ปัญหาสำคัญของรถยนต์ Hybrid แทบทุกรุ่นเมื่อใช้ในเมืองใหญ่ที่มีการจราจรติดขัดเอามาก ๆ มักจะขับเคลื่อนรถความเร็วเฉลี่ย 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำให้ระบบ Hybrid หันมาใช้โหมดรถไฟฟ้าดึงพลังงานจากแบตเตอรี่ล้วน ๆ

 
 

ยิ่งเผชิญสภาพจราจรติดขัดนานเท่าไรระบบจะยิ่งดึงประจุแบตเตอรี่มากเท่านั้น ซ้ำร้ายระบบจะไม่สามารถเติมประจุผ่านกลไกทางเทคนิคต่าง ๆ ได้เลยเพราะหากวิ่งความด้วยความเร็วต่ำจะไม่ใช้เครื่องยนต์หลักในการปั่นพลังและเติมประจุ จะหวังพึ่งพาการเติมประจุผ่านแรงเฉื่อยจากระบบเบรคก็ได้ประจุแบตเตอรี่อันน้อยนิดยิ่งนัก

Toyota เล็งเห็นปัญหาพฤติกรรมการใช้รถ Hybrid สำหรับในเมืองใหญ่มานาน 10 กว่าปีแล้ว หากจะพัฒนารถ Hybrid ที่มีสายชาร์จประจุผ่านกระแสไฟฟ้าตามครัวเรือนหรือสถานีเติมประจุ ใช้เวลาขณะพักจอดรถในบ้านหรือระหว่างทำงานให้เป็นประโยชน์ เชื่อว่าน่าจะแก้ปัญหาแบตเตอรี่หมดประจุขณะใช้ในเมืองที่มีการจราจรติดขัดเหล่านี้ให้หมดไป อีกทั้งยังตอบสนอความต้องการใหม่ ๆ ได้อีกด้วย

Toyota จึงซุ่มพัฒนาจนแก้ปัญหาเหล่านี้ได้สำเร็จจึงเปิดเผย Prius Plug-in Hybrid Concept ในงานแฟรงก์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ อย่างเป็นทางการ

ทีมงานพัฒนาและวิจัยสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้รถในเมืองใหญ่ของประเทศอังกฤษ และฝรั่งเศสว่า ผู้คนส่วนใหญ่ราว 80% ใช้รถระยะทางต่อวันไม่ถึง 25 กิโลเมตร ยิ่งผู้ใช้ชาวอังกฤษราว 80% จะใช้งานในรถไม่ถึง 10 กิโลเมตร

 
 

ข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าเหล่านี้ทำให้ Toyota เล็งเห็นช่องทางการพัฒนา Hybrid เจเนเรชั่นต่อไปว่าควรจะพัฒนาให้วิ่งในโหมดรถไฟฟ้า (EV) สำหรับการใช้งานในเมืองได้นานเท่าที่จะทำได้ โดยไม่จำเป็นต้องพัฒนารถไฟฟ้าโดยเฉพาะเพราะลูกค้าเหล่านั้นใช้งานระยะทางสั้น ๆ เท่านั้น

ขั้นแรกต้องเปลี่ยนชุดแบตเตอรี่นิเคิลเมทัลไฮดรายที่ทั้งหนักและให้ประจุพลังงานต่ำแม้จะมีความปลอดภัยสูงก็ตามแต่เทคโนโลยีแบตเตอรี่วันนี้ไม่เหมือนในอดีตอีกต่อไปจึงหันมาใช้แบตเตอรี่ลิเธี่ยม ไอออน ที่ทั้งเบา กะทัดรัด ให้ประจุพลังงานสูงหนำซ้ำสามารถเติมประจุได้บ่อยครั้ง หมดกังวลว่าชุดแบตเตอรี่จะเสื่อมเมื่อไร ถือเป็นครั้งแรกของ Toyota ที่ใช้แบตเตอรี่ชนิดนี้หลังประกาศเมื่อ 2 ปีก่อนว่าขอเวลาพัฒนาให้มีความปลอดภัยจนไว้ใจได้เสียก่อนที่จะนำมาใช้

โปรดสังเกตว่าวิวัฒนาการพัฒนาแบตเตอรี่ของรถ Hybrid และรถไฟฟ้าจะคล้ายกับอุตสาหกรรมคมนาคมเครื่องลูกข่ายมากเพราะมนุษย์จะเริ่มผูกพันกับสินค้าเหล่านี้จนเป็นวงจรชีวิตที่ขาดไมได้นั่นเอง จึงต้องสรรหาเทคโนโลยีที่ช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานที่สุด

ผลจากการเปลี่ยนชุดแบตเตอรี่ใหม่ล่าสุดช่วยทำให้ Prius คันนี้สามารถทำความเร็วสูงสุด 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพิ่มระยะทางการวิ่งในโหมดรถไฟฟ้าเฉลี่ย 20 กิโลเมตรหากเทียบกับ Prius ที่ใช้แบตเตอรี่นิกเคิลเมทัลไฮดรายจะมีระยะทางวิ่งเพียง 9.6 กิโลเมตรเท่านั้นไม่เพียงพอสำหรับพฤติกรรมผู้ใช้ในเมืองใหญ่ ๆ ตามผลสำรวจ

นอกจากนี้ยังเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน Full Hybrid ได้อีกด้วยอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงชุดแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้นทำให้ลดค่าไอเสีย CO2 ลงต่ำกว่า 60 กรัมต่อกิโลเมตร

การเติมประจุสามารถเติมผ่านกระแสไฟฟ้าในครัวเรือน 230V ได้ง่าย ๆ เพียงแค่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เติมประจุได้เต็มแล้วครับ

 
 

มิติตัวถังภายนอกไม่แตกต่างจาก Prius Generation ที่ 3 นักต่างด้วยความยาว 4,460 มม. ความกว้าง 1,745 มม. ความสูง 1,490 มม. ฐานล้อยาว 2,700 มม. จะต่างกันก็แค่ติดตั้งช่องเสียบประจุหลังซุ้มล้อหน้าเท่านั้น

ส่วนเครื่องยนต์กลไกใช้ร่วมกับ Prius เวอร์ชันปกติ เครื่องยนต์สันดาปภายใน 2ZR-FXE 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ความจุกระบอกสูบ 1,797 ซีซี ระบบวาล์วแปรผันคู่ Dual VVT-i ให้กำลัง 97 แรงม้า (bhp) ที่ความเร็วรอบ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตันเมตรที่ 4,200 รอบต่อนาที ผสานการทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้ารหัส  3JM ให้พละกำลัง 79 แรงม้า แรงบิด 207 นิวตันเมตร

เปิดตัวมาขนาดนี้ก็ใช่ว่าจะจำหน่ายให้ลูกค้าทั่วไปได้ซื้อหากันนะครับเพราะรถรุ่นนี้ยังเป็นโครงการนำร่องทดลองไปก่อน 500 คันทั่วโลกภายในต้นปีหน้า รถ 150 คันจะโลดแล่นในภูมิภาคยุโรปผ่านการเช่าซื้อโดยเฉพาะโดยมีทีมวิศวกรตามสำรวจรถรุ่นนี้อย่างใกล้ชิดเพื่อเก็บข้อมูลทุกอย่างและนำไปปรับปรุงให้เป็นรถ Plug-In Hybrid ที่ดีที่สุด

คาดว่าคงอีกนานราว 2-3 ปีที่ลูกค้าทั่วไปจะได้สัมผัสเป็นเจ้าของกันเสียทีครับ