Haval Jolion Ultra (Hybrid SUV)

???? THB (ยังไม่ประกาศ อีกแล้วครับท่าน)

Likes: คันโตสุดในคลาส พื้นที่ภายในกว้างสุดในคลาส และอุปกรณ์ติดรถก็น่าจะเยอะที่สุดในคลาส ช่วงล่างมาแนวกลางๆแต่ขับคล่องมั่นกว่า H6 รุ่นพี่

Dislikes: 190 แรงม้าแต่อัดหนักๆแล้วม้าจะหายไปทีละหน่อยๆ เข็มขัดปรับสูงต่ำไม่ได้ Interface ของจอกลางใช้ยากเหมือน H6

Haval Jolion นี้นับเป็นหนึ่งในหัวหมู่ทะลวงฟันของ GWM ในการขยายอาณาจักรของพวกเขาบนแดนสยาม เพราะรถพิกัด B-SUV/Crossover นั้น เป็นที่นิยมกว้างขวาง สร้างยอดขายได้เยอะกว่ารถระดับ C-SUV อย่าง H6 หรือ CR-V มาก ทำให้เป็นตลาดที่พวกเขาเล็งไว้ตั้งแต่แรก แต่ที่ใช้แผนเปิดตัวรถใหญ่ก่อนรถเล็ก ก็อาจจะเป็นการวางแผนการสร้างภาพลักษณ์รถใหญ่ราคาเกินล้านเป็นฐานมั่นเอาไว้ก่อน เพราะถ้าคุณเริ่มต้นด้วยรถราคาถูก ผู้คนก็จะจำแบรนด์ของคุณในฐานะแบรนด์ผลิตรถราคาถูก ต่อให้คุณสร้างรถที่บินได้แล้วก็ตาม

เรื่องรูปทรง พวกคุณมีความเห็นอย่างไรกันครับ? สำหรับผมแล้ว Jolion นั้นออกจะมีดีไซน์ที่แฝงเส้นสายกวนๆเอาไว้ ในขณะที่ H6 พี่ของมันนั้นดูง่ายต่อสายตา มีบุคลิกที่ล้ำยุคแต่เรียบร้อยกว่า แต่มันก็เป็นเหมือนประเพณีอะไรสักอย่างของ B-SUV สมัยนี้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าตลาดอย่าง Corolla Cross หรือ HR-V ตัวใหม่ หรือสายอินดี้อย่าง Kicks นั้น ต้องมีการทำรูปทรงให้สวยบางจุดและขัดตาบางจุดสลับกันไป จะมีก็แต่ Mazda ล่ะมั้งที่พยายามทำรถให้ดูหล่อคมคายอยู่เสมอ

แต่เมื่อมามองภายใน ผมว่าคนส่วนใหญ่จะชอบ กับภาษาทางการออกแบบที่ถอดมาจาก H6 ซึ่งก็ออกแบบโดยอดีตดีไซน์เนอร์จาก Range Rover มันดูสวยล้ำยุคมาก การใช้แผงมาตรวัดทรงปกติ ทำให้มันดูมีความสปอร์ต เป็นรถ มากกว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า วัสดุที่ตกแต่งตามจุดต่างๆในรุ่นท้อปอย่าง Ultraนั้น มีการผสมผสานทั้งพลาสติกสี Rose Gold, สีเงินซาติน และลายคาร์บอน วัสดุนุ่มก็มีหลายจุด ยิ่งการพิมพ์ลายคลื่นลงบนหนังที่หุ้มแดชบอร์ดตอนกลาง ต้องยอมคำนับเลยว่าพี่คิดได้ไงเนี่ย เก๋มาก

ด้านการจัดสรรพื้นที่ในรถ ก็ทำมาได้ดีสมกับที่ตัวโตสุดในคลาส (ใหญ่กว่า Corolla Cross ไม่กี่เซนติเมตร) ผมสามารถนั่งบนเบาะหน้า แล้วมีเนื้อที่ไหล่กับเข่าเหลือเฟือ..ย้ายตัวเองไปนั่งข้างหลัง แล้วมีที่วางขาแบบยาวๆ สอดขาใต้เบาะได้ พื้นที่เหนือศีรษะ ก็ยังเหลือเยอะ (ผมสูง 183 เซนติเมตร) รถคันนี้สามารถรองรับการใช้ชีวิตของหนุ่มสาวโสด ไปจนถึงวันที่พวกคุณพบกัน เริ่มไปไหนมาไหนด้วยกัน ไปจนถึงวันที่ลูกคนแรกคลอดเลยทีเดียว แต่ถ้าเป็นเรื่องการบรรทุกสัมภาระ ดูเหมือนว่าด้านท้ายของ Corolla Cross จะได้เปรียบ เพราะ Jolion เจียดพื้นที่ไปให้ความสำคัญกับคนนั่งแถวสองมากกว่า

อุปกรณ์ต่างๆ ให้มาในระดับที่น่าพอใจ ระบบช่วยเหลืออิเล็กทรอนิกส์ Adaptive Cruise Control ระบบรักษารถให้อยู่ในเลน ระบบเตือนและเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ หลังคา Panoramic กล้อง 360 องศาและอื่นๆอีกหลายรายการ ครบทั้งลูกเล่นและเรื่องความปลอดภัย แต่จะมีอยู่สองสามอย่างที่ขาดไปก็คือ ฝากระโปรงท้ายแบบไฟฟ้า พวงมาลัยปรับเข้า/ออก และเข็มขัดนิรภัยแบบปรับระดับให้สายเข็มขัดพาดผ่านไหล่พอดีๆ ..ยิ่งพอเจอรถของ GWM หลายรุ่น ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ที่จีนนั้น  ความสบายจากสรีระศาสตร์การนั่งขับรถอาจไม่สำคัญเท่าจำนวนออพชั่นในลิสต์..ทีมไทยน่ะพยายามขอทางจีนแล้วครับ แต่ทางจีนบอกว่าบ้านเขาก็ขายแบบนี้ จะเพิ่มให้เราประเทศเดียว ก็คงยังไม่ได้

คอนโซลยังมาในแนวคลีน ปรับให้เหลือปุ่มกดน้อยที่สุด แล้วเอาทุกอย่างไปอยู่บนจอกลางขนาด 12.3 นิ้ว ซึ่งเมนูต่างๆนั้น ผมไม่ชอบ..คุณจะใช้ทัชสกรีนก็ได้ แต่การที่ออกแบบปุ่มต่างๆมาเล็ก ตัวอักษรก็เล็ก ก็คงมีแต่วัยรุ่นตาดีๆที่อ่านออก กดใช้งานยากโดยเฉพาะเมื่อขับรถอยู่ ผมอดคิดไม่ได้เลยว่า คนที่ออกแบบหน้าจอในเมนูต่างๆนี่เคยลองพยายามใช้จอของตัวเองตอนขับบ้างหรือไม่ เคยลองดูวิธีการวางปุ่ม จัดเมนู บริหารหน้าจอของรถค่ายอื่นบ้างหรือไม่ การเป็นทัชสกรีน ก็ไม่ได้เป็นเรื่องแย่ทั้งหมด ถ้าคุณสามารถออกแบบให้มันใช้งานได้ง่ายและปลอดภัย

ในด้านการขับขี่ ขุมพลังไฮบริดนั้น ประกอบไปด้วยเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ที่ไม่มีเทอร์โบอย่างที่ H6 เขามี ทำให้แรงม้าจากเครื่องลดลงมาเหลือแค่ 95 แรงม้า ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้า ก็มีพลังน้อยกว่า H6 คือเหลือ 156 แรงม้า พลังรวมของระบบขับเคลื่อน เคลมไว้ที่ 190 แรงม้า กับแรงบิด 375 นิวตันเมตร เวลากดคันเร่งเต็ม ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ มีการส่งกำลังไปล้อทั้งสองอย่าง

อัตราเร่ง 0-100 ผมทำโดยน้ำหนักบรรทุกมากกว่ามาตรฐานปกติของเว็บ Headlightmag ก็ยังทำได้ 10.1-10.2 วินาที และเร่ง 80-120 จบใน 7.1-7.2 วินาที ทำให้ Jolion มีดีกรีความดุ เป็นรอง Nissan Kicks นิดหน่อย สูสีรถเบนซินอย่าง CX-3 2.0 และ CX-30 และไปได้เร็วกว่า Corolla Cross มาก อย่างไรก็ตาม ปัญหามันอยู่ที่ว่า ถ้าหากคุณกระแทกคันเร่งซ้ำๆ ลากยาวๆเหมือนคนปวดขี้ระยะสุดท้ายกำลังวิ่งตามหาส้วม พละกำลังของมันก็จะน้อยลง อาการแปลกๆเริ่มมา เช่น ช่วงแซง 80-120 ที่ผมลองซัดซ้ำหลายๆรอบ แล้วพบว่าตัวเลขมันช้าลงเรื่อยๆ จาก  7 เป็น 9…หรือแม้กระทั่ง 10 วินาทีก็เจอ ส่วนความเร็วสูงสุดนั้น ล็อคที่ 156 kmh ครับ

หลายคนที่ใช้ Toyota ไฮบริด จะทราบอยู่แล้วว่า แบตน้อย หรือมอเตอร์เริ่มร้อน พลังก็จะหด แต่ผมก็ต้องบอกว่าของ Jolion นั้น แค่ทำ 80-120 ติดกัน 4 ครั้งก็เห็นการเสื่อมสมรรถภาพของขุมพลังได้ชัดเจนแล้ว..ไม่ต้องซิ่งวิ่งข้ามเมืองกันหรอก ดังนั้น ขาโหด..เสียใจด้วยครับมันไม่เหมาะกับคุณ แต่สำหรับคนทั่วไปที่นานๆกดคันเร่งมิดด้ามที คุณไม่มีปัญหาอะไรกับมันหรอก

ช่วงล่าง มาในแนวเป็นกลาง มีความแข็งให้รู้สึกบ้างบนถนนขรุขระหรือเวลาวิ่งผ่านสันถนนคมๆ แต่ถ้าคุณพยายามบู๊กับมัน อาการยวบของช่วงล่างก็มาให้เห็น มันอาจจะไม่ได้สปอร์ตนัก แต่ก็เซ็ตบาลานซ์ความเกาะ/ความนุ่ม มาได้ใกล้เคียง Corolla Cross มาก ซึ่งเป็นรูปแบบช่วงล่างที่ผมมองว่าโอเคแล้ว ถ้าคุณจะเน้นขายคนหมู่มาก ถึงวิ่งที่ความเร็ว 140 แล้วเปลี่ยนเลนแรงๆ มันจะไม่สนุกนัก แต่ก็ยังดีกว่าช่วงล่างเรือสำลีของ H6 แล้วกัน เช่นเดียวกับพวงมาลัยที่ปรับน้ำหนักได้ 3 ระดับ ซึ่งเซ็ตมาหน่วงมือกว่าพวงมาลัยเบาๆของ H6 ชัดเจน

นอกจากนี้ Jolion ไม่มี Paddle Shift หรือโหมดเกียร์ที่สามารถสั่งเพิ่มแรงหน่วงมอเตอร์สำหรับการขับบนเขาได้โดยง่าย การจะปรับแรงหน่วง ก็ต้องเข้าเมนูที่จอกลางอยู่ดี และแรงหน่วงที่ได้ก็น้อยมาก ทำให้น่าคิดว่าถ้านำไปขับลงดอย ระบบเบรกจะรับไหวหรือไม่

ท้ายสุด เมื่อมองภาพรวมทั้งคัน Jolion ก็เป็นรถที่หรู ของเล่น (เกือบ) ครบ และขับใช้งานในชีวิตประจำวันได้ง่าย เรี่ยวแรงมีให้อย่างพอเพียง ไม่สปอร์ต แต่ไม่ถึงกับไร้พิษสง เป็นรถที่น่าจะทำให้เจ้าตลาดเริ่มรู้สึกเสียวสันหลังได้มากด้วยสิ่งต่างๆที่มันมีให้ แต่ที่เหลือ ก็ต้องดูราคาว่าจะเปิดมากี่บาท