วันที่ 2 มีนาคม 2565 กรมสรรพสามิต ในสังกัดกระทรวงการคลัง ทำการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตของรถยนต์ที่ออกจำหน่ายในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2565 – 2569 เป็นต้นไป โดยหลักใจความสำคัญนี้อยู่ที่การใช้ระบบความปลอดภัยขั้นสูง ADAS (Advanced Driver Assistance Systems) เข้ามาเป็นข้อกำหนด

ในอดีตกาลที่ผ่านมา การออกนโยบายของหน่วยงานรัฐบาลมักจะมีผลต่อการที่บริษัทรถยนต์จะติดตั้งเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาให้ ไม่ว่าจะเป็น ระบบความปลอดภัย ระบบลดมลพิษจากท่อไอเสีย หรือการติดตั้งขุมพลังขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% เช่นเดียวกับการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ในครั้งนี้ นับเป็นการกระตุ้นให้มีการติดตั้งระบบความปลอดภัย ADAS ในรถยนต์รุ่นต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยและลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุมากขึ้น

ระบบความปลอดภัย ADAS ที่จะถูกนำมาใช้กำหนดอัตราภาษีสมรรพสามิต ประกอบด้วย

  1. ระบบเตือนเมื่อออกจากเลน Lane Departure Warning
  2. ระบบรักษารถให้อยู่ในเลน Lane Keep Assist
  3. ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ Advance Emergency Braking System
  4. ระบบเตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning
  5. ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแปรผัน Adaptive Cruise Control
  6. ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา Blind Spot Monitoring

ข้อกำหนด จำนวนระบบความปลอดภัย ADAS ที่รถแต่ละประเภทต้องมี มีดังนี้

  • รถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) ต้องมีอย่างน้อย 4 ระบบ
  • รถเก๋งเครื่องยนต์สันดาปปกติ ต้องมีอย่างน้อย 2 ระบบ
  • รถกระบะไฟฟ้า 100% ต้องมีอย่างน้อย 2 ระบบ
  • รถกระบะเครื่องยนต์สันดาปปกติ ต้องมีอย่างน้อย 1 ระบบ

รถเก๋งไฟฟ้า 100% หรือ BEV หากติดตั้งระบบความปลอดภัยตามข้อกำหนด จะเสียภาษีลดลงจาก 8% เหลือ 2% หากไม่ติดตั้งระบบความปลอดภัยตามข้อกำหนด จะเสีย 8% เท่าเดิม และเพิ่มเป็น 10% ในปี 2569 ในขณะที่รถกระบะไฟฟ้า 100% หากติดตั้งระบบความปลอดภัยตามข้อกำหนด จะได้รับการสนับสนุนที่มากกว่า ด้วยอัตราภาษี 0% ไปจนถึงปี 2568

รถยนต์ Plug-in Hybrid รุ่นที่วิ่งได้ด้วยไฟฟ้าล้วนเป็นระยะทางมากกว่า 80 กิโลเมตร และมีความจุถังน้ำมันน้อยกว่า 45 ลิตร หากติดตั้งระบบความปลอดภัยตามข้อกำหนด จะเสียภาษี 5% หากไม่ทำตามข้อกำหนด จะต้องเสียภาษี 15 – 20% ส่วนรุ่นวิ่งได้ด้วยไฟฟ้าล้วนเป็นระยะทางต่ำกว่า 80 กิโลเมตร และมีความจุถังน้ำมันมากกว่า 45 ลิตร หากติดตั้งระบบความปลอดภัยตามข้อกำหนด จะเสียภาษี 10% หากไม่ทำตามข้อกำหนด จะต้องเสียภาษี 15 – 20%

รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปปกติ และ Hybrid จะถูกจัดเก็บภาษีตามอัตราการปล่อยมลพิษ (CO2) เช่นเดิม แต่มีการปรับอัตราภาษีใหม่ให้เหมาะสม อาทิ รุ่นที่ปล่อย CO2 ระดับ 150 – 200 กรัม/กิโลเมตร จะมีการปรับเพิ่มขึ้น เริ่มจากปี 2569 เสีย 29% ปี 2571 เสีย 31% และปี 2573 เสีย 33% หากไม่มีการติดตั้งระบบความปลอดภัยมาให้ตามกำหนด จะต้องเสียเพิ่มเป็น 35 – 40%

นอกจากนี้ จะมีการยกเลิกการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตตามนโยบายส่งเสริมให้เกิดโครงการ ผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ Eco Car ทั้ง Phase 1 ในปี 2566 และ Phase 2 ในปี 2568

หากมีประกาศในราชกิจจานุเบกษาออกมามีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ เราจะทำการเจาะลึกอัตราภาษีสรรพสามิตอัตราใหม่อย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง