Volvo XC60 T8 Plug-in Hybrid R-Design – 3,590,000 บาท

Likes : ดีดออกตัวเดือดเหมือนรถแรลลี่ หรูแบบรถพรีเมียม ความปลอดภัยครบสุดในคลาส ประหยัดน้ำมันถ้าวิ่งไม่ไกล

Dislikes : แป้นเบรก Robot น้ำหนักไม่ธรรมชาติแบบรุ่นดีเซล วิ่งทางไกลๆและใช้ความเร็วจะกินน้ำมันมากกว่ารุ่นดีเซล

ก่อนอื่น ต้องบอกก่อนเลยว่า รถทดสอบคันนี้ เป็นรถโมเดลปี 2017 ซึ่งจะมีอุปกรณ์เยอะกว่ารถรุ่นปี 2018 ในราคาที่เท่ากัน สิ่งที่ถูกตัดออก คือเครื่องเสียง Bowers & Wilkins 1,100วัตต์ 15 ลำโพง ซึ่งถูกเปลี่ยนเป็น Harman Kardon 600 วัตต์ 14 ลำโพง และกล้องรอบคันที่ถูกเปลี่ยนเป็นกล้องมองถอยหลังแทน อุปกรณ์สองอย่างนี้จะมีอยู่ในรุ่น Inscription ซึ่งราคาแพงกว่า R-Design อยู่ 100,000 บาท

แต่ต่อให้ตัดอุปกรณ์สองอย่างนี้ออกไป XC60 T8 ก็ยังถือว่าเป็น SUV พรีเมียมขนาดกลางที่มีของเล่นติดรถมาให้เยอะที่สุดเมื่อเทียบกับคู่แข่งไม่ว่าจะเป็น Audi Q5, Mercedes-Benz GLC หรือ BMW X3 ทั้งรุ่นประกอบนอก และ ใน สิ่งพื้นฐานของที่รถระดับนี้ควรมี ก็มีทั้งหมด เบาะปรับไฟฟ้าพร้อมระบบความจำ หลังคากระจก Panoramic ระบบนำทางมาในจอกลางบนแดชบอร์ดที่เป็นแบบทัชสกรีนขนาดโต 9 นิ้ว (ที่ของจริงแอบดูโตกว่า 10.25 นิ้วของ BMW)

คุณอาจไม่มีแสงสีในห้องโดยสารมากแบบพวกรถเยอรมันและไม่มีระบบขยับไม้ขยับมือสั่งการ Gesture Control แบบ BMW แต่คุณได้ Adaptive Cruise Control และ Pilot Assist ซึ่งปรับความเร็วตามรถคันหน้า และสามารถหยุดรถนิ่งได้ด้วยความเนียนในการหยุดระดับเด็กสาวปีหนึ่งที่เพิ่งได้ใบขับขี่มา 2 เดือน ถ้าหยุดไม่เกิน 3 วินาทียังสามารถเคลื่อนตัวตามรถคันหน้าเองได้อีก ช่วยลดความเซ็งเท้าเวลารถติดแบบจะไปก็ไปช้า จะหยุดก็ไม่หยุดดีๆ แต่คุณควรระวังไว้อย่างนึงว่าเวลามีรถเบียดมาจากเลนข้างในระยะ 10-15 เมตรจากด้านหน้า ระบบของ Volvo กลับตรวจไม่พบ ต้องเหยียบเบรกเอง

และด้วยพลัง 407 แรงม้า 640 นิวตันเมตร มันกลายเป็นรถที่แรงสุดในคลาส เลือกโหมด Power แล้วตำคันเร่งจากจุดออกตัวซึ่งจะพาคุณไปแตะ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ในเวลาเท่าๆกับ WRX STi และแซง 80-120 จบในเวลาที่ไล่ AMG SLC43 นี่คือพลังจากมอเตอร์ที่เสริมเข้ามาช่วยในตีนต้นและจังหวะเร่งแซง แต่ถ้าหากเป็นการแช่ทำความเร็วสูง คุณเห็นว่ามันมี 400 กว่าม้า ปลายมันไม่ไหลแรงอย่างที่คิด ที่หลัก 1.7 กิโลเมตร XC60 T8 ทำความเร็วได้ 217 ซึ่งสำหรับรถ 400 กว่าม้าคุณอาจจะคาดหวังมากกว่านั้น

เช่นเดียวกับเรื่องความประหยัด ผมต้องเตือนแล้วเตือนอีก ให้ระวังเวลาเจอตัวเลขของรถ Plug-in ที่เห็น 22.4 กิโลเมตรต่อลิตร เราทำทดสอบที่ระยะ 92-95 กิโลเมตร แต่ถ้าคุณวิ่งยาวๆแล้วไม่มีการชาร์จแบตมาให้มากพอ ทำให้ต้องมีการชาร์จโดยเครื่องยนต์ระหว่างขับ ตัวเลขจะหล่นลงมา ขึ้นอยู่กับน้ำหนักเท้าคุณ วิ่ง 100 ไปเรื่อยๆยังมีลุ้น 14 กิโลเมตรต่อลิตร ลดเหลือ 12.3 ถ้าคุณวิ่ง 120 และมีการแซงมากขึ้น หรือ 10.2 กิโลเมตรต่อลิตรถ้าคิกดาวน์บ่อยและมีการชาร์จไฟ (ในการขับแบบเดียวกันนี้รุ่นดีีเซล D4 จะได้ 13 กิโลเมตรต่อลิตร)

คุณจะคาดหวังเรื่องช่วงล่างของรถ 400 ม้าด้วยเหมือนกัน แต่ในความเป็นจริง มันคือรถที่เซ็ตมาแบบ SUV/Crossover ทั่วไป มีความมั่นคงกว่า BMW X3 xLine ที่เป็นโช้คธรรมดา วิ่งเร็วๆโยนแล้วจะยวบมาก และถ้าเทียบกับ GLC250d Off-road เบนซ์จะแข็งสะเทือนกว่า ช่วงล่างหลังดีดกว่า XC60 จะมาในแนวแข็งเฟิร์มปานกลาง มุดสนุกแต่ถ้าเล่นโค้งแบบบ้าๆให้ระวังหน้าดื้อ ซึ่งแบบนี้ BMW กลับทำได้ดีกว่า ส่วน X3 M Sport นั้นสะเทือนแบบวัยรุ่นแต่ขับแล้วมั่นใจกว่า XC60..แต่ในคลาสนี้ถ้าคุณจะเอานุ่มด้วยแล้วหนึบด้วย เลี้ยวโค้งอยู่หมัดด้วย คุณเหลือตัวเลือกแค่ Lexus NX ช่วงล่าง Adaptive กับ Audi Q5 (ซึ่งผมเพิ่งได้ขับหลายวันหลังจากอัดคลิป XC60)

พวงมาลัยปรับน้ำหนักได้ 3 ระดับ ถ้าปรับไว้เบาสุด ก็จะโหวงเหมือนขับรถญี่ปุ่นคันเล็ก อาม่าเอาสองนิ้วคีบก็ดริฟท์บนลูกรังได้ แต่ปรับไว้หนักสุด มันจะขับแล้วเกร็งน้อยลง แต่ยังไม่หน่วงกลางแน่นเท่า XC60 D4 ดีเซล แป้นเบรก มาในสไตล์รถไฮบริด น้ำหนักต้านเท้าเบา/หนักเท่ากันตลอดการเหยียบ ต้องปรับตัวให้ชินกับแป้นเบรกถ้าต้องการจะหยุดรถให้นุ่มเนียนหน้าไม่ทิ่ม แป้นเบรกของรุ่นดีเซลมีน้ำหนักไล่จากเบาไปหนักและต้านเท้าอย่างเป็นธรรมชาติมากกว่า

โดยสรุปแล้ว หากคุณตีค่ารถพรีเมียมสักคันจากความครบของอุปกรณ์ ความเพียบพร้อมของระบบความปลอดภัย และความแรง XC60 T8 R-Design ตอบโจทย์นี้ได้ครบทุกอย่าง แต่ด้านช่วงล่างยังอยู่แค่ในระดับกลางๆของคลาส สิ่งที่เหลือก็มีแค่เรื่องการดูแลลูกค้าหลังการขาย ถ้ารถมีปัญหาแล้วมีใครดูแลได้บ้าง เรื่องนี้ลูกค้าก็ควรคิดเผื่อเอาไว้ โดยเฉพาะในเมื่อ XC60 T8 มีทั้งระบบขับเคลื่อนที่ซับซ้อนและระบบไฟฟ้าที่ควบคุมไปทุกส่วนของตัวรถ ซึ่งสิ่งเหล่านี้บางครั้งต้องรอเวลานานกว่าจะโผล่มา คนทดสอบรถคงตอบให้ครบไม่ได้