นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์  รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย มร.เคียวอิจิ ทานาดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด และ มร.ยาซูฮิโระ โยโมดะ ผู้อำนวยการ สายงานภาคพื้นเอเซียแปซิฟิค บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ร่วมเป็นประธานในพิธีฉลองความสำเร็จในการส่งออก รถกระบะ และ รถอเนกประสงค์ จากโครงการ IMV ทั้ง Toyota Hilux VIGO และ Toyota Fortuner สู่ตลาดโลก ครบ 1 ล้านคัน ในวันนี้ (1 กรกฎาคม 2010) ที่ท่าเรือ A5 บริเวณ ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี

โครงการ IMV: “Innovative International Multi-Purpose Vehicle”  เป็นโครงการพัฒนารถกระบะ รถยนต์ตรวจการอเนกประสงค์ และรถยนต์นั่ง มินิแวน 7 ที่นั่ง บนพื้นฐานเฟรมแชสซีร่วมกัน ผลผลิตแรก นั่นคือ เจเนอเรชันที่ 6 ของรถกระบะ Toyota ในชื่อ Toyota Hilux VIGO ออกสู่ตลาดครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2004 จากนั้น จึงได้เปิดตัว Toyota Fortuner ตามมาในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2004 รถยนต์ทั้งสองรุ่นได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับตลาดรถกระบะ 1 ตันในประเทศไทย เพราะนอกจากจะได้รับความนิยมจากลูกค้าในประเทศไทยเป็นอย่างสูงแล้ว ยัง เป็นการยกระดับครั้งสำคัญ ที่ทำให้ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กลาย เป็นฐานการผลิตระดับโลกสำหรับรถกระบะ ขนาด 1 ตันและ รถยนต์อเนกประสงค์ จากจุดเริ่มต้นในการส่งออกสู่ลูกค้ากว่า 90 ประเทศ และ ขยายไปยังลูกค้าใน 108 ประเทศ อีกทั้งยังมีแผนการที่จะขยายตลาดส่งออกอีก 9 ประเทศภายในเดือนตุลาคม 2553 รวมประเทศที่ส่งออกรถยนต์ในโครงการ IMV ทั้งสิ้น  117 ประเทศ

ในตลาดเมืองไทย Toyota Hilux VIGO และ Toyota Fortuner ได้รับความนิยมจากลูกค้าชาวไทยเป็นอย่างสูง ด้วยกระแสตอบรับอย่างดีตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ และต่อเนื่องจนมียอดจำหน่ายสูงสุดติดต่อกันถึง 4 ปี ครองส่วนแบ่งตลาดภายในประเทศถึงกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ มียอดขายสะสม ทั้งสิ้นกว่า 910,000 คัน นับจากการแนะนำเข้าสู่ตลาดประเทศไทยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2004 และยังยืนยันได้จากยอดการผลิตทั้งหมด ที่บรรลุ 1 ล้านคัน ไปแล้ว ตั้งแต่ปี 2008

สำหรับตลาดต่างประเทศ Toyota ได้เริ่มต้นส่งออกรถยนต์ในโครงการ IMV ทั้งไฮลักซ์ และ ฟอร์จูนเนอร์ ในรูปแบบรถยนต์สำเร็จรูป (CBU: Completely Built up Unit) แม่พิมพ์และชิ้นส่วนอะไหล่ที่ใช้ในการประกอบรถยนต์ (Assembly Parts) ครั้งแรก เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2004 ไปยังทุกภูมิภาคทั่วโลก ทั้งใน ASEAN , Oceania ,Africa ,Central America & South America, Middle East,Europe

มร. เคียวอิจิ  ทานาดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า “โครงการ IMV ไม่เพียงจะเป็นรถยนต์ที่มีส่วนแบ่งตลาดในประเทศสูงสุดเป็นอันดับ 1 เท่านั้น ในส่วนของภาคการส่งออก ยังสามารถครองส่วนแบ่งของการส่งออกรถกระบะสูงสุด มากกว่า 37% ของการส่งออกรถกระบะทั้งหมด”

“นอกจากนี้ยังทำการการส่งออกรถยนต์ภายใต้โครงการ ไอเอ็มวี ครบ 1 ล้านคัน โดยมีมูลค่าการส่งออกรถยนต์สะสมกว่า 430,000 ล้านบาท รวมกับการส่งออกชิ้นส่วนอะไหล่สะสมคิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 138,000 ล้านบาท สามารถนำเงินตรากลับสู่ประเทศไทยสร้างรายได้สะสมคิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 568,000 ล้านบาท”*( * ข้อมูลตั้งแต่ พฤศจิกายน 2004 – พฤษภาคม 2010)

การดำเนินโครงการ IMV ได้ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ และสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศในสัดส่วนมากถึงร้อยละ 94 ช่วยให้เกิดการพัฒนาและยกระดับผู้ผลิตชิ้นส่วนของไทย ให้มีความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล

นอกจากนี้ ยังมีส่วนสำคัญในการพัฒนาบุคลากรด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ นำไปสู่การก่อตั้งศูนย์พัฒนาทักษะการผลิตภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค (AP-GPC :Asia Pacific Global Production Training Center) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดความรู้ ทักษะการผลิต การบริหารการผลิต บนพื้นฐานของระบบการผลิตแบบโตโยต้า (Toyota Production System) ให้กับบุคลากรของเครือข่าย Toyota ทั่วโลก รวมถึงผู้ผลิตชิ้นส่วน

นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า “ใน นามของรัฐบาล  ผมภาคภูมิใจที่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ ที่มีส่วนสำคัญ ในการผลักดัน การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ภายใต้โครงการ IMV โดยทำการผลิตรถยนต์ เพื่อจำหน่ายทั้งตลาดภายในประเทศ และ ต่างประเทศภายใต้แนวคิดในการผลิต ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้อง กับนโยบายของกระทรวงในการ
ส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ ให้เติบโตเป็นอุตสาหกรรมหลัก ของประเทศ และนับว่า Toyota มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ในการส่งเสริมเศรษฐกิจและสังคมไทยให้เจริญก้าวหน้า ”

“โครงการ IMV นำมาซึ่งความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งของ Toyota ที่มีโอกาสในการส่งเสริมเศรษฐกิจและพัฒนาการของประเทศ ด้วยการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดถึงกว่า 30,000 ล้านบาท พร้อมด้วยการสร้างงานให้กับคนไทยกว่า 30,000 ตำแหน่ง ใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตภายในประเทศสูงสุดถึง  94% และยังมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ประเทศไทยอีกเป็นจำนวนมาก อาทิ การนำเทคโนโลยี การผลิตอันล้ำสมัย ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มาใช้ที่โรงงานโตโยต้า บ้านโพธิ์ ซึ่งเป็น 1 ใน 5 โรงงานแห่งความยั่งยืน (Sustainable Plant) และถือเป็นต้นแบบของเครือข่ายการผลิต รถยนต์ Toyota ทั่วโลก  ที่สำคัญ Toyota พร้อมแล้ว  ที่จะเดินหน้าผลักดันให้โครงการไอเอ็มวี  สมกับเป็น “Product Champion” ของประเทศไทยในระดับโลก และเป็นกลไกที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยให้มีความเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนสืบไป”   มร.ทานาดะ กล่าวในที่สุด