(Video Clip version of this Full Review is now available at the end of this article)
(วีดีโอ คลิป ทดลองขับ ของรถคันนี้ เลื่อนลงไป อยู่ด้านล่างสุดของบทความนี้ )
8 พฤศจิกายน 2024
13.00 น.
ศูนย์การค้า Emspheres Sukhumwit
Bangkok, Thailand
ผมเคยพูดเอาไว้เมื่อปี 2021 – 2022 ว่า อยากเห็น Hyundai ในเมืองไทย มีทางเลือกรุ่นรถยนต์ หลากหลายกว่าที่เคยเป็นอยู่ ในอดีต กันเสียที แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่า มันยากเย็นแสนเข็ญมาก
การที่ ผู้จำหน่ายรายเดิม Sojitz บริหารจัดการให้แบรนด์ Hyundai ประคองตัวอยู่รอดไปได้ ด้วยรถตู้ H-1 Staria มันเป็นเรื่องทีเข้าใจได้ ้เพราะ ผู้ผลิตรถยนต์ชาวเกาหลีใต้ รายนี้ ต้องเผชิญความท้าทายจาก ข้อจำกัดต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องภาษีนำเข้ารถยนต์บ้านเรา ซึ่งจัดเก็บในอัตราค่อนข้างแพง เพราะต้องการดึงให้ผู้ผลิตชาวต่างชาติ เน้นเข้ามาลงทุนตั้งไลน์ประกอบรถยนต์ในประเทศไทย เพื่อจะรักษา อุตสาหกรรมยานยนต์ในบ้านเราเอาไว้ และส่งเสริมให้คนในประเทศ พัฒนาฝีมือแรงงานให้อยู่ในระดับแนวหน้าของโลก
แม้ในอดีต Hyundai และ Sojitz จะทดลองหยั่งเชิงด้วยการจ้างให้ บริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด ขึ้นสายการประกอบรถยนต์ Hyundai Sonata เป็นครั้งแรกในบ้านเรา ในปี 2007 แต่นั่นก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะยอดขายไม่ได้เยอะมากพอจะคุ้มต่อการลงทุนเลย
เวลาผ่านไป ต่อให้บริษัทแม่ Hyundai Motor Co. มาลงทุนทำตลาดเอง เมื่อ 1 เมษายน 2024 สถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ก็ยังทำให้ไม่ง่ายเท่าไหร่ หากต้องการดำเนินธุรกิจในบ้านเรา
ครั้นจะพึ่งพาการนำเข้ารถยนต์จากเกาหลีใต้เป็นหลัก กว่าที่รัฐบาลไทยเรา เพิ่งจะเริ่มเจรจาทำข้อตกลง FTA (Free Trade Area) กำลังทางเกาหลีใต้ ก็เพิ่งจะมีข่าวออกมาเมื่อปี 2024 ที่เพิ่งผ่านพ้นไปนี่แหละ ดังนั้น รถยนต์ที่นำเข้ามาจากโรงงานในแดนโสม มายังเมืองไทย จึงยังต้องเสียภาษีกันเต็มอัตราศึกกันต่อไป จึงยังต้องพึ่งพาการนำเข้ารถตู้จากเกาหลีใต้ ซึ่งยังพอทำได้ หากอยู่ในพิกัด 11 ที่นั่ง รวมทั้ง ไปขนเอารถยนต์ที่ประกอบใน Indonesia ทั้ง Creta และ Stargazer ขายกันไปเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นมา เราก็เริ่มมีข่าวคราวของรถยนต์ Hyundai รุ่นใหม่ๆ เข้ามาทำตลาด อย่างต่อเนื่อง นับไปนับมา ตอนนี้ บนหน้า Website ของ Hyundai (https://www.hyundai.com/th/th) มีจำนวนรุ่นรถยนต์ ที่ทำตลาดอยู่ในบ้านเรา มากถึง 13 รุ่น!! แสดงถึงความตั้งใจที่จะเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าในบ้านเราอย่างเต็มที่
หนึ่งในนั้น คือ SUV ร่างยักษ์ ระดับ D-SUV ที่ผมเฝ้ารอคอย ในที่สุด ก็มาถึงเมืองไทยเสียที และเบื้องหลังการมาถึงเมืองไทยของรถคันนี้ ก็ไม่ง่ายอย่างที่เห็น
พี่โอ๊ค วัลลภ เฉลิมวงศาเวช : Managing Director ของ Hyundai Mobility Thailand ให้สัมภาษณ์กับผม ไว้ในงาน Motor Expo เมื่อ ปลายเดือนพฤศจิกายน 2024 เอาไว้ในรายการ Motor Expo Live ของช่อง Headlight Magazine บน Facebook Live (ตั้งแต่นาทีที่ 1.31.28 เป็นต้นไป) ว่า
“Feedback ดีมากเลย ใครที่ได้ลอง ผมยังไม่ได้ยินใครติสักคน ช่วงล่างดีมาก ที่สำคัญ Handling มันดี มันคม แล้วก็ ราคาแบบนี้เป็นราคาที่ คุณจิมมี่เป็นคนบอกให้ผมตั้งนะครับ เอาราคานี้ด้วย เพราะฉะนั้น ราคานี้ เป็นราคาที่คุณบอกให้ผมทำ แล้วผมก็เอาราคานี้ไปบอกผู้บริหาร ว่า ถ้าไม่ได้ราคานี้ ก็ไม่ต้องเอามาขาย…”
!!!!!!!
เดี๋ยวๆๆ ผมไปเกี่ยวตอนไหนวะเนี่ยพี่!? ใจเย๊นนนนนนนนน
รู้แหละว่า พูดไปงั้นเอง เพราะในความเป็นจริง คนทำรถยนต์ด้วยกัน ก็รู้อยู่แล้วละว่า เมื่อรวมภาษีนำเข้า และค่าดำเนินการต่างๆ ก็คงต้องขายรถรุ่นนี้กันในราคาประมาณนี้แหละ
อย่างไรก็ตาม หลังจากการเปิดตัว เสียงของผู้บริโภคชาวไทยส่วนใหญ่ กลับยังไม่รู้ว่า มีรถคันนี้เข้ามาขายในบ้านเราแล้ว พวกเขาบางคน ไม่รู้มาก่อนเลยว่า Hyundai ไม่ได้ทำขายแค่เพียงรถตู้ H-1 และ Staria ต่อให้ยิงโฆษณาขึ้นป้าย Billboard แต่การรับรู้กลับน้อยมาก เรียกได้ว่า ถ้าไม่ใช่คนที่ติดตามข่าวสายข้อมูลจากสื่อมวลชนสายยานยนต์ ก็จะไม่มีใครทราบเลยว่า Hyundai นำ Palisade เข้ามาขายในบ้านเราแล้ว
ซ้ำร้าย หนักข้อกว่านั้น หลังการเปิดตัวในบ้านเราได้เพียงไม่ถึง 1 เดือนครึ่ง จู่ๆ บริษัทแม่ที่เกาหลีใต้ ก็เผยโฉม ภาพถ่ายคันจริงของ Hyundai Palisade 2nd Generation ออกมากันหน้าตาเฉย เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2024 ซึ่งคุณสามารถ คลิกเข้าไปดูได้ที่นี่ CLICK HERE แต่ถ้าจะให้จุใจ ลองคลิกเข้าไปดูที่ ภาพชุดจาก Hyundai USA ซึ่งเปิดตัวเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2025 ที่ผ่านมา CLICK HERE
งานเข้าเลยทีนี้ รุ่นเดิมที่กำลังจะเริ่มมีกระแสมาบ้าง คราวนี้ หายหดหมดกันไปเลย
จริงอยู่ว่า ถึงแม้ Palisade รุ่นปัจจุบัน จะหมดอายุตลาดในเกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกาไปแล้ว กระนั้น ในตลาดอื่นๆทั่วโลก ก็ยังมี Palisade รุ่นเดิม จำหน่ายกันอยู่อีกหลายประเทศ และโจทย์ที่ยากสุดสำหรับ Hyundai ในบ้านเราก็คือ ทำยังไง ให้คนไทย ได้รับรู้ และเข้าใจถึงความดีงาม ที่รถคันนี้มันมีซ่อนอยู่?
อันที่จริง ก่อนหน้านี้ ผมเป็นหนึ่งในคนไทยผู้โชคดี ที่มีโอกาส ได้นำ Palisade กลับมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่บ้าน นาน 1 สัปดาห์เต็มๆ มาตั้งแต่เดือนกันยายน 2021 จนทำออกมาเป็นบทความ Full Review รายแรกในเมืองไทย ซึ่งคุณสามารถ คลิกเข้าไปอ่านย้อนหลังประกอบบทความนี้ไปด้วยกันได้ที่นี่ CLICK HERE
จำได้เลยว่า ตอนนั้น ผมประทับใจมาก และทึ่งในความดีงามของตัวรถ ที่มีงานวิศวกรรม การขับขี่ สมรรถนะ ความสบาย และสารพัดอุปกรณ์ ที่ล้ำหน้าไปไกลกว่ารถยนต์จากญี่ปุ่นในยุคสมัยเดียวกันมากแล้ว แม้ว่าจะเป็นรุ่นเครื่องยนต์ V6 3.5 ลิตร ซึ่งไม่ถูกนำเข้ามาจำหน่ายในบ้านเราเลยก็ตาม
คำถามก็คือ ในสภาพการณ์แบบนี้ Palisade รุ่นปัจจุบัน ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีอยู่หรือไม่ ลูกค้าที่มองหารถยนต์ 7 ที่นั่งสำหรับเดินทางไกล ออกต่างจังหวัด ทั้งเรื่องงาน หรือพักผ่อนกับครอบครัว และ Palisade รุ่นปัจจุบัน เวอร์ชันไทย ที่นำเข้ามาจากโรงงานใน Vietnam จะยังสร้างความประทับใจให้ผม ได้ใกล้เคียงกับรุ่น V6 3.5 ลิตร ที่นำเข้าจากเกาหลีใต้ ซึ่งมีอยู่คันเดียวในประเทศไทย คันนั้น ได้หรือไม่?
บทความข้างล่างนี้ คือคำตอบครับ!
Hyundai Palisade เป็นรถยนต์ Mid-Size SUV 7 – 8 ที่นั่ง ขนาดใหญ่ พิกัด D-Segment SUV ซึ่งถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง (Platform) ของรถยนต์นั่งส่วนบุคคล (ไม่ใช่ SUV/PPV แต่เป็น Urban SUV) เพื่อตลาดอเมริกาเหนือเป็นหลัก โดยมีคู่แข่งในตลาดกลุ่มเดียวกัน ได้แก่ Chevrolet Traverse/GMC Acadia, Ford Explorer, Honda Pilot, Mazda CX-9, Nissan Pathfinder Subaru Ascent, Toyota Highlander หรือแม้แต่ญาติร่วมตระกูล ซึ่งสร้างขึ้นบน Platform เดียวกัน อย่าง Kia Telluride
ชื่อรุ่น Palisade นั้น มาจากหน้าผา ริมชายฝั่ง (coastal cliffs) โดย Hyundai หวังว่า ชื่อรุ่นรถยนต์คันนี้ จะทำให้ผู้คนนึกถึง พื้นที่ Pacific Palisades อันเป็นย่านพักอาศัยของเหล่าดารา Hollywoods มหาเศรษฐี และกลุ่ม Celebrities รวมทั้งชนชั้นกลาง Middle Class ซึ่งตั้งอยู่ใน Los Angeles ตรงกลางระหว่าง บริเวณทางตอนเหนือของเขต Santa Monica และทางใต้ของ Malibu ในเขต Southern California (Westside ฝั่งตะวันตก) ริมมหาสมุทร Pacific ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการตั้งชื่อของ SUV รุ่นอื่น ๆ ของค่าย ที่มักจะมีความเกี่ยวข้องกับเมือง หรือสถานที่ ในสหรัฐอเมริกา เช่น Santa Fe , Santa Cruz ,Tucson
(น่าเสียดายว่า คนไทยมารู้จักชื่อ Palisade ในวันที่ ย่านนี้ ถูกไฟป่าครั้งใหญ่ใน California โหมกระหน่ำ จนเสียหายไปแทบทั้งเมือง ตั้งแต่ วันที่ 4 มกราคม 2025 ที่ผ่านมา)
Hyundai เริ่มเผยความเคลื่อนไหวในการพัฒนา SUV รุ่นนี้ เป็นครั้งแรก ในรูปของการสร้างรถยนต์ต้นแบบ Hyundai HCD2 GrandMaster SUV ออกจัดแสดงในงาน Busan International Motor Show เมื่อ 7 มิถุนายน 2018 โดย ในตอนนั้น Hyundai เปิดเผยเป็นครั้งแรกว่า พวกเขาเตรียมจะสร้าง SUV ขนาดใหญ่ 3 แถวที่นั่ง ให้กับตลาดอเมริกาเหนือ โดยจะออกมาทั้งแบรนด์ Hyundai และ Kia ทั้ง 2 รุ่น มีกำหนดเปิดตัวในช่วงปี 2019 อนึ่งชื่อว่า GrandMaster นั้น เป็นตำแหน่งของเซียนหมากรุก ที่สามารถพิชิตหมากรุกแทบทุกเกมส์ เปรียบได้เหมือนกับเป็น SUV ที่มีคุณลักษณะมีบทบาทที่โดดเด่นในทุกด้าน ตัวรถยนต์ต้นแบบเผยให้เห็นถึงวิวัฒนาการการออกแบบ ‘Sensuous Sportiness’
หลังจากการอวดโฉม ของรถยนต์ต้นแบบได้เพียงไม่กี่เดือน Hyundai ก็ได้นำ Palisade รุ่นจำหน่ายจริงขึ้นอวดโฉมครั้งแรกในโลก ณ งาน Los Angeles Auto Show เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2018 ก่อนจะออกสู่ตลาดในปี 2019 แม้ว่าตัวเลขยอดขาย อาจจะเป็นรองญาติร่วมประเทศ อย่าง Kia Telluride อยู่บ้าง แต่ภาพรวม ถือว่า ขายดิบขายดีและทำรายได้ให้กับ Hyundai อย่างเป็นกอบเป็นกำ
เมื่ออยู่ในตลาดมานาน 4 ปี ก็ถึงเวลาต้องปรับโฉมกันสักหน่อย Hyundai จึงนำเสียงเรียกร้องจากลูกค้าทั่วโลก ไปปรับปรุง เป็น Hyundai Palisade Minorchange เปิดตัวครั้งแรกในโลก ที่งาน New York International Auto Show 2022 เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2022 โดยความเปลี่ยนแปลงของ Palisade Minorchange หลักๆสำหรับทั่วโลกมีดังต่อไปนี้
1. ภายนอกตัวรถ
ด้านหน้ารถมีการปรับปรุงงานออกแบบเปลือกกันชนหน้าและกระจังหน้า รวมถึงชุดไฟหน้าและไฟส่องสว่างในเวลากลางวันใหม่ ด้านข้างตัวรถมีการเพิ่มกระจกมองข้างที่สามารถตัดแสงได้แบบอัตโนมัติเข้ามา และมีการเปลี่ยนล้ออัลลอยเป็นลายใหม่ให้มีดีไซน์ที่ทันสมัยมากขึ้น และด้านหลังมีการปรับปรุงดีไซน์เปลือกกันชนหลังใหม่
2. ภายใน
แผงหน้าปัด ถูกปรับปรุงงานออกแบบช่องแอร์ใหม่ พร้อมเปลี่ยนพวงมาลัยจากเดิมที่เป็นพวงมาลัย 3 ก้าน เป็นพวงมาลัย 4 ก้านแบบใหม่ ที่ใช้รถยนต์รุ่นหลัง ๆ ของ Hyundai เปลี่ยนชุดหน้าปัดเรือนไมล์จากแบบเข็มเป็นหน้าจอสี Supervision ขนาด 12.3 นิ้ว เพิ่มกำลังการชาร์จแท่นชาร์จไร้สายจาก 5W เป็น 15W กระจกมองหลังแบบตัดแสงเปลี่ยนเป็นแบบไร้ขอบ นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับวัสดุหุ้มเบาะใหม่ และเบาะนั่งตอนหลังที่มีพนักพิงศีรษะแบบมีปีกข้าง (มีในรุ่นที่วางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา) รวมทั้งเพิ่มอุปกรณ์มาตรฐานอื่น ๆ ซึ่งจะแตกต่างกันออกไปตามความต้องการที่ไม่เหมือนกันของตลาดรถยนต์แต่ละประเทศ
สำหรับประเทศไทย แรกเริ่มเดิมที สมัยที่ Hyundai ยังทำตลาดในเมืองไทย โดย บริษัท Trading Company ที่ชื่อ โซจิทซึ (Sojitz Corporation) ชาวญี่ปุ่น ในนาม Hyundai Motor (Thailand) ก็มีการศึกษาความเป็นไปได้ในการนำ Palisade เข้ามาจำหน่ายในบ้านเรา มานานแล้ว
Hyundai เคยสั่งนำเข้า Palisade สีน้ำเงินเข้ม มาโชว์ตัวเป็นครั้งแรกในงาน Bangkok International Motor Show เมื่อ 24 มีนาคม – 4 เมษายน 2021 เพื่อหยั่งเชิงปฏิกิริยาของลูกค้า และเป็นการส่งสัญญาณว่า นับจากนั้นเป็นต้นมา ลูกค้าชาวไทยจะได้เห็น รถยนต์รุ่นใหม่ๆของ Hyundai ทะยอยเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลเข้ามาทำตลาดในบ้านเราเพิ่มขึ้น ตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นไป ภายใต้การนำเข้าของ Hyundai Motors Thailand เอง
เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป หลังจากที่ Hyundai Motor Thailand เริ่มเข้ามาทำตลาดรถยนต์ของพวกเขาในบ้านเราด้วยตัวเองอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2024 พวกเขา ทำการบ้าน และเตรียมการอย่างหนัก ที่จะหาหนทางนำเข้า Palisade มาจำหน่ายในเมืองไทยให้ได้ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีแนวโน้มว่า ยอดขายในภาพรวม อาจจะน้อยไป จนไม่คุ้มค่าพอที่จะนำมาตั้งไลน์ประกอบในประเทศ
ทว่า ความยากของกรณีนี้ อยู่ที่ราคาจำหน่าย ซึ่งต้องถูกลงให้มากพอ จนน่าสนใจ เพราะถ้าสั่งซื้อ Palisade นำเข้ามาบ้านเราทั้งคัน จากโรงงานในเกาหลีใต้ เราต้องเสียภาษีนำเข้าเต็มอัตรา โดยไม่มีส่วนลดหย่อนใดๆแบบรถยนต์ไฟฟ้าจากเมืองจีนเลย ทำให้ราคาจะกระโดดขึ้นไปเป็นคันละ 4 ล้านกว่าบาท!…ซึ่งแน่นอนว่า…เจ๊ง ไม่มีใครซื้อแน่ๆ
ทางออกที่ดีที่สุด คือ ต้องมีโรงงานในละแวกย่าน ASEAN ที่ยอมตั้งไลน์ประกอบ Palisade และสามารถทำราคาให้ถูกลงมาได้กว่าเดิม หากมองไปที่ Indonesia น่าจะเป็นเรื่องยาก เพราะตลาดที่นั่น ต่อให้ลูกค้าแดนอิเหนา จะนิยมรถยนต์ 7 ที่นั่ง แต่ Palisade มีขนาดใหญ่โตเกินไป และมีราคาแพงเกินกว่าที่ลูกค้าชาวอินโด จะซื้อหามาได้โดยทั่วไป อีกทั้งต่อให้ Hyundai เพิ่งไปลงทุนตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ที่นัึ่น ทว่า พวกเขาก็ตั้งใจให้ผลิตแค่ SUV ขนาดเล็กรุ่น CRETA และ รถยนต์ไฟฟ้ารุ่น IONIQ 5 เท่านั้น ดีดลูกคิด กดเครื่องคิดเลข ยังไงก็ไม่คุ้มที่จะนำ Palisade ไปประกอบใน Indonesia
ทางเลือกต่อไป คือ Malaysia แม้ว่าจะจ้างโรงงานท้องถิ่นประกอบให้ แต่ พวกเขาคิดราคามาได้ว่า ต้องขายในระดับคันละ 3 ล้านกว่าบาท! ซึ่งก็ยังแพงอยู่ดี ถ้าตั้งราคาขายแพง ลูกค้าชาวไทย ก็คงจะเบือนหน้าหนี ยอดขายก็จะไม่เดิน ไม่คุ้มต่อการลงทุนที่มาเลเซียแน่ๆ
ทางเลือกสุดท้ายที่โผล่เข้ามาคือ Vietnam ซึ่งเป็นสิ่งที่ เราคนไทย คาดไม่ถึงมาก่อน
Hyundai Motor Group จับมือกับพันธมิตรหุ้นส่วนท้องถิ่น อย่าง บริษัท Thanh Cong Group ทำตลาดรถยนต์ของพวกเขาใน ดินแดนอันเป็นจุดเชื่อมต่อทางวัฒนธรรมของ Asia แห่งนี้ มาตั้งแต่ปี 2009 หรือเมื่อ 16 ปีแล้ว และพวกเขามีโรงงานแห่งแรก เปิดดำเนินการเมื่อปี 2017 ซึ่งรองรับการผลิตเพื่อตลาดใน Vietnam เป็นหลัก โดยในอดีต ปี 2023 Hyundai เคยทำยอดขายใน Vietnam (รวม ทั้ง Hyundai และ Kia) ถึง 71,882 คัน แซงหน้า Toyota ได้สำเร็จมาแล้ว ทุกวันนี้ ยอดขายของ Hyundai ใน Vietnam เมื่อปี 2024 อยู่ที่ 67,168 คัน ถือว่า เป็นอันดับ 3 รองจาก Vinfast และ Toyota
Nguyen Anh Tuan ประธานบริษัท Thanh Cong ผู้เป็นหุ้นส่วนหลัก รายใหญ่ รายเดียว จึงตัดสินใจร่วมลงทุนกับ Hyundai Motor Group สร้าง โรงงานใหม่แห่งที่ 2 กำลังผลิตสูงสุดประมาณ 100,000 คัน/ปี รวมทั้งสนามทดสอบรถยนต์ เบ็ดเสร็จทั้งโครงการนี้ มีมูลค่าราวๆ 129 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 4.66 พันล้านบาท ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดนิญบิ่ญ (Ninh Binh) บนพื้นที่ราวๆ 312 ไร่ และเพิ่งเปิดดำเนินงานเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2022
เมื่อ Hyundai มีทางเลือกที่ดีกว่าคู่แข่งขนาดนี้ โอกาสในการนำ Palisade ไปประกอบที่ Vietnam จึงเป็นไปได้มากกว่า เพราะการที่โรงงานแห่งใหม่ ใช้หุ่นยนต์ประกอบค่อนข้างเยอะมาก ในหลายกระบวนการผลิต ทำให้ต้นทุนของรถ สามารถกดลงต่ำไปได้มากกว่าเดิม จนสามารถสั่งนำเข้ามาขาย โดยตั้งราคาได้ในระดับ 2 ล้านบาท บวก-ลบ พวกเขาจึงตัดสินใจ รอให้โรงงาน ใน Vietnam ตั้งไลน์ประกอบ Palisade ให้เรียบร้อยเสียก่อน จึงอาจจะกินเวลานานไปหน่อย เราจึงมีโอกาสได้เะห็น Palisade บนโชว์รูม ในเมืองไทย กันเสียที
หลังจากที่ต้องรอมานานเกือบ 2 ปี ในที่สุด Hyundai ก็สั่งนำเข้า Palisade มาทั้งคัน (CBU) จากโรงงาน Hyundai Thanh Cong Manufacturing Vietnam (HTMV) โดยเป็นรุ่นปรับโฉม Minorchange ที่ได้รับการปรับปรุงงานออกแบบภายนอก และภายใน รวมทั้ง ปรับปรุงอุปกรณ์มาตรฐานต่างๆ ตลอดจนเปลี่ยนมาใช้ขุมพลัง Diesel 2.2 ลิตร Turbo CRDi ซึ่งจะเหมาะกับตลาดในภูมิภาค ASEAN มากกว่า
Hyundai Motor Thailand จัดงานเปิดตัว Palisade Minorchange ที่ Emsphere สุขุมวิท เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2024 ที่ผ่านมา โดยตั้งราคาจำหน่ายในแต่ละรุ่นย่อยดังนี้
• Palisade 2.2 Exclusive 2WD : 2,299,000 บาท (คันสีดำ ในบทความนี้)
• Palisade 2.2 Prestige 4WD : 2,499,000 บาท (คันสีขาว ในบทความนี้)
มิติตัวถัง / Dimension
Hyundai Palisade มีมิติตัวถังภายนอก ยาวทั้งคัน 4,995 มิลลิเมตร กว้าง 1,975 มิลลิเมตร สูง 1,750 มิลลิเมตร (รวมเสาอากาศแบบครีบฉลาม) ระยะห่างจากดุมล้อหน้าถึงปลายกันชนหน้า (Front Overhang) 965 มิลลิเมตร ระยะห่างจากดุมหลังหน้าถึงปลายกันชนหลัง (Rear Overhang) 1,130 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหน้า (Front Track) 1,708 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหลัง (Rear Track) 1,716 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว (Wheelbase) 2,900 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้นถึงใต้ท้องรถ (Ground Clearance) 203 มิลลิเมตร มีมุมไต่ (Approach Angle) 18.5 องศา มุมจาก (Departure Angle) 20.3 องศา และมุมคร่อม (Ramp Breakover Angle) 17.9 องศา ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ Cd 0.33
น้ำหนักตัวรถเปล่าอยู่ที่ 1,960 กิโลกรัม สำหรับรุ่นย่อย Exclusive FWD ขับเคลื่อนสองล้อ และ 2,060 กิโลกรัม สำหรับรุ่นย่อย Prestige ขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD
หากเปรียบเทียบกับฝาแฝดที่พัฒนาขึ้นร่วมกัน อย่าง KIA Telluride ที่มีความยาว 5,000 มิลลิเมตร กว้าง 1,990 มิลลิเมตร สูง 1,750 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,900 มิลลิเมตร ก็จะพบว่า Palisade สั้นกว่า 5 มิลลิเมตร แคบกว่า 15 มิลลิเมตร แต่ความสูงและความยาวฐานล้อเท่ากัน
เมื่อเทียบกับคู่แข่งตรงรุ่นในต่างประเทศ เท่าที่คนไทยน่าจะพอสนใจอยู่บ้าง เราเลือกเปรียบเทรียบกับ Honda Pilot ที่มีมิติตัวถังภายนอก ยาว 4,940 มิลลิเมตร กว้าง 1,996 มิลลิเมตร สูง 1,773 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,819 มิลลิเมตร จะพบว่า Palisade ยาวกว่า 55 มิลลิเมตร แคบกว่า 21 มิลลิเมตร เตี้ยกว่า 23 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาวกว่า Pilot อยู่ 81 มิลลิเมตร
แต่ถ้าจะเปรียบเทียบกับ SUV/PPV ในตลาดบ้านเรา ผมคงต้องยก Toyota Fortuner ซึ่งมีความยาว 4,795 มิลลิเมตร กว้าง 1,855 มิลลิเมตร สูง 1,835 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,750 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดถึงพื้น Ground Clearance 193 มิลลิเมตร มาเเปรียบเทียบให้คุณเห็๋นภาพ เพื่อที่จะพบว่า Palisade มีความยาวกว่า Fortuner ถึง 200 มิลลิเมตร กว้างกว่า 120 มิลลิเมตร เตี้ยกว่า 85 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาวกว่า Fortuner 150 มิลลิเมตร
รูปลักษณ์ภายนอก / Exterior
งานออกแบบของ Palisade Minorchange ถูกปรับปรุงใหม่ ให้สอดคล้องกับ Theme การออกแบบสไตล์ลูกบาศก์ (Cubic) ซึ่งเป็นแนวทางที่ Hyundai เริ่มนำเสนอออกมาผ่านรถยนต์ต้นแบบ Hyundai Grandeur รุ่นแรก ที่นำกลับมาทำใหม่ ก่อนจะเริ่มคลอดออกมาเป็น Hyundai IONIQ 5 โดยเน้นการลดเส้นสายที่โค้งมนลงจากเดิม
กระนั้น ด้านหน้าของ Palisade Minorchange ยังคงยึดรูปแบบ Pattern การวางตำแหน่งชุดไฟหน้าและไฟเลี้ยวแบบแยกกัน หรือที่เรียกว่า Split Headlights โดยแยกชุดไฟเลี้ยว LED พร้อมไฟ Daytime Running Light ในตัว ขึ้นไปอยู่ด้านบนเป็นหนึ่งโคม และโคมไฟหน้าสำหรับไฟสูง – ไฟต่ำ เป็นอีกหนึ่งโคม อยู่ด้านล่าง ในตำแหน่งของไฟตัดหมอกในรถยนต์ทั่วไป
ไฟหน้าของ Palisade Mionorchange จะได้รับการตกแต่งรายละเอียดภายในโคมที่แตกต่างไปจากเดิมให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น โดยชุดโคมไฟหน้าด้านบนที่ทำหน้าที่เป็นไฟเลี้ยว ไฟหรี่ และบางส่วนของไฟ Daytime Running Light จะถูกออกแบบมาให้กลมกลืนไปกับดีไซน์ของกระจังหน้า ส่วนไฟ Daytime Running Light จะมีงานออกแบบเสมือนว่าเชื่อมต่อมาจาก Daytime Running Light ส่วนล่าง ที่อยู่ตรงโคมไฟหน้าบริเวณเปลือกกันชนด้านล่าง
ส่วนโคมไฟหน้า เป็นแบบ Composite เรียงแนวตั้งแยกชั้นพร้อมไฟ LED โคมไฟหน้า จะเป็นไฟหน้า LED แบบ 3 ดวงแนวตั้ง โดยที่ตำแหน่งไฟหน้าด้านบน จะกลายเป็นไฟหรี่แทน และไฟดวงล่างสุดคือไฟสูง ที่ด้านข้างของโคมไฟหน้า จะมีช่องรับอากาศจากด้านหน้ารถ ให้ไหลผ่านออกไปทางด้านข้าง เพื่อช่วยระบายความร้อนให้กับระบบดิสก์เบรกคู่หน้า
กระจังหน้า ถูกออกแบบขึ้นใหม่ ให้เป็น ตารางก้อนลูกบาสก์สี่เหลี่ยม ออกแบบให้เส้นที่มุมด้านบนทั้งสองฝั่งโค้ง สอดรับกับชุดโคมไฟเลี้ยวพร้อม DRL ด้านบน และฝากระโปรงหน้า ซึ่งการตกแต่งกระจังหน้านั้น จะขึ้นอยู่กับแต่ละตลาดที่รถถูกส่งไปขาย ในบางประเทศอาจได้ชุดกระจังหน้าแบบโครเมียม แต่เวอร์ชันไทย จะถูกพ่นสีดำเงา เพื่อความดุดันและน่าเกรงขาม ถัดลงมาเป็นช่องดักลมด้านล่าง มีเส้นสายรับกันกับชุดกระจังหน้า ตกแต่งขอบล่างของกันชนหน้าด้วยชายล่างสีเงินกึ่งเงาอันเป็นเอกลักษณ์ของ Hyundai เพื่อให้ตัดกับชุดกระจังหน้า
ด้านข้างตัวรถ แทบจะไม่มีความเปลี่ยนแปลงจากรุ่นก่อน Minorchange ไล่จากด้านบนลงมาด้านล่าง แร็คหลังคาเป็นสีเงินกึ่งเงา กระจกหน้าต่างบานประตูที่ตกแต่งขอบด้วยแถบโครเมียม ลากต่อเนื่องมาจากบานประตูคู่หน้า โดยเส้นล่างที่ขอบล่างต่างด้านล่าง ถูกลากมาหยุดแค่ปลายสุดของขอบหน้าต่างบานประตูคู่หลัง ส่วนเส้นโครเมียมด้านบน ถูกลากยาวต่อเนื่อง ตัดผ่านเสาลังคาคู่กลาง C-Pillar แล้วหักลาดลงมา ขนาบข้างเส้นขอบกระจกหน้าต่างคู่หลังสุด คล้ายกับ Cadillac Escalade
เส้น Shoulder line หรือเส้นบุคลิกหลักของตัวรถ เป็นเส้นจีบ จากไฟหน้า ยาวจรดขอบด้านบนของไฟท้าย โป่งซุ้มล้อยื่นออกมาเล็กน้อย เสริมความรู้สึกมั่นคงแข็งแรงด้วยเส้นคิ้วเหนือซุ้มล้อทั้ง 4 พร้อมกับประดับกาบพลาสติกเส้นบางสีดำด้าน เพื่อเพิ่มภาพลักษณ์ความเป็น SUV ถัดลงมามีการลากเส้นเฉียง ต่อเนื่องจากซุ้มล้อคู่หน้า จรดบานประตูคู่หลัง และต่อเนื่องไปจนถึงเปลือกกันชนหลัง เพื่อสร้างมิติ ให้เกิด Dynamic บนตัวรถ
กระจกมองข้างเป็นกระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถัง มีไฟเลี้ยว LED ทรงโค้งฝังอยู่ในตัว มือจับเปิดประตูพ่นสีเดียวกับตัวรถ เสาอากาศด้านบนเป็นแบบ ครีบฉลาม Shark Fin
บั้นท้ายรถ ติดตั้ง สปอยเลอร์หลัง พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED ขนาดเล็ก ไว้ด้านบนฝาท้าย แตกต่างจากเวอร์ชั่น อเมริกาเหนือ (ซึ่งจะเป็นไฟเบรกแบบยาว พาดผ่านจากซ้าย ไปขวา) กระจกหน้าต่างด้านหลัง เป็นแบบ Wrap around ล้อมรอบจากเสาหลังคาคู่หลัง C-Pillar วางทับลงไปบนเสาหลังคาคู่หลังสุด D-Pillar เชื่อมท้ายรถ 2 ฝั่งเข้าด้วยกันในสไตล์ Panoramic เน้นให้เห็นความกว้างของบริเวณเบาะนั่งแถว 3 และพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง นอกจากนี้ กระจกยังลมด้านหลังมาพร้อมไล่ฝ้า เปิด-ปิดด้วยสวิตช์ไฟฟ้า และใบปัดน้ำฝนหลังพร้อมหัวฉีดน้ำล้างกระจกบังลมหลัง
ชุดไฟท้ายเป็นแบบ LED มีรายละเอียดคล้ายกันกับไฟท้ายของรุ่นก่อน Minorchange ประดับด้านข้างด้วยแถบสีเงิน ส่วนช่องใส่ป้ายทะเบียน ออกแบบให้ดูกว้าง คล้ายกับ ม่านเวทีโรงละคร เพื่อให้ป้ายทะเบียนเด่นอยู่ตรงกลาง ด้านบนช่องใส่ป้ายทะเบียนหลัง ประดับด้วยสัญลักษณ์ Hyundai พร้อมโลโก้ชื่อรุ่น Palisade ติดเรียงกัน แต่เว้นช่องไฟไว้เยอะหน่อยเช่นเดิม
เปลือกกันชนหลังพ่นสีเดียวกับตัวถังรถ ถูกออกแบบขึ้นใหม่ ให้มีไฟทับทิมสีแดง พร้อมไฟถอยหลังในตัว ทอดยาวตามแนวขอบของ Defuser สีเงินกึ่งเงา กลัดลวดลายเป็นสามช่องแนวนอน พร้อมช่องปลายท่อไอเสียแบบสองท่อที่ฝั่งขวามือของตัวรถ
ล้ออัลลอย เปลี่ยนลวดลายใหม่ เป็นแบบ Two-tone ปัดเงา ขนาด 7.5J x 20 นิ้ว สวมยาง Bridgestone ALENZA ขนาด 245/50R20 ซึ่ง Hyundai แนะนำให้ใช้ลมยาง 240 kPa หรือ 35 psi ทั้ง 4 ล้อ ส่วนล้ออะไหล่มีขนาด 4.0T x 18 นิ้ว พร้อมยางอะไหล่ขนาด T155/90R18 ลมยาง 420 kPa หรือ 60 psi ติดตั้งมาให้บริเวณใต้ท้องรถด้านหลัง แบบเดียวกับรถกระบะ หรือ SUV/PPV ทั่วๆไป ในยุคนี้
***** ภายในห้องโดยสาร / Interior *****
ระบบกลอนประตู ยังคงเป็นแบบ Smart Key Remote เหมือนรุ่นก่อน ปรับโฉม ซึ่งมีหลักการทำงานคล้ายระบบ Keyless Entry ทั่วไปคือ เมื่อพกกุญแจรีโมท เดินเข้าใกล้ประตูคู่หน้าในระยะไม่เกิน 80 เซนติเมตร แล้วเอื้อมมือไปกดปุ่ม 4 เหลี่ยม บนมือจับประตูสีเดียวกับตัวรถ กลอนประตูทั้ง 4 บาน ก็จะปลดล็อกให้อัตโนมัติ หากต้องการล็อกประตู ก็สามารถกดปุ่ม 4 เหลี่ยม ที่มือจับประตูซ้ำอีกครั้ง หรือกดปุ่มล็อก – ปลดล็อกที่กุญแจรีโมทก็ได้เช่นกัน
กระนั้น ตัวรีโมทกุญแจ ถูกปรับปรุงใหม่ เปลี่ยนงานออกแบบให้มีขนาดยาวขึ้น เพื่อเพิ่มสวิตช์ เปิด-ปิด ฝาท้ายไฟฟ้า มาให้ โดยต้องกดปุ่มแช่ยาวไว้จนกว่าฝาท้ายจะเปิดยกขึ้นได้หมด นอกจากนี้ ยังเพิ่มสวิตช์ติดเครื่องยนต์ล่วงหน้า ขณะที่คุณเดินมายังตัวรถ Remote Start Engine เพื่อเปิดให้ระบบเครื่องปรับอากาศ ระบายความร้อนในห้องโดยสาร
ส่วน ยังมีไฟส่องสว่าง ภายนอกรถ ยามค่ำคืนนั้น นอกเหนือจาก ไฟเรืองแสง ด้านหลังมือจับประตู ทั้ง 4 บาน แล้ว ยังเพิ่มไฟเรืองแสงใต้กระจกมองข้างทั้ง 2 ฝั่งมาให้ อีกด้วย
การเข้า – ออก จากบานประตูคู่หน้า ยังคงทำได้สะดวกสบายมากเหมือนเดิม เพราะช่องประตูคู่หน้า ออกแบบมาให้กว้างและสูง เหมาะสมกับสรีระของฝรั่งตัวใหญ่ชาวอเมริกันอยู่แล้ว ส่วนการลุกออกจากรถนั้น เนื่องจากบานประตูคู่หน้าถูกออกแบบให้มีชายล่างยื่นคลุมธรณีประตูลงไป ทำให้คุณสามารถก้าวลงจากรถได้โดยไม่ต้องกลัวปัญหาขากางเกงหรือกระโปรงเปื้อน อีกทั้งตำแหน่งต่ำสุดของเบาะคู่หน้า ยังถูกจัดวางมาให้มีจุด Hip Point ที่เหมาะสม ดังนั้น คุณสามารถหมุนบั้นท้าย กวาดเอาขาทั้งสองข้าง วางบนพื้นถนน แล้วลุกออกมาได้เลย
แผงประตูหน้าแบ่งเป็น 3 ท่อน ท่อนบนสุดหุ้มหนัง รุ่น Prestige AWD คันสีขาว ถูกประดับด้วย Trim ลายไม้ Birch สีอ่อน ดูคล้ายกับไม้ที่ใช้ประดับเรือ Yacht ส่วนรุ่น Exclusive FWD จะถูกประดับด้วย Trim ลาย Graphic แนวตั้งซึ่งอาจดูเหมาะสมกับโทนสีภายในดำ แต่ดูหรูไม่เท่ารุ่น Prestige AWD มือเปิดประตูพลาสติกสีเงินพร้อมสวิตช์ล็อกอยู่ในที่เดียวกัน มีสวิตช์ Memory Seat จำตำแหน่งเบาะ 2 หน่วยความจำ
ท่อนกลางของแผงข้าง ยังคงประดับด้วยหนังสังเคราะห์ ถัดลงมาเป็นพนักวางแขนบุนุ่มหุ้มหนัง พร้อมมือจับดึงประตู ที่ออกแบบมาให้เป็นช่องเก็บของจุกจิกได้ในตัว สามารถวางท่อนแขนได้สบายพอดี ตั้งแต่ข้อศอกจรดปลายนิ้ว
พนักวางแขน ยังเป็นสถานที่ติดตั้งของ แผงสวิตช์กระจมองข้างแบบปรับและพับเก็บได้ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า พร้อมระบบปรับกระจกมองข้างลงต่ำ ขณะถอยหลัง เพื่อเพิ่มการมองเห็นบริเวณด้านข้างพื้นรถ รวมทั้งแผงสวิตช์กระจกหน้าต่างไฟฟ้าแบบ One Touch Auto ทั้ง 4 บาน ใชัโทนสีเงิน เรืองแสงด้วยสีฟ้า เหมือนกันทั้ง 2 รุ่นย่อย
ท่อนล้างของแผงประตูคู่หน้า เป็นแผงพลาสติก ออกแบบให้เป็นช่องใส่เอกสารและของจุกจิก สามารถวางขวดน้ำขนาด 7 บาท ได้ 1 ขวด พร้อมไฟส่องสว่างสีแดง เพื่อความปลอดภัยขณะเปิดประตูยามค่ำคืน ให้ยานพาหนะที่แล่นตามมาจะสังเกตมองเห็นได้ง่ายขึ้น
ธรณีประตูทุกบาน ติดตั้ง สครับเพลท (Scrub plate) สีเงินอะลูมีเนียม ฝังชื่อรุ่น Palisade มาให้ เพื่อป้องกันรอยรองเท้าที่อาจจะสร้างรอยขีดข่วนได้
ภายในของ Palisade ออกแบบภายใต้แนวคิด “The Serenity of Yacht” หรือความสงบในการเดินเรือยอชต์ โดยมุ่งเน้นไปที่ ความผ่อนคลาย (Relaxing) ความสบาย (Comfort) และ การผจญภัยร่วมกันของครอบครัว (Family Adventure) เป็นสำคัญ
เบาะนั่งคู่หน้านั้น ในโบรชัวร์เวอร์ชันไทย ระบุว่า รุ่น Exclusive FWD จะหุ้มด้วยหนังสังเคราะห์ธรรมดา สีดำ ส่วนรุ่น Prestige AWD จะหุ้มด้วยหนัง Nappa สีเบจ ซึ่งพอเอาเข้าจริงแล้ว กลับพบว่า หนังหุ้มเบาะของเวอร์ชันไทย แอบจะสากกว่า เบาะของรุ่น V6 ที่เคยลองขับมาก่อนหน้านี้นิดหน่อย
กระนั้น เบาะนั่งคู่หน้าของทั้ง 2 รุ่น ถูกเจาะรูเล็กๆ ไปทั่ว ให้เป็นช่องทางรับอากาศจากพัดลมทำความเย็นให้กับเบาะ และ Heater อุ่นเบาะ ซึ่งมาให้ครบทั้ง 2 ฝั่ง อีกทั้งยังยังสามารถปรับได้ด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง จากสวิตช์ที่อยู่ด้านข้างฐานเบาะรองนั่ง แต่เฉพาะเบาะนั่งฝั่งคนขับเท่านั้นที่จะมีตัวปรับดันหลัง (Lumbar Support) และ หน่วยความจำเบาะนั่ง Memory Seat 2 ตำแหน่ง มาให้ เหมือนกันทั้ง 2 รุ่นย่อย
รายละเอียดตัวเบาะถูกปรับปรุงเล็กน้อย โดยลวดลายของพื้นที่รองรับช่วงบนแผ่นหลัง ถูกเปลี่ยนจากลาย Diamond Cut มาเป็น ลายตรง รวมทั้งเพิ่มแถบโครเมียมมาให้ตัวสวิตช์ควบคุมเบาะปรับไฟฟ้า
พนักพิงหลังออกแบบมาให้มีขนาดใหญ่ ใช้ฟองน้ำเสริมด้านหลังแบบ “หนานุ่มแน่นนิดๆ” ให้สัมผัสที่สบายไปทั่วทั้งแผ่นหลัง ตั้งแต่ช่วงหัวไหล่ลงไปจนถึงก้นกบ มีสวิตช์ปรับดันหลังเพิ่มเข้ามาให้เฉพาะฝั่งคนขับ แต่ไม่สามารถปรับตัวดันหลังสูง-ต่ำได้ ส่วนปีกข้างบุด้วยฟองน้ำแบบหนาแน่นนุ่ม ให้สัมผัสเหมือนโดนโอบกอดจากคนตัวใหญ่กว่า
พนักศีรษะคู่หน้า ใช้ฟองน้ำแบบ “นุ่ม” ปรับระดับสูง – ต่ำ ได้ 6 ตำแหน่ง รองรับศีรษะรวมถึงท้ายทอยและต้นคอได้ค่อนข้างดี ขณะเดียวกัน เบาะรองนั่งใช้ฟองน้ำ “หนานุ่ม” มีความยาวพอดีถึงขาพับ นั่งสบาย ปรับมุมเงยได้พอสมควร
ภาพรวมของเบาะคู่หน้า ยังคงให้ความนุ่มสบาย สำหรับการขับรถเดินทางไกล เหมือนรถรุ่นก่อน สร้างบรรยากาศการเดินทางที่ดีงาม ใกล้เคียงกับ SUV ระดับ Premium ชั้นสูง รวมทั้งยังมีตำแหน่งนั่งขับที่ดี สำหรับรถยนต์ประเภทเดียวกันนี้ ตามเดิม
เข็มขัดนิรภัยคู่หน้า เป็นแบบ ELR 3 จุด ปรับระดับ สูง – ต่ำได้ พร้อมระบบลดแรงปะทะ และดึงกลับอัตโนมัติ Pretensioner & Load Limiter
การขึ้น – ลง จากบานประตูคู่หลัง ยังคงทำได้สะดวกโยธินมากๆ เหมือนเดิม การก้าวขึ้นไปนั่งบนเบาะแถว 2 ไม่ต้องออกแรงปีนขึ้นไปเยอะ เเมื่อเทียบกับรถตู้ Hyundai Staria เพราะว่า พื้นรถของ Palisade เตี้ยกว่า Staria อย่างชัดเจน แถมยังมีการออกแบบ แผงพลาสติก ให้เป็นบันได เล่นระดับเล็กน้อย เพื่อให้ก้าวขึ้นรถได้สะดวกขึ้น
ส่วนการลุกออกจากรถก็สะดวกเหมือนกับบานประตูคู่หน้า เพราะชายล่างของบานประตูคู่หลังถูกออกแบบให้คลุมซ่อนธรณีประตูเหมือนกัน ดังนั้น จึงไม่มีปัญหาเรื่องขากางเกงหรือชายกระโปรง เปื้อนเศษฝุ่นจากด้านข้างตัวรถ เช่นกัน
แผงประตูคู่หลังออกแบบท่อนบนต่อเนื่องจากแผงประตูคู่หน้า กระจกหน้าต่างไฟฟ้า แบบ One touch Auto สามารถเลื่อนลงได้จนสุดขอบแผงประตู นอกจากนี้ ยังติดตั้งม่านบังแดด แบบเลื่อนขึ้นเกี่ยวตะขอ 2 จุดด้านบน มาให้ทั้ง 2 ฝั่งโดยมีลำโพง Tweeter ติดมาให้ใกล้กับมือจับเปิดประตู ทั้ง 2 ฝั่ง ตกแต่งด้วยแถบ Trim แบบเดียวกับประตูคู่หน้า
ถัดลงมาเป็นพนักวางแขนแบบบุนุ่มหุ้มหนัง พร้อมช่องวางแก้วน้ำ เพื่อให้เครื่องดื่มในแก้วหรือขวด อยู่ใกล้มือผู้โดยสารมากขึ้น เหมือนกับ รถตู้รุ่น Staria ถือว่าออกแบบมาได้ในตำแหน่งที่ดีมากๆ ส่วนด้านล่างมีช่องวางขวดน้ำ ขนาดเล็กแถมมาให้อีก 1 ตำแหน่ง รวมทั้งช่องใส่ลำโพง
ตามปกติในตลาดโลก Palisade มีให้เลือกทั้งรุ่น 7 ที่นั่ง และ 8 ที่นั่ง ซึ่งอย่างหลังจะมาพร้อมเบาะนั่งแบบ Bench Seat แบ่งพับได้ในอัตราส่วน 60 : 40 แต่รุ่นที่วางจำหน่ายในประเทศไทย จะเป็นแบบ 7 ที่นั่ง เท่านั้น โดยเบาะแถวกลางจะเป็นแบบ Captain Seat ที่สามารถปรับเลื่อนขึ้นหน้า- ถอยหลังได้
เบาะนั่งคู่กลาง หุ้มด้วยหนังที่แตกต่างกันเหมือนเบาะคู่หน้าของแต่ละรุ่นย่อย จุดเด่นที่ไม่เหมือนชาวบ้านเขาก็คือ มีการติดตั้ง พัดลมปรับความเย็นให้เบาะ 3 ระดับ และ Heater อุ่นเบาะ 3 ระดับ มาให้กับเบาะ Captain Seat เหมือนกับเบาะคู่หน้า ด้วย!! โดยสวิตช์เปิด – ปิดและเลือกระดับความร้อนความเย็น อยู่บนแผงควบคุมระบบปรับอากาศ ด้านหลังกล่องคอนโซลกลาง พนักพิงหลังแยกปรับซ้ายขวาได้อิสระจากกัน และปรับเอนได้ 8 ตำแหน่ง ทั้งหมดนี้ เหมือนกับเวอร์ชัน V6 ที่ผมเคยทำรีวิวไปแล้ว ทุกประการ!
ตัวเบาะนั่งนั้น พนักพิงหลังใช้ฟองน้ำแบบหนานุ่ม แอบแน่นนิดๆ ให้สัมผัสที่สบาย รองรับแผ่นหลัง ตั้งแต่ช่วงหัวไหล่จนถึงก้นกบ ได้นุ่มและชวนผ่อนคลาย เหมือนเบาะคู่หน้า ต่างกันตรงแค่ไม่มีปีกข้างเบาะที่หนาและฟูขึ้นมาแบบพนักพิงคู่หน้า เท่านั้นเลย
ด้านข้างพนักพิงหลังทั้งเบาะฝั่งซ้ายและขวา มีพนักวางแขน หุ้มหนังสังเคราะห์ พับเก็บได้ ติดตั้งมาให้ด้วย สามารถวางท่อนแขนได้พอดี พื้นผิวเนียนละมุน ไม่มีรอยเย็บด้ายมาทำให้เกิดความระคายเคืองผิวหนังแต่อย่างใด การล็อกตำแหน่ง ของพนักวางแขนนั้น เหมือนกับ Minivan หลายๆรุ่นในตลาด นั่นคือ เมื่อคุณยกพนักวางแขนลงมา มันจะถูกกดลงในตำแหน่งต่ำสุด คุณต้องยกขึ้นมาวางในตำแหน่งที่ต้องการ มันจะลงล็อกเข้ากับเดือยหมุน แต่ถ้าปรับยกขึ้นมากกว่าตำแหน่งตั้งฉากกับพื้นรถ มันจะคลายล็อก และต้องยกขึ้นจนสุด ก่อนจะกดลงมาปรับระดับกันใหม่เท่านั้น
พนักพิงหลัง ทั้งฝั่งซ้ายและขวา สามารถปรับตั้ง และ เอนนอน ได้มากถึง 10 ตำแหน่ง รวมทั้งยังสามารถพับเบาะลงไปให้แบนราบ เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลังได้ ต่อเนื่องจากเบาะแถว 3 ด้วยการยกคันโยกบริเวณด้านข้างฐานรองเบาะ พนักพิงจะถูกปลดล็อก แล้วคุณก็สามารถพับลงราบได้ทันที
พนักศีรษะบุด้วยฟองน้ำนุ่มแต่บาง ชวนให้นึกถึงพนักศีรษะของ Volvo รุ่นใหม่ๆ และถ้าต้องการความสบาย ต้องยกขึ้นใช้งาน เลือกปรับระดับได้ 3 ตำแหน่ง รองรับศีรษะได้ดีพอสมควร เบาะรองนั่งใช้ฟองน้ำแบบหนานุ่มแอบแน่นนิดๆ มีความยาวถึงขาพับเหมือนเบาะรองนั่งคู่หน้าไม่มีผิด ส่วนปีกข้าง ก็ให้สัมผัสเหมือนๆกับเบาะคู่หน้า
เข็มขัดนิรภัย เป็นแบบ ELR 3 จุด รวม 3 ตำแหน่ง แต่สายเข็มขัดสำหรับผู้โดยสารตรงกลาง จะถูกเก็บม้วนขึ้นไปซ่อนไว้บนช่องเก็บ บนเพดานหลังคา เพื่อความเรียบร้อย และไม่เกะกะรบกวนคนนั่งบนเบาะแถว 3
เมื่อลองนั่งใช้งานทางไกลจริงๆ ผมพบว่า เบาะนั่ง Caption Seat ให้ความสบายในการเดินทางได้ดีมาก ไม่แพ้เบาะคู่หน้า ต่างกันแค่ไม่มีปีกข้างหนาๆ มาโอบกระชับสีข้างเท่านั้น จากเท่าที่เคยเจอมา มันอาจยังเป็นรอง เบาะ Captain Seat ของ Honda Odyssey Gen 5 และ Toyota Alphard / Vellfire / Lexus LM แต่ก็เป็นรองแค่นิดเดียวเท่านั้น ยังคงยืนยันและย้ำกันเหมือนเดิมเลยว่า นั่งสบายมากๆ !
สิ่งที่ผมอยากเห็นการปรับปรุงเพิ่มเติม มีเพียงแค่ อยากให้สามารถปรับเอนนอนลงได้มากขึ้นกว่านี้อีกสัก 2-3 จังหวะ เพื่อให้ตัวพนักพิงหลัง เอนราบลงไปได้มากกว่านี้อีกสักหน่อย อีกทั้งมันคงจะดี ถ้ามีเบาะรองท้องน่อง แบบ Ottoman มาให้สัก 1 ตำแหน่ง ไม่ว่าจะฝั่งซ้าย หรือขวา ก็ตาม
การเข้า-ออกจากเบาะแถว 3 ใช้วิธีกดสวิตช์ไฟฟ้าที่บริเวณด้านบนของพนักพิงหลัง ซึ่งจะโน้มขึ้นไปข้างหน้า และให้เราเลื่อนเบาะ Caption Seat ขึ้นหน้าได้โดยอัตโนมัติ ช่วยให้การก้าวขึ้นไปนั่งสะดวกขึ้น เพราะระยะห่างระหว่างพนักพิงหลังที่โน้มแล้วกับกรอบช่องประตูคู่หลังค่อนข้างกว้าง ส่วนการก้าวลงจากรถนั้นทำได้ดีปานกลาง ควรจับแผงประตูคู่หลังและเหยียบบันไดพลาสติกที่ออกแบบไว้ก่อนก้าวลงจากรถทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัย
ฝาประตูห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง ค้ำยันด้วยช็อกอัพไฮโดรลิค 2 ต้น ใช้ระบบกลอนไฟฟ้า เปิดและปิดได้ ผ่านสวิตช์บนกุญแจ Smart Key Remote หรือกดสวิตช์เหนือช่องติดแผ่นป้ายทะเบียน
นอกจากนี้ยังมีระบบ Smart Tailgate แค่เพียงพกรีโมท เข้าใกล้ฝาท้าย ระบบก็จะยกฝาท้ายขึ้นให้เอง โดยอัตโนมัติ รวมทั้งมีสวิตช์ กดปิดฝาท้ายลงมาเองโดยอัตโนมัติอีกด้วย เหมือนกับใน Hyundai Staria เวอร์ชันไทย
อย่างไรก็ตาม ขอเตือนสักหน่อยว่า ในบางกรณี หากคุณเดินเข้าใกล้ฝาท้าย ทั้งที่อยู่ในอาคารจอดรถ อาจต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะฝาท้ายอาจเปิดยกขึ้นเองได้ และมันอาจจะยกขึ้นไปชนกับท่อระบายน้ำ หรือเพดานบนหลังคาอาคารจอดรถได้
หากคุณจอดรถ ในลานจอดทั่วไป เช่น Makro Lotus BigC ไทวัสดุ Global House หรือศูนย์การค้าใดๆก็ตาม ที่มีลานจอดขนาดใหญ่ เพดานเปิดโล่ง หรือไม่มีหลังคาคลุม คุณใช้ฟังก์ชันนี้ได้ตามปกติ แต่ถ้าเข้าไปจอดบนอาคารจอดรถที่มีการจำกัดความสูงของหลังคาเมื่อไหร่ อาจต้องกดปิดระบบนี้ทิ้ง ได้จากในหน้าจอ Monitor กลาง หรือ ตั้งค่าความสูงให้ฝาท้ายเปิดยกขึ้น แค่ในระดับที่เราต้องการ
พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระ มีขนาดความจุ 509 ลิตร (311 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA เยอรมนี) เมื่อยังไม่ได้พับเบาะใดๆทั้งสิ้น และมีความยาวจากขอบธรณีห้องเก็บของด้านหลัง จนถึงขอบล่างของเบาะแถว 3 อยู่ที่ 558 มิลลิเมตร
แต่เมื่อดึงสลักเชือกเพื่อพับเบาะแถว 3 ลงไปราบกับพื้น ความจุจะเพิ่มขึ้นอีก 788 ลิตร (704 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA) และถ้าพับเบาะแถว 2 ตามลงไปด้วยการกดสวิตช์ไฟฟ้า บริเวณผนังห้องเก็บสัมภาระฝั่งซ้าย ความจุห้องเก็บของจะเพิ่มขึ้นอีก 1,150 ลิตร รวมทั้งสิ้น มากถึง 2,447 ลิตร โดยมีความยาวเพิ่มขึ้นเป็น 2,184 มิลลิเมตร! ยาวพอให้คุณและครอบครัว สามารถนอนในรถตอนกลางคืน ระหว่างออกไปตั้งแคมป์ได้แน่ๆ
เมื่อยกพื้นขึ้น จะพบว่า ใต้พื้นห้องเก็บของ มีพื้นที่พอให้วางรองเท้าผ้าใบได้ราวๆ 6 คู่ เหมาะสำหรับเก็บซ่อนสัมภาระที่มีกลิ่นแรง หรือเลอะเทอะเปรอะเปื้อน บริเวณเดียวกันยังมี แม่แรงยกรถและชุดเครื่องมือเปลี่ยนยางอะไหล่มาให้ ส่วนยางอะไหล่ ซ่อนอยู่ใต้ท้องรถ เหมือน SUV/PPV และรถกระบะในบ้านเราทั่วไป ต้องหมุนสกรูพลาสติกขนาดใหญ่ ที่พื้นช่องเก็บของ เพื่อเข้าถึงยางอะไหล่
ผนังห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายทั้ง 2 ฝั่ง ออกแบบให้มี พนักวางแขน พร้อมช่องวางแก้วน้ำฝั่งละ 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้โดยสารแถว 3 สามารถวางท่อนแขนได้พอดี จนถึงข้อศอก มีลำโพงขนาดเล็กซ่อนไว้ที่เสาหลังคาคู่หลัง C-Pillar ช่องเสียบหัวเข็มขัดนิรภัยของเบาะแถว 2
นอกจากนี้ ผนังฝั่งซ้าย ติดตั้ง Sub-Woofer ของชุดเครื่องเสียง Infinity ถัดขึ้นไปด้านบนเป็นสวิตช์พับเบาะแถวที่ 2 ด้วยไฟฟ้า และช่องจ่ายไฟ Power Outlet 12V 180W มาให้ 1 ตำแหน่ง ส่วนด้านล่างของผนังทั้ง 2 ฝั่ง ยังติดตั้ง ขอยึดเกี่ยวรั้ง สำหรับผูกเชือกตรึงสัมภาระให้แน่นหนามาให้อีกด้วย
ขอบช่องทางเข้าออกห้องเก็บสัมภาระด้านบน ยังมีไฟส่องสว่าง ให้เปิดใช้งานยามค่ำคืนได้ เชื่อมต่อกับระบบไฟในห้องโดยสาร สามารถแยกเปิด – ปิด ได้ตามต้องการ
แผงหน้าปัด แบบ 3 Layer มีการปรับปรุงจากเดิม หากสังเกตดีๆจะพบว่า ช่องแอร์ ถูกออกแบบขึ้นใหม่ ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ลากยาวต่อเนื่องเป็นแนวเดียวกัน จากฝั่งผู้โดยสารด้านซ้าย จรดแผงควบคุมกลาง นอกนั้น ในภาพรวม ยังคงยกมาจากรถรุ่นเดิม ด้านบนสุดเป็นวัสดุบุนุ่มหุ้มหนังสีดำ
ส่วน Layer ตรงกลางนั้น หากเป็นรุ่น Prestige AWD จะตกแต่งด้วยแผง Trim ลาย Beech Wood ซึ่งเป็นวัสดุสังเคราะห์คล้ายไม้สีอ่อนเสริมด้วยแถบเส้นสีดำวางซ้อนกันในแนวระนาบ เพิ่มสัมผัส Premium ราวกับได้แรงบันดาลใจมาจาก เรือ Yacht ระดับหรู
ขณะที่รุ่น Exclusive FWD จะตกแต่งด้วยแผง Trim ลาย Graphic สีเงิน แนวตั้ง เพื่อให้สอดรับกับภายในห้องโดยสาร สีดำ องค์ประกอบต่างๆ บนแผงหน้าปัดถูกวางในแนวนอน ซึ่งช่วยให้ภายในห้องโดยสารที่กว้างอยู่แล้ว ยิ่งดูกว้างขึ้นไปอีก
จากฝั่งขวา ไล่ไปทางซ้าย
แผงควบคุมบริเวณบานประตูฝั่งคนขับตกแต่งด้วยวัสดุสีเงิน ประกอบด้วยสวิตช์สั่งงานขั้นพื้นฐาน ได้แก่ สวิตช์ปรับและพับกระจกมองข้าง สามารถตั้งค่าให้พับอัตโนมัติเมื่อสั่งล็อกรถ สวิตช์ Central Lock สวิตช์ควบคุมการเลื่อนขึ้น – ลงของกระจกหน้าต่างแบบ One-touch ทั้ง 4 บาน พร้อมระบบป้องกันการหนีบ Jam Protection เฉพาะคู่หน้า
ใต้ช่องแอร์ฝั่งขวาคนขับเป็นตำแหน่งติดตั้งสวิตช์ควบคุมต่างๆ สำหรับ Palisade Minorchange เวอร์ชันไทย มีการปรับลดจำนวนสวิตช์ลงจากรุ่นเดิม ไปเยอะมาก โดยคงเหลือเอาไว้แค่ สวิตช์เปิด – ปิดระบบ Traction Control ถัดลงมาด้านล่างเป็นสวิตช์เบรกมือไฟฟ้า EPB และสวิตช์สั่งเปิด – ปิดฝาท้ายไฟฟ้าจากภายในรถ
ส่วนบรรดาสวิตช์เปิด – ปิดระบบ Lane Keeping Assist สวิตช์เปิด – ปิดระบบ Blind-Spot Collision Avoidance Assist สวิตช์ปรับความสว่างชุดมาตรวัด และสวิตช์หมุนปรับระดับไฟหน้า ถูกจับย้ายเข้าไปอยู่ในการควบคุมของ จอ Monitor ตรงกลาง ทั้งหมด!
พวงมาลัย เปลี่ยนใหม่ มาเป็นแบบ 4 ก้าน เหมือน Hyundai Staria แต่ยังคงปรับระดับได้ 4 ทิศทาง ทั้ง สูง – ต่ำ และระยะใกล้ – ห่างจากตัวผู้ขับขี่ (Tilt & Telescopic) ด้วยก้านคันโยกที่ติดตั้งอยู่บริเวณใต้คอพวงมาลัยฝั่งซ้าย วงพวงมาลัยหุ้มด้วยหนังสีดำ ที่จับแล้วให้สัมผัส Premium ใช้ได้ เดินตะเข็บด้ายสีเทา
สวิตช์บนก้านพวงมาลัยฝั่งขวาใช้สำหรับปรับการแสดงผลของหน้าแสดงข้อมูลการขับขี่ MID (Multi-information Display) และควบคุมการทำงานของระบบ Smart Cruise Control ซึ่งสามารถปรับระยะห่างจากรถคันข้างหน้าได้ 4 ระดับ ทำงานได้จนถึงจุดหยุดนิ่ง พร้อมฟังก์ Stop & Go และระบบเตือนเมื่อรถคันข้างหน้าเคลื่อนตัวออกไป ส่วนก้านบนพวงมาลัยฝั่งซ้ายประกอบด้วยสวิตช์ปรับโหมดการทำงานของชุดเครื่องเสียง สวิตช์สั่งงานด้วยเสียง (Voice Command) สวิตช์ปรับระดับเสียง สวิตช์เลื่อน Track หรือ คลื่นวิทยุ รวมทั้งปุ่มรับสาย – วางสายโทรศัพท์
ด้านหลังก้านพวงมาลัย ติดตั้งแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift มาให้ สำหรับใช้งานแบบ Manual Mode โดยแป้นเปลี่ยนเกียร์ขึ้น (+) จะอยู่ฝั่งขวา ส่วนแป้นเปลี่ยนเกียร์ลง (-) จะอยู่ทางฝั่งซ้าย ผู้ขับขี่สามารถใช้ Paddle Shift ได้ในขณะอยู่ตำแหน่งเกียร์ D หากต้องการออกจากโหมด Manual ให้กดแป้น + ค้างไว้ราวๆ 2 – 3 วินาที สมองกลเกียร์ก็จะกลับมาทำงานในโหมด D ปกติ
ก้านสวิตช์ที่ติดตั้งอยู่บริเวณคอพวงมาลัยนั้น ฝั่งขวาสำหรับควบคุมการเปิด – ปิด ไฟเลี้ยว รวมทั้งการทำงานของชุดไฟหน้า – ไฟท้าย ซึ่งมาพร้อมระบบเปิด – ปิดอัตโนมัติ ส่วนฝั่งซ้ายสำหรับควบคุมระบบทำความสะอาดกระจกบังลมหน้าและหลัง ก้านปัดน้ำฝนด้านหน้าเป็นแบบอัตโนมัติทำงานร่วมกับ Rain Sensor ส่วนด้านหลังจะมีฟังก์ชันปัดอัตโนมัติเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง
ด้านข้างช่องแอร์ฝั่งซ้ายมือคนขับเป็นสวิตช์ Push Start/Stop Engine สีเงิน เรืองแสงสีฟ้า เมื่อใช้เท้าขวาเหยียบเบรก แล้วเอื้อมมือไปกดปุ่มสตาร์ท จะมีกราฟฟิกรูปภาพด้านข้างตัวรถของ Palisade แสดงขึ้นมาบนชุดมาตรวัด พร้อมกับเสียง Welcome Sound … ดึ๊ง ดึ๊ง ดึ๊ง ดึ๊ง ที่ชวนให้นึกถึงเสียงเปิด-ปิดระบบ ของเครื่องซักผ้า SAMSUNG รุ่นใหม่ๆ ชะมัด!
ชุดมาตรวัด ถูกปรับปรุงงานออกแบบใหม่ ให้เป็นแนวทางเดียวกับญาติพี่น้องร่วมตระกูล ตั้งแต่ Staria ยัน Stargazer มาตรวัดรอบเครื่องยนต์ และมาตรวัดความเร็ว ถูกจับเปลี่ยนตำแหน่ง สลับที่กัน โดยวงกลมฝั่งซ้าย เปลี่ยนจากเดิม มาเป็นมาตรวัดความเร็ว พร้อมปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงในถัง ส่วนวงกลมฝั่งขวา จะเปลี่ยนมาเป็นมาตรวัดรอบเครื่องยนต์และอุณหภูมิน้ำหล่อเย็น
บริเวณกึ่งกลางของชุดมาตรวัดเป็นหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ Multi-information Display แบบสี TFT ขนาด 7 นิ้ว ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนบนสุดแสดงตำแหน่งเกียร์ และระยะทางที่สามารถวิ่งต่อไปได้ ส่วนล่างสุดแสดงอุณหภูมิภายนอก การทำงานของระบบ (Adaptive) Smart Cruise Control โหมดการขับขี่ และ ODO Meter / Trip Computer ในขณะที่ส่วนกลางสามารถเลือกปรับให้แสดงได้หลากหลายฟังก์ชัน อาทิ ตัวเลขความเร็วดิจิตอล อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง แรงดันลมยาง เป็นต้น
หน้าจอสามารถเลือกเปลี่ยนได้ให้สอดคล้องตาม Mode การขับขี่ หรือจะกดเลือกหน้าจอเองตามใจชอบ ก็ทำได้ทั้งสิ้น มีให้เลือก ทั้ง 4 Mode ได้แก่ Comfort หน้าจอพื้นหลังเป็นแบบมาตรวัดเรือ Yacht แบบ ECO จะเป็นพื้นเรืองแสง โทนสีเขียว ขาว ดำ แบบ Sport เป็นมาตรวัดแบบ Racing โทนสีแดง พร้อมพื้นหลังลายธงตราหมากรุก และ แบบ Smart แสดงแค่ตัวเลขในกล่องลูกบาศก์ Cubic
ส่วนระบบ Blind Spot View Monitoring ทำงาน ซึ่งจะแสดงภาพด้านข้างตัวรถ ทั้ง 2 ฝั่ง บนมาตรวัดกันไปเลย ช่วยลดจุดบอดในขณะเปิดไฟเลี้ยวซ้ายหรือขวา ก่อนเปลี่ยนช่องจราจร สารภาพว่า ผมชอบวิธีการเอาภาพจากกล้องขึ้นจอมาตรวัดแบบนี้ มากกว่า Honda Lane Watch เสียอีก! ยังคงมีมาให้ เหมือนเวอร์ชันเมืองนอก
น่าเสียดายที่เวอร์ชันไทย ตัดระบบแสดงข้อมูลความเร็ว ระบบนำทาง และสัญญาณเตือนต่างๆ ยิงขึ้นกระจกบังลมหน้า HUD Head-Up-Display ออกไป
จากซ้าย มาทางขวา
เหนือหัวเข่าผู้โดยสารด้านหน้า เป็นกล่องเก็บของ Glove Compartment ขนาดใหญ่ พร้อมไฟส่องสว่างข้างใน ใหญ่พอให้ใส่คู่มือผู้ใช้รถเล่มหนาเตอะ แถมยังสามารถใส่เอกสารประจำรถต่างๆ ได้อีกพอสมควร
ใต้ช่องแอร์คู่กลาง เป็นแผงสวิตช์ควบคุมชุดเครื่องเสียง และระบบ Infotainment ในรถ ยังถือว่าเป็นเรื่องดี ที่ทีมออกแบบของ Hyundai ยังคงเลือกติดตั้ง สวิตช์ สำหรับกด เป็น Shortcut แยกออกมาจาก Menu บนหน้าจอ Touchscreen ซึ่งช่วยลดการละสายตาจากถนนขณะคลำหาปุ่มเรียกใช้งานยามขับขี่ ลงไปได้มากโข
ด้านบนสุดของคอนโซลกลางเป็นแผงควบคุมเครื่องปรับอากาศแบบอัตโนมัติ แยกฝั่ง 3-zone พร้อมหน้าจอแสดงผลแบบ Digital สามารถแยกปรับอุณหภูมิภายในห้องโดยสารด้านหน้าฝั่งซ้าย ด้านหน้าฝั่งขวา และห้องโดยสารตอนหลังได้อย่างอิสระ หรือจะปรับให้ทำงานร่วมกันโดยกดปุ่ม SYNC ก็ได้เช่นกัน โดยอุณหภูมิจะปรับได้แต่ 16.0 – 28.0 องศาเซลเซียส ส่วนความแรงพัดลมปรับได้ 7 ระดับ ให้ความเย็น รวดเร็ว ใช้การได้ แม้ในวันที่คุณจอดรถตากแดดทิ้งไว้เป็นเวลานานๆก็ตาม นอกจากนี้ ยังแสดงการทำงานได้บนจอมอนิเตอร์ Touch Screen 12.3 นิ้วด้านบนได้อีกด้วย
ถัดมาด้านหลังเป็นเกียร์ไฟฟ้าแบบกดปุ่ม Shift-by-Wire แบบเดียวกับ Hyundai ยุคใหม่ๆ ติดตั้งอยู่ใกล้กับสวิตช์ Auto Brake Hold สวิตช์หมุนปรับโหมดการขับขี่ Drive Mode รวมทั้งสวิตช์เปิด – ปิดการทำงานของเซ็นเซอร์รอบคัน 8 จุด และกล้องมองภาพรอบทิศทาง Surround View Monitor
ใกล้กันนั้น เป็นสวิตช์เปิด – ปิด การทำงานของระบบอุ่นพวงมาลัย สวิตช์ปรับระดับพัดลมระบายอากาศ เพิ่มความเย็นให้เบาะ รวม 3 ระดับ หรือ ระบบ Heater อุ่นเบาะ 3 ระดับ ซึ่งติดตั้งมาให้สำหรับเบาะนั่งฝั่งคนขับและฝั่งผู้โดยสารด้านหน้า
ด้านความบันเทิงนั้น หน้าจอกลางเป็น จอ Monitor สี แบบสัมผัส Touchscreen ขนาดใหญ่ขึ้นจาก 10.25 เป็น 12.3 นิ้ว ติดตั้งแบบกึ่งลอยตัวอยู่บนแผงหน้าปัด ใช้สำหรับแสดงการทำงานของชุดเครื่องเสียง Premium Audio System 12 ลำโพง พร้อม External Amplifier จาก Infinity สามารถเล่นวิทยุ AM / FM เล่นเพลงจาก USB เชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่าน Bluetooth รวมทั้งรองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto ให้คุณภาพเสียงที่ใส มีมิติเสียงที่ชัดเจน กระจ่าง ดีงามมากๆ
นอกจากนี้ ยังมีระบบบันทึกเสียง ขณะขับรถ หรือคุยโทรศัพท์ Voice Memo ระบบพูดคุยกับผู้โดยสารด้านหลังผ่านไมโครโฟน ให้ได้ยิอนไปถึงเบาะแถวที่ 3 (Passenger Talk) หน้าจอ Quiet mode สำหรับลดระดับเสียงให้เงียบลงมา รวมทั้งยังแสดงผลจาก กล้อง 360 องศา รอบคันรถ สำหรับช่วยขณะถอยรถเข้าจอดได้อีกด้วย สามารถปรับมุมองศา การมองได้หลายมุม อีกทั้งยังสามารถปรับตั้งค่าการทำงานของระบบต่างๆในตัวรถได้จากหน้าจอนี้ไปด้วยเสร็จสรรพ รวมทั้งเป็นหน้าจอของเครื่องปรับอากาศ และหน้าจอของระบบปรับอุณหภูมิเบาะ ไปในตัว
ถ้าอยากดูให้ครบทุกหน้าจอ น้อง Sank เขาจัดการภ่ายภาพนิ่งมาให้คุณครบแล้ว ลองคลิกเข้าไปดูได้ที่นี่ Click Here
ลูกเล่นพิเศษที่เหนือกว่ารถยนต์ทั่วไปก็คือ ผู้ขับขี่สามารถเลือกได้ว่าจะสร้างความสงบเงียบภายในห้องโดยสารด้วยการเปิดระบบ Quiet Mode เพื่อปล่อยคลื่นเสียงความถี่ต่ำออกมาหักล้างกับเสียงรบกวนจากภายนอก หรือจะเปิดระบบเสียง Ambient Sound of Nature บนแผงหน้าจอ Monitor กลาง เพื่อสร้างบรรยากาศเสมือนจริง ซึ่งจะมี 6 รูปแบบให้เลือก ดังนี้
- Lively Forest : เสียงบรรยากาศในปา นกร้องเบาๆ
- Calm Ocean Wave : เสียงคลื่นซัดฝั่งยามทะเลสงบ ผ่อนคลายได้ดีสุด
- Rainy Day : เสียงสายฝนพรำ เปาะแปะๆ
- Open Air Cafe : เสียงผู้คนในร้านกาแฟ เหมาะจะเปิดเอาไว้เวลาคุยโทรศัพท์หลอกภรรยาว่านั่งในร้านกาแฟ
- Warm Fireplace : เสียงของบรรยากาศเตาผิงไฟในห้องรับแขกกลางฤดูหนาว
- Snowy Villege : มาพร้อมเสียงย่ำเท้าลงไปบนหิมะ Mode นี้ บางคนอาจรู้สึกจั๊กกะจี้หูได้
แผงคอนโซลกลางที่เชื่อมต่อจากแผงหน้าปัดด้านหน้า ลอยตัว Floating เป็นแบบ Bridge Type คล้ายกับ Honda HR-V รุ่นเดิม ด้านบนตกแต่งด้วยวัสดุ Cross Metal ที่มีทั้งลวดลายและผิวสัมผัส ไม่ได้เนียนเรียบไปเสียทีเดียว
ด้านล่าง ใต้แผงควบคุมกลาง เป็นพื้นที่สำหรับเก็บของ มีความยาว 330 มิลลิเมตร กว้าง 240 มิลลิเมตร สูง 263 มิลลิเมตร มีความจุถึง 9 ลิตร พื้นที่ด้านล่างดังกล่าว ใหญ่พอให้คุณสามารถวางกระเป๋าถือสตรี หรือแม้แต่ รองเท้าส้นสูงได้ 1 คู่ สบายๆ มาพร้อมช่องเสียบชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้า Power Outlet 12V 180W 1 ตำแหน่ง และ USB Type A 1 ตำแหน่ง
ถัดมาด้านหลังอีกนิด เป็นกล่องเก็บของพร้อมฝาเลื่อนเปิด – ปิด ภายในมีแท่นชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย Wireless Charger (สำหรับสมาร์ทโฟนที่รองรับการชาร์จแบบไร้สายด้วยมาตรฐาน Qi) และช่องเชื่อมต่อโทรศัพท์กับระบบความบันเทิงแบบ USB type A นอกจากนี้ ยังมีช่องวางแก้วน้ำพร้อมแท่นยึดล็อกแบบหมุนเก็บได้เมื่อไม่ใช้งาน 2 ตำแหน่ง
ฝั่งซ้ายของเบาะนั่งคนขับเป็นกล่องเก็บของที่เชื่อมต่อจากคอนโซลกลาง ฝาปิดด้านบนหุ้มด้วยหนังสีเทาอ่อน ออกแบบให้เป็นพนักวางแขนในตัว ซึ่งก็สามารถวางท่อนแขนช่วงข้อศอกได้สบายอยู่ ภายในติดตั้งช่องเสียบชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้าแบบ Power Outlet 12V 180W และแบบ USB type A มาให้อย่างละ 1 ตำแหน่ง พร้อมถาดวางสิ่งของขนาดเล็ก จำพวก เหรียญ หรือบัตรจอดรถ บุผ้าไว้ที่พื้นกล่อง เพื่อลดเสียงรบกวนขณะขับขี่ คุณสามารถถอดออกมาทำความสะอาดได้
ส่วน ด้านหลังของกล่องคอนโซลกลาง เป็นแผงสวิตช์ควบคุม ทั้งเครื่องปรับอากาศ สำหรับห้องโดยสารตอนหลัง มีฟังก์ชันการทำงานครบเช่นเดียวกับด้านหน้า สามารถปรับได้ทั้งอุณหภูมิ ความแรงลม และเลือกรูปแบบการทำงานได้ว่าจะให้เป่าเข้าหาลำตัว เท้า หรือเป่าพร้อมทั้ง 2 แบบ และสามารถแสดงข้อมูลการปรับระบบแอร์ ได้บนหน้าจอมอนิเตอร์ 10.25 นิ้ว อีกด้วย และที่พิเศษกว่า SUV คันอื่นๆ ก็คือ มีสวิตช์ปรับระดับพัดลมระบายอากาศ เพิ่มความเย็นให้เบาะ รวม 3 ระดับ หรือ ระบบ Heater อุ่นเบาะ 3 ระดับ สำหรับเบาะนั่ง Captain Seat แถวกลางมาให้อีกด้วย!!!
ใต้แผงควบคุมเครื่องปรับอากาศด้านหลัง ยังมีปลั๊กไฟ 12V อีก 1 ตำแหน่ง ไม่เพียงเท่านั้น ด้านหลังของพนักพิงคู่หน้า ยังมีช่องเสียบ USB มาให้ ฝั่งละ 1 ตำแหน่ง อีกด้วย!
เมื่อนับรวมกันทั้งคันรถแล้ว Palisade มีช่องวางแก้วรวมกันมากถึง 12 จุด และมีช่องวางขวดน้ำดื่ม แยกต่างหากอีก 4 จุด! ส่วนจุดชาร์จ USB สำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ มีถึง 6 ตำแหน่ง ได้แก่ แผงควบคุมกลาง 1 จุด กล่องคอนโซลกลาง อีก 1 จุด ด้านหลังพนักพิงเบาะคู่หน้า 2 ตำแหน่ง และ ผนังด้านข้างของผู้โดยสารแถว 3 ทั้ง 2 ฝั่ง รวม 2 ตำแหน่ง
มองขึ้นไปด้านบน เพดานหลังคารวมถึงเสาหลังคา A, B และ C Pillar หุ้มด้วยผ้าสักหลาดสีเทาอ่อน แบบเดียวกับรถยนต์ระดับหรูอย่าง Rolls Royce ให้สัมผัสที่เนียนละเอียด และความรู้สึกโปร่ง โล่ง สบายตา ทว่า มีมือจับศาสดามาให้ที่เหนือช่องทางเข้าออกบานประตูคู่หลัง แค่ 2 ตำแหน่ง เท่านั้น ไม่มีมาให้สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า สำหรับช่องแอร์ผู้โดยสาร บนเพดาน ทั้งผู้โดยสารแถวกลางและแถวหลังสุด รวม 4 ช่อง หน้าตาและตัวครีบ คล้าย ช่องแอร์ของรถเมล์ปรับอากาศในบ้านเรา
แผงบังแดดทั้ง 2 ฝั่ง หุ้มด้วยผ้าสักหลาด มีช่องเสียบนามบัตร กระจกแต่งหน้า พร้อมไฟส่องสว่าง ฝังบนเพดานหลังคา สามารถดึงส่วนยืดขยายออกมาได้ราวๆ 2 นิ้ว ตรงกลางเป็นสวิตช์ควบคุมไฟอ่านแผนที่คู่หน้าและไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารตอนหลังแบบ LED กระจกสำหรับสอดส่องความเรียบร้อยของลูกๆ ที่นั่งอยู่ด้านหลัง รวมถึงสวิตช์ควบคุมม่านบังแดดไฟฟ้าสำหรับหลังคากระจก Sunroof แบบ 2 ตอน แต่เฉพาะหลังคากระจกบานหน้าเท่านั้นที่สามารถเลื่อนเปิด – ปิด หรือกระดกส่วนท้ายขึ้นได้
เหนือสุดของกระจกบังลมหน้า เป็นศูนย์รวมเรดาห์และกล้องที่คอยทำหน้าที่ตรวจจับวัตถุต่างๆ ตลอดจนเส้นแบ่งช่องจราจร เพื่อนำไปประมวลในการส่งข้อมูลไปให้ตัวสั่งการทำงานของสารพัดระบบความปลอดภัยขั้นสูง นอกจากนี้ ยังติดตั้งกระจกมองหลังมาให้ เป็นแบบตัดแสงอัตโนมัติ (Electro-chromatic Mirror)
รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ จะเพิ่มหลังคากระจก Sunroof เปิด-ปิด เลื่อนด้วยด้วยสวิตช์ไฟฟ้า มาให้เพียงรุ่นเดียว มีแผงม่านบังแดดซ้อนอยู่ด้านล่างมาให้อีกชั้นหนึ่ง
ด้านทัศนวิสัยรอบคัน ยังคงเหมือนดิม ไม่แตกต่างจากรุ่น V6 ที่เราเคยนำมาทดลองก่อนหน้านั้น คลิกเข้าไปดูภาพและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในบทความดั้งเดิม Click Here
******* รายละเอียดด้านวิศวกรรม และการทดลองขับ *******
******** Technical Information & Test Drive *********
ถึงแม้ว่า ในตลาดโลก Palisade รุ่นแรก จะมีขุมพลังให้เลือกรวม 3 ขนาด โดย– เวอร์ชัน South Korea, North America, Australia, New Zealand และตลาดส่งออกใหญ่ๆ ฯลฯ ทั่วโลก จะได้ขุมพลังหลัก เป็น เครื่องยนต์ Lambda-II รหัส G6DN เบนซิน V6 สูบ DOHC 24 วาล์ว 3.8 ลิตร 3,778 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 96 x 87 มิลลิเมตร กำลังอัด 13.0 : 1 พร้อมระบบแปรผันวาล์ว Dual CVVT กำลังสูงสุด 295 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 355 นิวตันเมตร (36.2 กก.-ม.) ที่ 5,200 รอบ/นาที
ส่วนในบางตลาด ที่มีข้อจำกัดด้านระบบภาษี จะได้ใช้ขุมพลังรุ่นท็อป ที่ลดทอนขนาดความจุกระบอกสูบลงมา เป็นเครื่องยนต์ Lambda-II รหัส G6DC-5 เบนซิน V6 สูบ DOHC 24 วาล์ว 3.5 ลิตร 3,470 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 92 x 87 มิลลิเมตร หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ MPI (Multi-Point Fuel Injection) กำลังสูงสุด 277 แรงม้า (PS) ที่ 6,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 335 นิวตันเมตร (34.2 กก.-ม.) ที่ 5,000 รอบ/นาที เป็นการทดแทน
ทว่า สำหรับตลาดเมืองไทยแล้ว ขืนนำขุมพลัง เบนซิน V6 เข้ามาขาย ลูกค้าชาวไทยจะมองว่า กินน้ำมันแน่ๆ แถมยังทำราคาขายให้ถูกลงไม่ได้ง่ายๆ ราคาน่าจะกระโดดไปอีกไกลเอาเรื่อง ดังนั้น Palisade เวอร์ชันไทย จึงถูกติดตั้งขุมพลัง Diesel Turbo ให้เลือกเพียงแบบเดียว รายละเอียดมีดังนี้
เครื่องยนต์รหัส D4HB Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.2 ลิตร 2,199 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 85.4 × 96 มิลลิเมตร ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Direct-injection ผ่านราง Common-rail พ่วงระบบอัดอากาศ Variable Geometry Turbocharger (VGT)
กำลังสูงสุด 197 แรงม้า (PS) ที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร ที่ 1,750 – 2,750 นิวตันเมตร รองรับน้ำมันเชื้อเพลิงสูงสุด BioDiesel B20
ขุมพลังดังกล่าว ถูกจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ จาก Hyundai POWER TECH รุ่น A8LF1 หรือ A8LF2 ตามแต่ละประเทศที่เข้าไปทำตลาด
เกียร์ลูกนี้ เป็นแบบเดียวกับที่ประจำการอยู่ใน Kia Grand Carnival รุ่นปี 2019 , Kia Carnival ใหม่ รุ่นปี 2021 – 2024 , Kia Sportage รวมทั้งบรรดา รถเก๋งขับเคลื่อนล้อหน้า ขนาดใหญ่ ในตระกูล Kia และ Hyundai
อัตราทดเกียร์ เหมือนกันกับ Kia Grand Carnival รุ่นปี 2019 และ Carnival ใหม่ รุ่นปี 2021 ทุกประการ (ยกเว้น อัตราทดเฟืองท้าย) ตัวเลขมีดังนี้
เกียร์ 1…………………………..4.808
เกียร์ 2…………………………..2.901
เกียร์ 3…………………………..1.864
เกียร์ 4…………………………..1.424
เกียร์ 5…………………………..1.219
เกียร์ 6…………………………..1.000
เกียร์ 7…………………………..0.799
เกียร์ 8…………………………..0.648
เกียร์ Reverse (R)………………3.425
ส่วน อัตราทดเฟืองท้าย นั้น อยู่ที่ 3.648 ทั้ง รุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า และ 4 ล้อ AWD (เปรียบเทียบกับ Kia Carnival อยู่ที่ 3.510 และ Hyundai Staria จะอยู่ที่ 3.320)
การเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ ผู้ขับขี่ไม่ต้องใช้คันเกียร์ อีกต่อไป เพราะทีมวิศวกร เปลี่ยนมาใช้ แป้นเปลี่ยนเกียร์ เป็นแบบกดปุ่ม Shift-By-Wire (SBW) หน้าตาเหมือน Hyundai Staria ใหม่ ชนิดแทบจะยกมาถอดใส่กันเลย
ด้วยการคำนึงถึงความปลอดภัย เกียร์จะถูกเปลี่ยนเข้าสู่ตำแหน่ง P (Park) ในทันทีที่คุณดับเครื่องยนต์ หรือ ปลดเข็มขัดนิรภัยฝั่งคนขับออก แล้วเปิดประตูลงจากรถ ทั้งที่เครื่องยนต์ยังทำงานอยู่ และถ้าต้องการปลดเกียร์ว่าง เพื่อจอดรถซ้อนคัน หรือจอดรถในแนวยาวแบบ Parallel Parking เพียงแค่ เหยียบเบรกค้างไว้ กดปุ่ม N (Neutral เกียร์ว่าง) ค้างไว้ 1 วินาที แล้วกดปุ่มดับเครื่องยนต์ ภายใน 30 วินาที
ไม่เพียงเท่านั้น ถ้าคุณจะออกรถ เข้าเกียร์ D หรือ R แต่ยังไม่ปิดประตูคนขับ คอมพิวเตอร์จะสั่งให้เกียร์ ดีดกลับไปอยู่ที่ P ตามเดิม เพื่อความปลอดภัย จนกว่าจะปิดประตูรถแล้วเท่านั้น จึงจะเคลื่อนรถด้วยเกียร์ D หรือ R ได้ ซึ่งฟังก์ชันทั้งหมดข้างต้นนี้ ก็มีอยู่แล้วใน Hyundai Staria และ Kia Carnival ใหม่ เวอร์ชันไทย
ข้อมูลการบำรุงรักษา : น้ำมันเกียร์ ATF SP-IV รุ่นเบนซิน 7.0 ลิตร Diesel 7.1 ลิตร
Palisade เวอร์ชันไทย มีให้เลือกทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า FWD ในชื่อ Exclusive และรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ตลอดเวลา ในชื่อ Prestige โดยทุกรุ่นย่อย จะมี สวิตช์มือหมุน ให้คุณได้เลือกใช้โปรแกรมการขับขี่ หรือ Drive Mode ทั้งหมด 4 แบบ ดังต่อไปนี้
- Comfort : เป็นโปรแกรมหลัก สำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน ที่เน้นความสบาย
. - Eco : เน้นการขับขี่ เพื่อความประหยัดน้ำมัน ดังนั้น คันเร่ง จะตอบสนองต่อเท้าขวา ช้ากว่าปกตินิดเดียว และ เครื่องปรับอากาศ จะปรับอุณหภูมิล็อกไว้แค่ 25 องศาเซลเซียส เท่านั้น และสมองกลจะสั่งตัดเปลี่ยนเกียร์ ให้เร็วขึ้นกว่าเดิม ในรอบเครื่องยนต์ที่ต่ำลง จากปกติ
. - Sport : เน้นการขับขี่แบบสปอร์ตเพิ่มขึ้นนิดๆ คันเร่งจะตอบสนองไวขึ้นเล็กน้อย ให้พอจับสังเกตได้ มาตรวัด จะถูกเปลี่ยนใหม่ กลายเป็นมาตรวัดการเหยียบคันเร่ง แบบ Analog เป็นแถบสีส้ม หน่วยเป็น เปอร์เซนต์ ส่วนมาตรวัดความเร็ว กลายเป็นตัวเลข Digital พร้อมแถบสีแดงเล็กๆ บางๆ
. - Smart : ระบบจะเรียนรู้จาก อัลกอริทึม (algorithm) ในการขับขี่ของคุณ แล้วจะนำมาปรับรูปแบบการเปลี่ยนเกียร์ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของคุณในขณะนั้น
ส่วนรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ จะมาพร้อมกับระบบ HTRAC AWD Active on-demand ซึ่งสามารถเลือกโปรแกรมการทำงานได้ ด้วยสวิตช์มือหมุน Multi-Terrain Control บริเวณติดกับสวิตช์เปลี่ยนเกียร์ Shift-by-wire
หลักการทำงานของระบบนี้คือ โดยปกติ ระบบจะควบคุมให้ขับเคลื่อนล้อหน้าเป็นหลัก ในอัตราส่วน การกระจายแรงบิดล้อคู่หน้า/คู่หลัง อยู่ที่ 100 : 0 แต่เมื่อหมุนสวิตช์ โปรแกรมการขับขี่ ที่ได้เลือกเอาไว้ ระบบจะสั่งการให้ล็อกการกระจายแรงบิดลงสู่ล้อคู่หน้า / หลัง ได้ ในอัตราส่วน 80 : 20 แปรผัน จนถึง 50 : 50 ขึ้นอยู่กับโปรแกรมที่คุณเลือก ดังต่อไปนี้
- Snow : สำหรับการขับขี่บนทางหิมะ หรือทางลื่นเป็นพิเศษ ระบบจะส่งแรงบิดไปยังล้อคู่หน้า / หลัง เพิ่มขึ้นแบบแปรผัน จนถึงสัดส่วน 50 : 50
. - Mud : สำหรับการขับขี่บนเส้นทางโคลน ทันทีที่ตรวจพบอาการล้อหมุนฟรี ระบบ Electronic Torque Conteol Distribution จะสั่งเพิ่มแรงบิดลงสู่ล้อที่มีการยึดเกาะดีกว่าทันที
. - Sand : สำหรับการขับขี่บนทะลทราย ระบบจะควบคุมการกระจายแรงบิด และแรงเบรก ระหว่างล้อคู่หน้า/หลัง ให้เหมาะสม อย่างอิสระทั้ง 4 ล้อ เพื่อการตะกุยไปตามทรงทรายโดยไม่ติดหล่ม
ข้อมูลการบำรุงรักษา
- น้ำมันเฟืองท้าย 0.7 ลิตร
- น้ำมัน Transfer case oil Diesel 0.65 ลิตร
- ทั้ง 2 รายการข้างต้น ใช้น้ำมัน Hypoid Gear Oil มาตรฐาน API GL-5 หรือ SAE 75W/85
สมรรถนะจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น เรายังคงทำการทดลองจับเวลาหาอัตราเร่ง ตามมาตรฐานเดิม คือ ทดลองในเวลากลางคืน เปิดแอร์ ที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส พัดลม เบอร์ 1 ไม่เกินเบอร์ 2 เปิดไฟหน้า นั่ง 2 คน ผู้เขียน (J!MMY) น้ำหนักตัว 90 กิโลกรัม และ น้อง Mark Pongsawang ทีมเว็บของเรา น้ำหนัก 60 กิโลกรัม ผลลัพธ์ที่ได้ มีดังนี้
ตัวเลขที่ออกมาจะเห็นว่า อัตราเร่งของ Palisade นั้น เกาะกลุ่มไปกับบรรดา SUV/PPV ประกอบในบ้านเรา หลายๆรุ่น และตัวเลขที่ออกมาก็เป็นไปตามพิกัดแรงม้า แรงบิดที่ขุมพลังบล็อกนี้ทำได้ แน่นอนว่า Palisade อาจทำอัตราเร่งออกมาไวกว่า Ford Everest 2.0 Bi-Turbo แต่ก็ด้อยกว่า Everest V6 3.0 ลิตร Platinum อยู่ดี ราวๆ 1 วินาที (เทียบตามระบบขับเคลื่อน) และออกมาเท่าๆกับ Isuzu MU-X 3.0 ลิตร 4×4 Ultimate แต่ด้อยกว่า Toyota Fortuner GR Sport (ซึ่งรายนั้นก็คงต้องยกให้เขาเพราะมี 224 แรงม้า)
ย้ำกันเหมือนเช่นเคย ว่า เราไม่สนับสนุนให้ทำการทดลองความเร็วสูงสุดด้วยตัวคุณเองเด็ดขาด เพราะนอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว ยังอาจก่ออันตรายต่อชีวิต ของคุณผู้อ่าน และเพื่อนร่วมทางอีกด้วย เราทำการทดลองเพื่อให้ได้รู้ข้อเท็จจริง สำหรับการใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงเพื่อการศึกษา ในด้านวิศวกรรม ของผู้คนทั่วไปเท่านั้น มันไม่ใช่เรื่องสนุกที่จะทำความเร็วสูงขนาดนี้ กับรถบ้านๆ แบบนี้ หากเกิดอุบัติเหตุใดๆขึ้นมา เราไม่ขอรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น ในทุกกรณี
ความรู้สึกการขับขี่จริงนั้น บุคลิกของเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง ของ Palisade เวอร์ชันไทย มาในแนวทางเดียวกัน โทนเดียวกัน เหมือนกับรถตู้ Hyundai Staria และ Kia Carnival Generation 4 รุ่นปัจจุบัน ไม่ผิดเพี้ยน คือในจังหวะออกตัว เกียร์ 1 แรงดึงตอนออกตัว พุ่งแรงทะยานดี สุภาพสมตัว ยิ่งพอเป็นรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า ยิ่งสัมผัสได้ว่าแรงดึงจะดีดเพิ่มมากขึ้นอีกนิดหน่อย และในบางจังหวะ ถ้าคุณเหยียบคันเร่งจมมิดตีน การออกตัวล้อฟรี อาจเกิดขึ้นได้! เพียงแต่ว่า ยังพอมีอาการรอรอบเครื่องยนต์จาก Turbocharger นิดเดียวจริงๆ ราวๆ เศษเสี้ยววินาที แถวๆ 0.02 – 0.03 วินาที ซึ่งไม่แย่อย่างที่กังวลเลย
อัตราเร่งในช่วงเกียร์ 2 และ 3 ยังคงไหลมาเทมาต่อเนื่องดีอยู่ แต่พอหลังจากความเร็วราวๆ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง อัตราเร่งจะเริ่มไต่ขึ้น เนือยลงนิดๆ ถึงกระนั้น ก็ยังขึ้นสู่ความเร็วระดับ 160 – 170 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ไวพอสมตัว เพราะการเซ็ตอัตราทดเกียร์ 3 4 และ 5 ค่อนข้างต่อเนื่องกันดี แต่พอยิ่งเข้าสู้เกียร์ 5 และ 6 ซึ่งเป็นเกียร์ช่วงก่อน Overdrive (1.000 : 1) การไต่ความเร็วขึ้นไป ก็จะยิ่งเนือยลงไปอีกนิดหน่อย เป็นธรรมดาของขุมพลัง Diesel Turbo ซึ่งมักมีพละกำลังช่วงปลายๆ ออกจะเหี่ยวๆไปสักหน่อย ยิ่งพอหลังเข็มความเร็วแตะระดับ 170 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไปแล้ว กว่าจะขึ้นไปถึงความเร็วสูงสุด หรือ Top Speed นั้น นานพอดูเลยละ
ข้อดีของขุมพลังบล็อกนี้ คือความยืดหยุ่นของเครื่อง ขณะที่คุณกำลังจะเร่งแซง ในช่วง 80 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป ตัวรถจะทะยานแซงขึ้นหน้าไปอย่างนุ่มๆ นิ่มๆ และ นิ่งๆ มีพละกำลังมากพอให้เราสัมผัสได้ถึงแรงบิดที่ส่งลงสู่ล้อขับเคลื่อน ชัดเจน
อีกสิ่งสำคัญที่จะขาดไปเสียมิได้ ก็คือ ระบบส่งกำลัง ซึ่งนอกจากจะมีสมองกลที่ฉลาด ไม่โง่แล้ว ยังทำหน้าที่ในระดับ ถวายชีวิต ไม่แพ้ Hyundai รุ่นอื่นๆ ที่ผมเคยเจอมา ยิ่งเมื่อใช้ Sport Mode จะยิ่งเห็นควรามกระฉับกระเฉงเพิ่มขึ้นชัดเจน การเปลี่ยนเกียร์ ทำได้ราบเรียบ ต่อเนื่อง และแทบไม่มีอาการ Shock Shift มาให้สัมผัสเลย แต่ก็มีเรื่องแอบตำหนินิดนึง
เมื่อเวลาคุณเข้าเกียร์ R เพื่อเตรียมถอยรถ จังหวะที่คุณปล่อยเท้าขวาจากแป้นเบรกจนหมด ตัวรถจะแอบไหลขึ้นหน้าไปนิดนึง ก่อนที่เกียร์จะจับกับชุดคลัตช์ แล้วค่อยส่งรถค่อยๆเคลื่อนถอยหลังตามต้องการ และถ้าเปลี่ยนมากดปุ่ม D เพื่อเดินหน้า รถจะใช้เวลารอนิ่งๆ แป็บนึง ก่อนจะเริ่มเคลื่อนตัวเดินหน้าไป ต้องยอมรับว่า การเปลี่ยนมาใช้สวิตช์เปลี่ยนเกียร์แบบไฟฟ้า ก็อาจจะทำให้เกิดการ Delay ในการรับคำสั่งจากผู้ขับขี่ได้บ้างเหมือนกัน แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตคอขาดบาดตายทั้งสิ้น เหมือนเป็นความตั้งใจของวิศวกรที่จะให้การเปลี่ยนเกียร์ ทุกตำแหน่ง นุ่มนวล ไม่กระชากจนเกินไป
ภาพรวมของอัตราเร่ง สำหรับ Palisade ขุมพลัง Diesel Turbo เป็นไปตามความคาดหมาย คือแรงกำลังดี สมตัว ทะยานขึ้นนุ่มๆ แต่พุ่งแรงอยู่ กระฉับกระเฉงพอตัว และให้ความยืดหยุ่นในการเร่งแซงได้ดี แน่นอนว่าขุมพลัง V6 ยังคงอบู่ในใจผม แต่สำหรับมืองไทยแล้ว การนำขุมพลัง Diesel 2.2 ลิตร Turbo เข้ามาประจำการแทน ด้วยเหตุผลทางด้านอัตราภาษีนำเข้านั้น เป็นเรื่องที่ยอมรับได้
การเก็บเสียง แรงสั่นสะเทือน และอาการสะท้าน
NVH : Noise , Vibration & Harshness
การติดตั้งวัสดุซับเสียงมาอย่างดีรอบคัน ไม่แตกต่างจากรุ่น V6 3.5 ลิตรเท่าใดนัก ทำให้ Palisade เวอร์ชันไทย ยังคงมีเสียงรบกวนจากกระแสลมภายนอก ในช่วงความเร็วต่ำกว่า 100 กิเโลเมตร/ชั่วโมง ค่อนข้างเงียบสงบดีใช้ได้เลย โดยเฉพาะช่วง ครึ่งคันรถด้านบน (Upper Body) ที่มีการออกแบบยางขอบประตู ขอยบหน้าต่าง มาให้ช่วยลดเสียงกระแสลมเล็ดรอดเข้ามาในย่านความเร็วต่ำได้ดี
ขณะเดินทางด้วยความเร็ว ไม่เกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง บรรยากาศในห้องโดยสาร เงียบสงบดีมากเกินคาดหมาย เสียงยางจากพื้น มีเข้ามาให้ได้ยินอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เยอะนัก ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นผิวถนนเป็นหลัก ถ้าเป็นยางมะตอยใหม่ๆเรียบๆ เสียงก็จะเงียบสนิทเป็นปกติ แต่พอเจอยางมะตอยเก่าๆ หรือพื้นถนนปูนซีเมนต์ เสียงจากซุ้มล้อ ก็ดังเพิ่มขึ้นไม่มากอย่างที่คิด ภาพรวมแล้ว การเก็บเสียงจากพื้นถนน ทำได้ดีมาก
แต่เมื่อใช้ความเร็วเกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป เสียงกระุแสลมไหลผ่านตัวรถถึงจะเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ตามความเร็วของรถที่เพิ่มขึ้น ยิ่งเมื่อคุณเลื่อนแผงบังแดด บริเวณ Sunroof ด้านบน คุณจะยิ่งได้ยินเสียงกระแสลมไหลผ่านเหนือศีรษะคุณดังขึ้น
ภาพรวมแล้ว บรรยากาศในห้องโดยสารของ Palisade จะเงียบสงบ ชวนให้เกิดความผ่อนคลาย คล้ายกับการนั่งอยู่บนอัครยานยนต์ของมหาเศรษฐี คุณยังคงไม่ต้องเพิ่มเสียงพูดคุยกัน จนกระทั่งเข็มความเร็วไต่ขึ้นไปถึงระดับ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง กระนั้น เสียงกระแสลมไหลผ่านตัวรถจะค่อยๆดังขึ้นไปตามความเร็วที่คุณใช้ และจะดังขึ้นชัดเจนมาก เมื่อขึ้นไปถึงความเร็วที่ระดับ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่เชื่อไหมว่า ในระดับความเร็วดังกล่าว ห้องโดยสารของ Palisade ก็ยังมีแนวโน้มว่าน่าจะเงียบกว่า คู่แข่งร่วมพิกัดจากผู้ผลิตฝั่งญี่ปุ่น
ระบบบังคับเลี้ยว / Steering Wheel
พวงมาลัยเป็นแบบ Rack and pinion พร้อมระบบช่วยผ่อนแรงแบบ Power ไฟฟ้า แบบ Column Mounted Motor Driven Power Steering (C-MDPS) อัตราทดเฟืองพวงมาลัยอยู่ที่ 15.6 : 1 หมุนจากซ้ายสุด / ขวาสุด ไปยังขวาสุด / ซ้ายสุด Lock to Lock ได้ 2.87 รอบ รัศมีวงเลี้ยว 11.8 เมตร เต็ม 1 รอบวงกลม (5.9 เมตร ช่วงเลี้ยวกลับรถ)
พวงมาลัย มีน้ำหนัก 2 แบบ ในโหมด Comfort ปกติ น้ำหนักพวงมาลัยจะเบา แต่ไม่เบาโหวง และแอบหนืดกว่าพวงมาลัยของ Staria นิดหน่อย เหมาะกับการบังคับควบคุมรถไปตามตรอกซอกซอย หรือการขับขี่ในเมืองเป็นหลัก น้ำหนักพวงมาลัยแบบนี้ เข้าใจได้ว่าถูกเซ็ตมาเพื่อเอาใจลูกค้าชาวอเมริกัน ประเภทครอบครัว ซึ่งมักต้องการรถยนต์ที่มีพวงมาลัยเบาประมณหนึ่ง แต่ยังต้องให้ความมั่นใจในการถือตรงไปพร้อมกันด้วย
แต่พอเป็นพวงมาลัยใน Mode Sport ผมบอกเลยว่า ความหนืดที่เพิ่มขึ้นมาอีกประมาณหนึ่งนั้น สัมผัสได้ในขณะเลี้ยวเข้าโค้ง แม้จะหนืดขึ้นไม่มากนัก แต่เมื่อมาผสมผสานกับช่วงล่าง และโครงสร้างตัวถังแบบนี้แล้ว ผมกลับมองว่า การ Setting แบบนี้ต่างหาก ที่ วิศวกร Hyundai ตั้งใจให้พวงมาลัยของ Palisade เป็นอย่างแท้จริง เพื่อเอาใจกลุ่มลูกค้าวัยผู้ใหญ่ที่ยังสนุกกับการขับรถเองอยู่ และเป็น Setting ที่เหมาะสมกับตัวรถมากๆ
ยิ่งพอเลียวพวงมาลัย พารถหลบหลุมบ่อ ทั้งในช่วงความเร็วคลานๆ หรือ หักหลบรถขับช้าแช่ขวา ในย่านความเร็วเดินทาง ผมแอบสัมผัสได้ถึงบุคลิกของ รถยนต์ยุคใหม่ ที่ใช้ Modular Platform ซึ่งเน้นให้พื้นที่ห้องเครื่องยนต์ จนถึงผนังกั้นห้องเครื่องยนต์ และฐานเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar Stiff ขึ้น ช่วยเพิ่มสัมผัสแก่ผู้ขับขี่ ว่าตัวรถคล่องแคล่วในการบังคับเลี้ยวมากขึ้น
ค่อนข้างเชื่อว่า ทีมวิศวกร Hyundai น่าจะต้องเรียนรู้มาจาก การเซ็ตพวงมาลัยของรถยุโรป ในยุคปัจจุบันมาแน่ๆ เพราะความต่อเนื่องในการหมุนพวงมาลัย มีความคล้ายคลึงกันอยู่ อยากจะบอกว่า ไม่ต้องแก้ไขแล้วนะ Setting แบบนี้ คือลงตัวมากแล้ว สำหรับการเป็นพวงมาลัยใน SUV คันใหญ่อย่าง Palisade
สำหรับเวอร์ชันไทยแล้ว น้ำหนักพวงมาลัยในภาพรวม พอกันกับรุ่น V6 เบนซิน ที่เคยลองขับไปก่อนหน้านี้ แต่อาจจะเบาขึ้นกว่ากันนิดเดียว อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากน้ำหนักของเครื่องยนต์ Diesel บล็อก 2.2 ลิตร ที่เบากว่า ขุมพลัง V6 เดิม เล็กน้อย กระนั้น บุคลิกการตอบสนองของพวงมาลัยในภาพรวม ยังคงเบาแต่มีแรงขืนมือในระดับที่เหมาะสมมากๆ หนืดกว่า พวงมาลัยของ Isuzu MU-X Minorchange รุ่นล่าสุด RS และถ้าให้พูดตรงๆ มันกระเดียดไปในแนวทางเดียวกับรถยนต์นั่ง D-Segment ยุคใหม่ๆ ทั้ง Honda Accord Mazda 6 เสียด้วยซ้ำ (แต่จะเป็นคนละ Feeling กับ Toyota Camry ใหม่ แม้จะมีน้ำหนักและความหนืดพอกันก็ตาม) และหนืดกว่าพวงมาลัยของ Kia Carnival และ Camry ACV70 นิดนึง
ระบบกันสะเทือน / Suspension
ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบ MacPherson Strut พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบอิสระ Multi-Link โดยติดตั้งช็อกอัพ กับคอยล์สปริง ในตำแหน่ง แยกออกจากกัน มาพร้อมเหล็กกันโคลง และระบบปรับสมดุลระหว่างช่วงล่างด้านหลังกับด้านหน้า ขณะบรรทุกหนัก Self Leveling Suspension
แพช่วงล่างและปีกนกเป็นวัสดุเหล็กหล่อ แต่ดุมล้อและคอม้าทำจากอลูมิเนียม ตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าเปรียบเทียบกับ Kia Grand Carnival รุ่นที่แล้ว จะพบว่า ตำแหน่งจุดยึดช่วงล่าง และชิ้นส่วนต่างๆ นั้น คล้ายคลึงกัน แต่ชิ้นส่วนต่างๆ ทั้ง ช็อกอัพ แพช่วงล่าง สปริง คอม้า ดุมล้อ ปีกนก ฯลฯ นั้น แทบไม่ได้ใช้ร่วมกันเลย ออกแบบขึ้นมาใหม่แทบทั้งหมด
ช่วงล่างของ Palisade เวอร์ชันไทยนั้น ซับแรงสะเทือนในช่วงความเร็วต่ำ ได้ดีมากๆ และเนียนใช้ได้ ในระดับที่ว่า คุณสามารถรูดผ่านลูกระนาด ทั้ง 14 เนินสะดุด ในซอยราชวินิตบางแก้ว ต่อเนื่องกันไปได้ ด้วยความเร็ว ไม่เกิน 30 กิโลเมตรชั่วโมง โดยรถก็จะไม่เป็นอะไรเลย อาการที่สะเทือนขึ้นมาหาผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ถือว่าค่อนข้างน้อยเอาเรื่อง
ส่วนความเร็วเดินทาง ในช่วง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ช่วงล่างยังคงให้ความสบาย นิ่ง นุ่ม ติด Firm หน่อยๆ อาจมีการขึ้นๆ ลงๆ ไปตามสภาพลอนคลื่นบนพื้นถนนอยู่บ้าง แต่ไม่เยอะนัก เพียงแต่ขณะขับผ่านรอยต่อทางด่วน ด้วยแก้มยาง Bridgestone Dueler HP Sport ที่จะแข็งพอสมควร ก็อาจส่งแรงสะเทือนขึ้นมาให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารรู้สึกได้อยู่บ้าง ถ้าเปลี่ยนเป็น Bridgestone ALENZA ได้ ก็น่าจะนุ่มขึ้น และลดอาการขณะผ่านรอต่อทางด่วนลงไปได้อีกพอสมควร กระนั้น ถ้าคุณใช้ความเร็วประมาณ 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง แล่นผ่านพื้นผิวขรุขระปะยางมะตอยไม่เรียบ ช่วงล่าง Palisade จะซับแรงสะเทือนเอาไว้ได้ค่อนข้างดีเกินความคาดหมาย พอกันกับ Premium SUV จากยุโรปราคาแพงๆกว่านี้เสียด้วยซ้ำ!
ส่วนในย่านความเร็วสูงเกิน 120 จนถึง Top Speed 217 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั้น ช่วงล่าง พาให้ตัวรถพุ่งไปข้างหน้าได้ค่อนข้างเสถียร นิ่งพอสมควร แต่ไม่ถึงกับนิ่งสนิท ถ้าเจอกระแสลมปะทะด้านข้างรถที่แรงมากๆ ก็อาจมีอาการเป๋เบียงออกข้างได้นิดหน่อยเหมือนรถยนต์ทั่วไป อยู่ดี
ต้องยอมรับเลยว่า ช่วงล่างนั้น ถูกปรับเซ็ตมาให้รองรับและสอดคล้องกับสมรรถนะของเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง เรียกได้ว่า อยู่ในสภาพพร้อมรบ ถ้าคุณโมโหโกรธารถขับช้าแช่ขวา หรือพวกชอบจี้ตูดไร้มารยาททั้งหลาย ก็แค่กดคันเร่งลงไปไม่ถึงกับต้องจมมิดเต็มตีน Palisade จะพาคุณพุ่งหนีหายไป ดุจพี่หมีร่างใหญ่ พุ่งแหวกผ่านฝูงชนไปอย่างรวดเร็ว แต่ Moment ของตัวรถ ที่คนภายนอกเห็น จะเกิดความกลัว แม้แต่ สุดยอดนักขับมารยาทเลวทรามอย่าง Fortuner หลายคันที่เราเจอมา ยังถึงกับต้องยอมหลบให้แต่โดยดี เพราะคนทั่วไป คงไม่คิดหรอกว่า SUV ก้อนขนมปังฟาร์มเฮาส์ติดล้อคันเบ้อเร่อเบ้อร่าขนาดนี้ มันพุ่งไปอย่างน่ากลัวได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ? โดยเฉพาะการเป็รถขับเคลื่อนล้อหน้า พอออกตัวเร็วๆ หน้ารถก็ยกขึ้นชัดเจนมาก ท้ายรถก็กดลง พุ่งโจนทะยานไปแบบนั้น ใครไม่กลัวก็แปลกแล้วละ ถ้าคุณทำความคุ้นเคยกับตัวรถได้ บอกเลยครับ มันไม่น่ากลัว มันรื่นรมณ์มากเสียด้วยซ้ำ
ขณะเข้าโค้ง สัมผัสได้ถึงบุคลิกของรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้ายุคใหม่ ที่ใช้ Platform ยุคใหม่ ซึ่งเน้นให้การขับขี่สนุกขึ้น ควบคุมรถได้กระชับยิ่งขึ้น เป็น Feeling ของรถใหญ่ แต่ไม่หนักมากเกินไป เพิ่มความคล่องแคล่วให้กับตัวรถได้ดีทั้งที่ตัวรถก็มีขนาดใหญ่โตแบบนี้
บนโค้งขวารูปเคียว ย่านมักกะสัน เรื่องตลกก็คือ Palisade คันใหญ่ เข้าโค้งขวาแรกที่ความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง บนมาตรวัด ต่อเนื่องไปยัง โค้งซ้าย ฝั่งตรงข้ามโรงแรม Eastin ก็ยังรักษาความเร็วไว้ได้ถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เท่ากันพอดี อาการของบั้นท้าย ค่อนข้างมีความเป็นกลาง (Neutral) กว่า และพอมีโอกาสให้บั้นท้ายจะกวาดออกด้านข้างง่ายขึ้น แต่ถ้าถึงขั้นท้ายปัด โอกาสจะแก้อาการให้รถกลับมาตั้งลำตรงๆ น่าจะง่ายกว่า SUV อีกหลายรุ่น พอสมควร
ส่วนทางโค้งรูปตัว S จากทางด่วนขั้นที่ 1 ช่วงสุขุมวิท 62 ขึ้นไปยังทางด่วนยกระดับบูรพาวิถี ผมสามารถพา Palisade เข้าโค้งขวาแรกด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง (บนมาตรวัด) ตัวรถเอียงออกทางซ้ายน้อยลง นิดเดียว ส่วนโค้งซ้ายยาวๆ ที่มีลอนคลื่นบนพื้นผิวโค้งนั้น ผมไต่ขึ้นไปได้ถึง 112 กิโลเมตร/ชั่วโมง (บนมาตรวัด) ซึ่งนั่นก็ถึง Limit ที่ยางรับมือไม่ไหวอีกต่อไป ปิดท้ายด้วยโค้งขวายกระดับ Palisade เข้าโค้งดังกล่าวได้ที่ 125 กิโลเมตร/ชั่วโมง (บนมาตรวัด)
ผมชอบแคแรคเตอร์ในการเข้าโค้งของ Palisade ก็ตรงที่ ต่อให้คุณใช้ความเร็วสูงก่อนถึงโค้งมากแค่ไหน พอถึงหน้าโค้ง แค่ถอนเท้าจากคันเร่ง ไม่ต้องแตะเบรก แต่ค่อยๆเริ่มเลี้ยว ส่งรถเข้าไปอยู่ในโค้งได้เลย ตัวรถจะเอียงแค่ไหนก็ตาม แต่มันพาคุณออกจากโค้งได้อย่างสวยงามและปลอดภัยแน่ๆ ถ้าไม่ไปเล่นพิเรนทร์ใดๆทั้งสิ้น มันมีความพยายามของหน้ารถที่พยายามจะเบนหัวออกนิดๆ แต่ท้ายรถก็จะพยายาม Balance ตัวรถให้อย่างดี ดึงเอาไว้นิดๆ
ภาพรวมของช่วงล่าง Palisade นั้น ถูกเซ็ตมาให้เหมาะสมกับบุคลิกตัวรถ คือ เน้นความนุ่มสบาย เอาใจคนรักครอบครัว แต่ไม่ได้นิ่มจนยวบยาบน่ากลัวแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ถ้าคุณต้องรีบเร่งในวันงานเข้า Palisade ก็พร้อมจะกลายร่างจากเรือยอชต์ติดล้อ กลายเป็น Premium Sport Saloon ขึ้นมาได้อย่างน่างุนงง ขณะเดียวกัน อากัปกิริยาของตัวรถขณะอยู่ในโค้ง หรือการขับขี่บนพื้นผิวไม่เรียบ ในย่านความเร็วสูง ทำได้ดีเกินคาด นี่ละคือสิ่งที่บ่งชี้ว่า ทีมวิศวกรของ Hyundai นั้น เซ็ตรถให้มีช่วงล่างดีๆ ได้เหนือชั้นกว่าผู้ผลิตฝั่งญี่ปุ่นและยุโรปหลายๆแบรนด์ ได้สำเร็จแล้ว!
ใครก็ตามที่มองหา SUV ซึ่งมีช่วงล่างแนวนุ่มสบาย บอกเลยว่า Palisade คือคำตอบ เพราะถูกเซ็ตมาเอาใจคนรักความนุ่มอย่างชัดเจน แม้จะยังไม่ถึงขั้น นุ่มเท่า Lexus รุ่นแพงๆก็ตาม โดยเฉพาะ ขณะขับขี่ในย่านความเร็วต่ำ แม้จะเติมลมยางเอาไว้ 35 psi ทั้ง 4 ล้อ ตามคำแนะนำของผู้ผลิตในคู่มือผู้ใช้รถ ก็แทบจะไม่พบเจออาการตึงตังเลย เมื่อเจอเนินสะดุด ลูกระนาด ช่วงล่างด้านหลังของ Palisade จะแอบมีจังหวะ Rebound นิดๆ เบาๆ ประมาณ 1-2 ครั้ง เบาๆ จนชวนให้เข้าใจได้ว่า ช่วงล่างด้านหน้า แอบ Firm กว่าด้านหลังขึ้นมานิดๆ แน่นอนครับ ด้านหลังเขาต้องออกแบบมาเผื่อเรื่องการรับน้ำหนักจากการบรรทุกทั้งผู้โดยสารและสัมภาระนั่นแหละ คงต้องทำความเข้าใจในจุดนี้ด้วย
ระบบห้ามล้อ / Braking System
Palisade 2.2 D เวอร์ชันไทย มาพร้อมกับ ดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ มีขนาดจานเบรกเท่ากันกับ Palisade รุ่น V6 เบนซิน 3.8 ลิตร ที่ได้เคยทดลองขับมาก่อนหน้านี้ โดยจานเบรกคู่หน้า เป็นแบบมีครีบระบายความร้อน เส้นผ่าศูนย์กลาง 340 มิลลิเมตร หนา 30 มิลลิเมตร ส่วนจานเบรกคู่หลัง เป็นแบบปกติ เส้นผ่าศูนย์กลาง 314 มิลลิเมตร หนา 18 มิลลิเมตร มาพร้อมอุปกรณ์ตัวช่วยด้านความปลอดภัยดังนี้
- ระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock Brake System)
- ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake Force Distribution)
- ระบบเสริมแรงเบรก BA (ฺBrake Assist)
- ระบบควบคุมสเถียรภาพ ESC (Electronic Stability Control)
- ระบบควบคุมการทรงตัว VSM (Vehicle Stability Management)
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS (Traction Control)
- ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC (Hill Assist Control)
- ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน DBC (Down Hill Brake Control มีเฉพาะรุ่น Prestige AWD)
- ระบบช่วยควบคุมเสถียรภาพ ของรถพ่วงด้านหลัง TSA (Trailer Sway Assist)
แป้นเบรก ยังคงเหมือนกันกับรุ่น V6 คือมาในสไตล์คล้ายกับ SUV ฝั่งญี่ปุ่น คือมีระยะเหยียบปานกลาง ไม่สั้นไม่ยาวจนเกินไป แต่มีน้ำหนักค่อนข้าง เบา แตะลงไปเพียง 10% แรก จะยังไม่ค่อยสัมผัสถึงการทำงานของระบบเบรก ต้องแตะลงไปถึงประมาณ 20% ของระยะเหยียบทั้งหมด จึงจะพอสัมผัสได้จางๆว่า Caliper เริ่มทำงานแล้ว กระนั้น แป้นเบรกลักษณะนี้ เหมาะมากสำหรับใครที่ชอบขับขี่แบบคลานๆไปตามสภาพการจราจรติดขัดแบบกรุงเทพมหานคร แล้วชอบท้าทายตัวเองว่า จะเบรกจนรถหยุดอย่างไร ให้เนียนกริ๊ป โดยปราศจากอาการหน้าทิ่ม หากต้องการให้เป็นเช่นนั้น คุณก็ควบคุมเท้าขวาจากแป้นเบรกของ Palisade ได้ไม่ยากเลย
เมื่อเริ่มเหยียบลงไปอย่างต่อเนื่อง คุณจะพบว่า เบรกนุ่มมากกกกกกกกกก หนืดเท้ากำลังดี ไม่หนักไม่หน่วง เบาแต่ไม่เบาโหวง ต่อให้เหยียบเบรกกระทันหัน คุณก็ยังสัมผัสได้ว่า ตัวรถจะหน้าทิ่มลงไปอย่างนุ่มนวล Smooth dive ในสไตล์เดียวกับพวกรถหรูฝั่งญี่ปุ่น อย่าง Toyota Crown รุ่นเก่าๆ ด้วยซ้ำ นุ่มถึงขั้นว่า ถ้าคุณนั่งใน Palisade แล้วเกิดอาการหัวทิ่มหัวตำคะมำหงายหลัง คุณควรจะไล่คนขับรถคนปัจจุบันออก แล้วหาคนใหม่มาทำหน้าที่แทนเถอะ
การหน่วงชะลอรถลงมาจากย่านความเร็วสูงๆ นั้น ต่อให้คุณจำเป็นต้องกระทืบเบรกลงมาจากระดับ 200 กิโลเมตร/ ชั่วโมง ตัวรถก็ตั้งตรงแหน่ว ไม่วอกแวกออกนอกเลนถนนเลยแม้แต่น้อย การบริหารจัดการกระจายแรงเบรกไปยังล้อทั้ง 4 ทำได้ดีมากๆ ไม่มีอาการปัดเป๋ใดๆทั้งสิ้น ยังคงหน่วงความเร็วรถอย่างฉับพลัน ได้อย่างนุ่มนวล แถมเบรกยังไม่ fade ง่ายเสียด้วยสิ เรื่องเบรก ถือว่า Palisade ทำได้ดีกว่าที่ทุกคนคาดคิดจริงๆ เพียงแต่ว่า ด้วยตัวรถที่มีขนาดใหญ่ และมีน้ำหนักตัวเยอะอยู่ ดังนั้น ระยะเบรกจะค่อนข้างยาวเอาเรือง ขอแนะนำว่า ลดความเร็วลง หรือไม่เช่นนั้น ก็ต้องเผื่อระยะห่างจากรถคันข้างหน้าให้เยอะๆไว้ ยิ่งเยอะยิ่งดี
********** อุปกรณ์ด้านความปลอดภัย / Safety Features **********
Palisade เวอร์ชันไทย มีอุปกรณ์ ความปลอดภัย ADAS (Adaptive Driver Assist System) ในชื่อ Hyundai Smart Sense มาให้ค่อนข้างแน่น ไม่แพ้เวอร์ชันต่างประเทศ โดยมีระบบย่อยต่างๆ ดังนี้
- ระบบเตือนการชนด้านหน้า และเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ FCA (Forward Collision aviodance Assist)
- ระบบเตือนการชน และเบรกอัตโนมัติ ที่ทางแยก FCA-JT (Forward Collision aviodance Assist Junction)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Smart Cruiser Control with Stop and Go
- ระบบเตือนมุมอับสายตาด้านข้าง BCA (Blind-Spot Collision avoidance Assist)
- ระบบเตือนแสดงภาพมุมอับสายตาด้านข้าง BVM (Blind-Spot View Monitor)
- ระบบรักษารถให้อยู่ในเลนถนน LKA (Lane Keeping Assist)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนถนน (Lane Following Assist)
- ระบบเตือนเมื่อมีรถขณะกำลังเปิดประตู SEA (Safe Exit Assist)
- ระบบเตือนและเบรกอัตโนมัติ ขณะถอยจอด RCCA (Rear Cross Collision Assist)
- ระบบเตือนเมื่อผู้ขับขี่เกิดเหนื่อยล้า และเมื่อรถคันข้างหน้าเคลื่อนที่ DAW (Driver Attention Warning)
- ระบบเตือนให้ตรวจสอบผู้โดยสารด้านหลังขณะดับเครื่อง ROA (Rear Occupant Alert)
- ระบบช่วยหยุดรถเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ไม่ให้กระเด็นต่อไปยังรถคันอื่น MCB
- ระบบกล้องมองรอบทิศทาง
ส่วนอุปกรณ์ความปลอดภัยเชิงปกป้อง มีมาให้ดังนี้
- ถุงลมนิรภัย รวม 6 ใบ ประกอบด้วย ถุงลมนิรภัยคู่หน้า (Dual SRS Front Airbags) 2 ตำแหน่ง
- ถุงลมนิรภัยด้านข้าง 2 ตำแหน่ง (Dual Side Airbags)
- ม่านลมนิรภัย 2 ตำแหน่ง (Side Curtain Airbags)
- เข็มขัดนิรภัย แบบ ELR 3 จุด ทั้ง 7 ตำแหน่ง โดยเข็มขัดคู่หน้า ปรับระดับสูง – ต่ำได้ และเป็นแบบ ลดแรงปะทะพร้อมดึงกลับอัตโนมัติ Pre-tensioner & Load Limiter
- จุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็กมาตรฐาน ISOFIX ที่ฐานเบาะแถวกลาง ทั้ง 2 ฝั่ง
ด้านการทดสอบด้านความปลอดภัย นั้น ปรากฏว่า Palisade Minorchange ปี 2024 ได้ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชนของรถยนต์ที่จำหน่ายในสหรัฐอเมริกาจากหน่วยงาน IIHS และได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่ม Top Safety Pick 2024 โดย Palisade Minorchange ได้รับผลการทดสอบชนดังนี้
- การชนด้านหน้าแบบ Small Overlap (จุดปะทะนับจากด้านมุมซ้ายของรถมา 25%) ในระดับ Good
- การชนด้านหน้าแบบ Moderate Overlap front จุดปะทะตั้งแต่มุมซ้ายของรถถึงจุดกึ่งกลางรถ ในระดับ Good
- ผลการทดสอบชนด้านข้าง ในระดับ Good
- นอกจากนี้ ผลการทดสอบด้านความสามารถในการส่องสว่างของไฟหน้าและระบบป้องกันการชนคนเดินถนนยังอยู่ในระดับ Good อีกด้วย
รายละเอียดเพิ่มเติม คลิกอ่านได้ที่นี่
https://www.iihs.org/ratings/vehicle/hyundai/palisade-4-door-suv/2024
นอกจากนี้ Hyundai Palisade ยังผ่านมาตรฐานด้านความปลอดภัย ด้วยคะแนน 5 ดาว จากการทดสอบการชน ตามข้อกฎหมายของรถยนต์ทุกรุ่นที่จะทำตลาดในสหรัฐอเมริกา จากหน่วยงานด้านความปลอดภัยทางถนน National Highway Traffic Safety Administration (NHTSA)
******การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย******
*************Fuel Consumption Test *************
เมื่อครั้งที่เราทดลองขับ Palisade เบนซิน V6 3.8 ลิตร นั้น เราแอบกังวลว่า รถคันใหญ่ขนาดนี้ จะกินน้ำมันมากน้อยแค่ไหน ปรากฎว่า ตัวเลขที่ออกมา ทำได้ 12.53 กิโลเมตร/ลิตร ทำเอาผมทึ่งไปเลยว่า วิศวกรชาวเกาหลีใต้ เขาทำเครื่องยนต์บล็อกใหญ่โตแบบนั้น ออกมาให้แรงและประหยัดน้ำมัน ได้ดีไม่แพ้ชาวโลกกันเลยทีเดียว
คราวนี้ เมื่อเวอร์ชันไทย เปลี่ยนมาใช้ขุมพลังสหกรณ์ 4 สูบ 2.2 ลิตร Diesel Common-Rail Turbo ซึ่งพบได้ทั้งใน Hyundai Staria และ Kia Carnival ไปพร้อมกัน คำถามก็คือ Palisade เวอร์ชันไทย จะทำตัวเลขความประหยัดน้ำมันออกมาได้ดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน?
เราจึงยังคงทำการทดลองด้วยมาตรฐานดั้งเดิมของเว็บเรา คือ วิ่ง 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน ขับทดลองในเวลากลางคืน เริ่มต้นกันที่ ปั้มน้ำมัน Caltex ริมถนนพหลโยธิน ใกล้สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ แห่งเดิม เพื่อเติมน้ำมัน Diesel Techron Power D จนเต็มถัง แบบหัวจ่ายตัด
ผู้ร่วมทดลอง และสักขีพยานของเรา คราวนี้คือ น้อง Mark Pongswang ทีมงานของเว็บเรา น้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม รวมกับผู้เขียน/ผู้ขับขี่ 97 กิโลกรัม จะทำให้มีน้ำหนักตัวผู้ขับขี่และผู้โดยสารรวมกัน 157 กิโลกรัม ส่วนความจุถังน้ำมัน อยู่ที่ 71 ลิตร
เมื่อเติมน้ำมันจนเต็มถัง ขนาด 71 ลิตร เสร็จเรียบร้อย เราก็ขึ้นรถ คาดเข็มขัดนิรภัย กดสวิตช์ติดเครื่องยนต์ เปิดแอร์ กดปุ่ม Set 0 บน Trip Meter (กรณีนี้ คือ เลื่อนหน้าจอ MID บนมาตรวัด มาที่ Drive Info แล้วกดปุ่ม OK บนพวงมาลัย แช่เอาไว้ เพื่อ Reset ตั้งค่า แบบเดียวกับรถตู้ Staria) ระบบวัดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจะเปลี่ยนเป็นค่าเริ่มต้น ทั้งหมด
เราเริ่มเดินทาง จากปั้ม Caltex ไปเลี้ยวกลับบนถนนพหลโยธิน เลี้ยวซ้ายเข้าซอยอารีย์ ลัดไปออก ปากซอย โรงเรียนเรวดี สู่ถนนพระราม 6 เลี้ยวขวา ขึ้นทางด่วน มุ่งหน้าไปสุดปลายทาง ด่านบางปะอิน แล้วเลี้ยวกลับ ขับขึ้นทางด่วน ย้อนเส้นทางเดิม โดยใช้มาตรฐานการทดลองดั้งเดิม คือ แล่นด้วยความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน เปิดระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Adaptive Radar Cruise Control ให้ทำงานไปด้วย ซึ่งเมื่อขึ้นเนินทางชัน เกียร์จะเปลี่ยนลดลงมาจาก 8 เหลือ 7 ไม่ได้ตัดลดเปลี่ยนลงมาพรวดพราดเหมือนรถญี่ปุ่นหลายค่าย และถ้าแรงบิดมากพอ ที่จะไต่ขึ้นสะพาน ที่ไม่ได้ลาดชันมากนัก เกียร์ก็จะคาไว้ที่ เกียร์ 8 อย่างนั้น ถือว่า ฉลาดใช้ได้ ระดับหนึ่ง
เมื่อลงทางด่วนที่ด่านอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เราเลี้ยวซ้าย กลับเข้าสู่ถนนพหลโยธิน เลี้ยวกลับที่สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ เลี้ยวซ้ายเข้าสถานีบริการน้ำมัน Caltex เพื่อเติมน้ำมันน้ำมัน Diesel Techron Power D จนเต็มถัง ณ หัวจ่ายเดิม และใช้วิธีเติมแบบหัวจ่ายตัด เหมือนช่วงที่เติมครั้งแรกทุกประการ
ผลลัพธ์ ที่ออกมานั้น เราจะเริ่มต้นจาก รุ่น Prestige AWD กันก่อน
ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมดบนมาตรวัด Trip Meter 93.5 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 6.28 ลิตร
หารออกมา ได้ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 14.68 กิโลเมตร/ลิตร
ส่วนรุ่น Exclusive FWD นั้น
ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมดบนมาตรวัด Trip Meter 92.1 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 5.91 ลิตร
หารออกมา ได้ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 15.58 กิโลเมตร/ลิตร
ถือว่าประหยัดน้ำมันมากกว่าที่คาดไว้ ทั้งที่เป็นเครื่องยนต์ Diesel บล็อกเล็กกว่า ความจุกระบอกสูบก็เล็กกว่า แต่ต้องมาฉุดลากน้ำหนักที่ล่อเข้าไปราวๆ 2 ตัน ขนาดนี้ ถือว่า ประหยัดน้ำมัน มากกว่า บรรดา SUV/PPV บนพื้นฐานรถกระบะที่ประกอบขายกันในประเทศไทย เสียด้วยซ้ำ!
คำถามต่อมา ถ้าเติมน้ำมันเต็ม 1 ถัง 71 ลิตร จะแล่นได้ไกลแค่ไหน
เท่าที่ผมลองจับตัวเลขมาจากการขับขี่ใช้งานจริง ในกรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ เจอสภาพการจราจรติดขัดน้อยครั้งมากๆ ส่วนใหญ่ พาขึ้นไปวิ่งเล่นบนระบบทางด่วนเป็นหลัก น้ำมัน 1 ถัง จะสามารถพาคุณแล่นไปได้ไกล เกิน 550 กิโลเมตร ไปมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับลักษณะการเหยียบคันเร่งของคุณ ถ้าขับโหดๆหน่อย อาจจะได้เห็นตัวเลข ไม่เกิน 450 กิโลเมตร แต่จะไม่ต่ำไปกว่านี้ หรือถ้าขับประหยัดๆ อาจจะได้เห็นตัวเลข 700 – 800 กิโลเมตร ได้เลยละ!
********** สรุป / Conclusion **********
ทุกอย่างเหมือนรุ่น V6 แต่วางเครื่อง Diesel Common-Rail Turbo รุ่นสุดท้าย
พร้อมเกียร์ที่คุ้นเคย แรงสมตัว นั่งสบายเหมือนเดิม ขับดีแบบนี้ เหลือไม่มากแล้วนะ
ผมยังจำความรู้สึกในวันที่จะต้องส่งกุญแจของ Palisade V6 คันเดียวในเมืองไทยคันนั้น ได้อยู่เลย นานๆที ผมถึงจะเจอรถยนต์ที่ขับแล้วไม่อยากคืน สักที ยิ่งเป็น SUV ไซส์บ้านบึ้มขนาดนี้ แทบไม่เคยมีพื้นที่อยู่ในหัวผมเท่าไหร่นัก แต่ ใครจะไปเชื่อละว่า Hyundai จะทำให้ผมถึงกับกรีดร้องอย่างหลงรักกับ Palisade ได้ ในทุก Checkpoint ทั้งรูปทรงเส้นสาย บรรยากาศภายในที่นั่งโคตรสบาย พละกำลังที่แรงเหลือเฟือ แต่ประหยัดน้ำมันเหลือเชื่อ การขับขี่ที่สนุก สบายและมั่นใจได้ในแบบที่ ผมไม่เคยคาดหวังจาก SUV ของ Hyundai มาก่อน ความปราะทับใจ ไม่เคยจางหาย…
3 ปีผ่านไป Palisade เวียนวนกลับมาพบกับผมอีกครั้ง ในฐานะรถยนต์นำเข้าสำเร็จรูป ซึ่งประกอบมาจากโรงงานใน Vietnam แต่ฝีมือการประกอบรถของพวกเขา ถือว่า ทำได้ดีใช้ได้เลยแหละ ไฮไลต์สำคัญ ก็มีเพียงแค่ การเปลี่ยนจากเครื่องยนต์ V6 มาเป็ฺ์น Diesel 2.2 ลิตร Common Rail Turbo เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าในบ้านเรา และสะดวกต่อการตั้งราคาขายให้พอแข่งขันได้ แต่นอกนั้น แทบไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนไป
เมื่อใช้ชีวิตด้วยกันราวๆ 1 สัปดาห์เต็ม ก็พบว่า เวอร์ชันไทย ก็ยังคงส่งผ่าน “ความพิเศษ ที่ยากจะปฏิเสธ” มาให้ผมได้รับรู้ทุกโสตสัมผัสอีกครั้ง ผมยังคงรู้สึก “โคตรชอบ” Palisade รุ่นแรกนี้อยู่ดี มันเป็นความดีงามของตัวรถในทุกๆด้าน ที่ตลบอบอวนไปทั้งคัน โดยเฉพาะ ความสบายบนเบาะนั่ง คนขับ เบาะผู้โดยสารแถวกลาง และหลังสุด คุณภาพวัสดุที่ใช้ ซึ่งให้บรรยากาศการเดินทาง ไม่ได้แตกต่างจาก Palisade ที่วางจำหน่ายในตลาดเกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา เลย
ยิ่งเจอการขับขี่ที่ สนุก พอมุดได้เหมือนเดิม ช่วงล่างนุ่มสบาย และเฟิร็ม รักษาระดับตัวรถได้ดี ระบบเบรก และการตอบสนองของตัวรถต่างๆในภาพรวม ยิ่งทำให้ผมยังคงถอดเอา Palisade ออกจากใจ ไม่ออกไปเสียที
ยิ่งเห็น ยิ่งรู้สึกเสียดาย ที่ลูกค้า ชาวไทย ไม่รู้จัก หรือต่อให้รู้จัก แต่ดันไปเห็นรุ่นเปลี่ยนโฉม Full Model change คลอดออกมาหลังการเปิดตัวในบ้านเราไปเพียง 1 เดือนเท่านั้น เลยทำให้คนเข้าใจว่านี้เป็นรถตกรุ่น ทั้งที่ความจริงแล้ว ผมกลับมองว่า ไม่อยากให้ใครมองข้ามรถคันนี้ไปเลย ถ้าคุณกำลังมองหารถครอบครัว 7 ที่นั่ง ในงบไม่เกิน 2.5 ล้านบาทไทย
จุดที่ควรปรับปรุง / What to improve?
แม้ว่าตอนนี้ คงจะไม่ทันการณ์แล้ว เพราะกว่าที่บทความนี้จะออกเผยแพร่ Hyundai ก็พัฒนา Palisade รุ่นที่ 2 ออกสู่ตลาดโลกเรียบร้อยแล้ว นั่นหมายความว่า การปรับปรุงแก้ไขต่างๆ น่าจะต้องรอหลังจากที่รถรุ่นใหม่ จะเปิดตัวในเมืองไทย ซึ่งบอกได้เลยว่า อาจต้องรอถึงปี 2026 แน่ๆ
ดังนั้น ถ้าวัดจากแค่ข้อด้อยในสายตาของผม Palisade รุ่นแรก มีสิ่งที่ผมยังอยากเติมให้เต็ม ดังนี้
1. อยากให้ Program การขับขี่ Eco Comfort Sport และ Smart เปิดโอกาสให้ผู้ขับขี่ สามารถเลือกตั้งค่าความหนืดของพวงมาลัย ได้เอง เพราะทุกวันนี้ ถ้าผู้ขับขี่ ต้องการพวงมาลัยที่หนืดขึ้นในแบบ Sport ก็ต้องเข้าไปเลือกเป็น Program Sport ซึ่งสมองกล ก็จะสั่งการให้เกียร์ ทำตัวถวายชีวิตขึ้น ด้วยการเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำให้อัตโนมัติ เพื่อค้างรอบเครื่องยนต์ไว้สูงกว่าปกติ แต่ในบางจังหวะ เราอยากใช้พวงมาลัยที่หนืดขึ้น กับการขับขี่ในโหมด Comfort หรือ Smart ก็ทำไม่ได้
2.ระบบ HUD Head Up Display แม้ว่าจะไม่มีก็ได้ แต่ความจริงแล้ว ไม่น่าตัดออกไปเลย เพราะเป็น Gimmick ทางการตลาดได้ดีพอสมควร และบางคนที่ใช้หน้าจอแบบนี้ เขาจะชอบ เพราะจะได้ไม่ต้องละสายตาลงมาดูมาตรวัดบ่อยๆ
3. ข้อสุดท้าย ทางเลือกสีตัวถัง น้อยไป เข้าใจแหละครับว่า Palisade อาจมียอดขายไม่มากนัก เมื่อเทียบกับรถตู้ Staria ดังนั้น การสั่งรถจากโรงงานที่เวียตนาม ในลักษณะ Play Safe จึงเป็นทางออกที่เหมาะสมสำหรับ Hyundai ทว่า การที่Palisade เวอร์ชันไทย มีแค่ 2 สีให้เลือก ถือว่าค่อนข้างจำกัดจำเขี่ยไปหน่อย
คู่แข่งในตลาด / Competitors
ลูกค้าส่วนใหญ่ จะเปรียบเทียบความคุ้มค่า กับ Kia Carnival อันเป็นญาติพี่น้องร่วม Platform และร่วมเครือข่ายของ Hyundai Motor Group เช่นเดียวกันก็จริง
กระนั้น อย่างที่ รองประธานชาวเกาหลีใต้ของ Hyundai เคยบอกกับผม เรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขากับ Kia เอาไว้ก็คือ “We are living in the same Headquater building, but, We are more than enemies!!!” หรือ “ถึงเราจะอยู่ตึกสำนักงานใหญ่เดียวกัน แต่เราเป็นมากกว่าศัตรูซึ่งกันและกัน! ดังนั้น บุคลิกของรถยนต์ทั้ง 2 รุ่น จึงออกมาแตกต่างกันชัดเจน
Kia Carnival เป็น Minivan คันใหญ่ 7 หรือ 11 ที่นั่ง ซึ่งถูกออกแบบให้เน้นความสบายในการโดยสาร แต่ยังไม่ทิ้งบุคลิกการบังคับควบคุมที่ดีใกล้เคียงกับ Palisade มากๆ เพียงแต่ว่า ด้วยเหตุที่ตำแหน่งคนขับ เลื่อนขึ้นมาอยู่ด้านหน้าของตัวรถมากกว่า และมีพื้นที่โดยสารด้านหลังยาวกว่า แถมมีโครงสร้างตัวถังที่ ถูกเชื่อมโลหะมาแน่นแค่กำลังดี จึงให้ตัวค่อนข้างชัดเจนกว่า เมื่อบวกกับการเซ็ตช่วงล่างที่เน้นความนุ่มสบายเท่าที่จะทำได้ จึงทำให้บุคลิกในการขับขี่ ก็ยังหนีคำจำกัดความของ Minivan ไม่พ้นอยู่ดี ดังนั้น ถ้่าใครต้องการรถตู้ ประตู Slide ไฟฟ้า สำหรับขนผู้โดยสารครั้งละหลายๆคน คำตอบก็คงต้องพุ่งไปที่ Kia Carnival เท่านั้น
ในทางกลับกัน ถ้าคุณไม่ได้มีสมาชิกในครอบครัวเยอะนัก
แล้วถ้าคุณแน่ใจแล้วว่า จะเลือก Palisade คำถามคือ ควรเลือกรุ่นย่อยไหน?
Hyundai Mobility Thailand สั่งนำเข้า Hyundai Palisade ในรูปแบบรถยนต์นำเข้าสำเร็จรูปทั้งคัน CBU (Complete Built Unit) จากโรงงานใน Vietnam เมื่อส่งมาขึ้นโชว์รูมในบ้านเรา จะมีให้เลือก 2 รุ่นย่อย แยกตามระบบขับเคลื่อน และระดับการตกแต่ง ติดป้ายราคาไว้ดังนี้
- Palisade 2.2 Exclusive 2WD : 2,299,000 บาท
- Palisade 2.2 Prestige 4WD : 2,499,000 บาท
มาพร้อมการรับประกันและบริการ ดังนี้
- รับประกันตัวรถ Warranty “7 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร”!!!!
- บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Assistance 7 ปี
- ฟรีประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี
- ดอกเบี้ยพิเศษ เริ่มต้น 1.99%
Update ล่าสุด ในช่วงนี้ มีแคมเปญ ส่วนลด มากถึง 200,000 บาท ต่อคัน เท่ากับว่า รุ่น Exclusive 2WD จาก 2,299,000 เหลือ 2,099,000 บาท และ รุ่น Prestige 4WD จาก 2,499,000 เหลือ 2,299,000 บาท แต่ว่า แคมเปญนี้ หมดลงแล้ว เมื่อ 30 กันยายน 2025 ที่ผ่านมา ไม่แน่ใจว่า หลังจากนี้ จะมีแคมเปญนี้โผล่มาอีกหรือไม่
ราคาต่างกัน 200,000 บาท นั้น ส่วนต่างไปตกอยู่ที่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และภายในห้องโดยสารสีเบจ ซึ่ง สว่างไสว และสวยงามกว่า แต่ก็อาจจะเปรอะเปื้อนได้ง่ายขึ้นนิดนึง โดยเฉพาะถ้าคุณชอบใส่กางเกงยีนส์ สำหรับผมแล้ว ถ้ามีเงินเหลือพอ รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ น่าจะเหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าที่จำเป็น และต้องการความมั่นใจจากระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เช่น ใช้เส้นทางที่ฝนตกบ่อย หรือทางก้อนกรวดบ่อยๆ ลุยเข้าไซต์งานก่อสร้างเป็นประจำ แต่ถ้าคุณไม่ได้มีชีวิตแบบนั้น การเลือกรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า ก็น่าจะเพียงพอต่อการใช้งานแล้ว ยกเว้นว่าคุณเป็นคนส่วนน้อยของประเทศไทย ที่อยากได้ภายในห้องโดยสารสีโทนสว่าง
คำถามสุดท้าย : ในเมื่อ Hyundai ที่เกาหลีใต้ เพิ่งจะปล่อยภาพถ่ายคันจริงของ Palisade ใหม่ Generation ที่ 2 อย่างเป็นทางการออกมาแล้ว คุณยังควรซื้อ Palisade รุ่นแรกต่อไปหรือไม่?
คำตอบก็คือ : ควร!
ทำไมละ? ก็รถที่ขายอยู่ตอนนี้ มันตกรุ่นแล้วไม่ใช่เหรอ?
ใช่ครับ! ไม่เถียงเลย แต่…มันมีเหตุผลอยู่นะ
1. ลองดู Santa Fe รุ่นล่าสุดสิครับ หลังจากเปิดตัวออกสู่ตลาดโลก กว่าจะมาถึงเมืองไทย ก็ต้องใช้เวลานาน เหตุผลเพราะ ถึงแม้ว่า Hyundai จ้างโรงงานใน Malaysia ประกอบ Santa Fe รุ่นก่อน มาสักระยะใหญ่ๆแล้ว แต่ Santa Fe รุ่นล่าสุด เวอร์ชันพวงมาลัยขวา ก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ณ ตอนที่ ตัวรถเผยโฉมออกมา ต้องรอให้เวลาผ่านไป 1 ปี เศษ เวอร์ชันพวงมาลัยขวา จึงจะพร้อมปล่อยออกสู่ตลาดโลก และเพิ่งจะมีการนำเข้าจากโรงงาน ใน Vietnam เพิ่งมาเปิดตัวในบ้านเราไปหมาดๆ เมื่อเดือน กรกฎาคม 2025 ที่ผ่านมา
2. จากแผนการทำตลาดของ Hyundai ในระดับ Global ตอนนี้ Palisade รุ่นต่อไป อาจจะไม่มีขุมพลัง Diesel Turbo อีกแล้ว และจะมีแต่เครื่องยนต์ เบนซิน 2.5 ลิตร Turbo 281 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 422 นิวตัน-เมตร ทำตลาดแทนที่เครื่องยนต์เบนซิน 3.8 ลิตรเดิม และขุมพลังใหม่ เบนซิน 2.5 ลิตร Hybrid Turbo กำลังรวมสูงสุด 334 แรงม้า ทำงานคู่กับแบตเตอรี่ Lithium-ion 300V ความจุ 1.65 kWh ที่มีฟังก์ชัน Indoor V2L
นั่นหมายความว่า “ถ้าอยากจะใช้ SUV ขนาดใหญ่แบบนี้ และยังเป็นเครื่องยนต์ Diesel ซึ่งดูจะตรงจริ้ตกับลูกค้าชาวไทยส่วนใหญ่มากกว่า ก็ต้องเป็น Palisade รุ่นปัจจุบัน คันนี้เท่านั้น เพราะหลังจากนี้ จะไม่มีขุมพลัง Diesel ในรถยนต์ Hyundai SUV สำหรับบ้านเราอีกต่อไปแล้ว”
3. เส้นสายภายนอก และภายในของ Palisade รุ่นล่าสุด จะเน้นเหลี่ยมสัน ให้คล้ายคลึงกับบรรดารถยนต์ SUV ฝั่งอเมริกาเหนือ เพื่อที่จะเน้นทำตลาดในสหรัฐอเมริกา เป็นหลัก นั่นแปลว่า ตัวรถอาจจะไม่โดนใจลูกค้าชาวไทยส่วนใหญ่ มากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นปัจจุบัน
4. ต่อให้คุณจะชอบ Palisade รุ่นต่อไป แต่กว่าจะมาถึงประเทศไทย อาจต้องใช้เวลาเตรียมงาน เวอร์ชันพวงมาลัยขวา ณ โรงงานที่ Vietnam ก็น่าจะนานถึง 1 ปีครึ่ง ขึ้นไป ต่อให้เร็วที่สุด กว่าจะพร้อมเปิดตัวในบ้านเราก็อาจต้องรอไปถึงช่วงปลายปี 2026 เมื่อถึงตอนนั้น เราก็ยังไม่รู้ว่า ราคาขายหน้าโชว์รูม จะพุ่งโดดขึ้นไป เกิน 2.4 ล้านบาท มากน้อยแค่ไหน
สำหรับผมแล้ว Palisade รุ่นปัจจุบัน เป็นหนึ่งในรถยนต์ ไม่กี่รุ่น ที่ผมมองว่า คุณสามารถซื้อได้ โดยไม่ต้องไปสนใจว่ามันจะตกรุ่นในตลาดโลก เพราะด้วยคุณงามความดีของตัวรถ คุณภาพการขับขี่ และการประกอบ อยู่ในจุดที่เหมาะสมแล้ว สำหรับตลาดเมืองไทย
ยิ่งพอรู้เบื้องหลังความพยายามในการนำรถรุ่นนี้เข้ามาทำตลาดในบ้านเรา ตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บวกกับสัมผัสจากการขับขี่ของตัวรถเองด้วยแล้ว ผมยิ่งรู้สึกเสียดาย ถ้า คุณคิดจะมองข้าม Palisade รุ่นแรกนี้ไป
อย่าให้ความพยายาม และความตั้งใจเหล่านั้น สูญเปล่าเลยครับ
———————————-///———————————-
ขอขอบคุณ / Special Thanks to:
บริษัท Hyundai Mobility (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ และอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆอย่างดียิ่ง
เตรียมข้อมูลตัวรถโดย Navarat Panutat (KANVITZ)
บทความที่ควรอ่านประกอบควบคู่ไปด้วย
Full Review ทดลองขับ Hyundai PALISADE ขุมพลัง V6 3.5 ลิตร
———————————————————————–
J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียนและ Hyundai Motors
และ Sank Ritthiporn
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
26 ตุลาคม 2025
Copyright (c) 2025 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
October 26th, 2025
แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome CLICK HERE
———————————-///———————————-
————————————————————————
