วมออกแบบ การสัญจรที่ดีขึ้นในเมืองของตนเอง

ในมุมมองของ Toyota ดีที่สุดในเมือง ไม่ได้หมายถึงการทำให้รถหรูที่สุด หรือแรงที่สุด แต่มันหมายถึง รถที่คนอยากใช้จริงในชีวิตประจำวัน และนั่นคือสิ่งที่ Toyota ทำได้ดีที่สุดมาตลอดกว่า 70 ปีในเอเชีย เข้าใจผู้คนมากพอที่จะรู้ว่า ความยั่งยืนที่แท้จริง เริ่มต้นจากการอยู่ในชีวิตของพวกเขาได้อย่างกลมกลืน

 

2. Customers Come First – ลูกค้ามาก่อนเสมอ

ถ้า Best in Town คือcการสร้างรถให้เหมาะกับเมืองของคุณ Customer Comes First ก็คือการสร้าง ประสบการณ์ที่เหมาะกับคุณ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร

ในงาน Japan Mobility Show 2025 ค่าย Toyota ไม่ได้แค่เปิดตัวรถใหม่หลากหลายรุ่น ทั้ง Century, Lexus, GR, Toyota และ Daihatsu แต่ใช้โอกาสนี้สื่อสารสิ่งสำคัญกว่านั้น คือการแสดงให้เห็น วิธีคิดแบบหลายแบรนด์ หนึ่งวิสัยทัศน์ ที่ทุกค่ายในเครือมีบทบาทเฉพาะของตัวเอง แต่เป้าหมายเดียวกันคือ Mobility for All เพราะลูกค้าเกือบ 10 ล้านคน ที่ใช้รถ Toyota ทั่วโลกในแต่ละปี ต่างมีความต้องการไม่เหมือนกัน

สำหรับบางคน รถยนต์คือเครื่องมือทำงาน สำหรับอีกคน มันคือของเล่น หรือพื้นที่ส่วนตัวในชีวิตประจำวัน Toyota รู้ดีว่า ทุกคนสมควรได้รับทางเลือกที่เหมาะกับตัวเอง และนั่นคือเหตุผลที่แนวคิด Multi-Pathway เกิดขึ้น ไม่ใช่เพียงเพื่อขายรถหลายแบบ แต่เพื่อให้ทุกคนได้ขับเคลื่อนไปข้างหน้าในแบบที่เข้ากับชีวิตของตัวเอง

หนึ่งในดาวเด่นของงานปีนี้คือ Land Cruiser FJ รถ Off-road SUV ทรงกล่อง ขนาดกลางที่ชื่อสร้อย FJ ย่อมาจาก Freedom & Joy มันคือการตีความคำว่า Land Cruiser ยุคใหม่ ที่ต้องการตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มกว้างขึ้น จากรถสำหรับนักสำรวจกลายเป็น เพื่อนร่วมทางของคนเมืองที่มีหัวใจอยากออกไปไกลกว่าเดิม และที่สำคัญ มันจะถูก ผลิตในประเทศไทย นั่นหมายความว่าประเทศไทยไม่ได้เป็นแค่ฐานประกอบรถยนต์อีกต่อไป แต่จะกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตรถ Global Model ที่สะท้อนจิตวิญญาณ Freedom & Joy ออกสู่ทั้งภูมิภาค

Toyota ไม่ได้ลืมรากเหง้าของตัวเองที่เคยให้คำมั่นว่า Ever Better Cars หรือ รถที่ดีกว่าที่ผ่านมาเสมอ และในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนสู่พลังงานไฟฟ้า Toyota ก็เลือกจะพัฒนาแบบไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง พวกเขาเปิดทางเลือกให้ลูกค้าในทุกระดับ ตั้งแต่ Hybrid ราคาประหยัดอย่าง Yaris ATIV Hybrid สำหรับตลาดแมส ไปจนถึง BEV ที่จะเริ่มผลิตในไทยและอินโดนีเซียภายในปี 2025 รวมถึงโครงการทดลอง Biofuel สำหรับ Global South และสถานี เติมไฮโดรเจนต้นแบบ ที่จะเริ่มขึ้นในเอเชีย

ทั้งหมดนี้สะท้อนแนวคิดเดียวว่าการเป็น Customer-Oriented สำหรับพวกเขา ไม่ได้หมายถึงการตามใจลูกค้าในวันนี้ แต่คือการคิดแทนเขา เพื่อให้พร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้

ในอีกสามปีข้างหน้า Toyota ตั้งเป้าเปิดตัวรถยนต์ขับเคลื่อนไฟฟ้าทุกรูปแบบ (xEV) เพิ่มอีกกว่า 10 รุ่นทั่วเอเชีย เพื่อบรรลุพันธกิจ 30 by 30 Mission ให้รถพลังงานทางเลือกมีสัดส่วน 30% ของยอดขายทั้งหมดในอาเซียนภายในปี 2030 ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้กว่า 8 ล้านตัน หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 25 ล้านต้น

สุดท้ายนี้ Toyota ไม่ได้บอกว่า เราทำทุกอย่างดีที่สุด แต่เลือกจะบอกว่า เรารับฟัง และพร้อมทำสิ่งที่เหมาะกับคุณที่สุด และนั่นคือความหมายของคำว่า Customer Comes First ไม่ใช่แค่คำขวัญของบริษัท แต่คือหัวใจของแบรนด์ที่ยังเต้นอยู่ในทุกเมืองของเอเชีย

 

3. Start by Doing – เริ่มต้นด้วยการลงมือทำ

ถ้าปรัชญา Best in Town คือการเข้าใจเมือง และ Customer Comes First คือการเข้าใจผู้คน “Start by Doing” ก็คือการเข้าใจว่า การเปลี่ยนแปลงไม่เกิดขึ้นจากการพูด แต่เกิดขึ้นเมื่อเริ่มลงมือทำ

Toyota ในเอเชียไม่ได้รอให้ทุกอย่างพร้อมแล้วค่อยขยับ พวกเขาเริ่มทำตั้งแต่ตอนนี้ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้กลยุทธ์ Multi-Pathway แตกต่างจากคำว่า แผนอนาคต ของหลายบริษัท เพราะ Toyota ทำให้เห็นว่า ความยั่งยืน ไม่ใช่แค่คำสวยหรูบนเวที แต่คือการลงมือในทุกพื้นที่จริงของเอเชีย

ตัวอย่างที่เห็นชัดคือความร่วมมือในโครงการ Commercial Japan Partnership Technologies (CJPT) ซึ่งรวมเอาพันธมิตรยักษ์ใหญ่อย่าง Isuzu, Hino และ Suzuki มาร่วมพัฒนาโซลูชันขนส่งเพื่ออนาคต จากรถบรรทุกไฟฟ้าขนาดเล็ก ไปจนถึงระบบโลจิสติกส์ที่ใช้ข้อมูลจริง (Data-Driven Logistics) เป้าหมายไม่ใช่แค่การลดคาร์บอน แต่คือการทำให้ การขนส่งในเอเชีย มีประสิทธิภาพขึ้นทุกวัน

ขณะเดียวกัน Toyota ยังขยายบทบาทผ่าน Toyota Mobility Foundation (TMF) ซึ่งทำหน้าที่คล้ายห้องทดลองขนาดใหญ่ของเมืองโครงการเหล่านี้เน้นการร่วมมือกับภาครัฐ มหาวิทยาลัย และสตาร์ทอัพในแต่ละประเทศ เพื่อทดลองแนวทางแก้ปัญหาจราจร การเข้าถึงของผู้พิการ ความปลอดภัยของคนเดินเท้า และระบบขนส่งอัจฉริยะในเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ โตเกียว และจาการ์ตา

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใต้แนวคิดเดียว คือ การผสานระหว่าง ยานยนต์ พลังงาน และข้อมูล (Mobility + Energy + Data) เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างระบบการเดินทางที่ตอบโจทย์ เมืองจริงและคนจริง
Toyota ไม่ได้มองรถเพียงแค่ยานพาหนะอีกต่อไป แต่เห็นว่ามันคือ ชิ้นส่วนหนึ่งของระบบชีวิต ที่สามารถเชื่อมโยงพลังงานสะอาดกับข้อมูล และสร้างประโยชน์ให้สังคมในภาพรวม

หรือพูดให้ง่ายขึ้นก็คือ Toyota เลือกที่จะ เริ่มทำก่อน เพื่อให้คนอื่นเห็นว่าเส้นทางสู่ความยั่งยืนไม่ได้มีแค่ทางเดียว บางประเทศอาจเริ่มจาก Hybrid บางเมืองอาจทดลองใช้ Biofuel บางภาคอาจสร้างสถานี Hydrogen ต้นแบบ แต่ทุกการลงมือทำคือก้าวเล็กๆ ที่รวมกันแล้วจะกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงระดับภูมิภาค

ในยุคที่หลายบริษัทพูดถึงอนาคตสีเขียวบนสไลด์ PowerPoint แต่ Toyota เลือกหยิบประแจลงมือจริงในโรงงานและบนถนนของเอเชีย เพราะพวกเขาเชื่อว่า การพูดถึงอนาคตไม่ได้ทำให้อนาคตมาถึงเร็วขึ้น แต่เป็นการลงมือทำต่างหากที่ทำได้ และนั่นคือหัวใจของ Start by Doing ปรัชญาที่ไม่ต้องใช้คำอธิบายมาก แค่ลงมือ… แล้วให้ผลลัพธ์พูดแทน

 

บทบาทของประเทศไทยหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร ?

หนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญของยุทธศาสตร์นี้ คือการที่ ประเทศไทยถูกระบุให้เป็นฐานการผลิต BEV แห่งแรกในเอเชีย (ควบคู่กับอินโดนีเซีย) นี่ไม่ใช่เพียงข่าวดีของอุตสาหกรรม แต่คือ การกลับมาของความมั่นใจ ว่าประเทศไทยยังเป็นหัวใจของระบบนิเวศ Toyota Asia

โรงงานในไทยกำลังยกระดับจากฐานผลิตเครื่องยนต์และ Hybrid สู่การประกอบแบตเตอรี่ BEV และชิ้นส่วนไฟฟ้าเต็มรูปแบบ พร้อมทั้งขยายเครือข่ายซัพพลายเชนใหม่ให้สอดคล้องกับยุคพลังงานสะอาด ในขณะเดียวกัน Toyota ก็ยังคงรักษาฐานลูกค้าเดิมด้วย Hybrid ราคาประหยัด ซึ่งจะกลายเป็นสะพานเชื่อมจากยุค ICE สู่ยุค BEV

จุดเริ่มต้นของสะพานนั้นคือ Yaris ATIV Hybrid รถที่มีภารกิจสำคัญไม่แพ้รุ่นใหญ่ เพราะนี่คือ คันแรก ที่จะเปิดโอกาสให้คนไทยระดับแมสได้เข้าถึงเทคโนโลยี Hybrid ในราคาต่ำกว่าล้านบาท ถ้ามันประสบความสำเร็จ มันจะเป็นจุดเปลี่ยนเหมือนที่ Vios ปี 2003 เคยสร้างคลื่นใหม่ในตลาดซีดานไทย และเมื่อคนเริ่มคุ้นกับ Hybrid มากขึ้น การก้าวไปสู่ BEV ก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป Toyota จึงกำลังสร้างบันไดไฟฟ้าแบบ Step by Step

*****บทสรุป*****

ทางหลายสาย แต่เป้าหมายเดียว

หลายปีที่ผ่านมา Toyota มักถูกมองว่าช้าเกินไปกับการแข่งขันในตลาดรถไฟฟ้า แต่ในวันนี้ พวกเขาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า… ไม่ได้ช้า เพียงแต่เลือกวิ่งหลายเลนพร้อมกัน

เพราะถ้าอุตสาหกรรมยานยนต์คือการแข่งขันมาราธอน Toyota คือคนที่เข้าใจว่า การถึงเส้นชัยสำคัญกว่าการออกตัวเร็วที่สุด

กลยุทธ์ Multi-Pathway คือการบริหารความเสี่ยงระดับโลกอย่างมีชั้นเชิง มันทำให้ Toyota ไม่ต้องทุ่มหมดหน้าตักกับเทคโนโลยีใดเทคโนโลยีหนึ่งที่อาจยังไม่พร้อมในบางประเทศ
แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้พวกเขาอยู่ในทุกสนาม พร้อมกันได้ ไม่ว่าจะเป็น BEV, HEV, PHEV หรือแม้แต่ Hydrogen และเหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาก็มีสิ่งที่ค่ายหน้าใหม่ไม่มี นั่นคือ Human Capital หรือเครือข่ายบุคลากรที่ฝังรากอยู่ทั่วเอเชีย โรงงานที่เติบโตไปพร้อมผู้คน ซัพพลายเออร์ที่ร่วมพัฒนาเทคโนโลยีเคียงข้างกันมานานกว่า 70 ปี สิ่งเหล่านี้คือ ต้นทุน ที่ไม่สามารถสร้างขึ้นได้ภายในเวลาไม่กี่ปี

นอกจากนี้ คำว่า “Mobility for All” ที่ Toyota พยายามเน้น คือการบอกว่า ผลผลิตที่จะออกสู่ท้องตลาดต่อจาดนี้คือ… โอกาสในการเคลื่อนไหวสำหรับทุกคน ในโลกที่หลายค่ายเร่งสปีดเข้าสู่อนาคต กลับเลือกจะเดินไปพร้อมกัน ในโลกที่หลายค่ายแข่งกันเรื่องความเร็ว Toyota กลับเน้นความเข้าใจ และในยุคที่ใครๆ All-in กับเทคโนโลยี แต่กลับ All-in กับผู้คน

Toyota ไม่ได้รีบขึ้นเขา แต่เลือกสร้างทางขึ้นให้ทุกคนได้ใช้ร่วมกัน เพราะการเป็นผู้นำ ไม่ได้หมายถึงการอยู่ข้างหน้าเสมอไป แต่อาจหมายถึงการอยู่ตรงกลาง แล้วผลักให้ทุกคนไปถึงยอดพร้อมกัน นั่นคือภาพของ Toyota Asia ปี 2025 และบนถนนแห่งอนาคตที่มีหลายเส้นทาง ภายใต้แนวคิด การพยายามทำความเข้าใจตลาด และการลงมือทำเพื่อลูกค้าทุกคนจริงๆ

ถามว่า ผลลัพธ์ของกลยุทธ์ทั้งหมดนี้ จะประสบความสำเร็จหรือไม่ คงต้องให้ เวลาและผู้คนในภูมิภาคเป็นผู้ให้คำตอบ และเราทุกคน…

คงต้องรอติดตามกันต่อไป

————–//————–