1 สัปดาห์ ก่อนที่รถยนต์รุ่นใหม่จะเปิดตัว ถือเป็นช่วงเวลาคาบเกี่ยวกับความเป็นและความตาย ชีวิตของบรรดา
พนักงานในบริษัทรถยนต์ จะเต็มไปด้วยความวุ่นวายโกลาหล ไหนจะต้องปิดความลับ ไม่ให้ใครล่วงรู้ หรือต่อให้
เล็ดรอด ก็ต้องรั่วไหลออกไปให้ได้น้อยที่สุด ไม่เช่นนั้น เดี๋ยวเจ้านายด่า และพาลพาให้โบนัสไม่ขึ้น หรือหนักหนา
กว่านั้นก็คือ ต้องออกจากออฟฟิศตอนเที่ยง เปล่านะ ไม่ใช่ไปหาข้าวกิน แต่ต้องไปหางานใหม่ทำต่างหาก

ทั้งหมดนั่นคือสิ่งที่ เราผู้บริโภคทั้งหลาย แทบจะไม่ค่อยได้รับรู้กันเท่าไหร่ เพราะไม่ค่อยมีบริษัทไหน เขาอยากให้
คุณได้รับรู้กันหรอก ว่า วินาที ที่ต้องทำงานให้เสร็จกันทันเส้นยาแดงผ่าแปดนั้น มันหวาดเสียวยิ่งกว่าขับรถฝ่าไฟแดง
แล้วต้องหักหลบรถขนท่อนซุงไปพร้อมๆกันเสียอีกต่างหาก

แต่…ในเมื่อ สมัยนี้ การสร้างกระแส ปล่อยข้อมูลให้สาธารณชนรับรู้ล่วงหน้าก่อนเปิดตัว แม้จะเป็นเพียงบางส่วน
นั่นก็มากพอที่จะสร้างกระแสความสนใจ ที่มีต่อรถยนต์รุ่นนั้น ให้เพิ่มพูนทวีคูนขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน โดยเฉพาะ
อย่างยิ่ง กระแสปากต่อปากของผู้บริโภคในอินเตอร์เน็ต นี่แหละ ที่จะช่วยจุดชนวนความดัง หรือดับ ให้กับรถแต่ละรุ่น
ได้เป็นอย่างดี

2 ปีที่ผ่านมา Headlightmag.com ของเรา มีโอกาสได้ทดลองขับรถยนต์รุ่นใหม่ ก่อนใครมาก็หลายครั้ง หลายคัน บางครั้ง
แม้จะขับหลังคนอื่น แต่เราก็สามารถชิงความได้เปรียบจากศักยภาพและทรัพยากรที่มีอยู่ นำเสนอเป็นรายแรกก่อนใคร
ในเมืองไทยได้หลายครั้ง…เริ่มตั้งแต่ก่อนเปิดเว็บ อย่าง Nissan Navara ตามต่อมาด้วย Nissan Teana (นอกจากรถจะ
ขายดีขึ้นแล้ว เว็บของเราก็ยังถูกสื่อมวลชนบางราย นำไปโจมตีลับหลังกันอย่างรุนแรงมากๆ ในเรื่องไม่เป็นเรื่อง อีกด้วย)
Toyota Camry Hybrid, Mitsubishi Lancer EX, Honda Freed, Toyota Prius, ฯลฯ ที่ผมเองก็ยังจำได้ไม่หมด…

แต่ไม่ใช่ครั้งนี้…ไม่ใช่ Mazda 3 ใหม่ คันที่คุณเห็นอยู่นี้…

ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้รับเชิญจากทาง Mazda ให้ร่วมเป็นหนึ่งในสื่อมวลชนกลุ่มแรกจำนวน 12 คน (หรือ 14 หว่า?) ที่มี
โอกาสไปทดลองขับ Mazda 3 คันที่พรางตัวมืดตื๊ดตื๋อ คันนี้ กันถึงสนามที่โบนันซา เขาใหญ่ เมื่อช่วงเดือนที่แล้ว แต่เรา
ก็เข้าใจดี ว่า Mazda ย่อมต้องมีเหตุผลบางอย่าง ที่ทำให้ไม่อาจเชิญเราไปได้ ซึ่งไม่จำเป็นที่ Mazda จะต้องบอกให้เรารับรู้
เช่นจำนวนห้องพักที่โรงแรมจัดให้อาจไม่พอ หรือเวลาในการทดลองขับ มีจำกัด ก่อนที่จะค่ำมืดไปเสียก่อน เพราะเรา
ต้องไม่ลืมครับว่า การที่บริษัทรถยนต์จะเชิญใคร หรือไม่เชิญใครนั้นเขาไม่ได้เลือกด้วยความพออกพอใจส่วนตัว หากแต่
ต้องคำนึงถึงการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับสื่อมวลชน ซึ่งถ้าใครบอกว่าง่าย มันผู้นั้นย่อมไม่เคยทำงานใน
บริษัทรถยนต์

แต่ เหมือนฟ้าประทาน…ในที่สุด ด้วยน้ำใจและไมตรีจิต จากพี่ซู สุรีย์ทิพย์ ละอองทอง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของ
Mazda ทำให้วันนี้ ผมถึงมีโอกาสได้เดินทางมาถึงศูนย์ฝึกอบรม Technical Center ของโชว์รูม Sime Darby ศรีนครินทร์
เพื่อมาลองขับ Mazda 3 ใหม่ สั้นๆ บนเส้นทางที่..อยู่คนละโยชน์กับที่สื่อมวลชนอีก 12 ท่านได้ไปลองมา เพราะครั้งนั้น
อาจเป็นครั้งแรกที่ได้ทดลองในสนามปิด แต่ครั้งนี้ เราน่าจะเป็นคนนอกบริษัท คนแรกๆ ที่ได้พารถคันนี้ ออกไปวิ่งเล่น
รับแสงแดด (อันโคตรจะร้อนตับแลบ) บนนถนนกาญจนาภิเษก เที่ยงวันนี้

ถ้าให้พูดกันจริงๆ หากมองในแง่ของการข่าว มันก็แทบไม่มีประโยชน์แล้ว ที่จะต้องนำรถคันนี้มาทดลองขับ เพราะ
จนถึงวันนี้ มีบทความทดลองขับ Mazda 3 คันสีดำนี้ อยู่บนอินเตอร์เน็ตให้คุณได้เสิร์ชหาอ่านกันไปบ้างแล้ว แต่สิ่งที่
ทำให้ผมตัดสินใจ ยอมเปิดใจรับโอกาสในครั้งนี้ ที่พี่ซู หยิบยื่นให้ด้วยไมตรีจิตรอย่างดียิ่ง ก็มีอยู่ 2 เหตุผล นั่นคือ

1. พี่ซู เป็นคนที่เตือนสติผมอ้อมๆ ด้วยการกระทำ และนั่นก็ทำให้ผมนึกตั้งสติขึ้นได้ว่า ผมควรจะละทิ้งอัตตา และทิฐิ
มานะใดๆของตัวเอง ออกไปทั้งหมด ต้องไม่ลืมว่า หน้าที่ของเรา คือการทำบทความพูดถึงรถใหม่ ให้คุณได้อ่านกัน
เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ อย่างตรงไปตรงมา โลกของรถยนต์ไม่ใช่เวทีดราม่า อะไรที่ควรทำ ไม่ว่าจะเป็น
รายแรก หรือไม่ใช่รายแรก ก็ต้องทำ ไม่ใช่ว่า ถ้าไม่ได้ทำเป็นรายแรก ก็ไม่ทำแล้วกัน เอามาถือเป็นเรื่องส่วนตัวเสียอีก
ถ้าทำอย่างนั้น ท้ายสุด คนอื่นก็จะได้งานไม่ว่าจะก้อนเล็กหรือใหญ่ แต่ตัวเราเองนั่นล่ะที่จะไม่ได้อะไรเลย

พี่ซูได้ให้บทเรียนในการทำงานที่มีค่ากับผม โดยเจ้าตัวก็คงจะไม่รู้ตัวหรอก แต่ผมก็ยังอยากจะใช้ 5 บรรทัดนี้ ใน
บทความ ขอบคุณพี่ซู อย่างสูง นี่ถือเป็นบทเรียนที่ดีบทหนึ่ง ในการบริหารจัดการกับปัญหาในลักษณะนี้เลยทีเดียว
รวมทั้งยัง เป็นเจ้านายที่ดี ของลูกน้อง ไม่ว่าลูกน้องจะทำผิดพลาดมาอย่างไร พี่ซูก็ยังคงเป็นแม่ทัพที่ออกรับผิด แถมยัง
เอ่ยขอโทษแทนลูกน้อง ทั้งที่ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ นี่คือเรื่องน่าสรรเสริญยิ่ง แถมยังยืนยันความเชื่อส่วนตัวของผม
ว่า พี่ซู คนนี้แหละ แม่ทัพ “ของจริง คนจริง” ไม่ใช่ของปลอมแต่อย่างใด

2. ถึงแม้ผมจะมีโอกาสขับ รถคันนี้ หลังจากที่คนอื่นเขาได้ขับกันไปหมดแล้วจนเสร็จสมอารมณ์หมายกัน แต่สิ่งที่
ทำให้ผมแอบดีใจเล็กๆ ที่ไม่ได้ไปร่วมทริปทดลองขับที่โบนันซา เขาใหญ่ ก็คือ ผมจะได้เป็นคนนอกบริษัท น่าจะ
เพียงหนึ่งในไม่กี่คนกระมัง ที่ได้นำ เจ้า 3 ใหม่ พรางตัว สีแดง True Red คันนี้ ออกแล่น บนถนนสาธารณะ ซึ่งเรา
เลือกแล้วว่า น่าจะปลอดภัยเพียงพอต่อการจับสัมผัสของรถคันนี้ บนถนนจริงๆของเมืองไทย

ที่สำคัญ ยังถือเป็น Mazda 3 ใหม่ ประกอบในประเทศคันแรกเสียด้วย ดังนั้น รถคันที่เราลองอยู่นี้ ก็คือ เวอร์ชันไทย
ที่พร้อมรอการเปิดตัวในวันที่ 17 มีนาคมนี้ แล้วนั่นเอง!

ถามว่าทำไมยังต้องพรางตัวอยู่? ก็เหมือนเช่นที่เคยบอกเอาไว้ในบทความรีวิว First Impression : Nissan Teana
เมื่อช่วงแรกที่ Headlightmag.com เปิดตัวนั่นละครับ ว่า บริษัทรถยนต์ส่วนใหญ่ จะมีข้อกำหนดเอาไว้สำหรับ
พนักงานว่า ถ้าจำเป็นต้องนำรถยนต์ที่ยังไม่เปิดตัวสู่สาธาณชนในตลาดนั้นๆ ไปวิ่งทดสอบ ทดลอง หรือจะ
ทำอะไรก็ตามแต่ นอกจากจะต้องขออนุญาตกันก่อนแล้ว ยังต้องพรางตัวไม่ให้ผู้คน เห็นรูปโฉมที่แท้จริงอีกด้วย
ดังนั้น ถ้าปล่อยรถแล่นออกไป โดยไม่คปกปิดปกคลุมอะไรเลย มีหวังได้เดือดร้อนกันยกแผนกแน่ๆ เราเลยต้อง
ขับรถคันนี้ทั้งที่มีผ้าใบสีดำ ห่อปกคลุมมิดชิด

พี่ซู บอกว่า “รถคันเนี้ย ส่งออกไปตะวันออกกลางนะ”
จิมมี่ : “เหย ไม่เชื่ออ่ะพี่”
พี่ซู “ก็ดูดิ พรางตัว ปกปิดมิดชิด เป็นสาวอาหรับขนาดนี้”

คือจะเล่นมุข ก็ไม่ให้สุ้มให้เสียงกันสักหน่อยหนะนะ เหอๆๆ

แต่การพรางตัวครั้งนี้ แม้จะปกคลุมมิดชิด ต่างจากเมื่อครั้งลองขับ Nissan Teana หรือปิดบังแค่ตรายี่ห้อ เหมือน
Honda Freed แต่สิ่งที่ทำให้ Mazda 3 พรางตัวคันนี้ มันแทบไม่ต่างอะไรกับ Teana ในตอนนั้น ก็คือ สุดท้ายแล้ว
ผมกับ คุณอุทัย เรืองศักดิ์ พีอาร์ดาร์ลี มีอะไรยิ้มแฉ่งลูกเดียว ของ Mazda และเจ้ากล้วย BnN แห่ง The Coup Team
ของเรา ก็ต้องมาช่วยกันแก้ไขผ้าใบพรางหน้าตากันใหม่เอง…

ก็แหงละสิ! ขอบ่นสักทีเหอะ จะไม่ให้ช่วยพรางใหม่ได้ยังไงละ? พี่ท่านเล่นพรางซะมองไม่เห็นไฟหน้า กับไฟท้ายเลย
ถ้าขนาดกระจกบังลมหลัง ยังปิดซะมึดตึบ มองไม่เห็นแม้แสงเงาจะทะลุลอดผ่านมาได้ ชนิดที่ว่า กระจกมองหลังแทบ
ไม่ต้องใช้กันเลย ถอดออกทิ้งก็ยังได้ นับประสาอะไรกับไฟเบรกและไฟเลี้ยว คือพี่อุทัยเค้ากลัวจัดว่าคนเขาจะเห็นแล้ว
รู้ว่าเป็นรถอะไร อยากบอกว่า ตอนที่ผม พาเจ้าแดงเถือกคันนี้ ค่อยๆคลาน ออกจากศูนย์ Technical Center เลี้ยวกลับไป
เติมน้ำมันที่ปั้มเชลล์ ฝั่งตรงข้ามเนี่ย โอย หัวใจจะวาย กลัวรถคันหลังจะพุ่งมาเบรกมาชนท้ายฉิบหายวายป่วง กระจก
บังลมหลังนี่มองไม่เห็นก็หนักหนาพอแล้ว ไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว ยังถูกแปะไว้มืดมิดดูไร้อนาคตกันเลยทีเดียว
ผมทนไม่ไหว ต้องวิ่งไปขอยืมคัตเตอร์ ที่ร้านสะดวกซื้อ Select ในปั้ม วิ่งกลับมาให้พี่อุทัย กรีดผ้าใบพรางตัวสีดำ ทำช่อง
ให้พอเห็นไฟเบรกดวงที่ 3 บริเวณด้านบนสุดของกระจกบังลมด้านหลัง ยังดี พอจะมีแสงสว่างที่ปลาย (ท้าย) รถ กันบ้าง

พอขับๆไปสักพัก ขึ้นทางด่วน กาญจนาภิเษก เอ้า ผ้าใบพรางตัวด้านหน้ามันกระพรือแรงเหลือเกิน ทำไงดี ก็ต้องจอดรถ
เข้าช่องซ้าย หลังด่านรับบัตรผ่านทาง ผมกับพี่อุทัย ลงจากไปเอาเทปกาวที่ติดมือมาด้วย เอามาช่วยกันแปะ แถมไอ้เทปกาว
ที่หยิบมาหนะ ดันไม่ใช่เทปพันสายไฟ ซึ่งเหนียวกว่า แต่เจ้าข้าเอ้ย! พี่อุทัย ผ่าไปหยิบเอาเทปใสสีแดงแปร๊ดมา ซึ่งมัน
เหนียวไม่พอจะยึดผ้าใบพรางตัวกับตัวถังรถที่ร้อนระอุแบบนี้เลย พอขับๆไป เทปใสสีแดง มันก็หลุดสิครับคุณผู้อ่าน
คราวนี้ เทปกาวก็ยึดผ้าใบด้านข้างฝั่งซ้ายไว้ไม่อยู่ ชายผ้าใบหลุดออกมา แล้วมันก็ตีเข้ากับตัวรถ ตามกระแสลม ป๊าบๆๆๆๆ
สุดท้าย คุณพี่อุทัย ก็ต้อง เปิดกระจกหน้าต่าง แล้วโหนตัวลงไปหยิบชายล่าง ของผ้าใบ ขึ้นมาถือหนีบไว้กับกระจกมองข้าง
ด้วยตัวเอง แล้วก็ต้องนั่งอยู่ข้างผมในสภาพกระแสลมตีแสกหน้าแบบนั้น ตั้งแต่บนทางด่วน จนถึงศูนย์ Technical Center
เลยทีเดียว เป็นที่อนาถจิตจนผมหัวเราะท้องแข็งไปหลายครั้งมาก

ก็อย่างว่าหละเนาะ มือใหม่หัดพรางตัว ก็เงี้ยแหละ!

คือจะให้ผมขับรถพรางตัวไปตามถนนหนะ ผมไม่มีปัญหาหรอกครับ ชอบเสียอีก เท่ดี ไม่มีใครเหมือน แต่ได้โปรดเถอะ
คราวต่อไป ค่ายไหนก็ตาม ที่อยากจะจัดทดลองขับแบบพิเศษอย่างนี้ให้กับเรา ช่วยเจาะช่อง บริเวณไฟเบรก ไฟเลี้ยว และ
ไฟถอยหลัง กับไฟหน้ามาให้สักทีจะเป็นพระคุณอย่างสูงนะคร้าบ รถคันหลังที่ตามมาเขาจะได้ไม่บีบแตรไล่ ด่าจนบุพการีที่บ้าน
สะดุ้งว่า “ไอ้เบื๊อกนี้มันขับรถบ้าอะไรวะ ไฟเลี้ยวก็ไม่มี ไฟเบรกก็ไม่มี ฮ่วย จั่งซี้มันจะขับเฮ็ดอีหยัง” อยากบอกพี่ซู ว่าวันหลัง 
ถ้าว่าง เมื่อไหร่ ส่งตัวพี่อุทัย ไปฝึกกับหน่วยรบพิเศษหน่อยก็ดีนะครับ จะได้รู้ว่า วิธีการพรางตัวที่ถูกต้องหนะเขาทำกันยังไง

รุ่นที่เราลองขับกันนั้น เป็นรุ่นท็อป 2.0 ลิตร Hatchback รายละเอียดของเวอร์ชันไทยนั้น ยังไม่ทราบ แม้ว่าตัวเลขจะ
มีครบหมดแล้ว แต่เราก็ยังไม่ได้รับการเปิดเผยจากทาง Mazda อยู่ดี สิ่งเดียวที่พอจะบอกได้จากภาพก็คือ มีถุงลม
นิรภัยมาให้คู่หน้า แน่นอน มีช่องเก็บแว่นตา มีซันรูฟ เปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า มาให้ “ครบทุกรุ่น 2.0 ในช่วงเปิดตัว”
มีหน้าจอ Multi Information Display มาให้ ตรงกลาง และถูกออกแบบให้ใช้งานง่ายขึ้น ลดความสับสนขณะขับขี่
ลงไปได้ไม่น้อย หน้าจอตรงกลางนั้น นอกจากจะแสดงอัตรสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ระยะทางที่น้ำมันในถังจะเหลือพอ
ให้แล่นต่อไปได้ ยังรวมถึงการทำตัวเป็นหน้าจอของชุดเครื่องเสียง และการปรับตั้งค่าการทำงานของอุปกรณ์อื่นๆ
ภายในรถอีกด้วย มีกุญแจ Keyless Entry ยกชุดมาจาก Mazda 2 และมีแป้น Paddle Shift มาให้เปลี่ยนเกียร์เล่น

ตำแหน่งนั่งขับนั้น ถ้าปรับต่ำสุด จะแอบสูงกว่าตำแหน่งต่ำสุดของเบาะคนขับใน Mazda 3 รุ่นเก่า นิดเดียว ไม่เยอะ
แต่การควบคุมรถ ก็ยังคงทำได้ ง่ายดาย ดังเดิม เพียงแต่ว่า การปรับพวงมาลัยให้ถูกต้องนั้น มีหลักง่ายๆคือ ถ้าคุณ
ปรับระดับพวงมาลัย ทั้งสูง – ต่ำ และ ระยะใกล้ – ห่าง จากตัวได้ โดยมองเห็นมาตรวัดรอบ กับมาตรวัดความเร็ว
รวมทั้ง Odo Meter วัดระยะทางได้ชัดเจน ไม่มีการบดบังใดๆ เท่านั้นละครับ ถือว่าปรับพวงมาลัยได้ถูกต้องแล้ว
เพราะถ้าปรับไม่ถูกต้อง ส่วนใดส่วนหนึ่งของพวงมาลัย จะต้องไปเบียดบังขอบของมาตรวัดต่างๆทั้ง 3 แน่ๆ

เบาะนั่งคนขับ มีปีกโอบกระชับมากขึ้น (ทำอย่างกับโฆษณาผ้าอนามัยลอริเอะ) แล้วแต่ใครจะชอบ ส่วนเบาะรองนั่ง
ก็ถือว่า ยาวใกล้เคียงของเดิม ตำแหน่งที่วางแขนบนแผงประตู ยังวางแขนได้ ส่วน การวางแขนบนฝาปิดคอนโซลกลาง
ยังไมได้ทดลองอย่างจริงจัง เนื่องากเวลาจำกัด

ส่วนเบาะหลังจะเป็นอย่างไรนั้น ผมไม่อาจทราบได้ เพราะไม่ได้ขึ้นไปนั่ง ต้องถาม เจ้ากล้วย BnN ที่จำใจต้องลงทุน
ปีนเข้าไปนั่งด้านหลังอย่างที่เห็น เพราะการพรางตัวนั้น มันกินอาณาเขตเลยเถิดมาถึงประตูคู่หลังด้วย ไม่อาจจะเปิด
กางออกขึ้นไปนั่งได้ตามปกติ เลยต้องใช้วิธีปีนเข้าไปนั่ง แบบเดียวกับ รถ Coupe 2 ประตูราคาแพงๆ หรือรถกระบะ
Space Cab คันละ 5-6 แสนบาท

แต่เท่าที่ถามเจ้าตัวดู กล้วยก็บอกว่า เบาะนั่งด้านหลัง ใหญ่กว่าเดิม มีพื้นที่วางขามากกว่าเดิม นั่งสบายกว่าเดิม
ซึ่งก็เป็นความเห็นเดียวกันกับที่กล้วยเคยบอกกับผม ในวันที่เราไปลองนั่ง Mazda 3 ใหม่ กันที่ญี่ปุ่น เมื่อครั้ง
ไปเยือนงาน Tokyo Motor Show เดือนตุลาคม 2009

ขุมพลังในรถคันทดลองขับนั้น แม้ในญี่ปุ่น รุ่น 2.0 ลิตร จะใช้เครื่องยนต์ รหัส LF-VDS บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว
1,998 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 87.5 x 83.1 มิลลิเมตร หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ จุดระเบิดแบบตรงสู่ห้องเผาไหม้ Direct
Injection (DI) 150 แรงม้า (PS) ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 19.0 กก.-ม. ที่ 4,500 รอบ/นาที แต่อย่าหวังว่า
จะได้เจอเครื่องยนต์ใหม่นี้ ในเมืองไทย ในช่วงแรกที่เปิดตัวเชียวละ No Way!

เพราะลูกค้าบ้านเราจะยังได้ใช้เครื่องยนต์บล็อกเดิม เหมือนกับรุ่น 2.0 ลิตร ในปัจจุบันนี้ เป็นเครื่องยนต์รหัส LF-VE
บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,998 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 87.5 x 83.1 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.0 : 1 หัวฉีด
อีเล็กโทรนิคส์ EGI ลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้า 147 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 18.54 กก.-ม.ที่ 4,500 รอบ/นาที
ตามเดิม ส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ ที่พัฒนาขึ้นใหม่

คำถามที่หลายคนคงจะอยากรู้ก็คือ มันจะอืดเหมือนเดิมไหม? กินน้ำมันเหมือนเดิมหรือเปล่า? ข้อหลังหนะ ต้องรอพิสูจน์
กันใน Full Review ที่จะตามมาหลังจากนี้ (ขึ้นอยู่กับว่าทั้งรถ ทั้งผม จะว่างตรงกันได้เมื่อไหร่?) แต่ข้อแรกหนะ ถ้าคิดว่า
ผมสามารถเล่าให้คุณอ่านได้เลย ก็คงต้องบอกว่า คราวนี้ มันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด…เพราะผมแทบไม่ได้จับอัตราเร่ง
อะไรมาเลยแม้แต่รายการเดียว!

เหตุผลก็เพราะ ปัญหาในการทดลองขับคราวนี้ มันก็มาจากการพรางตัวนั่นละครับ ยิ่งผมใช้ความเร็วเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ แผง
ผ้าใบพรางตัวก็จะยิ่งตีกระทบเข้ากับตัวรถมากขึ้น จนเสียงดังขึ่นเรื่อยๆ ยิ่งพอใช้ความเร็วจนถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง โอ้โห!
แทบไม่ต้องพูดคุยในรถกันเลย เพราะเสียงผ้าใบด้านหลังรถ จะตีดัง พั่บๆๆๆๆ แข่งกันทำเสียง เพอร์คัสชั่น เคาะเป็นจังหวะ
จะโคนกันดีมากจนไม่ต้องเปิดเครื่องเสียงฟังกันแต่อย่างใด และนั่นทำให้ผมออกจะประหวั่นพรั่นพรึง วิตกจริตตลอดเวลา
ที่ขับรถคันนี้ เพราะกลัวว่า ยิ่งขับเร็วเท่าไหร่ ถ้าเจ้าผ้าใบพรางตัวสีดำ มันเกิดหลุดพรืดออกมา ไปแปะกระจกหน้ารถคันที่ขับ
ตามหลังมา จนก่อความเดือดร้อนให้กับรถคันอื่นบนถนนแล้วละก็ ผมว่า เราคงพร้อมใจกันซวยแหงๆ

เท่าที่พอจะลองจับอัตราเร่งคร่าวๆ แบบไม่ได้ตั้งใจมากมายนัก หลังจาก ลองกระทบคันเร่ง เกียร์ 2 ไป 2 ครั้ง พบว่า เกียร์
จะเปลี่ยนขึ้นเป็นเกียร์ 3 ในช่วงความเร็วประมาณ 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งเมื่อเทียบกับรถรุ่นเดิม ที่กว่าจะเปลี่ยนเกียร์
จาก 2 ขึ้นเกียร์ 3 ต้องรอกันจนถึงระดับ 113 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะเห็นได้ว่า การใช้เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ ทำให้ Mazda
สามารถเรียงอัตราทดได้ดีกว่า เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ รุ่นเก่า และแม้ว่า จะมีน้ำหนักของพี่อุทัย เพิ่มขึ้นมาอีกคน Mazda 3
รุ่นใหม่ ก็ยังสามารถออกตัว และพุ่งไปข้างหน้า ตามคันเร่งได้โดยไม่ได้รู้สึกว่า อืดไปกว่ารถรุ่นเก่า ที่มีแค่ผมกับกล้วยนั่งอยู่
เพียง 2 คนเท่าใดนัก ดังนั้น จึงีความเป็นไปได้ ว่า เราอาจได้สัมผัส ตัวเลขอัตราเร่งที่ดีกว่ารถรุ่นเดิมนิดนึง ซึ่งด้วยสภาพ
อากาศที่ร้อนอบอ้าวขนาดนี้ อย่าหวังว่าตัวเลขจะออกมาได้ใกล้เคียงกับรถคันเก่า ยิ่งร้อนเสียจนทั้งรถทั้งคนแทบทนไม่ไหว
ขนาดนี้ ผมว่า ตัวเลขที่ได้ ก็คงไม่อาจใกล้เคียงกับสมรรถนะที่ทำได้จริงเท่าไหร่

การตอบสนองของคันเร่งจะไวในช่วงที่เหยียบลงไปในระยะแรกๆ คล้าย Mazda 2 จนใกล้เคียงกันอยู่
แต่อย่างว่าครับรถทดลองประกอบคันนี้ มันยังต้องมีการปรับแก้กันอีกค่อนข้างมาก ยังไม่สมบูรณ์เท่าไหร่
สรุปว่า ถ้าจะคุยกันเรื่องอัตราเร่ง ขอแปะโป้งเอาไว้ก่อน รอไปจับเวลากันในช่วง Full Review ในอนาคต
อันห่างไกล อีกหลายเดือนข้างหน้าเลยดีกว่า

แต่ถ้าจะถามว่า ขับแล้วต่างจากเดิมไหม ก็ตอบได้เลยว่า ต่างกันนิดหน่อย ไม่มากนัก

พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียนพร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPS รัศมีวงเลี้ยว 5.1 เมตร ยังคงมีระยะฟรี
เท่าๆ พวงมาลัยของรถรุ่นเดิม หักเลี้ยวได้ดี น้ำหนักกำลังดี สั่งให้เลี้ยวแค่ไหน ก็ยังเลี้ยวแค่นั้น ตามสั่งได้
เหมือนเดิม แถมยังแอบเติม “สัมผัสของความหนืดในช่วงการหักเลี้ยว” คล้ายคลึงกับ Mazda MX-5 ใหม่
อยู่บ้างนิดนึง การตอบสนองของพวงมาลัย ยังคงเป็นเรื่องที่ ไม่ต้องไปห่วงมัน สำหรับ Mazda 3 ตามเคย

ระบบกันสะเทือนหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัต หลังแบบมัลติลิงค์ ถูกปรับแต่งมาให้ตอบสนองนุ่มนวลกว่าเดิม
แต่ยังต้องรักษาความมั่นใจในการเข้าโค้ง และการขับขี่ในภาพรวมไว้เช่นเดิม เหตุผลก็เพราะว่า ทีมวิศวกร
ฟังเสียงลูกค้าจำนวนมากพบว่า กลุ่มเดิมที่ชอบ Mazda และรู้จักบุคลิกของ Mazda ดี จะชื่นชอบช่วงล่างของ
Mazda 3 รุ่นเดิม แต่ในกลุ่มลูกค้าที่ไม่เคยขับ Mazda มาก่อนที่จะซื้อ Mazda 3 รุ่นเดิม ส่วนใหญ่มองว่า
ช่วงล่างเดิม แข็งไป คราวนี้ ทีมวิศวกรก็เลยตัดสินใจ เข้าไปปรับแก้ไขในลักษณะของ Artificial Tune-up
คือไปแก้ไขให้มีช่วงล่างนุ่มขึ้น แต่ยังต้อคงความหนึบแน่น เข้าโค้งมั่นใจเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ต้องปรับ
เพิ่มโครงสร้างตัวถังในจุดที่เกี่ยวข้องกับการรับแรงสะเทือนจากช่วงล่างอีกด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่กว่า
จะลงตัวได้ เลือดตาก็แทบกระเด็น

ในทุกรอยต่อพื้นถนน และฝาท่อที่ขับแล่นทับผ่านไป นอกจากจะได้ช่วงล่างที่นุ่มกว่าเดิมช่วยซับแรงสะเทือน
ให้แล้ว ยังมยาง TOYO พร้อมล้ออัลลอย 17 นิ้ว มาช่วยเสริมความนุ่มนวลและการยึดเกาะที่มั่นใจขึ้นชัดเจน
โดยเฉพาะช่วงที่ต้องหักเลี้ยวขึ้นทางด่วน ในมุม 90 องศา โดยไม่ต้องเบรก แค่ใช้ความเร็วแถวๆ 60 ไหลลงมา
จนเหลือ 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง แล้วหักเลี้ยวฟ้าบบบบ ในทันที รถก็เลี้ยวได้ตามสั่ง แถมยังติดความนุ่มมานิดๆ
อันเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยพบเจอใน Mazda รุ่นอื่นๆเท่าไหร่นัก

ระบบห้ามล้อเป็นแบบ ดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ จานเบรกคู่หน้า มีรูระบายความร้อน ส่วนด้านหลังเป็นจานเบรกแบบ
Solid ธรรมดา มีแป้นเบรกที่ตอบสนองได้ดี เหมาะสมกับการใช้งาน ไม่ค่อยแตกต่างไปจากแป้นเบรกเดิมมากนัก
แป้นเบรกค่อนข้างสูงนิดนึง แต่เหยียบแล้ว ต้องการให้เบรกแค่ไหน เหยียบเท่าไหร่ รถก็ชะลอตัวให้ตามนั้น
ไม่มีอาการจึ๊กๆจั๊กๆ หัวทิ่มหัวตำให้รำคาญใจ นี่แค่การตอบสนองในการขับใช้งานชีวิตประจำวันเบื้องต้นเท่านั้น
ยังต้องขอลองในช่วงหน่วงรถลงมาจากความเร็วสูงๆอีกครั้ง

********** สรุป (เบื้องต้น) **********
ส่อแววว่า อาจจะดีกว่ารุ่นเดิมแน่ๆ (แต่แค่ดีขึ้นนิดหน่อยนะ)

เพียง 2 ชั่วโมง ที่ผมได้มีโอกาสลองขับ Mazda 3 ใหม่นั้น เต็มไปด้วยความวุ่นวาย สับสน ปนหรรษา
คือต้องใช้ประสาทสัมผัสแทบทุกส่วนในร่างกาย แยกแยะให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ก็คง
สัมัสอะไรไม่ได้มากเท่ากับที่ตัวผม หรือคุณผู้อ่านคาดหวังไว้ ด้วยปัจจัยและข้อจำกัดมากมาย ทั้งการที่
รถคันนี้ ยังเป็นรถทดลองประกอบ ส่วนอีกประเด็นหนึ่ง ก็คือ ผมละหวาดเสียว กลัวผ้าใบพรางตัวมันจะ
หลุดปลิวไปใส่รถชาวบ้านที่ขับตามมาจนเกิดเรื่องราวไม่คาดฝัน คราวนี้ก็เลยโดน 2 เหตุผลนี้ ยั้งมือยั้งเท้า
เอาไว้ ยังมิได้ “จัดเต็ม”

กระนั้น ถ้าในเมื่อ รถยนต์รุ่นใหม่ ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานวิศวกรรมร่วมกับรถยนต์รุ่นเดิม แต่ใช้วิธีปรับแต่ง
เพิ่มเติมเพื่อลดจุดด้อย เสริมจุดเด่นเข้าไป การแสวงหาความแตกต่างชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ ก็คงจะเป็น
เรื่องยากเกินความเป็นไปได้

กระนั้น ถ้าคุณคาดหวังจะเห็นการแก้ปัญหาด้านพื้นที่ใช้สอยของผู้โดยสารด้านหลัง ข่าวดีคือ Mazda แก้ให้แล้ว
ถ้าคุณคาดหวังว่าแผงหน้าปัดมันจะดูง่าย ใช้ง่าย ไม่วุ่นวายเยอะแยะเหมือนก่อน ข่าวดีก็คือ Mazda แก้ให้แล้ว
ถ้าคุณคาดหวังว่า ช่วงล่างควรจะนุ่มลงกว่าเดิมนิดนึงก็พอ Mazda แก้ให้แล้ว แต่ลูกค้าเก่า Mazda ที่ชอบแนวดิบๆ
อาจไม่ค่อยชอบก็เป็นได้ ถ้าถามใจผม ช่วงล่างแบบนี้ ถือว่าลงตัวแล้ว สำหรับการตอบโจทย์ลูกค้าแบบ Mass และ
ยังมีความสนุกในการขับขี่ไว้เอาใจลูกค้ากลุ่มเดิมอยู่แน่ๆ

กำหนดการเปิดตัว จะมีขึ้นในวันที่ 17 มีนาคมนี้ ช่วงเช้า (วันเดียวกับ Honda Brio เลยนั่นแหละ) และรถจะ
พร้อมขายจริง ส่งขึ้นโชว์รูมกันได้แทบจะในทันที อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกที่จะเปิดตัว ขอย้ำ ยืนยัน อย่าง
หนักแน่นว่า “มีเฉพาะรุ่น 2.0 ลิตรเท่านั้น ยังไม่มีรุ่น 1.6 ลิตร มาเปิดตัวด้วยแต่อย่างใด เนื่องก ปริมาณความ
ต้องการในตลาดโลกมันเยอะมาก และเช่นเคยปัญหาเดียวกับรถรุ่นเดิม คือบริษัทแม่ที่ Hiroshima ป้อนชิ้นส่วน
CKD ให้ตามคิวไม่ทันจริงๆ แถมยังมีปัญหาด้าน Logistic อีกบางประการ ดังนั้น รุ่น 1.6 ลิตร จะตามมาในช่วง
ราวๆ ไตรมาส 3 หรือ 4 ของปีนี้ คือมาก่อนสิ้นปีแน่นอน”

ฉะนั้น ผมกำลังคิดอยู่ว่า จะรอให้เปิดตัวครบหมดทุกรุ่น แล้วค่อยนำมาทำรีวิวพร้อมกัน หรือว่าดึงรุ่น 2.0 ลิตร
มาทำรีวิวกันไปก่อน ในช่วง 2 เดือนไม่เกินนี้

คุณผู้อ่านช่วยตัดสินใจให้ผมทีสิครับ!

————————————-///—————————————-

ขอขอบคุณ
คุณสุรีย์ทิพย์ ละอองทอง
ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด
และ คุณอุทัย เรืองศักดิ์
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ (คนขวาในรูปนี้)
บริษัท Mazda Sales (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
8 มีนาคม 2011

Copyright (c) 2011 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
March 8th,2011 

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่