THE CLIP รีวิว Mercedes-AMG GT 53 4 Matic+ Four-door Coupe

9,990,000 THB

Likes: เป็นรถซีรีส์ “53” ที่ช่วงล่างดีสุด เครื่องยนต์ เกียร์และเบรก ทำงานดีทั้งในเมืองและบนทางซิ่ง เบาะหลังมีที่เยอะกว่า CLS แถมได้ความ Rare เพราะมีแค่ 20 คันในไทย

Dislikes: ไม่มี Cruise Control แปรผัน ไม่มี Blind Spot Monitoring และระบบเซฟตี้เชิงป้องกันมากเท่า CLS 53 แต่ราคารถสูงมาก มีตัวเลือกอีกหลายตัวที่ให้สิ่งต่างๆเทียบกับค่าตัวคุ้มค่ากว่า

ถ้าพูดในเรื่องของตำแหน่งการตลาด อธิบายง่ายๆว่ารถอย่าง AMG GT ทั้งคูเป้และสี่ประตูนั้น กลุ่มลูกค้าจะเป็นมหาเศรษฐีอยู่แล้ว ในขณะที่ E-Class กับ CLS-Class นั้น คนฐานะปานกลางที่หาเงินหรือทำงานเก่งก็สามารถเป็นเจ้าของได้ เจ้าของรถอย่าง GT Four-door มักจะมีซูเปอร์คาร์อยู่ในบ้านแล้ว แต่ต้องการอะไรสักอย่างที่ ยังดู “ซูเปอร์” อยู่ แต่ขับทุกวันได้ ซิ่งก็ได้ จะนั่ง จะเข้าออกก็สบาย และด้วยขนาดตัวรถยาวทะลุ 5 เมตร ก็ช่วยไม่ได้ที่จะถูกนำไปเทียบกับ Porsche Panamera

GT 53 ก็คือรถที่สร้างมาเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่อยากได้ทุกอย่างเหมือน GT 63 S แต่ไม่ต้องเน้นสมรรถนะมากเท่า..อย่างไรก็ตาม ไม่ได้แปลว่ามันอืด ในทางตรงกันข้าม พลัง 435 แรงม้าจากเครื่องยนต์ M256 3.0 ลิตร ที่มีทั้งเทอร์โบไอเสีย และเทอร์โบไฟฟ้าที่สามารถปั่นจี๋ได้เมื่อกล่องสั่ง สร้างบูสท์ที่รอบต่ำได้ 6.6PSI ทั้งหมดนี้ ทำให้ขุมพลัง “53” แม้จะแบกน้ำหนัก 2 ตัน ก็ยังออกตัวปลิว แล่นฉิวเหมือนเบนซ์ V8 NA สมัยก่อนโดยไม่มีอาการรอรอบ แถมยังลากลื่นๆชนเรดไลน์ 0-200 วิ่งอากาศร้อนๆยังจบใน 18 วินาที สุ้มเสียงในโหมด Sport+ นั้น เร้าใจดีอีกต่างหาก

ที่สำคัญคือ เวลาขับในเมืองแบบเรียบร้อยๆ คุณจะไม่รู้สึกถึงความเป็นไฮบริด แม้ขุมพลังนี้จะเป็น Mild Hybrid เพราะมอเตอร์เล็กนิดเดียว และจะดับเครื่องก็ต่อเมื่อคุณเปิดใช้ Start/Stop หรืออีกทีนึง ก็คือคุณเข้าโหมด Individual แล้วเซ็ต Engine เป็น Reduce เวลาถอนคันเร่งช่วงความเร็ว 90 ลงมา เครื่องจะดับ ให้คุณร่อนไหลต่อได้ไกลโดยที่แอร์ยังเย็น และพวงมาลัยไม่หน่วงเพิ่ม นอกเหนือจากสองข้อนี้ไป GT 53 ทำตัวเหมือนรถสันดาปภายในทุกประการ รวมถึงเบรก ที่มีน้ำหนักต้านเท้าแบบรถสปอร์ต ตอบสนองดีอย่างเป็นธรรมชาติ

ช่วงล่าง เขามาแปลก ในขณะที่ E 53 กับ CLS 53 ซึ่งเป็นรถที่ถูกกว่าใช้ช่วงล่างถุงลม GT 53 กลับใช้สปริงเหล็กดั้งเดิม บวกกับโช้คอัพที่ปรับแปรผันความหนืดได้ แต่พอลองขับจริงก็พบว่า บนถนนขรุขระ ไม่ได้กระด้างกว่า CLS 53 มากนัก จริงๆจะกระด้างกันคนละแบบ CLS ใช้ยางแก้มบางกว่า จึงไวต่อกรวด แต่ GT 53 ที่แก้มยางหนาแต่ช่วงล่างแน่นปึ้ก จะสะเทือนเมื่อเจอลูกระนาดโตๆ ดังนั้น ถ้าวิ่งในเมือง แน่นอนว่าไม่นุ่มสบายแบบ E 300 e หรือเบนซ์บ้านพ่อ แต่พอเล่นบทบู๊ พูดเลยว่า คุณจะช่างแม่งกับถุงลมทันที เพราะช่วงล่าง GT 53 ตอบสนองดี ดีดตัวกลับและยุบในลักษณะที่เป็นรถสปอร์ตจริง คนรักการขับขี่จะชอบช่วงล่างแบบนี้ มันหนักแน่นยามวิ่งเร็ว ยิ่งเพิ่มความเร็วบนมอเตอร์เวย์ รถยิ่งนิ่งกว่า CLS ผิวไฮเวย์ไม่เรียบ

ระบบเบรก อันนี้ก็แปลก จานหน้า เส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า CLS 53 10 มม. แต่ได้คาลิเปอร์ 6 พอทแทนที่จะเป็น 4 พอท ระบบเบรกทั้งยวงของ GT 53 เอามาจาก E 63 (รุ่นไม่ S) ดังนั้นมันจึงพอล่ะ กับรถ 6 สูบที่ม้าน้อยกว่าอย่าง GT 53

สำหรับภายในรถ มีจุดดีตรงที่ ความสูงของรถที่เพิ่มมา บวกกับลักษณะประตูหลังและขนาดตัวรถที่โตกว่า ทำให้ GT 53 เป็นรถทรงเตี้ยลิ่มดูเหมือน CLS 53 แต่เข้าออกสบายกว่า ยิ่งลองเข้าออกเบาะหลังหรือลองนั่ง พบว่าพื้นที่ต่างกันชัดเจน แต่ในเรื่องอุปกรณ์นั้น น่ากุมขมับมาก เพราะถ้ามองจากมุมของคนที่สามารถซื้อรถสิบล้านได้ ก็ควรจะให้ของมาครบๆ แต่นี่ไม่มี Adaptive Cruise Control, Lane Keeping Assist, Blind Spot Monitoring ซึ่งทั้งหมดนี้ CLS 53 มีให้ ในความเห็นผม ผมคิดว่าสู้ใส่ของให้ครบ แล้วจะตั้งราคาแพงไปเลยก็ไม่เป็นไร แต่คิดว่าเบนซ์อยากมี GT-Series ที่ต่ำกว่าสิบล้านใน Price List บ้าง ก็ไม่ว่ากัน

ท้ายสุด GT 53 ก็เป็นรถประเภท Multi-talent Cruiser คือเป็นรถที่วิ่งทางไกลด้วยความเร็วระดับหาพระแสงได้สบาย ขับเล่นบนภูเขาก็ได้ พาแม่ไปช้อปปิ้งหรือทานข้าวก็ยังได้แต่แม่อาจจะบ่นโช้คแข็งหน่อย มันคันเดียว ทำได้หลายอย่าง แต่ราคานี่สิ ไปไกลเลย..

ดังนั้น ถ้าหลายคนจะบอกว่า ไปเล่น CLS 53 คุ้มกว่า หรือ ราคานี้ ไปซื้อ Panamera ดีกว่า..ถ้าผมเถียงคุณผมก็บ้าละครับ เพราะม้าต่อบาท ยังไงก็แพ้ ถ้าผมมีเงินสิบล้าน ผมก็คงไปหาสองตัวนั้นมากกว่า..มี 50 ล้าน ผมก็คงไปสองตัวนั้นมากกว่า..แต่ถ้ามีร้อยล้าน ผมเอา GT แน่นอน..แต่ก็คงเป็น 63 มากกว่า 53

แต่ผมคาดว่า คนที่ซื้อรถอย่าง GT 53 คงไม่ใช่คนที่เปิด Headlightmag ดูก่อนซื้อรถ เขาเหล่านี้ น่าจะเป็นคนที่ มีเงินพร้อมจ่าย ซื้อรถด้วยความรู้สึกเหมือนการจีบสาว ไม่ได้เปิดตาราง ไม่ได้เอาสินสอดมาวัดความคุ้มค่า ที่บ้านอาจจะมี Porsche อยู่แล้วก็ได้ หรือไม่ก็เป็นคนที่อยากได้ซาลูนทรงเปรียวตัวโตแบบ Panamera แต่ไม่อยากใช้หรือแอนตี้รถถ่าน (ซึ่ง Panamera ในไทยตอนนี้เลิกทำตลาดรุ่นหกสูบที่เป็นเบนซินล้วนไปแล้ว) ตรงนี้ ก็เป็นสิทธิ์และความชอบของแต่ละท่าน ไม่มีคำว่ารวยแล้วต้องโง่ถึงซื้อได้ เพราะคนที่บอกว่าคนอื่นรวยแล้วโง่ ก็ไม่ได้รวยเท่าคนที่เขาด่าน่ะครับ