Toyota C-HR 1.8 MID (เบนซิน) – ราคา 1,039,000 บาท

(อ้างอิงจากเว็บไซต์ Toyota ณ ตุลาคม 2018)

  • Likes: ช่วงล่างนุ่มพอได้และเกาะถนนดี เกียร์ CVT ขยันขันแข็งบู๊ได้บุ๋นได้ ขับสนุกกว่ารุ่นไฮบริด ตำแหน่งการขับขี่ลงตัวสำหรับคนหลายขนาด
  • Dislikes: อุปกรณ์ สีสวยๆ และระบบเซฟตี้ขั้นสูง เอาไปประเคนให้ตัวไฮบริดหมด วัสดุและการตกแต่งภายในไม่ได้เหนือคู่แข่งอย่างที่คิด เบาะหลังนั่งสบายแต่วิวหน้าต่างทำให้รู้สึกแคบ

แต่ไหนแต่ไรมา พอนึกถึงชื่อ Toyota เราจะนึกถึงแต่รถที่ยึดมั่นในสามสิ่ง 1. ทนทานใช้ง่าย 2. ยึดทางสายกลาง 3. ช่วงล่างงั้นๆ มันเป็นสูตรที่ทำให้รถของค่ายนี้ยอดขายเดินได้ดีในทุกที่แต่ไม่ใช่รถประเภทที่สามารถเรียกเสียงซู้ดปากจากคนบ้ารถหรือนักวิเคราะห์รถหลังแป้นคีย์บอร์ดได้ แต่เมื่อ Akio Toyoda ผู้บริหารหนุ่มแว่นใจถึงเข้ามามีบทบาทในการกำหนดทิศทางของรถค่ายนี้ หลายสิ่งหลายอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป และหลักฐานพิสูจน์แรกคือ C-HR

ผมนึกแทบไม่ออกว่ามี Toyota ในระดับรถบ้านสำหรับชนชั้นกลางรุ่นไหนที่ทำช่วงล่าง พวงมาลัย และการเซ็ตฟีลแป้นเบรกออกมาแล้วจบ อาจจะมี Vios โฉมบริตนีย์รุ่นปี 2003 ที่ขับดีเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมคลาส แต่นอกจากนั้นแล้วก็มี Altis ESport ที่ช่วงล่างใช่ แต่อย่างอื่นยังไม่จบ C-HR 1.8 เบนซินคันนี้เป็นรถคันแรกที่จบในทั้งสามหัวข้อ ฤทธิ์ของแพลทฟอร์ม TNGA นั้นเวิร์กจริง ช่วงล่างซับแรงกระแทกเล็กๆน้อยๆได้ดีกว่า HR-V และ CX-3 แต่พอวิ่งเร็วๆแล้วโยกเล่น กลับหนึบ แน่น อยู่หมัด  จนบางทีผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาแอบไปให้ Subaru ช่วยเซ็ตช่วงล่างให้หรือเปล่า

นอกจากนี้ พละกำลังจากเครื่อง 1.8 ลิตรกับเกียร์ CVT ของมัน ก็มีการตอบสนองที่เป็นธรรมชาติ และเมื่อต้องการเรียกพละกำลังมาใช้ มันก็กระวีกระวาดเสียยิ่งกว่าบริกรร้านอาหารญี่ปุ่นพันธุ์ไฮเปอร์ นอกจากจะมีการไล่รอบขณะกดมิดให้รู้สึก Entertain ในระดับหนึ่งแล้ว มันยังฉลาดพอที่จะคาอัตราทดเอาไว้เวลาซัดๆมาแล้วยกคันเร่ง แน่นอนล่ะถ้าวัดจากอัตราเร่ง HR-V ก็ยังไวกว่า และถ้าจะดูเรื่องความสนุกเวลาขับ CX-3 2.0 ลิตรเกียร์ 6 จังหวะก็ยังเร็ว และมันส์กว่าด้วยสไตล์ของเกียร์

ภายในห้องโดยสาร แม้ว่าหลายคนจะชื่นชอบ แต่ผมกลับรู้สึกเฉยๆ เส้นสายบางส่วนล้ำอนาคต แต่ก็ยังมีส่วนที่ดูโบราณแฝงอยู่ตามรายละเอียดเล็กๆ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าดูเรื่องวัสดุตามจุดต่างๆ ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีตรงไหนที่เด่นกว่าคู่แข่ง แต่ถ้าเป็นเรื่องความแน่นหนาในการประกอบก็จะดีกว่า HR-V อยู่บ้าง เบาะนั่งหน้าเกือบจะสบายในกรณีของผม ซึ่งเป็นคนชอบนั่งแบบตั้งพนักพิงหลังขึ้น หมอนรองศีรษะจะดันไปข้างหน้าจนผมรู้สึกรำคาญ แต่ถ้าเป็นคนที่ชอบนั่งแบบเอนเบาะ จะกลายเป็นว่าดันไม่มาก

เบาะหลังนั้น หลายคนบอกว่าแคบ จริงๆไม่ได้แคบ แต่หน้าต่างของประตูหลังมีขนาดเล็ก ทำให้รู้สึกอึดอัด ทั้งที่ความจริง ดีไซน์ของเบาะและพื้นที่เหยียดแขนและขานั้นสบายกว่า CX-3 แบบคนละเรื่อง

อุปกรณ์ต่างๆ มีมาให้ในระดับที่โอเคสำหรับราคาล้านนิดๆ คุณได้ถุงลมนิรภัย 7 ใบ ระบบ VSC/TRC มีระบบเตือนแรงดันลมยางอ่อน แต่ไฟหน้ายังเป็น Projector แบบหลอดฮาโลเจน (ซึ่งผมเองนั้นชอบ แต่รู้สึกว่ารถราคาเกินล้านสมัยนี้ไม่น่ามีหลอดฮาโลเจนแล้ว) อุปกรณ์ความปลอดภัยขั้น Advance และของเก๋ๆอย่าง Blind Spot Monitoring ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ หรือ Radar Cruise Control จะมีเฉพาะในรุ่นไฮบริดตัวแพงสุด และที่น่าเจ็บใจคือแม้แต่สีสันสวยๆ ก็ไปอยู่ในตัวไฮบริด เหลือเพียงแต่สีขาว เงินอมเทาและดำเท่านั้นที่คุณจะเลือกได้ใน C-HR 1.8 เบนซิน

ดังนั้น ถ้าคุณเป็นคนที่รักแต่เครื่องสันดาปภายใน ต้องการรถที่เน้นขับสนุก แต่อยากได้ออพชั่นติดรถที่ครบครันทั้งของจำเป็นและของเล่นไฮเทค C-HR รุ่นเบนซินก็ทำได้ไม่ดีเท่า CX-3 2.0SP ซึ่งแพงกว่ากันราว 4-5หมื่นบาท แต่ได้อุปกรณ์เซฟตี้พอๆกับ C-HR Hybrid High แถมซันรูฟอีกหนึ่งดอก ส่วน HR-V นั้น ขณะนี้จะเป็นรถที่ไม่มีจุดเด่นเหนือคู่แข่งใดๆนอกจากการมีทั้งห้องโดยสารที่กว้างและให้ความรู้สึกโปร่ง ที่เหลือเป็นเรื่องของดีไซน์ที่จะถูกใจใครบ้างก็เท่านั้น