และแล้ว ตลาด SUV / PPV ในเมืองไทย ก็ลุกเป็นไฟ เป็นไปตามที่ผมได้บอกกล่าว
กับคุณผู้อ่าน มาตั้งแต่ 2 ปีก่อน จริงๆด้วย!

การเปิดตัว SUV / PPV ในปี 2015 ถือว่าเป็นอีกตำนานบทหนึ่งในประวัติศาสตร์
อุตสาหกรรมรถยนต์ของเมืองไทย ที่น่าจดจำ เพราะมันไม่บ่อยนักหรอก ที่บรรดา
ผู้ผลิตรถยนต์ ต่างพร้อมใจ กระหน่ำตลาดด้วย รถยนต์รุ่นใหม่ ในเวลา ไล่เลี่ยกัน
ถี่ยิบขนาดนี้

Ford Everest นำทัพมาแต่ไก่โห่ เปิดผ้าคลุมกันมาตั้งแต่ปี 2014 และส่งมาเปิดตัวใน
บ้านเรา กลางงาน Bangkok Motor Show มีนาคม 2015) แต่กว่าจะเริ่มส่งมอบให้กับ
ลูกค้ากันได้ ก็ต้องรอลากมาจนถึงเดือนสิงหาคม 2015 ตามติดมาด้วย ยักษ์ใหญ่
เจ้าตลาดอย่าง Toyota ที่ส่ง Fortuner มาเปิดตัวเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2015 หวัง
กลับมาเป็นเจ้าตลาดกลุ่มนี้อีกครั้ง

ขณะเดียวกัน Isuzu MU-X และ Chevrolet Trailblazer 2 ฝาแฝดต่างสัญชาติ ทำได้
แค่เพียง การเพิ่มรุ่นย่อยพิเศษ และเพิ่มอุปกรณ์ใหม่ๆ เข้าไป โชคดีที่ Isuzu ยังคิด
จะปรับโฉม Minorchange ด้วยขุมพลังใหม่ Diesel 2.0 ลิตร Turbo เทคโนโลยีใหม่
“DOWNSIZING” ในช่วงเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ ขณะที่ Chevy ได้แต่มองคู่แข่ง
ตาปริบๆ ทำอะไรไม่ได้มากนัก

แต่ ในนาทีนี้ ดูเหมือนว่า ไม่มี SUV / PPV รุ่นใด ที่จะได้รับความสนใจและถูก
พูดถึงในวงสนทนาของผู้คนทั่วไป มากเท่ากับ รถคันที่คุณเห็นอยู่นี้อีกแล้วละ

2015_08_17_Mitsubishi_Pajero_Sport_01

แหงสิครับ การยอมปล่อยให้มีภาพหลุด Spyshot สร้างกระแสก่อนปรากฎโฉม
จริง รวมทั้งการยอมมาเปิดตัวในงาน BIG Motor Sales เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม
2015 ที่ผ่านมา ในรูปแบบ ครั้งแรกในโลก (World Premier) เป็นการจุดพลุ
ออกประเดิมได้อย่างสวยงาม

เพราะท่ามกลางบรรยากาศของงาน ที่จะคึกคักเฉพาะวันหยุด เสาร์ – อาทิตย์
กลับมีเพียงแต่บูธของ Mitsubishi Motors เท่านั้น ที่คลาคล่ำ ไปด้วยมหาชน
หลั่งไหลไปดู SUV / PPV โฉมใหม่ คันนี้กันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ทั้งวัน-ทุกวัน!

ขนาดว่า ทีมงานของ Mitsubishi Motors เอง ต้อง ไปหา โต๊ะ – เก้าอี้ เสริม
อีกนับสิบๆ ชุด มารองรับการเจรจาปิดการขาย

ลูกค้าบางราย ทนเข้าไปเบียดเสียด แย่งกันดูรถไม่ไหว สะกิดบอกพนักงาน
ขายรถ ที่ง่วนอยู่กับลูกค้ารายอื่นว่า “น้องๆ พี่ไม่ไหวละ ไปเอาใบจองมาเลย
ก็แล้วกัน”!!

ไม่เว้นแม้แต่ พนักงาน Mitsubishi Motors (Thailand) ด้วยกันเองหลายคน
ยังอยากเป็นเจ้าของรถคันนี้เลย นี่เป็นบรรยากาศที่ไม่ได้เกิดขึ้นในสำนักงาน
ทุ่งรังสิต มานานมากแล้ว นับตั้งแต่ การเปิดตัว Lancer E-Car ในปี 1992 รุ่น
ท้ายเบนซ์ ในปี 1996 หรือ Galant Ultima ในช่วงปลายปี 1992

รถคันนี้ มันมีดีอะไรถึงขนาดนั้น? ผู้คนถึงพากันให้ความสนใจมากเพียงนี้?

เพื่อตอบคำถามที่หลายคนยังคาใจ ผมจึงเดินทางมาถึง สนามทดสอบรถยนต์
แห่งใหม่ ของ Mitsubishi Motors ที่ตั้งอยู่ลึกเข้าไปจาก สวนเสือศรีราชา ใน
จังหวัดชลบุรี อีกพอสมควร เพื่อมาลองจับสัมผัส Pajero Sport ใหม่ ครั้งแรก
ให้พอจะรับรู้ในเบื้องต้น ว่า รถคันนี้ จะมีบุคลิกเป็นอย่างไร มีความแตกต่างจาก
รถกระบะ Triton ใหม่ มากน้อยแค่ไหน และ คุ้มค่าพอไหมที่คุณจะลองเสี่ยง
เปลี่ยนใจมาอุดหนุนรถยนต์ Mitsubishi กันสักครั้ง

อย่างไรก็ตาม มีเรื่องต้องชี้แจงคุณผู้อ่านกันก่อนดังนี้

1. ภาพถ่ายตัวรถภายนอก  ทั้งหมดในรีวิวนี้ ผมไม่ได้เป็นคนถ่ายเอง
เนื่องจาก
เวลาในการทดลองขับ และบรรยากาศในสถานที่จริง ไม่เอื้ออำนวย
เอาเสียเลย ดังนั้น
ภาพทั้งหมดนี้ จึงเป็นภาพถ่ายจากทาง Mitsubishi Motors
ซึ่งเป็นฝีมือของ คุณแบงค์
(Bank Kanchanavilai) ช่างภาพรถยนต์มืออาชีพ

2. เนื่องจาก ณ วันที่คุณได้อ่านบทความนี้ ผมมีโอกาสลองขับ Pajero Sport
และได้
ลองนั่ง Ford Everest ใหม่ “แต่ยังไม่ได้ลองขับ” ขณะเดียวกัน ผมก็ยัง
ได้สัมผัสกับ
Toyota Fortuner แค่เพียงตัวรถที่จอดนิ่งอยู่บนโชว์รูม ยังไม่ได้
ลองขับเลยทั้งสิ้น

ผมจึงขอสงวนสิทธิ์ “ไม่ขอเปรียบเทียบกับ คู่แข่งทั้ง 2 รุ่น ในประเด็นของ
การขับขี่”
แต่จะขอเปรียบเทียบ กับทั้ง 2 รุ่น เฉพาะ “การออกแบบห้อง
โดยสาร”
เท่านั้น เพื่อให้เกิดความเป็นกลาง เป็นธรรมกับ SUV / PPV
ทั้ง 3 คัน

ถ้าเข้าใจตรงกัน ก็เลื่อนลงไปอ่านได้เลย!

2015_08_17_Mitsubishi_Pajero_Sport_00

Pajero Sport ใหม่ ถือเป็นรถยนต์ SUV / PPV รุ่นที่ 3 ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของ
โครงสร้างวิศวกรรม ร่วมกับตระกูลรถกระบะ Mitsubishi

ผมเขียนไม่ผิดหรอกครับ เพราะถ้าย้อนประวัติศาสตร์ กันจริงๆ เราคงต้องเริ่มนับย้อน
ต้นตระกูลไปถึง Mitsubishi Challenger ที่เปิดตัวในตลาดญี่ปุ่น ช่วงปี 1996 และเริ่ม
ส่งออกสู่ตลาดอเมริกาเหนือ ในชื่อ Montero Sport หลังจากนั้นอีกไม่นานนัก ส่วน
ตลาดเมืองไทย เราได้ใช้ Challenger ในเวอร์ชันที่แตกต่างกันไป คือ มีความละม้าย
คล้ายคลึงกับ รถกระบะ Strada มากกว่า ในชื่อ Strada G-Wagon เปิดตัวครั้งแรกเมื่อ
วันที่ 13 ตุลาคม 2001 เพื่อจะมางัดข้อกับ Toyota Sport Rider แต่เมื่อเจอยักษ์ใหญ่
สวนกลับด้วยการเปิดตัว Toyota Fortuner รุ่นแรกเมื่อเดือน พฤศจิกายน 2004 จน
ฮิตเปรี้ยงปร้างได้ ตอนนั้น Mitsubishi Motors เอง ก็แอบจะเกือบถอดใจจากตลาด
กลุ่มนี้ไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม พวกเขากลับฮึดสู้อีกครั้ง ทำ SUV/PPV รุ่นใหม่ บนพื้นฐานรถกระบะ
Triton เปิดตัวสู่ตลาดเมืองไทย เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2008 ด้วยชื่อ Pajero Sport
เพียงไม่นานนัก Toyota ก็เริ่มพบศึกหนัก เพราะบ่อยครั้งที่ Pajero Sport แซงขึ้นไป
ครองบรรลังก์แชมป์ยอดขายอันดับ 1 ในกลุ่ม SUV / PPV ของบ้านเราได้สำเร็จ แม้
จะโดน Fortuner และ Isuzu MU-X แซงกลับคืนไปบ้าง แต่เมื่อนับถึงเดือนมิถุนายน
2005 Pajero Sport รุ่นเดิม ก็ทำยอดขายสะสมทั่วโลกตลอด 7 ปีในตลาดได้มากมาย
ถึงประมาณ 400,000 คัน!! ตัวเลขนี้ ถือว่ามีจำนวนมากพอที่จะโน้มน้าวใจให้กับ
ผู้บริหารของ Mitsubishi Motors ตัดสินใจ สานต่อการพัฒนา Pajero Sport รุ่นใหม่

Mr.Koichi Namiki : Corporate General Manager , Global Pickup Project
Promotion Office, Product Projects & Strategy Group Headquarters ซึ่งเป็น
ผู้ดูแลโครงการพัฒนา Triton ใหม่ และ Pajero Sport ใหม่ เล่าว่า แนวทางในการ
พัฒนาทายาทลำดับที่ 3 รุ่นนี้ เริ่มต้นจากแนวคิดที่ว่า รถยนต์ SUV บนพื้นฐานของ
รถกระบะในยุคต่อไป ควรเป็นเช่นใด

หลังการศึกษา และวิจัยตลาด พวกเขาพบว่า Pajero Sport รุ่นต่อไป จะต้องเป็นรถยนต์
ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจ (Amazing) ในทุกองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็น ด้านงานออกแบบ
(amazing design;) ด้านความสะดวกสบาย (amazing comfort) สมรรถนะบนทุกสภาพ
พื้นผิวถนน (amazing all-terrain performance) และที่สำคัญสุด นั่นคือ อัดแน่นไปด้วย
อุปกรณ์มากมาย อย่างน่าประหลาดใจ (amazingly advanced equipment)

นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ ทีมงานชาวญี่ปุ่น ต่างมุ่งเอาใจลูกค้าชาวไทย กันอย่างไม่เคยมี
ปรากฎมาก่อน ในประวัติศาสตร์รถยนต์ Mitsubishi ของบ้านเรา ด้วยการอัดออพชัน
มาให้ชนิดไม่มีหวง ไม่มีกั๊ก จัดมาให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย อะไรที่ใส่มาให้ได้ สำหรับ
รถยนต์ในตลาดเมืองร้อน พี่แกใส่มาให้แทบจะหมดโรงงาน

ไม่เพียงเท่านั้น คราวนี้ Mitsubishi Motors ยังเตรียมพา Pajero Sport ขึ้นแท่นให้เป็น
รถยนต์รุ่นสำคัญ ที่ถูกขึ้นสายการผลิตในประเทศไทยเพียงแห่งเดียว เพื่อจะส่งออก
สู่อีก 90 ประเทศทั่วโลก โดยเริ่มจาก Australia ตามด้วย ตลาดในกลุ่ม ASEAN กลุ่ม
ตะวันออกกลาง (Middle East), Africa, Latin America รวมทั้งใน Russia อีกด้วย

2015_08_17_Mitsubishi_Pajero_Sport_02

Pajero Sport ใหม่ มีตัวถังยาว 4,785 มิลลิเมตร กว้าง 1,815 มิลลิเมตร สูง 1,805 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อยาว 2,800 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหน้า 1,520 มิลลิเมตร ความกว้างช่วง
ล้อหลัง 1,515 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดถึงพื้น (Ground Clearance) 218 มิลลิเมตร ถังน้ำมัน
ความจุ 68 ลิตร รัศมีวงเลี้ยวแคบ 5.6 เมตร

เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นเดิมที่มีความยาว 4,695 มิลลิเมตร กว้าง 1,815  มิลลิเมตร สูง 1,840
มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,800 มิลลิเมตร จะพบว่า รถรุ่นใหม่ ยาวขึ้น 90 มิลลิเมตร เตี้ยลง
40 มิลลเมตร จากรูปแบบราวหลังคาที่เปลี่ยนไป แต่ความกว้างตัวถัง ความกว้างช่วงล้อหน้า
และหลัง รวมทั้ง ระยะฐานล้อ ยังคงมีขนาดเท่ากับรุ่นเดิม ส่วนรัศมีวงเลี้ยว และระยะห่าง
ต่ำสุดจากพื้นถนน Ground Clearance เท่าๆกับรุ่นเดิม ความจุถังน้ำมันลดลงจากเดิม 2 ลิตร

รูปลักษณ์ภายนอก ถึงจะถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานเดียวกับ รถกระบะ Mitsubishi Triton ทว่า
ชิ้นส่วนตัวถังด้านหน้า ถูกออกแบบขึ้นใหม่ ภายใต้ Design Language ยุคใหม่ล่าสุดของ
Mitsubishi ที่เรียกว่า “Dynamic Shield” ซึ่งเริ่มใช้ครั้งแรก ใน Mitsubishi Outlander ทั้งรุ่น
ขุมพลังเบนซิน และรุ่น PHEV (Plug-in Hybrid) เปิดตัวไปเมื่อช่วงต้นปี 2015 ที่ผ่านมา

นั่นจึงทำให้เส้นสายภายนอกของ Pajero Sport ใหม่ ฉีกแนวทางไปจาก Triton โดยสิ้นเชิง
เรียกเสียงฮือฮาจากสาธารณชนทั้งหลาย เพราะกระจังหน้าโครเมียม แนวนอน พร้อมโลโก้
3 Diamonds ขนาดใหญ่ ประดับด้วยเส้นโครเมียม ลากยาวลงมาจากไฟหน้า ตามรูปทรงของ
ช่องดักลมแบบรังผึ้ง เชื่อมต่อมาถึง ชุดไฟตัดหมอกคู่หน้า ด้านล่าง รวมทั้งไฟหน้า แบบใหม่
Projector Lens Bi-LED ปรับระดับลำแสงอัตโนมัติ พร้อมไฟ Daytime Running Light แบบ
LED และกันชนหน้าสไตล์ใหม่ พร้อมเซ็นเซอร์กะระยะขณะจอดมากถึง 4 จุด มันช่างดู
สวยงาม ล้ำยุคสมัย น่าตื่นตาตื่นใจกว่า Triton ผู้พี่ ชนิดที่ว่า ทิ้งห่างกันระหว่าง ขั้วโลกเหนือ
กับขั้วโลกใต้เลยละ!

2015_08_17_Mitsubishi_Pajero_Sport_03

ด้านข้างของตัวรถ มีเส้นสายที่เน้นความบึกบึนมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม โป่งล้อจะมีความแตกต่างจาก
Triton แนวขอบกระจกหน้าต่างด้านข้าง บริเวณเสาหลังคาคู่หลังสุด D-Pillar ถูกลากให้ตวัดขึ้น
ประดับด้วยเส้นโครเมียม เสริมความล้ำสมัย และทำให้ตัวรถดูยาวขึ้นกว่ารุ่นเดิม ด้านบนติดตั้ง
ราวหลังคาแบบฝัง Roof rail  ส่วนด้านล่างมีบันไดข้างดีไซน์ดูแล้วกลมกลืนไปกับตัวรถคล้าย
ชุดสเกิร์ตข้าง เพียงแต่ว่า บันไดยังมีขนาดกว้างน้อยไปหน่อย สำหรับการเหยียบปีนขึ้นรถ

งานออกแบบที่เรียกเสียงฮือฮามากสุด อยู่ที่บั้นท้ายของตัวรถ มาแปลกแหวกโลกกว่าชาวบ้าน
ด้วยชุดไฟท้ายแบบ LED พร้อมแถบไฟ Spectrum LED เส้นคู่ลากยาวลงไปถึงกันชนหลัง

ใครกันที่กล้าอนุมัติรูปแบบไฟท้ายดีไซน์ฉีกกฎขนาดนี้?

ว่ากันว่า Namiki-San นั่นละครับ ที่เป็นคนเคาะให้ใช้ไฟท้ายแบบนี้!!

ในช่วงท้ายๆ ของการสรุปงานออกแบบ มีชุดไฟท้ายทั้งแบบแนวยาวคล้ายกับรถรุ่นเดิม และ
แบบลากเส้นยาวในแนวตั้งมาให้เลือก Namiki-San มองว่า ไฟท้ายแนวยาว แม้จะดูสวยงาม
และลงตัวดี แต่คู่แข่งคันอื่นๆ ก็จะออกแบบมาในสไตล์เดียวกันนี้ทั้งหมด ดังนั้น เพื่อสร้าง
บุคลิกให้ Pajero Sport ใหม่ แตกต่างอย่างโดดเด่นบนท้องถนน เขาจึงเลือกใช้ไฟท้ายแนว
ตั้งลากยาวลงมาจรดกันชนท้ายแบบนี้แทน

กันชนด้านล่างออกแบบให้เป็นแนวระนาบเดียวกับฝาท้าย มองในภาพรวม สิ่งที่ยังดูขาดไป
คือสปอยเลอร์ท้าย เหนือกระจกบังลมหลัง ซึ่งจะทำให้ตัวรถด้านหลังดูสมบูรณ์ขึ้น

แต่…. ไม่ต้องห่วง มิตซูบิชิจัดให้ ถ้าจองในช่วงตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 กันยายน จะแถมชุดแต่งให้
ฟรีๆ รวม 3 ชิ้น ได้แก่ การ์ดกันชนหน้า – หลัง และสปอยเลอร์ท้าย ที่เราอยากให้ติดตั้งมาจาก
โรงงานนั่นด้วย

Pajero Sport ทุกรุ่นจะได้ล้ออัลลอย ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง Bridgestone Dueler H/T 684 II
ขนาด 265/60 R18 แต่ในรุ่นท็อป GT Premium จะทำสีทูโทนปัดเงา เงิน/ดำ ให้แตกต่างจาก
รุ่นย่อยอื่น

2015_08_17_Mitsubishi_Pajero_Sport_04_EDIT

การเข้าออกจากตัวรถทำได้โดยพกกุญแจรีโมทคอนโทรล KOS (Keyless Operation System)
แล้วกดปุ่มที่มือเปิดประตู  หากปลดล็อก ในช่วงหัวค่ำ หรือตอนกลางคืน ระบบเปิด-ปิดไฟหน้า
อัตโนมัติ จะเข้าสู่โหมด Welcome Light เปิดไฟหน้าเป็นเวลา 30 วินาที พร้อมไฟส่องสว่าง
ภายในรถ จะติดขึ้น หากกดรีโมทปลดล็อกในที่มืด ไฟหน้าก็จะติดขึ้นทำให้หารถในที่มืดได้
ง่ายขึ้น

เมื่อเปิดเข้ามาในรถจะพบกับห้องโดยสารโทนสีดำล้วน เบาะนั่งคู่หน้า เป็นเบาะคนละชุด
กับ Triton ใหม่ หุ้มด้วยหนังสีดำ ปรับระดับด้วย สวิตช์ไฟฟ้า 8 ทิศทาง ทั้งเบาะคนขับ และ
เบาะผู้โดยสารฝั่งซ้าย วัสดุหนังหุ้มเบาะ มีผิวสัมผัสดีกว่าเบาะหนังใน Triton รุ่นท็อป อย่าง
ชัดเจน

พนักพิงเบาะนั่ง โอบกระชับดีมาก มีปีกเบาะที่นุ่ม ดุจนวมของโซฟาหนาๆ และรองรับสรีระ
ส่วนต่างๆ ได้ดี โอบอุ้ม นุ่มสบาย ขณะเดียวกัน เบาะรองนั่ง ก็ยังมีขนาดยาวอย่างเหมาะสม
พนักศีรษะ บุนุ่มกำลังดี ไม่ดันหัว มาในสไตล์เหมือนกับ Triton ใหม่ ในภาพรวมถือเป็น
เบาะคู่หน้าที่นั่ง สบายที่สุดในกลุ่ม SUV / PPV เฉือนชนะ Everest มาแค่นิดหน่อย

ตำแหน่งที่วางแขนบนแผงประตูข้างทำได้ดี อาจจะต้องปรับปรุงบ้าง ก็คือ มือจับประตูสีเงิน ซึ่ง
มีขนาดใหญ่เบ้อเร่อเบ้อร่า ยื่นออกมาเล็กน้อย แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้โดยเอามือสอดเข้าไป
ก็พอจะวางมือได้อยู่ ส่วน ตำแหน่งพนักวางแขนตรง ฝากล่องคอนโซลกลาง หุ้มหนัง ออกจะ
เตี้ยไปเล็กน้อย ถ้าปรับให้สูงขึ้นอีกสักไม่กี่มิลลิเมตรได้จะดีมาก

2015_08_17_Mitsubishi_Pajero_Sport_05_1_EDIT

บานประตคู่หลัง ถูกขยายความกว้างเพิ่มขึ้น ช่วยให้ก้าวเข้า – ออก จากทั้งเบาะแถว 2
และเบาะแถว 3 สะดวกขึ้นกว่ารุ่นเดิมนิดหน่อย แต่เมื่อเทียบกับคู่แข่งรุ่นใหม่ๆแล้ว
Pajero Sport ทำคะแนนในด้านการเข้า – ออก บานประตูคู่หลัง ดีที่สุดในกลุ่ม

เพราะในอดีต Ford Everest เคยมีคุณงามความดีจากเบาะนั่งแบบ ยก Flip ขึ้นได้ แต่
ในเมื่อพวกเขาเลือกจะถอดเบาะแถว 2 แบบนั้นออกไป ทำให้การเข้า – ออก จากเบาะ
แถว 3 ลำบากมากสุด ขณะที่ Toyota Fortuner ตามมาเป็นอันดับ 3 ในหัวข้อนี้ เพราะ
แม้จะมีการขยายช่องทางเข้า – ออกด้านหลังให้กว้างข้น แต่ด้วยแนวเสาหลังคา หลัง
C-Pillar ลาดเอียงมาก ทำให้การมุดศีรษะเข้าไปในรถ หรือออกมาจากตัวรถ ลำบาก
เอาเรื่องเลยทีเดียว ส่วนผู้ที่ได้ตำแหน่ง 2 รองจาก Pajero Sport คือ Isuzu MU-X และ
Chevrolet Trailblazer เนื่องจาก เข้า – ออก ค่อนข้างสะดวกพอใช้ได้ เมื่อเทียบกับ
ข้อจำกัดด้านการออกแบบที่มีอยู่

เบาะนั่งแถว 2 ของ Pajero Sport มีพนักพิงหลัง และเบาะรองนั่ง ที่นุ่มกำลังเหมาะ
แน่นพอประมาณ พนักศีรษะด้านหลัง ไม่ดันหัว แต่ด้วยการออกแบบมุมเงยของ
เบาะรองนั่ง ซึ่ยังไม่รองรับบริเวณต้นขาของผู้โดยสารมากพอ เมื่อเทียบกับคู่แข่ง
ทั้ง Everest และ Fortuner ใหม่ ทำให้ การโดยสารในภาพรวม Pajero Spoet ยัง
โดน Everest แซงขึ้นนำในหัวข้อนี้ ไปนิดเดียวจริงๆ ขณะที่ Fortuner ตามมา
ในอันดับ 3 เพราะตัวเบาะ แน่นก็จริง แต่หนังหุ้มเบาะ มีพื้นผิวที่แข็งไปนิดนึง

พนักวางแขนแบบพับเก็บได้ตรงกลาง มาพร้อมช่องวางแก้วแบบฝาพับกางออก
ยกชุดมาจาก Pajero V6 ในต่างประเทศ ข้อด้อยก็คือ ถ้าคุณต้องวางแก้วน้ำ หรือ
ขวดน้ำ คุณแทบจะหมดสิทธิ์วางท่อนแขนบนพนักได้เต็มท่อนเลยละ

พื้นที่เหนือศีรษะ ของรถยนต์ประเภทนี้ มักไม่ค่อยมีปัญหากับผู้โดยสารมากนัก
ไม่ว่าคุณจะตัวสูงเท่าไหร่ก็ตาม แต่สิ่งที่ลูกค้าคาดหวัง มักอยู่ที่ Leg Room หรือ
พื้นที่วางขา ซึ่ง Pajero Sport ถูกจัดวางตำแหน่งเบาะมาอย่างดี ทำให้วางขาได้
สบายค่อนข้างมาก

2015_08_17_Mitsubishi_Pajero_Sport_05_2

ข้อด้อยอีกประการของเบาะรองนั่ง แถว 2 ก็คือ แม้ว่าจะปรับพนักพิงให้พับแบน
ราบลงมาได้ เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง ในอัตราส่วน 60 : 40 แต่คุณ
จำเป็นต้องดึงสลักเชือกเพื่อยกเบาะรองนั่ง ให้หงายไปข้างหน้าก่อน จึงจะพับ
พนักพิงหลังลงแบนราบได้ ซึ่งไม่สะดวกในการใช้งานมากเท่ากับคู่แข่ง

ขณะเดียวกัน การเข้า – ออก จากเบาะแถว 3 ต้องดึงคันโยกบริเวณบ่าของพนัก
พิงหลัง แล้วโน้มชุดเบาะไปข้างหน้า จึงจะสามารถลุกเข้า – ออกจากเบาะแถว
หลังสุดได้

พื้นที่โดยสาร บนเบาะแถว 3 ถือว่า มีเหลือเฟือมากพอสมควร เมื่อเทียบกับคู่แข่ง
เบาะนั่งแถวที่ 3 สามารถพับลงได้เรียบเสมอกับแถวที่ 2 การพับเบาะนั้นเหมือน
รถรุ่นเดิมไม่ผิดเพี้ยน ต้องแยกส่วนเบาะรองนั่งดันขึ้นไปด้านหน้า และเบาะแถว
ที่ 2 พับกระดกไปด้านหน้า เมื่อพับทั้งหมดแล้วจะเรียบเป็นพื้นราบต่อเนื่องกัน

เบาะแถวที่ 3 นั้นไม่สามารถเลื่อนหน้า-ถอยหลังได้เช่นเดียวกับคู่แข่งทุกคันใน
ตลาด แต่สามารถปรับเอนได้เล็กน้อย พนักศีรษะ รูปตัว L คว่ำ ขนาดยาว ยกขึ้น
ใช้งานได้ 1 ตำแหน่ง การนั่งโดยสาร ทำได้ดีพอใช้ ถ้าคุณจำเป็นต้องเดินทาง
ไม่ไกลมาก ก็ยังพึ่งพาได้

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตัวเบาะ ถูกออกแบบมาเผื่อการพับให้ราบไปด้วย ดังนั้น
เบาะจะอยู่ในตำแหน่งที่ค่อนข้างเตี้ย แม้จะชดเชย ด้วยเบาะรองนั่งที่เงยขึ้นจาก
รุ่นเดิมเล็กน้อย ถึงกระนั้นถ้าเป็นผู้ใหญ่ ก็ยังต้องนั่งชันขาอยู่ดี พื้นที่ Legroom
มีพอประมาณ ขาไม่ติดเบาะด้านหน้า ในภาพรวมนั่งสบายกว่า Ford Everest
และเมื่อเปรียบเทียบกับ เบาะของ Toyota Fortuner นั้น รายนั้นจะนั่งสบาย
มากที่สุดในกลุ่ม เนื่องจากความกว้างของเบาะที่มากกว่า  และไม่มีซุ้มล้อมา
บดบังทำให้พื้นที่นั้นโปร่งโล่ง แต่พื้นที่ Headroom ของ Pajero Sport จะมี
มากกว่า Fortuner พอสมควร นั่งแล้วหัวไม่ติดเพดานเหมือน Fortuner

2015_08_17_Mitsubishi_Pajero_Sport_06_EDIT

แผงหน้าปัด ตกแต่งด้วยวัสดุสีเงิน Silver Metallic ตัดกับสีดำเงา Piano Black ตามสมัยนิยม
เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Fortuner และ Everest แล้ว วัสดุแผงหน้าปัด ยังเป็นรองทั้ง 2 รุ่นอยู่
เพราะไม่มีการติดตั้งวัสดุบุนุ่ม ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ใหม่ที่ลูกค้าชาวไทยเริ่มคาดหวังให้มีใน
รถยนต์ระดับราคาเกินกว่า 1 ล้านบาท

แม้ว่า ชิ้นส่วนครึ่งท่อนบนของแผงหน้าปัด จะยกมาจาก Triton แทบทั้งดุ้น แต่ครึ่งท่อนล่าง
ถูกออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด เพื่อให้มีบุคลิกร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น ทั้งการใช้แนวเส้นวัสดุสีเงิน
ลากยาวลงมาจากช่องแอร์ จนถึงชุดคันเกียร์และปุ่มควบคุมระบบขับเคลื่อน การตัดแนวเส้น
สีเงินให้รับกับแผงคอนโซลหน้าในแนวนอน

สิ่งที่ผมดีใจเป็นที่สุด นั่นคือ พวกเขา เลิกใช้พวงมาลัยสหกรณ์แบบ 3 ก้าน หน้าตาบื้อๆ ซึ่งยก
มาจาก Mirage และ Triton ซักที ! เปลี่ยนมาใช้พวงมาลัยแบบ 4 ก้าน ปรับระดับสูง – ต่ำ และ
ใกล้ – ห่าง แบบ Telescopic ได้ หุ้มหนัง เย็บเข้ารูปกันด้วยตะเข็บคู่ เป็นอย่างดี ยกชุด มาจาก
Outlander PHEV รุ่นล่าสุด ดูดีมีชาติตระกูลสกุลขึ้นมาทีเดียว

พวงมาลัย ถูกตกแต่งด้วยแถบสีเงินเมทัลลิค มีปุ่มควบคุมต่างๆมากมาย ฝั่งขวา-บนเป็น สวิตซ์
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control ฝั่งขวา-ล่าง เป็นสวิตช์ควบคุมหน้าจอ Multi-
Infomation Display บนชุดมาตรวัด และฝั่งซ้าย-บน จะเป็นชุดควบคุมเครื่องเสียง และการใช้
โทรศัพท์ รับสาย – โทรออก ไปจนถึงกล้องมองภาพ 360 องศา เพื่อช่วยขณะถอยจอด

ในรุ่น GT Premium จะเพิ่ม แป้น Paddle Shift ทำจาก Magnisium ยกชุดมาจาก Lancer EX
ติดตั้งบริเวณคอพวงมาลัย แบบตายตัว เพื่อลดความสับสนของผู้ขับขี่ ขณะขับขี่บนทางโค้ง
ลัดเลาะตามแนวทิวเขา

ชุดมาตรวัด ยกมาจาก Triton แต่ถูกเสริมความหรูด้วยแถบวงโครเมียมล้อมกรอบทั้งมาตรวัด
ความเร็ว และมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ และเปลี่ยนหน้าจอ MID (Multi-Information Display)
ตรงกลาง ให้เป็นจอสี TFT ขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อแสดงข้อมูลการขับขี่ต่างๆ ของตัวรถ

2015_08_17_Mitsubishi_Pajero_Sport_07

เครื่องปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ Digital แยกฝั่งซ้าย – ขวา พร้อมช่องแอร์ สำหรับผู้โดยสาร
แถวกลาง และแถว 3 ติดตั้งฝังตัวอยู่บนเพดานหลังคา แยกปรับอุณหภูมิฝั่งผู้โดยสาร ด้านหลัง
ได้ด้วยสวิตช์ ที่ติดตั้งฝังรวมกับ แผงไฟส่องสว่างกลางเพดาน เหนือเบาะแถว 2  ช่องแอร์นั้น
จะติดตั้งอยู่บริเวณริมเพดานด้านข้าง ทำให้พื้นที่ Headroom ไม่ถูกกดลงมา แตกต่างจากคู่แข่ง

ชุดเครื่องเสียง ยกชุดมาจาก Triton แบบไม่ต้องคิดมาก เป็นจอมอนิเตอร์สี Touchscreen ขนาด
7 นิ้ว รองรับวิทยุ AM/FM พร้อมเครื่องเล่น CD / MP3 1 แผ่น ช่องเชื่อมต่อ AUX / USB ระบบ
เชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth สำหรับโทรศัพท์ Smart Phone รวมทั้งมีระบบนำทางผ่านดาวเทียม
Navigation System มาให้ ปล่อยเสียงออกทาง ลำโพง 6 ตำแหน่ง คุณภาพเสียง อยู่ในเกณฑ์
ยอมรับได้ แต่ต้องปรับ Equalizer อย่างละเอียดเอาเอง ใช้งานง่ายกว่ารุ่นเดิม หน้าจอรับคำสั่ง
ไวขึ้น ลดปัญหา “จิกสกรีน” (คืออาการที่จอทำงานล่าช้า จนต้องใช้นิ้วจิกๆๆๆๆ จึงจะทำงาน)

นอกจากนี้ จอมอนิเตอร์สี ยังถ่ายทอดสัญญาณภาพจากกล้องรอบคัน! ถือเป็นครั้งแรกในกลุ่ม
SUV / PPV ที่ Mitsubishi Motors ยัดกล้องมาให้มากถึง 4 ตำแหน่ง รอบคัน (หน้า-หลัง และ
ใต้กระจกมองข้างทั้งซ้าย – ขวา) ประมวลผลออกมาทำให้ เป็นภาพจำลอง Bird’s eye view
หรือมุมมองจากด้านบน

ไม่เพียงแค่นั้น บนเพดานตรงกลาง ยังถูกติดตั้งจอภาพสำหรับผู้โดยสารตอนหลังขนาด 9 นิ้ว
พร้อมเครื่องเล่นแผ่น DVD สามารถเล่นเชื่อมหรือแยกกับชุดเครื่องเสียงด้านหน้าได้อิสระ
แถมยังมีหูฟังอินฟาเรดมาให้อีกถึง 2 ชุด ฟรีๆ!

2015_08_17_Mitsubishi_Pajero_Sport_08_EDIT

ด้านขุมพลัง เป็นไปตามความคาดหมาย เมื่อเปิดฝากระโปรงหน้าขึ้นมา คุณจะพบกับ
เครื่องยนต์ลูกเดียวกันกับที่ประจำการอยู่ในรถกระบะ Triton รุ่นล่าสุด

นั่นคือเครื่องยนต์ Diesel รหัส 4N15 บล็อค 4 สูบเรียง DOHC 16 วาล์ว 2,442 ซีซี
เสื้อสูบและฝาสูบผลิตจาก Aluminum Alloy กระบอกสูบ x ช่วงชัก 86.0 x 105.1
มิลลิเมตร กำลังอัด 15.5 : 1 เทอร์โบแปรผัน VG-Turbo และ Intercooler พร้อม
ระบบแปรผันวาล์ว MIVEC ให้กำลังสูงสุด 181 แรงม้า (PS) ที่ 3,500 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร (43.81 กก.-ม.) ที่ 2,500 รอบ/นาที

2015_08_17_Mitsubishi_Pajero_Sport_09

แต่ความเปลี่ยนแปลงสำคัญ อยู่ที่ระบบขับเคลื่อน คราวนี้ ทีมวิศวกร Mitsubishi
Motors ตัดสินใจ ติดตั้งเกียร์อัตโนมัติลูกใหม่ล่าสุด 8 จังหวะ จาก AISIN พร้อม
Mode + / – ให้ผู้ขับขี่เลือกเปลี่ยนเกียร์ได้เอง ทั้งจากคันเกียร์ และแป้น Paddle
Shift ที่คอพวงมาลัย (ติตตั้งตายตัว ยกชุดแป้น ที่ผลิตขึ้นด้วย Magnisium จาก
Lancer EX ทั้งดุ้น)

จุดเด่นของเกียร์ลูกใหม่นี้ คือมีระบบช่วยควบคุมและตัดกำลังไปยังเพลาขับ
อัตโนมัติเมื่อเหยียบเบรก (Idle Neutral Control) ลดภาระเครื่องยนต์และช่วย
ลดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เมื่อรถหยุดนิ่งในสภาพจราจรติดขัด เมื่ออยู่ใน
ตำแหน่งเกียร์ D อีกทั้งยังมี G-Sensor เพื่อช่วยส่งข้อมูลลักษณะตัวรถว่าอยู่
ในตำแหน่งลาดเอียงหรือกำลังไต่ทางชันหรือไม่ เพื่อช่วยควบคุมการเปลี่ยน
ตำแหน่งเกียร์ให้แม่นยำ และเหมาะสมกับสภาพการณ์มากขึ้นในทางลาดชัน

อัตราทดเกียร์มีดังนี้

เกียร์ 1………………..4.845
เกียร์ 2………………..2.840
เกียร์ 3………………..1.863
เกียร์ 4………………..1.436
เกียร์ 5………………..1.216
เกียร์ 6………………..1.000
เกียร์ 7………………..0.815
เกียร์ 8………………..0.672
เกียร์ถอยหลัง………3.825
เฟืองท้าย…………….3.692

ไม่เพียงเท่านั้น จุดเด่นสำคัญของ Pajero Sport ใหม่ อยู่ที่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
Super Select 4WD -II เวอร์ชันใหม่ล่าสุด อัพเกรดจากรถรุ่นเดิม!

2015_08_17_Mitsubishi_Pajero_Sport_10

ตามหลักการแล้ว ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ของ Pajero Sport ถือว่าเป็นแบบ Part Time
หรือ ขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ ไม่ตลอดเวลา ผู้ขับขี่สามารถเลือกเปลี่ยนรูปแบบได้เอง
จากสวิตช์หมุน ด้านข้างสวิตช์เบรกมือไฟฟ้า โดยมีรูปแบบการขับเคลื่อน เหมือนๆ
รถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ ทั่วๆไป แต่ความจริงแล้ว มีบางสิ่งที่แตกต่างกัน และไม่มี
ใน SUV / PPV คันอื่นๆ

กล่าวคือ ในการขับขี่ปกติ เราจะใช้ตำแหน่ง 2H สำหรับ พื้นถนนแห้ง ยางมะตอย
หรือ ปูนซีเมนต์ทั่วๆไป ถ้าต้องการใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบปกติ ก็หมุนไปที่
4HLc ( 4-Hi Lock) ซึ่งจะขับขี่ทางตรงต่อเนื่องบนพื้นถนนเปียกลื่น ด้วยความเร็ว
สูงในระดับหนึ่ง และ 4LLc (4-Low Lock) สำหรับการปีนไต่เส้นทางทุระกันดาน

กระนั้น การใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ทั้ง 2 โหมด Lock นี้ คุณยังต้องออกแรงขืน
เพื่อเลี้ยวพวงมาลัยมากกว่าเดิม เหมือนเช่นรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ Part Time
ทั่วไป

แต่ความพิเศษ ที่แตกต่างจากชาวบ้าน ซึ่งถุกเพิ่มเข้ามาเป็นครั้งแรก นั้นคือการ
เชื่อมต่อในโหมด 4H (4-Hi) เพราะนี่คือครั้งแรก ที่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ใน
SUV / PPV สามารถขับขี่ใช้งาน บนถนนเปียกลื่น ในเมืองได้ง่ายดายกว่าเดิม
ในโหมดนี้ คุณสามารถเลี้ยวพวงมาลัย ได้คล่องแคล่ว เหมือนขับอยู่ในโหมด
2H ไม่ฝืดหนัก เท่า 4HLc เท่ากับว่า คุณสามารถใช้งานระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
ของ Pajero Sport ได้เหมือน กำลังขับ Mitsubishi Lancer Evolution หรือเช่น
Subaru WRX STi เลยนั่นแหละ!!

โหมดขับเคลื่อน 4 ล้อ 4H นั้น ระบบจะสั่งให้กระจายแรงบิดจากเครื่องยนต์
พร้อมๆกันแบบ Full time โดยใช้เซนเซอร์จับการหมุนของล้อ เพื่อช่วยปรับ
สัดส่วน การแบ่งกำลังไปยัง ล้อหน้า : หลัง ในอัตราส่วนตั้งแต่ 40 : 60 จนถึง
50 : 50 ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นผิวและสถานการณ์ต่างๆ ในขณะนั้น

ตอนแรกผมไม่เชื่อนะ แต่พอลองขับจริง ก็พบว่า ระบบ 4H ใน Super Select-II
มันทำได้แบบนี้จริงๆ คุณแทบไม่จำเป็นต้องใช้โหมด 4HLc เลยด้วยซ้ำ ช่วยให้
คุณขับขี่อย่างมั่นใจขึ้น ในวันที่ กรุงเทพฯ ฝนตก ถนนลื่นจัดๆ โดยไม่ต้องมา
ออกแรงหมุนพวงมาลัยเพิ่มจนกล้ามขึ้น โดยไม่จำเป็น

นอกจากนี้ ในโหมด 4HLc ยังสามารถล็อกเพลากลางให้แบ่งกำลัง 50 : 50 พร้อม
โหมดขับเคลื่อนแบบออฟโรด ให้เลือก 4 แบบ เหมือนย SUV ชั้นดีจากยุโรป ได้แก่

– GRAVEL   ถนนลูกรังที่มีกรวดและดิน
– MUD / SNOW   บริเวณที่เป็นโคลนหรือหิมะหนา
– SAND   บริเวณที่เป็นทรายละเอียด
– ROCK   พื้นผิวขรุขระที่มีหินมากหรือล้อลอยจากพื้น

ตัวรถนั้นมี มุมไต่ 30 องศา (มุมไต่ คือ คือองศาจากพื้นบริเวณหน้ายางเงยขึ้นไปหา
ส่วนยื่นที่สุดของหน้ารถ) และ มุมจาก 24 องศา (มุมจาก คือ องศาจากพื้นบริเวณ
หน้ายางไปสู่จุดที่ยื่นมากที่สุดของตัวถังด้านหลัง)

2015_08_17_Mitsubishi_Pajero_Sport_11

การทดลองขับในสนามแห่งนี้ มีข้อกำหนดต่างๆ ค่อนข้างเยอะ เพื่อความปลอดภัย
อีกทั้งสภาพสนาม ไม่เอื้ออำนวยต่อการจับเวลาหาตัวเลขอัตราเร่งคร่าวๆใดๆทั้งสิ้น
จึงทำได้เพียงแค่นำประสบการณ์จากหลังพวงมาลัยมาเล่าสู่กันฟังเป็นขั้นเริ่มต้น

อัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่ง ยังคงความกระฉับกระเฉง และพุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว ทันใจ
ไม่ได้แตกต่างไปจาก Triton ใหม่ เลย เพียงแต่ว่า อาการรอรอบให้ Turbo ทำงาน และ
บุคลิกของคันเร่งไฟฟ้าที่ยังต้องเร่งทำงานให้ทันกับการตัดสินใจของผู้ขับขี่ อาจยังพอ
หลงเหลืออยู่ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ถ้าคุณจอดติดไฟแดง พอไฟเขียว คุณกระทืบคันเร่งเต็มตีน เราคงต้องรอให้เข็มวัดรอบ
กวาดขึ้นไปถึงระดับ 1,750 รอบ/นาที จึงจะสัมผัสได้ถึงแรงดึงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ก่อนจะแผดคำราม ดึงตัวรถพุ่งขึ้นไปข้างหน้าเต็มที่ ในช่วง 2,500 รอบ/นาที

แต่ถ้าคุณกำลังขับอยู่ในความเร็วเท่าใดก็ตาม หากเข็มวัดรอบ พ้นเลข 1 (หรือ 1,000 รอบ
/นาที) ขึ้นมา แม้เพียงนิดเดียว (ช่วง 1,250 รอบ/นาที) ในจังหวะนี้ ถ้าคุณกระแทกคันเร่ง
ลงไปจนจมมิด คุณจะไม่รู้สึกเลยว่าคันเร่งมัน Lag และแทบจะไม่ต้องรอรอบ เพราะใน
ช่วงดังกล่าว Turbo เริ่มทำงาน เพื่อให้เครื่องยนต์ เตรียมส่งกำลังมารอที่ล้อขับเคลื่อนแล้ว
ดังนั้น รถจะตอบสนองทันใจ ฉับไวตามที่คุณต้องการพอดีๆ

ถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว Pajero Sport ใหม่ ลดอาการรอรอบลงไปจากรถรุ่นเดิมเยอะ
แต่ถ้าเทียบกับ Triton แล้ว ผมมองว่า เกียร์ 8 จังหวะลูกนี้ ถูกเซ็ตมาเพื่อเน้นให้การ
เปลี่ยนเกียร์ นุ่มนวล และส่งกำลังได้ต่อเนื่อง เน้นความประหยัดน้ำมันมากกว่า
การเน้นสมรรถนะ ดังนั้น บุคลิกการตอบสนองของเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง
จึงคล้ายคลึงกับ Triton เพียงแต่ด้วยน้ำหนักรถที่มากกว่า ทำให้ตัวรถพุ่งไปข้างหน้า
อย่างต่อเนื่องใกล้เคียงกัน

การเก็บเสียง ดีใช้ได้ ในช่วงความเร็วต่ำ ไม่เกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เกินกว่านี้
ผมยังไม่ทราบ เพราะในสนาม จำกัดความเร็วไว้เพียงแค่นั้น ขณะเดียวกัน เสียง
จากกระแสลม ถือว่าน้อยลงมาก ภาพรวม ดีพอประมาณ แต่ยังไม่ถึงกับดีที่สุดใน
กลุ่มตลาด เพราะเสียงเครื่องยนต์ ยังแอบดังเล็ดรอดเข้ามาในห้องโดยสารอยู่
พอสมควร คือไม่ดังเท่า รถกระบะ Isuzu รุ่นมังกรทอง แต่ Mazda 2 เก็บเสียง
จากเครื่องยนต์ เข้าสู่ห้องโดยสาร ได้เงียบกว่านิดหน่อย! พูดง่ายๆ คือ ใกล้กับ
Triton แต่เงียบกว่า Triton นั่นละครับ (งงไหม?)

2015_08_17_Mitsubishi_Pajero_Sport_12

พวงมาลัย แบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ช่วยผ่อนแรงแบบไฮโดรลิก ธรรมดา
คืออีกสิ่งที่น่าชื่นชม เพราะแม้จะออกแบบมา รวมทั้งใช้ชิ้นส่วน เหมือนกับ Triton ใหม่
แต่ด้วยการปรับขนาดของวงพวงมาลัยให้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย แถม บริเวณมือจับ มีลักษณะ
ของ Grip ที่หนาขึ้น อวบกระชับมือมากยิ่งขึ้น รวมทั้งขนาดของล้อที่ใหญ่ขึ้น ช่วยทำให้
การตอบสนองของระบบบังคับเลี้ยว ในภาพรวม มีน้ำหนักที่เหมาะสม กับขนาดและ
น้ำหนักของตัวรถ คือ ไม่ได้เบาจนเกินไป มีความหนืดและน้ำหนัก ในระดับมากกว่า
Triton ใหม่ นิดหน่อย

ในช่วงความเร็วต่ำ พวงมาลัยมีน้ำหนักกำลังดี เบาสบายแต่ไม่ไวเกินไป แรงสะเทือน
ส่งขึ้นมาที่พวงมาลัยมีค่อนข้างน้อย แต่เมื่อใช้ความเร็วสูงจะหนืดขึ้นนิดหน่อย เมื่อ
เทียบกับตัวเก่าแล้วโอเคขึ้น ไม่ต้องแก้ไขอะไร ยกเว้นอาการดั้งเดิม นั่นคือ ไม่ยอม
คืนวงเลี้ยวให้ หากหมุนพวงมาลัยเลี้ยวกลับรถจนสุด (แต่ถ้าเลี้ยวไม่สุด พวงมาลัย
จะหมุนคืนกลับมาตั้งล้อตรงให้เอง)

ส่วนรุ่น ขับเคลื่อน 2 ล้อ พวงมาลัยจะเบากว่ารุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ นิดหน่อย กระนั้น
ความหนืด และการตอบสนอง จะยังคงใกล้เคียงกับรุ่น GT Premium 4WD อยู่ดี
ภาพรวมของพวงมาลัย ถูกเซ็ตมา ให้อยู่ตรงกลาง เพื่อเอาใจทั้งกลุ่มคนที่ชื่นชอบ
การขับรถเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งมักเรียกร้องให้พวงมาลัยแข็ง หนืด ตึงมือ และกลุ่ม
คนขับรถเรื่อยเปื่อย ที่ต้องการพวงมาลัยเบาๆ บังคับเลี้ยวคล่องๆในตัวเมือง

ระบบกันสะเทือนด้านหน้า เป็นแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น พร้อมคอยล์สปริงและเหล็ก
กันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบ 3 Link Torque Arm พร้อมคอยล์สปริง เหล็กกันโคลง
และเหล็กกันสะบัดเพลาหลัง

ช่วงล่างของ Pajero Sport ใหม่ ถูกเซ็ตมาในแนวนุ่มนวลขึ้น และหนักแน่นขึ้นกว่า
รุ่นเดิม แบ่งเป็นบุคลิก “นุ่มแน่น” ที่ด้านหน้า และ “หนึบแน่น” ที่ด้านหลัง แถมยัง
ลดอาการดีดเด้งบริเวณบั้นท้ายลงไปมาก จนเกิดความแตกต่างกันอย่างชัดเจนเมื่อ
เทียบกับรุ่นเก่า

การทรงตัวในช่วงความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไม่มีปัญหาอะไร จัดอยู่ใน
เกณฑ์ดี ตามปกติทั่วไป ถือว่านิ่งสนิทพอๆกันกับ Everest

ขณะเดียวกัน ในช่วงที่ต้องขับไปตามสภาพพื้นผิวถนนในแบบต่างๆ ด้วยความเร็ว
ไม่เกิน 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง การดูดซับแรงสะเทือน ทำได้ดีขึ้นกว่ารุ่นเดิม แต่ด้วย
การออกแบบให้มีจุดยึดเชื่อมต่อกับเฟรมแชสซีมากถึง 8 จุด ดังนั้น คุณอาจจะเห็น
ความพยายามในการให้ตัว และยืดหยุ่นตัว ระหว่าง โครงสร้างตัวถัง กับเฟรมแชสซี
ได้บ้าง ในรูปแบบถนนพื้นผิวขรุขระ กระนั้น ถ้าคุณขับผ่านหลุมบ่อ ฝาท่อ และใช้
ความเร็วประมาณ 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง ช่วงล่างจะลดอาการตึงตังลงนิดหน่อย
แต่ยังลงเหลืออาการดีดเล็กๆ อันเป็นนิสัยเดียวกับรถกระบะ ขณะขับผ่านเนินสะดุด
หรือ ลูกระนาด เล็กน้อย

ถ้าคุณเคยไปขอทดลองขับ Triton ใหม่ ที่โชว์รูมมาแล้ว ผมอยากบอกไว้ตรงนี้เลยว่า
ช่วงล่างของ Pajero Sport นุ่มและแน่นกว่าเดิม หลายคนอาจบอกว่า จะมาเปรียบกัน
ไม่ได้หรอกนะ ช่วงล่าง SUV/PPV ที่ใช้คอยล์สปริง ด้านหลัง กับช่วงล่างรถกระบะ
ที่ใช้แหนบด้านหลังหนะ

ก็ถูกละครับ ผมไม่เถียงเลย แต่ในฐานะของคนที่เพิ่งลงจาก Triton แล้วกระโดดขึ้น
มาขับ Pajero Sport ทันที ผมยอมรับว่า ช่วงล่างของ Pajero Sport ใหม่ นุ่มแน่นหนึบ
มากขึ้นกว่า Triton หลายโขอยู่

อย่างไรก็ตาม ถ้าเปรียบเทียบกับคู่แข่งแล้ว ผมมองว่า การตอบสนองของช่วงล่าง การ
ดูดซับแรงสะเทือน ในช่วงความเร็วต่ำ บนพื้นถนนซีเมนต์ หรือยางมะตอย รวมทั้ง
การให้ตัวของเฟรมแชสซีส์ ใน Ford Everest ใหม่ ยังทำได้ดีกว่า Pajero Sport ใหม่
นิดหน่อย

2015_08_17_Mitsubishi_Pajero_Sport_18_Safety

ระบบเบรกด้านหน้าเป็นแบบดิสก์เบรกแบบมีช่องระบายความร้อน เส้นผ่าศูนย์กลาง
320 มิลลิเมตร แถมใช้ คาลิเปอร์คู่ อีกต่างหาก ส่วนด้านหลัง เปลี่ยนมาใช้ ดิสก์เบรก
เป็นครั้งแรก เส้นผ่าศูนย์กลางจานเบรกหลัง 315 มิลลิเมตร มาพร้อมสารพัดตัวช่วย
ทั้งระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock Braking System), ระบบกระจายแรงเบรก
ตามการบรรทุก EBD (Electronic Brake Force Distribution) ระบบเสริมแรงเบรกใน
ภาวะฉุกเฉิน BA (Brake Assist)
แป้นเบรก นุ่ม และมีระยะเหยียบกำลังดี หน่วงความเร็วลงมาได้ตามแต่คุณจะเติมน้ำหนัก
ลงไปบนแป้นเบรกมากน้อยแค่ไหน คุมเบรกให้ชะลอในความเร็วต่ำจนหยุดนิ่งได้ดี
หน้าไม่ทิ่มกระจายแรงเบรกได้สมดุลดี และไว้ใจได้มากขึ้นกว่ารุ่นเดิม

ระบบช่วยเหลือการขับขี่ก็จัดมาให้อย่างเต็มพิกัด เริ่มตั้งแต่ ระบบควบคุมเสถียรภาพ
การทรงตัว ASC (Active Stability Control) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ATC (Active
Traction Control) , ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA (Hill Start Assist) , ระบบ
ควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC (Hill Descent Control) , ระบบรักษาการ
ทรงตัวขณะลากจูง TSA (Trailer Stability Assist) , ระบบเตือนจุดอับสายตา BSW
(Blind Spot Warning : เหมือน Volvo Mercedes-Benz กับ BMW) และระบบไฟ
ฉุกเฉินอัตโนมัติ ESS (Emergency Signal System)

นอกจากนี้ยังมีระบบ Active Safety ที่ติดตั้งมาให้เป็นครั้งแรกในกลุ่ม SUV / PPV
ถึง 2 ระบบ ได้แก่ ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว
FCM (Forward Collision Mitigation) ระบบจะทำงานโดยใช้เรดาห์ (บริเวณโลโก้
หน้ารถ) ประเมินระยะห่างจากรถคันหน้า เมื่อตรวจสอบว่ามีความเสี่ยงระยะที่จะ
ชนรถคันหน้า จะเริ่มเตือนเพื่อให้ผู้ขับขี่เหยียบเบรก และเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรก
เมื่อความเร็วต่ำกว่า 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระบบช่วยเบรกจะทำงานอัตโนมัติ สามารถ
ตั้งระยะการเตือนได้ 3 ระดับ Near, Middle และ Far ด้วยสวิตช์ บนพวงมาลัย

อีกรายการ เป็นระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะเมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและ
รวดเร็ว UMS (Ultrasonic Misacceleration Mitigation System) ระบบนี้จะทำงาน
โดยใช้คลื่น Ultrasonic จับวัตถุด้านหน้าหรือด้านหลังในระยะไม่เกิน 4 เมตร ใน
ขณะที่อยู่ในตำแหน่งเกียร์ D หรือ เกียร์ R ถ้าหากมีการเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรง
และรวดเร็ว ระบบจะตัดการทำงานของเครื่องยนต์ 5 วินาที วนเป็นลูป

ทั้งนี้ระบบจะทำงานที่ความเร็วต่ำกว่า 10 กิโลเมตร / ชั่วโมง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด
การพุ่งชนกำแพง – ร้านค้า หรือพลัดตกตึก ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ซึ่งเป็นปัญหา
ที่ไม่เพียงจะเกิดขึ้นกับ บรรดาชาว สว. (สูงวัย) ของไทย หากแต่ยังเกิดขึ้นบ่อยๆ
กับชาวญี่ปุ่นอีกด้วย!

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ Override Brake System ในกรณีที่
เด็กล้างรถ ลืมใส่พรมฝั่งผู้ขับขี่เข้ากับตัวล็อก คุณขับรถไปเรื่อยๆ จนพรม ไปติด
อยุ่ใต้คันเร่ง เกิดปัญหาคันเร่งค้าง ให้คุณเหยียบเบรก จนจมมิดได้ทันที สมองกล
ของระบบจะรับรู้ว่า คนทั่วไปเขาไม่เหยียบเบรกพร้อมคันเร่ง ขณะที่รถแล่นอยู่
กันหรอก ระบบจะสั่งตัดการจ่ายเชื้อเพลิง ทันที เพื่อช่วยให้คุณชะลอรถลงมา
และจอดเข้าข้างทางได้อย่างปลอดภัย ก่อนจะดับเครื่องยนต์ แล้วแก้ปัญหาให้จบ

ระบบนี้ Toyota เอามาติดตั้งใน รถยนต์ของตนหลายๆรุ่นในบ้านเราแล้ว คราวนี้
Mitsubishi Motors เลยเอามาใส่ให้ลูกค้า Pajero Sport ด้วย เป็นประเดิม ถือเป็น
การช่วยแก้ปัญหา ของบริษัทรถยนต์ ทั้ง 2 ยี่ห้อ ที่มีต่อลูกค้าในอีกทางหนึ่งนั่นเอง

 

2015_08_17_Mitsubishi_Pajero_Sport_13

********** สรุป (เบื้องต้น) **********
คุ้มราคาที่สุดในกลุ่ม SUV/PPV ตอนนี้
ใครที่จองไว้ ไม่ต้องเป็นห่วง รับรถไปเถอะ!

นับเป็นเรื่องพลิกความคาดหมายอยู่ไม่น้อย ที่ Pajero Sport ใหม่ มีกระแสตอบรับ
ดีเยี่ยมจากลูกค้าชาวไทย ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจ ภายในประเทศ และทั่วโลก ที่
ไม่ดีเอาเสียเลย

เหตุผลหนะมีอยู่หลายข้อครับ

1. นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายๆ ปี ที่ Mitsubishi Motors ออกรถยนต์รุ่นใหม่มา
แล้วผมพบว่า มีจุดที่ควรตำหนิ หรือต้องปรับปรุง น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้เยอะ

ประเด็นหลักๆ ที่ยังรอการปรับปรุง มีทั้ง การออกแบบเบาะแถว 2 ให้พับและเลื่อน
ขึ้นหน้า – ถอยหลัง ได้สะดวกยิ่งขึ้น รวมทั้งปรับมุมองศาของเบาะรองนั่งแถว 2 ให้
เงยขึ้นมาอีกหน่อย เพื่อรองรับต้นขาของผู้โดยสารแถวกลาง ได้ดีกว่านี้

มีเพียงเท่านี้เลยจริงๆ

2. ดูเหมือนว่า Mitsubishi Motors จะเริ่มเรียนรู้แล้วว่า รถยนต์ที่คนไทยต้องการใน
เวลานี้ ไม่ใช่แค่ สวย แต่ยังต้องมาพร้อมออพชัน ประจำรถ ที่ถูกอัดแน่นมาให้เต็ม
เกินหน้าเกินตาค่แข่ง ในราคาที่ลูกค้ามองว่า สมเหตุสมผล ยิ่งใส่ข้าวของมาให้เยอะ
ลูกค้าจะยิ่งรู้สึกได้ว่า พวกเขาตัดสินใจเลือกซื้อรถคันนั้น อย่างชาญฉลาด ไม่รู้สึก
โดนเอาเปรียบ จากบริษัทรถยนต์มากจนเกินงาม

Pajero Sport คือ คำตอบที่น่าจะทำให้ชาวญี่ปุ่น ซึ่งทำงานในบริษัทรถยนต์  มอง
ประเทศไทย ในแนวทางที่ต่างออกไปจากเดิมกันได้แล้วเสียที นี่แหละผลของ
การทุ่มงบ อัพออดชันมาให้ลูกค้าสัมผัสได้ถึงความคุ้มค่า เมื่อแลกกับราคาที่จ่าย

พนันได้เลยว่า คนที่กำลังอ่าน บทความทดลองขับ รถคันนี้ ในตอนนี้ จะมีด้วยกัน
ทั้งหมด 3 กลุ่ม

1. กลุ่มที่ยังไม่ได้จอง และอยู่ในระหว่างการตัดสินใจ ว่าจะลองเสี่ยงดูไหม?
2. กลุ่มที่ จองไปแล้ว รอคอยวันรับรถในเดือนตุลาคม 2015 นี้ แต่อยากเช็คความ
มั่นใจของตนเองว่า ฉันเลือกรถไม่ผิดแน่นะ?”
3.กลุ่มที่สนใจใคร่รู้เรื่องรถยนต์ หรือกลุ่มแฟนประจำของ Headlightmag.com

ถ้าคุณเป็นคนกลุ่มแรก ผมบอกได้ตรงนี้เลยว่า ค่าตัว  1,138,000 บาท ในรุ่นล่างสุด
2.4 GLS Ltd. 2WD 8AT  ก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว เว้นเสียแต่ว่า ต้องการความ
หรูหรา และประดับประดาด้วยสารพัดอุปกรณ์ จึงจะขยับขึ้นไปเล่นรุ่นท็อปสุด
2.4 GT Premium 4WD 8AT ในราคา 1,450,000 บาท

อุปกรณ์ในแต่ละรุ่นย่อยที่ให้มานั้น แตกต่างกันอย่างไรบ้าง ก็สามารถดูได้ ที่นี่ครับ
// เจาะสเป็ค-Option-ราคา-รุ่นย่อย New Mitsubishi Pajero Sport //

ยิ่งในช่วงเปิดตัว Mitsubishi Morors ก็มีราคาพิเศษช่วงแนะนำเฉพาะรุ่นท็อป เพียง
1,399,000 บาท ก็คงต้องถามกันตรงๆว่า วินาทีนี้ ยังมัวรออะไรอีก? จะรอให้ภาษี
สรรพสามิต ปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดเก็บ ในเดือนมกราคม 2016 นี้ จนทำให้
ค่าตัวของรถรุ่นนี้ แพงขึ้นไปกว่านี้อีกหรือ? ต่อให้ Pajero Sport ใหม่ ปล่อยก๊าซ
คาร์บอนไดอ๊อกไซด์ ได้ต่ำกว่า 200 กรัม / กิโลเมตร อย่างที่ระบุไว้ในเอกสาร
ภาษาอังกฤษ สำหรับแจกสื่อมวลชน ค่าตัวของรถรุ่นนี้ ก็น่าจะถีบตัวสูงขึ้นไป
จากเดิม เฉกเช่นเพื่อนพ้องร่วมพิกัด อยู่ดี

ถ้าคุณยังกังวลเรื่องบริการหลังการขาย ที่มีชื่อเสียงว่า อยู่ในอันดับกลางๆ ค่อนข้าง
รั้งท้ายชาวบ้านเขาอยู่ คงต้องบอกว่า ตอนนี้ Mitsubishi Motors เอง ก็กำลังพยายาม
ปรับปรุงศูนย์บริการ และเฟ้นหาดีลเลอร์รายใหม่ๆ Attitude ดีๆ กัน แน่นอนครับว่า
มันไม่อาจดีขึ้นได้ในวันเดียวหรอก แต่ต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ๆ ลูกค้าต่างจังหวัด
จะได้เปรียบ เพราะรายชื่อของศูนย์บริการรถยนต์ Mitsubishi ที่มีประวัติการดูแล
ลูกค้าดีมากๆ นั้น แทบทั้งหมด อยู่นอก กรุงเทพฯ กันล้วนๆ!

ถ้าคุณเป็นคนกลุ่มที่ 2 และคิดว่า ไม่อาจรออ่านบทความ Full Review จากผมได้
อีกต่อไป ผมคงต้องยืนยันในการตัดสินใจให้คุณไปก่อนว่า คิดไม่ผิดหรอกครับ
นี่คือหนึ่งในรถยนต์ Mitsubishi รุ่นที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่ง เท่าที่พวกเขาเคยผลิตขาย
ให้กับคนไทย แม้จะยังมีจุดต้องปรับปรุงอีกนิดๆหน่อย ตามที่ได้บอกไว้ข้างต้น
แต่ถ้าคุณยอมรับได้ ก็จะใช้ชีวิตกับรถคันนี้ได้อย่างเป็นสุข

แต่ถ้าคุณเป็นคนกลุ่มที่ 3 และยังคิดว่า J!MMY อวยรถคันนี้มากไปหรือเปล่า?
ผมคงตอบได้ว่า ลองไปถามคนที่เคยลองนั่ง ลองขับ Pajero Sport ใหม่ ดูเอง
พวกเขานั่นละ จะยืนยันได้อย่างดี ว่าสิ่งที่ผมพูดอยู่นี้ มันจริงหรือไม่?

แต่ถ้าคุณยังสงสัยใคร่รู้ ว่า ตัวเลขอัตราเร่ง อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เป็นอย่างไร
จะด้อยกว่า Triton ตามน้ำหนักและขนาดของตัวรถ มากน้อยแค่ไหน หรือแม้แต่
แนวทางในการพัฒนา ชนิดลงรายละเอียดเบื้องลึกกว่านี้ เป็นอย่างไร

ยังมีเบื้องหลังการทำงานอีกมากมาย กว่าจะได้มาเป็น Pajero Sport ใหม่
ให้คุณเห็น เป็นคันจริงอย่างนี้

ไว้รออ่านกันเต็มๆ อีกครั้งใน บทความ Full Review อีกไม่นาน

ไม่เกินปีนี้ ได้อ่านกันแน่!

——————————-///——————————-

2015_08_17_Mitsubishi_Pajero_Sport_14

ขอขอบคุณ / Special Thanks to:

ฝ่ายประชาสัมพันธ์   
บริษัท Mitsubishi Motors (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ และการประสานงานในด้านต่างๆ อย่างดียิ่ง

คุณ Teerapat Archawametheekul (Moo Cnoe)
และ Kantapong Somchana (Teang)
สำหรับการเตรียมงานและข้อมูลในบทความนี้

—————————————

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย เป็นผลงานของ Bank Kanchanavilai
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
17 สิงหาคม 2015

Copyright (c) 2015 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
July 17th, 2015

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!
———————————————————————————————————

บทความที่น่าสนใจ เหมาะแก่การอ่านเพิ่มเติม

เจาะรถเด่น : เปรียบเทียบ Spec-Option PPV ครบทั้ง 5 รุ่น เจาะลึกทุกรายละเอียด

Exclusive First Impression : ทดลองขับ Ford Everest ใหม่
Exclusive First Impression- ทดลองขับ Toyota Fortuner 2015
ทดลองขับ Chevrolet TRAILBLAZER New Duramax Engine
Exclusive First Impression: ทดลองขับ Isuzu MU-X 3.0 VGS