ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ Headlightmag’s Best DRIVE 2016

นี่คือการจัดอันดับ รถทดลองขับที่ผ่านเข้ามาในเว็บไซต์ของเราในปี 2016
(ปีที่ผ่านมา) ซึ่งมีจำนวนรถทดลองขับที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าข่ายชิง
ตำแหน่งทั้งสิ้น 34 คันเท่ากับปี 2015 เป๊ะโดยไม่ได้ตั้งใจ รูปแบบของรถนั้น
ก็ครอบคลุมตั้งแต่รถระดับ B-Segment ไปจนถึงรถสปอร์ตแบบพิเศษ ค่าตัว
ของรถแต่ล่ะคันก็ว่ากันตั้งแต่ประมาณ 5 แสนบาท ไปจนถึงกว่า 5 ล้านบาท
มีความหลากหลายในรูปแบบของรถยนต์ ซึ่งอันที่จริงไม่น่าจะเทียบกันตรงๆ
ได้ว่าใครดีกว่าใคร เพราะอะไร

ดังนั้น เราจึงต้องหาวิธีในการบอกให้ได้ว่า รถคันไหน คือรถที่ทางทีมเรา
ลงความเห็นแล้วว่าประทับใจที่สุด โดยข้อสรุปของเราก็คือการใช้เกณฑ์
วัดประสิทธิภาพ 14 ด้าน ซึ่งมีทั้งการเทียบโดยดูจากตัวเลขและความรู้สึก
ประกอบกันไป ซึ่งแน่นอนว่าความชอบส่วนตัวกรรมการก็มีผล หลายคนอาจ
มีข้อกังขา แต่เราไม่ได้สร้างบทความนี้มาเพื่อบอกว่าใครเป็นเจ้าของตำแหน่ง
รถที่ดีที่สุดในประเทศไทยประจำปีนั้น

แต่นี่คือที่ของเรา และเราจะบอกท่านว่ารถคันไหนที่เราได้ลองขับไปในปี
2016 แล้วรู้สึกว่า “นี่แหละ คือรถที่ให้ความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับเงินที่จ่ายลงไป
และเป็นรถที่มีประสิทธิภาพโดยรวมเหนือกว่าคู่แข่งในระดับคลาสเดียวกัน หรือ
ระดับราคา/กลุ่มลูกค้าเป้าหมายใกล้เคียงกัน”

นั่นคือเหตุผลว่าทำไม บทความนี้จึงได้ชื่อว่า Headlightmag’s Best DRIVE
มาตลอด นับตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา ปัจจุบันจัดเป็นครั้งที่ 7

เราถือโอกาสนี้ มาลองย้อนดูผู้ชนะ Best DRIVE ในแต่ละปี จากอดีตที่ผ่านมา

Best DRIVE Champ

ครั้งที่ 1 – ประจำปี 2009-2010: Volkswagen Golf GTi
ครั้งที่ 2 – ประจำปี 2011: BMW 525d 3.0 F10
ครั้งที่ 3 – ประจำปี 2012: BMW 320d Sport F30
ครั้งที่ 4 – ประจำปี 2013: Skoda Octavia 2.0TDi Estate
ครั้งที่ 5 – ประจำปี 2014: Mazda CX-5 2.5 FWD
ครั้งที่ 6 – ประจำปี 2015: Mazda 2 1.5 Skyactiv-D Hatchback

hlm_bestdrive2016_bannerFB

การคัดเลือกรถ

1. เรื่องการคัดเลือกรถที่จะเข้าข่ายพิจารณาให้คะแนนนั้น เมื่อสมัยก่อนปี 2015 เรา
ได้กำหนดเอาไว้ว่าจะคัดเฉพาะรถที่ได้ผ่านการทดสอบอัตราเร่งและอัตราเร่งเปลือง
โดย J!MMY เท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ได้เข้ามาอยู่ใน Score card

ปีที่แล้ว เป็นครั้งแรกที่เราผ่อนผัน อนุญาตให้มีรถที่สามารถเข้าข่ายการพิจารณาได้
โดยที่ไม่ต้องมีผลทดสอบเพิ่มเติม โดยเงื่อนไขก็คือ ต้องเป็นรถไมเนอร์เชนจ์ที่มี
การปรับเปลี่ยนภายนอก และอุปกรณ์ กับราคา ซึ่งส่งผลต่อความคุ้มค่าหรือ
คุณสมบัติในด้านดีอื่นๆของตัวรถ แต่ทั้งนี้ รถคันนั้นจะต้องได้รับการยืนยันจาก
บริษัทรถยนต์ว่าใช้เครื่องเดิม เกียร์เดิม กล่องเดิม เหมือนรถรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์
ที่เราเคยทำการทดสอบไปแล้วและมีตัวเลขอยู่ในมือ โดยทีมงานจะมีการสุ่ม
ทดสอบซ้ำอีกครั้งว่าค่าที่ได้จากรถคันใหม่มีความใกล้เคียงกับรถรุ่นเดิม

2. รถที่ได้รับเลือกเข้ามา คือรถที่ทางทีมงานได้รับมาและทำการทดสอบภายใน
ช่วงวันที่ 1 มกราคม 2016-31 ธันวาคม 2016 โดยนับเวลาที่ได้รับรถมาจริง และ
ทดสอบจริง ไม่ได้นับตามเวลาที่เผยแพร่รีวิวหรือคลิป

รถที่ไม่นับรวมในการให้คะแนน

คือรถที่มีบทความเป็น First Impression ในเว็บ แต่ไม่มีผลการทดสอบ
อัตราเร่งและอัตราการกินน้ำมันโดย J!MMY และไม่มีข้อมูลใดๆที่สามารถ
ใช้อ้างอิงได้ และ/หรือไม่เคยมีการเก็บตัวเลขของรถรุ่นนั้นมาก่อน ยกตัวอย่าง
เช่น Porsche 911 Carrera S และ Boxster S ซึ่งเป็นการทดสอบในต่างประเทศ

 

ส่วนคุณสมบัติทั้ง 14 ข้อที่เรานำมาใช้พิจารณา

เราใช้เกณฑ์จำแนกตามหัวข้อต่อไปนี้ โดยการให้คะแนนแต่ละหัวข้ออาจ
เป็นไปตามดุลยพินิจของกรรมการ (เช่นเรื่องความสวยงามและการออกแบบ)
และบางข้อจะต้องมีพื้นฐานมาจากตัวเลขการทดสอบ บวกกับสิ่งที่รถคันนั้นๆ
สามารถทำได้จริง (เช่นความคล่องตัว, อัตราเร่ง, การสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง)

1. การออกแบบภายนอก
2. การออกแบบภายใน
3. ความสบายของผู้ขับ/ผู้โดยสารตอนหน้า
4. ความสบายของผู้โดยสารตอนหลัง (ถ้าเป็นรถ 2 ที่นั่ง ข้อนี้ให้ตัดออกและ
นับคะแนนรวมกับ#3 และหากเป็นรถที่มีที่นั่ง 3 แถว ให้นับผู้โดยสารตอน 2
และ 3 รวมกันพิจารณาลงในข้อนี้)
5. การเก็บเสียงรบกวน
6. อุปกรณ์ที่ให้มาและคุณภาพที่สัมผัสได้จากตัวรถ (ไม่นับรวมอุปกรณ์ความ
ปลอดภัย)
7. ระบบสนับสนุนความปลอดภัย (เช่นถุงลม, ABS, TCS, VSC ต่างๆ)
8. อัตราเร่งและความคล่องตัว (รวมถึงการทำงานของเกียร์ การตอบสนองเมื่อ
ต้องการบู๊)
9. ความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
(ผลจากการทดสอบเป็นหลัก + ผลจากการเติมและขับในชีวิตจริงบางส่วน)
10. ความนุ่มนวลของช่วงล่าง
(ตามที่ควรเป็นเมื่อเทียบกับประเภทและจุดประสงค์ของรถคันนั้นๆ)
11. ความมั่นใจของช่วงล่างและพวงมาลัย
(ตามที่ควรเป็นเมื่อเทียบประเภทของรถคันนั้น)
12. การทำงานของเบรก
13. ความคุ้มค่าเมื่อเทียบราคาของรถกับสิ่งที่ได้ในภาพรวม
(วัดสิ่งที่ได้ เทียบกับราคาของรถ โดยใช้ราคา ณ วันที่ได้รถมาทำการทดสอบ
หากมีการเปลี่ยนแปลงราคาในระหว่างยืมรถทดสอบ ให้ใช้ราคาที่ใหม่กว่า)
14. คะแนนความชอบของกรรมการ

แต่ละข้อ จะมีน้ำหนักเท่ากับ 10 คะแนน “เท่ากันทุกข้อ” นั่นแปลว่าเราไม่ได้เท
น้ำหนักให้กับด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษ

สิ่งที่ไม่ได้นำมาพิจารณาในการให้คะแนน

1. ภาพลักษณ์ทางสังคมของรถคันนั้นๆ
2. ประเทศที่ผลิตรถ หรือสัญชาติของรถ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการให้คะแนน
3. ไม่รวมถึงเรื่องศูนย์, ฝีมือช่าง และการบริการหลังการขายทุกกรณี
4. ไม่รวมเรื่องความทนทานในการใช้งาน..ใครจะไปหยั่งรู้อนาคตว่าคันไหนจะพัง
5. ของแต่งเยอะหรือน้อย อะไหล่เซียงกงหาง่ายหรือยาก ไม่มีผล

พูดง่ายๆคือ เราวัดกันด้วยตัวรถในแบบที่มันเป็น สดๆ เพียวๆ ส่วนเรื่องอื่นๆที่เป็น
ปัจจัยสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อรถจริงๆ ท่านควรเอา 5 ข้อข้างบนนี้ไปคิดรวม
ในการบ้านของท่านด้วย

HEADLIGHTMAG’S READER’S CHOICE

แน่นอนว่าธรรมเนียมของเรานอกจากมีการจัด Best DRIVE แล้ว ยังมีการจัดให้
คุณผู้อ่านได้ทำโพลล์ในเว็บบอร์ด โดยให้คุณผู้อ่านของเราโหวตตามใจชอบว่า
ใครจะได้คะแนนมากที่สุด

ผู้ชนะ READER’S CHOICE POLL ก็คือ Honda Civic 1.5 Turbo RS

สำหรับคะแนนโพลล์ของรถคันอื่นๆ สามารถ คลิกดูได้ที่นี่

เอาล่ะครับ มาเข้าสู่บทความ Best DRIVE กันดีกว่า!

อ้อ! ปีนี้ดีอีกอย่างคือ..ไม่มีคันไหนได้คะแนนขี่คร่อมกันเหมือนปีก่อน ดังนั้น
อันดับแต่ละคันจะเคลียร์มากครับ แต่บางคู่ก็แพ้คะแนนแบบฉิวเฉียดไปด้วย
หลักทศนิยมเลยก็มี (จากคะแนนเต็ม 140 คะแนน)

+++++++++++++++++

hlm_bestdrive2016_01

อันดับที่ 34 Toyota Innova 2.0E 5MT

บางท่านอาจจะมองว่าการที่ Innova เครื่องเบนซินมาจบลงที่อันดับนี้ ไม่ค่อย
ยุติธรรมเท่าไหร่นักเพราะเราเอารถที่มีจุดประสงค์ในเชิงการขนส่งมาวัดความ
สามารถด้วยเกณฑ์ของรถส่วนตัว คล้ายกับจะบังคับปลาให้ปีนต้นไม้ แต่ในเมื่อ
จำเป็นต้องพูด ก็ต้องพูดตามจริง Innova 2.0E แทบไม่มีจุดดีเป็นพิเศษให้
พวกเราจดจำ และมันคงจะแย่กว่านี้หากว่า Toyota ขี้เหนียวอุปกรณ์ด้านความ
ปลอดภัยเหมือนในอดีตซึ่งรุ่นถูกสุดแทบไม่มีอะไรให้

แต่ถ้าคุณมีความจำเป็นต้องซื้อรถไว้ขนคนและสัมภาระ ใช้เครื่องยนต์เบนซิน
เกียร์ธรรมดา คุณก็จะมีตัวเลือกแค่ไปคบ Mini MPV ซึ่งอาจจะเล็กเกินไป
หรือไม่ก็มาคบ Innova คันนี้เท่านั้น อย่าคาดหวังมากกับโครงสร้างและ
ช่วงล่างที่ใช้พื้นฐานวิศวกรรมเดียวกันกับ HiLux/Revo และ Fortuner
มันยังมีความสะเทือนแฝงอยู่นิดๆ และไม่ได้ให้ความมั่นใจในการหักหลบ
สิ่งกีดขวางมากนัก ยวบยาบและเหมาะจะเอาไว้วิ่งตรงๆแบบสุภาพเรียบร้อย
เบาะหลังแบบแถวยาวนั่งสบายพอใช้ได้ เกียร์ทดจัดช่วยให้รถมีเรี่ยวแรงพอ
แซงอีโคคาร์ 1.2 ลิตรได้สบาย แต่ก็แลกมาด้วยอัตราสิ้นเปลืองที่กินจุไปนิด
และราคา 1,129,000 บาทก็ดูจะแพงเกินไปสำหรับสิ่งที่รถมีให้

 

อันดับที่ 33 Isuzu D-Max Spark 1.9B 4×2 6MT

จะว่าไปแล้ว D-Max ตอนเดียวคันนี้ก็คงถูกจัดให้อยู่ในสภาพปลาปีนต้นไม้
แบบเดียวกับ Innova คันข้างบน แต่เนื่องจากเจ้าของเว็บดำริที่จะขโมยรถ
ของผู้ปกครองมาทดสอบ เราเองก็อยากทราบว่ารถกระบะที่ซ่อนตัวอยู่หลัง
ม่านไทเทเนียมของตรีเพชรจะมีประสิทธิภาพอย่างไร เพราะอย่างที่รู้กันว่า
Isuzu ไม่ส่งรถให้สื่อฯทำการทดสอบเชิงเปรียบเทียบใดๆ นี่จึงจัดเป็นโอกาส
ที่หาได้ยาก แน่นอนว่าเรื่องประหยัดน้ำมันนั้นหายห่วง ด้วยความที่เป็นรถ
ตอนเดียวน้ำหนักเบาวิ่งตัวเปล่าบวกกับเทคโนโลยีเครื่องยนต์ใหม่สด
ทำให้สร้างตัวเลข 15.57 กิโลเมตรต่อลิตรได้ อัตราเร่งดี เสียงเครื่องยนต์
เงียบเมื่อเทียบกับรถกระบะดีเซลเจ้าอื่น

และสำหรับกระบะตอนเดียวเชิงพาณิชย์ Isuzu ก็มีเบาะที่นั่งสบายกว่าที่คาด
สิ่งที่ลดทอนคะแนนของตัวรถลงอยู่ที่เรื่องการเก็บเสียงรบกวน ซึ่งต่อให้เป็น
รุ่นย่อยอื่นที่แพงกว่านี้ก็เก็บเสียงไม่ดีเท่ารถของยี่ห้ออื่น นอกจากนี้ดีไซน์
ของตัวรถทั้งภายนอกและภายในก็เริ่มไม่ทันสมัยเท่าคู่แข่งรายอื่นที่อัปเดต
เวอร์ชั่นหน้าตาให้ดูแตกต่างไปจากเดิม มันเป็นรถที่มีความคุ้มค่าราคา
แต่เมื่อเทียบกับคู่แข่งตอนเดียวรายอื่นๆ ก็คงมีแค่เรื่องความประหยัดที่เด่น

 

อันดับที่ 32 Toyota Vios 1.5S CVT MY2016

เป็นการไมเนอร์เชนจ์ที่แปลกประหลาด เพราะมีเรือนร่างภายนอกที่เหมือนเดิม
แต่ปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์เป็นแบบใหม่ เปลี่ยนระบบส่งกำลังมาเป็นแบบ CVT
แล้วยังมีการปรับแต่งช่วงล่างกับพวงมาลัยเพื่อแก้ปัญหาเดิมที่เราเคยพบ
และเป็นปัญหาที่ทำให้ Vios โฉม MY2013 ในรุ่น S นั้นได้คะแนนไม่ค่อยดี
เพราะราคาสูง เรี่ยวแรงธรรมดา ช่วงล่างแข็ง..แต่บู๊แล้วไม่มั่นใจ พวงมาลัย
หลายใจต้องคอยคัดซ้ายคัดขวาเหมือนรถศูนย์เบี้ยว

เราดีใจที่ Toyota หาวิธีเซ็ตช่วงล่างใหม่ได้จบ แม้จะแข็งไปนิดสำหรับโลก
ของคนชรา แต่ความมั่นใจในการทรงตัวดีขึ้น พวงมาลัยดีแบบรถปกติ
เครื่องยนต์ใหม่ บวกกับเกียร์ CVT ทำให้รถเร่งได้เร็วขึ้น แต่ประหยัดน้ำมัน
กว่าเดิม ดูเหมือนทุกอย่างน่าจะดี แต่ภายในรถก็ยังเหมือนเดิม ตกแต่งมา
แบบที่สู้คู่แข่งไม่ได้ ไม่มีข้อได้เปรียบใดๆเรื่องความสบายในการโดยสาร
รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆที่ให้มาก็ยังไม่เทียบเท่าคู่แข่ง แต่ราคาไม่ได้จัดว่าถูก
มันเป็นรถที่ดีขึ้นกว่าเดิมแน่นอน แต่เพราะโลกของรถ B-Segment พัฒนา
ไปมากในช่วง 3 ปีนี้ ประสิทธิภาพและจุดเด่นของตัวรถจึงไม่เด่น

 

อันดับที่ 31 Mitsubishi Triton Megacab Plus 2.4 5AT

แม้ว่า Triton รุ่น 4 ประตูทั้งเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติจะได้รับการยกย่อง
โดยสมาชิกทีมเราว่าเป็นรถกระบะที่คุ้มราคา แต่ Triton รุ่น Megacab
Plus นี้กลับทำได้ไม่ประทับใจเท่าที่ควร ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากช่วงล่าง
ซึ่งเซ็ตมาเผื่อสำหรับการบรรทุก ทำให้การเดินทางไกลแบบตีรถตัวเปล่า
ไม่ค่อยนุ่มนวลน่านั่งเท่ารุ่น 4 ประตู นอกจากนี้ อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
ยังค่อนข้างสูงแม้จะพยายามขับแบบคันเร่งนิ่งๆ เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร MIVEC
มีนิสัยชอบรอบจัด แต่ขาดพลังที่รอบต่ำ ติดบูสท์ช้าเมื่อเทียบกับรถเครื่องยนต์
2.4-2.5 ลิตรรุ่นอื่นๆ อุปกรณ์ติดรถทั้งของอำนวยความสะดวกและของเพื่อ
ความปลอดภัยก็ไม่ได้โดดเด่นไปกว่ารถกระบะมี Cab ในงบ 800,000 บาท
ของเจ้าอื่น

แต่ถ้าโจทย์ของคุณคือกระบะแบบมี Cab ยกสูง เกียร์อัตโนมัติที่ขับคล่อง
และเร่งแซงได้เร็ว Triton คันนี้น่าจะเหมาะสมกับคุณ เพราะในบรรดารถกระบะ
ราคาไม่เกิน 8 แสน ก็มีแต่เจ้านี่แหละที่ยัดเครื่อง High Power ม้าเยอะมาให้
แม้ว่าออกตัวจะช้า แต่พอรอบสูงแล้วเร่งลื่น ไล่ฆ่า Revo 2.8 ลิตรเกียร์ธรรมดา
เกือบได้เลยด้วยซ้ำ พวงมาลัยไวกว่ารถกระบะรุ่นอื่นๆทั้งหมด ซึ่งเป็นดาบ
สองคม คนขับรถเก๋งน่าจะชอบในความคล่อง แต่คนขับรถกระบะอื่นจนชิน
อาจจะรู้สึกประสาทนิดๆ

hlm_bestdrive2016_02

อันดับที่ 30 Toyota HiLux Revo 2.8 Pre-runner 6MT

ดูเหมือนว่า Toyota จะชนะ Mitsubishi ในสงครามกระบะมี Cab ยกสูง
ทั้งๆที่เราไม่ใช่เว็บที่ทดสอบรถกระบะเป็นหลัก และไม่มีใครในทีมที่ชอบ
อาการช่วงล่างหลังดีดดิ้นราวกับกระบะจากยุคก่อนกำเนิด iPod แบบที่
Revo เป็น มันไม่ได้มีอัตราเร่งที่เร็วเหลือเชื่อ ขนาดใช้เกียร์ธรรมดาแบบ
6 จังหวะบวกกับปอดขนาด 2.8 ลิตรยังแทบเร่งหนี Triton ไม่ได้เลย
ราคาก็ไม่ได้ถูก เพราะในขณะที่ Mitsubishi ให้คุณจ่าย 764,000 บาท
Revo จะขอเงินคุณถึง 875,00 บาท (ราคา ณ วันที่รับรถทดสอบ)

แต่ถ้าได้ลองสัมผัสรถคันจริง คุณก็จะรู้ว่าทำไม Revo ถึงได้คะแนนดีกว่า
Mitsubishi เครื่องยนต์ 2.8 ลิตรแม้จะไม่ได้ลากรอบสนุก แต่แรงบิดช่วง
ออกตัว กับช่วงกลางที่จำเป็นต่อการใช้งานจริงนั้นมีเหลือเฟือ ไม่ต้องกด
คันเร่งเยอะก็มีเรี่ยวแรงดี เกียร์ iMT ช่วยปรับรอบเครื่องรองรับการเปลี่ยน
เกียร์ลงได้ดีระดับหนึ่ง เบาะนั่งสบาย พื้นที่หลังเบาะกว้าง การเก็บเสียง
ทำได้ดีกว่า มีการตกแต่งและอุปกรณ์ภายในที่ให้ความรู้สึกทันสมัยกว่า
เบรกดีไม่แพ้กันและท้ายสุดคืออัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของ Revo นั้น
ทำได้น่าประทับใจกว่ามาก เมื่อรวมคะแนนทุกด้านแล้วจึงได้แต้มมากกว่า
Mitsubishi แต่ก็แค่ในหลักทศนิยมเท่านั้นล่ะครับ

 

อันดับที่ 29 MG GS 2.0 Turbo X Sunroof

GS สร้างความตื่นตะลึงให้ทีมงานของเราเมื่อครั้งที่มันเปิดตัวด้วยสเป็คที่ดู
อลังการแบบ Sport Crossover ด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบ 218 แรงม้า เกียร์
แบบคลัตช์คู่ อุปกรณ์ความปลอดภัยท่วมคันแถมมีซันรูฟ แล้วยิ่งเมื่อเปิดราคา
มา 1,310,000 บาท ทำให้มันดูเป็นรถที่คุ้มค่าน่าซื้อ..ทำไมล่ะ คุณได้พลัง
มหาศาล ออพชั่นท่วมคัน แต่จ่ายเงินเท่ากับรถของคู่แข่งที่ใช้เครื่องยนต์
2.0 ลิตรรุ่นล่างๆ?

เมื่อได้สัมผัสจริง ณ บางจุด อารมณ์ของเราเหมือนถูกเพศตรงข้ามที่เอารูป
โปรไฟล์ขั้นเทพมาหลอก แต่เจอตัวจริงแล้วไม่ได้น่าประทับใจขนาดนั้น
พลังม้าทั้งหมดที่มีถูกน้ำหนักตัวถ่วงเอาไว้จนอัตราเร่งไม่ได้ดีไปกว่ารถพิกัด
2.4-2.5 ลิตรของคู่แข่ง เกียร์คลัตช์คู่ยังมีจังหวะยึกยัก ถ้าอยากมีความสุข
ต้องขับช้าสุดๆ ไม่ก็เร็วแบบสุดๆไปเลย แถมยังดูดน้ำมันปริมาณมหาศาลจน
กลายเป็นรถทดสอบที่กินค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงเยอะที่สุดของปี แต่ทั้งนี้
เราต้องยอมรับว่าช่วงล่างของ GS นั้นเทพไล่ๆกันกับ Mazda CX-5 ระบบเบรก
ทำงานดีไว้ใจได้ที่ความเร็วสูง ด้วยราคาที่ถูกกว่าคู่แข่งหลายแสนบาท มันน่า
จะพอให้คุณเอาไปชดเชยค่าน้ำมันได้นานหลายปีอยู่

 

อันดับที่ 28 Toyota Camry ESport 2.5

ESport คือบทเรียน..ไม่ใช่สำหรับ Toyota แต่สำหรับคุณผู้อ่านว่าบางครั้งคนไทย
ก็ได้ใช้ของที่ดีกว่าฝรั่ง ไม่ต้องไปเรียกร้องให้เอาของนอกเข้ามาขายคนไทยหรอก
เรื่องนี้อาจจะขัดกับความเชื่อของหลายคนที่มองว่ารถสเป็คฝรั่งต้องดีกว่าไทยเสมอ
ESport เป็นรถที่สร้างขึ้นเพื่อเอาใจรสนิยมลูกค้าชาวออสเตรเลีย แต่เมื่อมันมาถึง
บ้านเรา แทนที่คุณจะได้สัมผัสความเป็นออสเตรเลียแบบสเต็กเนื้ออย่างดี คุณกลับ
ได้เว็จจิไมต์กลิ่นฉุนที่บางคนก็ไม่ได้ชอบ..ตัวรถมีราคาแพงกว่า Camry 2.5G
สเป็คไทย 140,000 บาท คุณได้หน้าตาที่แตกต่างได้ซันรูฟ ได้ช่วงล่างแบบสปอร์ต
ที่เปลี่ยนรถผู้บริหารให้กลายเป็นรถกายบริหารออกกำลังบู๊ได้อย่างสะใจ มั่นใจพอๆ
กับเทพประจำเซกเมนต์อย่าง Teana L33

แต่เรื่องอุปกรณ์ติดรถ คุณต้องรับให้ได้ถ้าจะขับรถ D-Segment ราคาล้านหก
กระจกพับมือ ไฟหน้าฮาโลเจน หัวเกียร์ยูรีเธน วัสดุและบรรยากาศภายในดูแล้ว
น่าจะด้อยกว่า Altis ตัวท้อปเสียด้วยซ้ำ นอกจากนี้อัตราเร่งที่จับเวลามานั้นก็
ช้ากว่ารุ่น 2.5G มีแค่อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ประหยัดสูสีกันโดยที่ ESport
ดีกว่าเป็นหลักทศนิยม ถ้าคุณต้องการรถที่แตกต่างจากคนอื่น หายากกว่า
Camry รุ่นอื่น และมีสีแปลกๆให้เลือก  ESport น่าจะโอเค แต่ถ้ามองหารถ
D-Segment ที่ให้ประสิทธิภาพรอบด้านดีในราคาที่ยุติธรรม..ป้ายหน้าครับ

 

อันดับที่ 27 Honda BR-V 1.5 SV CVT

ถูกสร้างขึ้นมาเพราะรู้ว่าคนไทยชอบมาดรถ Mini SUV มากกว่า Mini MPV
อย่าง Mobilio แต่แท้จริงแล้วรถทั้ง 2 รุ่นนี้ต่างก็ใช้พื้นฐานตัวถังและเครื่องยนต์
ร่วมกัน ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแย่เพราะพลังจากเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรกับเกียร์ CVT
ก็สามารถถีบตัวรถไปข้างหน้าได้เร็วกว่ารถพิกัด 1.5 ลิตรคันอื่น เร็วพอๆกับ Juke
เร็วกว่า Ford EcoSport ให้สมรรถนะที่พึ่งพาได้ ขับง่าย เข้าใจง่าย ช่วงล่าง
แข็งกระด้างขึ้นกว่า Mobilio แต่ไม่ได้เกาะถนนดีกว่ากันมากนัก เบาะนั่งแต่
ละตัวให้ความสบายอย่างสมเหตุสมผล เบาะแถว 3 มีเนื้อที่มากกว่าที่คิด

ดูเหมือนจะดี แต่ประสิทธิภาพด้านอื่นออกจากธรรมดา การเก็บเสียงไม่ดีนัก
พื้นฐานโครงสร้างหลักก็ยังมาจาก Brio แล้วยังกล้าขายในราคา 820,000 บาท
แล้วเบาะปรับความสูงไม่ได้ เข็มขัดเบาะหน้าก็ปรับสูงต่ำไม่ได้ เวลาขับบนถนน
ความรู้สึกหนึบ หนักแน่นที่ได้ ก็ยังไม่เท่า Juke กับ EcoSport และที่สำคัญ
คือระบบป้องกันกลิ่นรบกวนจากภายนอกไม่ดีนัก จอดผิดที่มีเหม็นทั้งรถ

hlm_bestdrive2016_03

อันดับที่ 26 MG6 1.8 Turbo X Sunroof

ค่อนข้างมหัศจรรย์มากพอแล้วที่ MG6 เปลี่ยนฐานะจากอันดับโหล่ในปี
2014 กลายเป็นอันดับที่ 26 ทั้งที่พื้นฐานของมันเป็นรถคันเดิม แล้วยังต้อง
เจอกับคู่แข่งรุ่นใหม่ที่โหดกว่าเก่า เกียร์คลัตช์คู่ที่เคยกวนประสาทในรถล็อตแรก
(ยังไม่อัปเดต Firmware) พอมาเป็นรุ่นนี้มีนิสัยคาดเดาได้ง่ายขึ้น กะจังหวะ
คันเร่งได้ง่ายขึ้น แต่ก็ยังมีอาการกระยึกกระยักที่ความเร็วต่ำ โหมด Manual
เล่นไม่สนุกและโหมด Auto ก็เลือกเกียร์ไม่ค่อยเข้าท่าเวลาขึ้นทางชัน
พลังเทอร์โบ 1.8 ลิตร เจอน้ำหนักตัวระดับ Teana อัตราเร่งเลยเป็นแบบ
ต้นงั้นๆ ปลายไหล ช่วงล่างมาในแนวรถหนักโช้คอัพแข็ง ให้ความมั่นใจได้ดีแม้ว่า
จะไม่หนึบนุ่มคล่องแบบ Ford Focus หรือมั่นและคมแบบ Mazda 3

ภายในยังดูเหมือนรถตกยุค แต่ MG ก็พยายามปรับเปลี่ยนหน้าปัดและระบบ
มัลติมีเดียจนดูทันสมัยขึ้น ใช้งานง่ายขึ้น เบาะนั่งบีบตัวเล็กน้อย แต่เบาะหลัง
มีพื้นที่ให้ค่อนข้างเยอะ เรื่องอุปกรณ์ไม่ต้องพูดถึง มีมาให้เพียบตามสไตล์
MG แล้วก็ตบซันรูฟแถมเข้าไป อัดฉีดอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยเข้าไป
คนที่ชอบขับรถทางไกลเร็วๆน่าจะชอบ แต่กรุณาเตรียมค่าน้ำมันเผื่อเอาไว้
เยอะหน่อยจะดีมาก

 

อันดับที่ 25 Isuzu MU-X 1.9 DA-DVD 4×2 6AT

หลายคนกังวลว่าเครื่องยนต์ขนาดแค่ 1.9 ลิตร พอมาอยู่ในรถใหญ่และหนัก
แบบนี้จะวิ่งไหวเร้อ (เสียงสูง) เอาเข้าจริงตัวเลขอัตราเร่งออกมาชนะ Fortuner
รุ่น 2.4 ลิตรและ Everest 2.2 ลิตรได้ทั้ง 0-100 และช่วงเร่งแซง 80-120
นอกจากนี้ยังทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้ 13.87 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งนับว่า
เป็นรถ PPV ที่ประหยัดน้ำมันที่สุดเวลาวิ่งทางไกล อุปกรณ์ต่างๆที่ให้มาถือว่า
ไม่น่าเกลียด และในแง่ของความสบายเวลาโดยสาร ช่วงล่างหลังของ MU-X
ก็ยังมีอาการดีดดิ้นน้อยกว่า Fortuner การหักหลบสิ่งกีดขวางนั้นแม้ว่าช่วงล่าง
จะยวบตัวเยอะจนน่าเสียว แต่ล้อหน้ากลับจิกพื้นได้ดีกว่า Pajero Sport

มันน่าจะเป็นรถที่เหมาะกับการเดินทางไกลแบบสันติสุข พ่อยิ้ม แม่ยิ้ม ลูกยิ้ม
อุปกรณ์ต่างๆใช้งานไม่ยาก ทำคะแนนในหัวข้อต่างๆได้ปานกลางไปจนถึงดี
เพียงแต่ยังมีจุดอ่อนที่พละกำลังเครื่องยนต์ในช่วงก่อน 1,800 รอบต่อนาที
ซึ่งเทอร์โบยังทำงานได้ไม่เต็มที่ รอบต่ำๆไม่พุ่งเท่า Fortuner 2.4 ช่วงล่าง
ยังถ่ายทอดอาการสะเทือนเวลาถนนไม่เรียบคล้าย PPV ยุคเก่าอยู่บ้าง
การเก็บเสียงลมเข้ารถยังทำได้แย่กว่ารถรุ่นอื่นในระดับเดียวกัน และดีไซน์
ของตัวรถทั้งภายในและภายนอกเริ่มไม่สดเท่าคู่แข่ง ทำให้คะแนนของมัน
ยังไม่ดีเท่าที่ควร

 

อันดับที่ 24 BMW 218i Coupe M Sport 8AT

โดยปกติ เมื่อมีรถของ BMW เข้ามาในกลุ่มรถทดสอบประจำปี เรามักจะพบ
รถเหล่านั้นติดอันดับ Top Ten หรืออันดับ 1 ไปเลยด้วยซ้ำ แต่กับ 218i คันนี้
เป็นกรณีที่ต่างกันออกไป เพราะเรารู้สึกว่าองค์ประกอบแห่งความขลังของ
BMW ขาดไปหนึ่งอย่าง นั่นก็คือพละกำลังจากเครื่องยนต์ ในตารางสเป็ค
คุณอาจเห็นตัวเลขแรงม้าและแรงบิดที่ไม่ต่างจาก 116i F20 1.6 ลิตร 4 สูบ
แต่ในชีวิตจริง เรารู้สึกว่าเครื่องยนต์ 3 สูบ 1.5 ลิตรรุ่นใหม่นี้ขาดอารมณ์ยิ่งกว่า
แม้ว่ามันจะมอบอัตราเร่งที่สมเหตุสมผลยามใช้งานในเมือง แต่เมื่อทางเปิดโล่ง
แล้วเหยียบคันเร่งเต็ม รอบปลายมันไปแบบแห้งๆ ไม่มีทั้งความบันเทิงและ
แรงดึง..รถแบบนี้น่าจะได้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร 184 แรงม้ามันถึงจะสนุก

แล้วอะไรอีก? อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงก็แย่กว่า 116i รุ่น 4 สูบ อรรถรสใน
การขับขี่อาจจะต่างกันบ้างจากการที่ 218i มีตัวถังที่เหนียว แข็ง และมีบาลานซ์
น้ำหนักหน้า/หลังที่สมดุลย์ มันเป็นรถที่ขับสนุกแบบสั่งได้ในโค้ง พวงมาลัยคม
หน่วงมือกำลังดี ตำแหน่งการนั่ง การออกแบบตามหลักสรีระร่างกายมนุษย์
ดูแล้วรู้สึกได้ว่าคนสร้างรถต้องการให้เราสนุกไปกับมัน น่าเสียดายที่ BMW
ประเทศไทยเลิกทำตลาดรุ่น 220i แล้วก็เหลือแค่เจ้า 3 สูบราคา 2,599,000
บาทอย่างที่เห็น บางทีเราก็รู้สึกเหมือนกันว่าถ้าได้แรงแค่นี้ แต่จ่ายเยอะ
ขนาดนี้ พี่หนีไปคบซีรีส์ 3 ประกอบในประเทศดีกว่าครับ

 

อันดับที่ 23 Toyota Fortuner 2.8V 4WD

King of PPV Sales กลับมาสู่อ้อมอกเราอีกครั้ง คราวนี้มาพร้อมเครื่องยนต์
ขนาด 2.8 ลิตรและระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Part-time อุปกรณ์ต่างๆถูก
ใส่มาให้แบบเต็มพิกัดความหรู Fortuner รุ่นใหม่ยังคงมีจุดเด่นทางด้านการ
ออกแบบซึ่งได้คะแนนดีทั้งภายนอกและภายใน วัสดุต่างๆที่เลือกใช้นั้นดูแพง
กว่า Pajero Sport แต่อาจจะสูสีกับ Everest และ Trailblazer (ขึ้นอยู่กับรส-
นิยมว่าไปเจอกรรมการที่ชอบบรรยากาศแบบไหน) เบาะนั่งมอบความสบายได้ดี
เท่าๆกับ PPV รุ่นอื่น ประสิทธิภาพหลายด้านอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ย พวงมาลัยมี
อาการสั่นราวกับพยายามถ่ายทอดทุกรายละเอียดของผิวถนนมาสู่มือ แต่มี
น้ำหนักหน่วงมือกับความไวที่เป็นธรรมชาติ เหมาะสมกับประเภทของรถ

พละกำลังของเครื่องยนต์และการตอบสนองของคันเร่ง/เกียร์ก็นับว่าเป็นจุดเด่น
เทอร์โบสามารถสร้างแรงบูสท์ได้ตั้งแต่รอบต่ำ ไม่ต้องกดคันเร่งหนักๆก็มีแรงดี
แต่ถ้าคิดจะกดเต็ม ในหมู่ PPV 4WD ที่มีขายอยู่ในปัจจุบันนั้น มันคือรถที่ควบ
ทั้งตำแหน่ง เร็วที่สุด และประหยัดเชื้อเพลิงที่สุดไปพร้อมกัน แต่สิ่งที่ทำให้คะแนน
ถูกฉุดลงอยู่ที่ช่วงล่างหลัง ซึ่งเซ็ตมาราวกับเตรียมไปบรรทุกอาวุธทำศึกสงคราม
ต่อให้นั่ง 3 คนเรียง ท้ายก็ยังดีดดิ้นชนิดคนเมารถยอมแพ้ นอกจากไม่นุ่มแล้ว
การเกาะถนนและรักษาอาการตัวรถยังห่างชั้นกับ PPV เลือดอเมริกามากนัก
นอกจากนี้อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยก็ยังสู้ Pajero Sport ตัวท้อป
ที่ราคาถูกกว่ากันแสนบาทไม่ได้ ถ้าปรับสองจุดนี้ได้ รับรองว่าอันดับออกมาสวย
กว่านี้แน่นอน

hlm_bestdrive2016_04

อันดับที่ 22 Mazda MX-5 2.0 6AT

นี่คือสิ่งที่พลิกความคาดหมายมากที่สุดในการจัดอันดับ Best DRIVE ปีนี้
เพราะคุณรู้..ว่านี่คือ Best DRIVE และหนึ่งในรถที่ DRIVE ดีที่สุดจนคนทั้งโลก
จดจำก็คือ Mazda MX-5 แล้วทำไมมันถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ…มันทำคะแนนได้
ระดับดีมากในเรื่องอัตราเร่งและความคล่องตัว แม้ว่าแรงม้าจะน้อยกว่า BRZ
และ 86 เกียร์อัตโนมัติ แต่ด้วยน้ำหนักที่เบาและเครื่องยนต์ที่มีแรงบิดดีโดย
ไม่ต้องใช้รอบสูงมากแบบคู่แข่ง ทำให้มันดีดออกตัวได้ไว กะน้ำหนักคันเร่ง
ได้ง่าย มีความคล่องตัวราวกับหนูที่วิ่งซิกแซกไปตามช่องแคบๆระหว่างลัง
ดีไซน์ภายนอกสวยเกือบหมดยกเว้นไฟท้ายทรงนั้น ดีไซน์ภายในทำได้ดีขึ้น
กว่ารุ่นที่แล้วมาก ช่วงล่างเกาะถนนดีถ้าขับแบบเน้นเกาะ และพร้อมจะสะบัด
เมื่อคุณต้องการ พวงมาลัยและเบรก ทำงานประสานกับช่วงล่างเพื่อมอบความ
สนุกที่คุณใฝ่ฝันจากรถขับหลังขนาดเล็กแบบนี้มาตลอดชีวิต

มันคือรถที่น่าประทับใจ สร้างความรู้สึกประทับใจแบบเดียวกับ MX-5 NA สมัย
ก่อนที่สนุกโดยไม่ต้องมีเครื่องแรง มีความคล่อง ความเบาและความเรียบง่าย
กลไกหลังคาเปิดด้วยมือใช้งานง่ายจนทำให้หลังคาไฟฟ้าเป็นเรื่องฟุ่มเฟือย
อย่างไรก็ตาม ความที่ถูกออกแบบโดยเน้นความเบา ทำให้พื้นที่ภายในคับแคบ
เบาะปรับไม่ได้มากนัก พวงมาลัยปรับระยะได้แค่ขึ้น/ลงและเป็นระยะน้อยเกิน
มันจะมอบความสุขให้ก็แต่กับคนที่หุ่นดีพอจะนั่งมันได้เท่านั้น การเก็บเสียงต้อง
ทำใจเพราะหลังคาผ้าใบด้วย ระบบเบรกแม้จะไว้ใจได้แต่หากใช้ความเร็วสูง
และกดเบรกยาวต่อเนื่อง จะมีอาการสูญเสียแรงเบรก ซึ่งไม่น่าพบแล้วในรถที่
เบาและทำมาเพื่อซิ่งแบบนี้ ท้ายสุดคือราคา 2.7 ล้านบาทที่แม้จะถูกเมื่อเทียบ
กับ 86 ตัวท้อป แต่แพงมากเมื่อเทียบกับ BRZ ซึ่งมอบประสบการณ์ได้คล้ายกัน
และมีพื้นที่ให้ขยับเนื้อตัวได้มากกว่า ปรับท่าทางการนั่งให้ถนัดได้มากกว่า

 

อันดับที่ 21 Toyota Fortuner TRD Sportivo 2.8

คุณเริ่มต้นโดยการเอา Fortuner 2.8V 4WD มา จากนั้นก็ลองคิดสิว่าพวกคนที่
ซื้อ Fortuner ไปแต่ง เขาชอบทำอะไรกับรถ นั่นคือสิ่งที่ Toyota คิดแล้วก็โยนใส่
ลงไปในเจ้า TRD พวกเราไม่ใช่แฟนสไตล์หลังคาดำเท่าไหร่ รวมถึงลายล้อ
อัลลอยที่ดูล้ำแต่ไม่ค่อยเข้ากับรถ ภายในเล่นโทนตะเข็บและแสงสีแดงอาจ
เรียกความสนใจจากกรรมการที่อายุวัยรุ่นได้ (ซึ่งแน่นอนไม่ใช่ผม) แล้วคุณยัง
ต้องจ่ายเงินเพิ่มจากตัว 2.8V 4WD อีกตั้ง 140,000 บาท เพื่ออะไร?

แต่สิ่งที่ต้องยอมรับก็คือฝีมือการเซ็ตช่วงล่าง TRD ของทีมวิศวกร นี่ล่ะคือสิ่ง
ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าเมื่อ Fortuner ได้โช้คอัพและสปริงที่ตั้งใจทำมาดีๆ มันจะกลาย
เป็นรถที่ขับได้สนุกและมั่นใจขึ้นแค่ไหน ในขณะที่ 2.8V มีอาการหน้าย้วยบ้าง
และหลังดีดมาก เจ้า TRD คุมอาการช่วงล่างหน้าได้อยู่หมัด แถมยังกำราบอาการ
ดิ้นของช่วงล่างหลังได้ดีขึ้น วิ่งเร็วๆก็มั่นใจ หักหลบควายหรือคนที่เดินควายๆ
ก็ไม่ต้องกลัว จังหวะสลาลอมบางช่วงความเร็วรู้สึกมั่นใจยิ่งกว่า Everest 3.2
เสียอีกแม้เรื่องการซับความสะเทือนจะยังตามหลัง Ford อยู่ ช่วงล่างนี่ล่ะคือสาระ
ที่ปิดกลบจุดอ่อนหลักของ Fortuner ได้ แต่ก็ไปเพิ่มจุดอ่อนใหม่คือราคาที่ดู
จะสูงเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้ในภาพรวม

 

อันดับที่ 20 MG5 1.5 Turbo X Sunroof

นี่คือ MG ยุคใหม่รุ่นแรกที่ไม่ใช้เกียร์แปลกพิลึกที่บังคับให้เจ้าของต้องมานั่ง
เรียนรู้วิธีการใช้งานให้ได้ดี แล้วมันก็กลายเป็น MG รุ่นแรกที่เราขับแล้วรู้สึกว่า
สนุกจริง เข้าถึงและเข้าใจได้ง่าย ด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบบ้านๆที่มี 6 จังหวะ
คุณขับมันเหมือนที่ขับรถรุ่นอื่นบนท้องถนนได้เลย พวงมาลัยหน่วงดีมากที่
ความเร็วสูง ช่วงล่างมาในแนวรถหนักบวกโช้คอัพแข็งอันเป็นสไตล์ที่ MG
ถนัด เหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวามั่นใจ ดูแล้วน่าจะเป็นรถ B-segment ที่เหมาะมาก
สำหรับคนที่ชอบขับเดินทางไกลด้วยสปีดที่น่าจะโดนใบสั่งไปตลอดทาง

และถึงแม้จะจัดว่าเป็น B-segment แต่ขนาดตัวรถโตพอๆกับ C-segment
บางรุ่น เนื้อที่ภายในจึงมากมายเมื่อเทียบกับคู่แข่ง อุปกรณ์ด้านความปลอดภัย
ในเชิง Active เยอะ แต่ในเชิง Passive ไม่เด่นแล้วเมื่อเทียบกับคู่แข่งสมัยนี้
อัตราเร่งของเครื่องเทอร์โบ 129 แรงม้ามาในสไตล์ตีนตั้นงั้นๆ (0-100 และ
80-120 แพ้ City SVนิดหน่อย) แต่ตีนปลายไหลน่ากลัวกว่าที่คิด ภายในดู
โบราณ วัสดุดูไม่ทันสมัย ดีที่หน้าปัดอ่านค่าง่ายและระบบมัลติมีเดียใช้การ
ได้ดีควบคู่ไปกับ InkaNet เบาะคนขับปรับสูงต่ำไม่ได้ (ได้แต่ดันช่วงก้น
ขึ้น/ลง) และที่สำคัญคือกินน้ำมันดุกว่า B-segment คันอื่นๆ ไม่ว่าจะขับแบบ
สันติ หรืออยู่ในโหมดออกรบ MG5 จึงไม่ได้อันดับดีไปกว่านี้

 

อันดับที่ 19 Toyota Innova Crysta 2.8V 6AT

เซอร์ไพรสอันดับ 2 รองจากผลของ MX-5 ก็คือ Innova Crysta นี่ล่ะ
ในเมื่อเราก็ทราบดีว่าพื้นฐานของรถมันเกิดมาจาก HiLux Revo/Fortuner
ซึ่งมาพร้อมกับการเซ็ตช่วงล่างแบบเอาใจคนอินโดโผวิ่งซิ่งบนลูกรัง พอมา
เจอถนนเมืองไทย แรกๆก็จะรู้สึกนุ่ม..เพราะมันก็นุ่มกว่า Fortuner จริง แต่
ยังมีอาการเก็บแรงสะเทือนกรวดสะเทือนหลุมในลักษณะเดียวกัน พอวิ่งบน
ทางด่วนสัก 120 หักเปลี่ยนเลนทีหนาวหลังราวกับพิงแอร์ น่ากลัวหนักกว่า
Fortuner หรือ Revo เสียอีก

แต่ถ้าตัดข้อเสียเรื่องช่วงล่างออก คะแนนในหัวข้ออื่นๆทำได้ดี ภายในรถ
คันจริงดูสวยกว่าในรูป ออกแบบจัดวางสวิตช์ต่างๆมาให้ใช้งานได้ง่าย มี
อุปกรณ์ของเล่นและของที่เกี่ยวกับความปลอดภัยมาให้ค่อนข้างครบ เบาะ
นั่งตอนหน้าสบายพอๆกับ Fortuner ส่วนเบาะแถว 2 Captain seat นั้นสบาย
ราวกับต้องการยกระดับตัวเองให้พรีเมียมขึ้น เครื่องยนต์ในสเป็คเหมือนแรง
น้อยกว่า Fortuner 2.8 แต่พอขับจริงแล้วไม่ใช่เลย นี่มันอาม่ากินสเตียรอยด์
ชัดๆ ดีดออกตัวแรง แซงเร็วจนน่ากลัวช่วงล่างจะรับไม่ไหว แต่เอาเถอะ ราคา
นี้ถ้าไปซื้อ Fortuner คุณได้แค่รุ่น 2.4 ขับหลัง ซึ่งถ้าไม่นับเรื่องความเท่แล้ว
ว่ากันด้วยสิ่งที่ได้จากรถคันนั้นจริงๆ Innova 2.8 ชนะขาดและทำให้ราคา
ที่แพงกว่ารุ่น 2.0E MT ตั้ง 270,000 บาทนั้นดูโหดร้ายน้อยลง

hlm_bestdrive2016_05

อันดับที่ 18 Toyota Sienta 1.5V CVT

เป็นรถที่สร้างความแตกแยกของกรรมการในเรื่องดีไซน์ เพราะถ้าไม่ใช่ว่า
“ชอบ! แนวว่ะ!” ก็จะเป็น “เห็นแล้วอยากวิ่งหนี” ไปเลย ภายในดูจากใน
โบรชัวร์เหมือนจะดี ตัวจริงก็ดูดีถ้ามองว่าเอาเทียบกับ Mini MPV คันอื่นๆ
(โชคดีนะที่ Freed มันเลิกขายไปแล้ว) แต่วัสดุในจุดต่างๆนั้นเป็นสไตล์ลูกครึ่ง
ไทย-อินโด ไม่ได้ดูแพงดูเนียนแบบเวอร์ชั่นญี่ปุ่น เบาะแต่ละตัวมีความสบาย
ตามประเภทของรถ มีลูกเล่นที่ประตูสไลด์ไฟฟ้าทั้ง 2 ข้าง ซึ่งพอแพ็คเกต
ทั้งหมดนี้มาในราคาที่แพงกว่า Mobilio พอสมควร แต่ก็ถูกกว่า Freed ล็อต
ท้ายๆ ทำให้มันได้คะแนนความคุ้มค่าต่อเงินลงทุนค่อนข้างดี และยังได้คะแนน
เรื่องช่วงล่างดีกว่าที่คาด วิศวกรเซ็ตมาในแนวแอบแข็งนิดๆ แต่ทำให้โยกเล่น
หรือขับมุดซ้ายขวาในโหมดแม่บ้านปวดขี้ได้ดีน้องๆ Suzuki Ertiga

จุดที่ทำให้มันยังได้คะแนนไม่ดีคืออัตราเร่ง ซึ่งพอคิดจะมีประตูไฟฟ้า มีอุปกรณ์
เยอะแล้วใช้เครื่องที่ไม่ได้แรงกว่าชาวบ้าน ผลออกมาก็คืออืดกว่าชาวบ้านนั่นล่ะ
อัตราสิ้นเปลืองเวลาวิ่งทางไกลเลขดูสวย แต่พอใช้งานจริงแล้วต้องกดต้องอัด
เข็มน้ำมันกลับลดลงเร็วกว่าใครเพื่อน ถ้าปรับปรุงตรงจุดนี้ได้ ต่อให้คงราคา
เอาไว้เท่าเดิม คะแนนของ Sienta จะต้องไต่อันดับไปอยู่แถวๆ 14-15 ได้แน่นอน

 

อันดับที่ 17 Ford Focus 1.5 EcoBoost

อรรถรสได้ เสียงได้ อันที่จริง..ในบรรดาเทอร์โบคาร์ราคาล้านบาทบวกลบ
ทั้งหมดตอนนี้ Focus มีเสียงเครื่องที่เร้าใจที่สุดเวลาเหยียบ มีช่วงล่างที่ดีที่สุด
เมื่อมองการใช้งานทุกรูปแบบ  รุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์นี่ก็เซ็ตไว้ดีแล้ว รุ่นใหม่ยิ่ง
หนึบเอาใจไวรุ่นมากขึ้น สะบัดแรงๆท้ายกวาดตามหน้ามาขึ้น คุมตัวรถเวลาเข้า
โค้งบนถนนไม่เรียบได้ดี พวงมาลัยเป็นธรรมชาติขึ้น เหมาะมากสำหรับคนที่
ชอบขับรถเร็ว แล้วก็ยังมีอุปกรณ์ความปลอดภัยในเชิงป้องกันและเชิงรับดี
ระบบช่วยจอดก็ได้ใจคนชอบของไฮเทค (ซึ่งไม่ใช่ผม) แต่ตัดซันรูฟและไฟหน้า
แบบโปรเจคเตอร์ออกไป

เกียร์ 6 สปีด Ford/GM ทำงานได้โอเค ไม่ถึงกับสะใจ การคิกดาวน์บางจังหวะ
ยังติดนุ่มช้า ตำแหน่งการขับขี่สูงเดิด แดชบอร์ดมีหน้าที่ในการเบียดบังพื้นที่
บริเวณขาโดยไม่จำเป็น เนื้อที่เบาะหลังก็ไม่ได้กว้างสบายแบบ Altis หรือ Civic
อัตราเร่งนั้นแม้จะรู้สึกเหมือนเร็ว แต่ความจริงไม่ได้แรงขนาดนั้น มันแทบจะ
แพ้ 2.0 GDi รุ่นเดิมเอาเสียด้วยซ้ำไป ไม่ต้องไปเทียบแข่งกับ Civic RS
หรือ Sylphy Turbo ในเรื่องนี้ ท้ายสุดคือราคา 1,099,000 บาท ณ วันทดสอบ
ซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่าง Sylphy DIG-T และ Civic RS ทำให้คะแนนความคุ้มค่า
อยู่ในระดับปกติ นี่ถ้าลดเหลือ 999,000 ตั้งแต่ตอนเปิดตัว คะแนนน่าจะดีกว่านี้
น่าเสียดาย เพราะหลายหัวข้อที่เหมาะกับคนขับรถเร็ว เจ้า Focus ทำคะแนนได้
น่าชมทีเดียว

 

อันดับที่ 16 Nissan X-Trail Hybrid 2.0V 4WD

ในปี 2015 X-Trail 2.0V อาศัยการจัดวางตำแหน่งเบาะ บวกกับความสบาย
ในการโดยสารและการเซ็ตช่วงล่างที่อยู่ในจุดที่มั่นคงโดยไม่กระเด้งกระดอน
ถีบตัวเองขึ้นไปได้ถึงอันดับ 7 แต่พอมาเป็นรุ่น Hybrid กลับทำแต้มได้ไม่ดีเท่า
ส่วนหนึ่งต้องไม่ลืมว่าแม้คู่แข่งจะไม่มีการเปลี่ยนโมเดลใหม่ แต่ในปี 2016
X-Trail Hybrid ต้องเจอกับเวอร์ชั่นไมเนอร์เชนจ์ของ Mazda และ Subaru
แล้วยังมีหน้าใหม่อย่าง MG เป็นตัวเปรียบเทียบ คะแนนก็เลยลดลง

แต่บางอย่าง ก็ไม่ได้เกี่ยวกับคู่แข่ง เช่นเบาะหลัง ซึ่งเวอร์ชั่นเบนซิน 2.0V นั้น
ทำคะแนนไว้สูงมาก แต่พอมาเป็นรุ่น Hybrid คุณต้องพบกับเบาะรองนั่งที่สั้น
ไม่สบายเท่าเดิม แถมยังเอนไม่ได้ จุดแข็งที่เคยมีก็หายไปแล้วหนึ่ง จุดอ่อนที่
เข้ามาอีกอย่างคือการตอบสนองของระบบเบรกที่ชวนอารมณ์เสียเป็นที่สุด
พยายามหยุดรถให้ได้แบบนุ่มๆ แต่ต้องเจอกับอาการเบรกไหล ไม่ก็หน้าทิ่ม
ยิ่งถ้าขับต่อเนื่องกันนาน เจอรถติดหลายชั่วโมง อาการแย่จนอยากจะเขวี้ยง
กุญแจทิ้ง แต่ถ้ามองข้ามเรื่องนี้ได้ คุณก็ได้ SUV คันหนึ่งที่เร่งได้ดีกว่า X-Trail
2.5 แต่วิ่งทางไกลแล้วประหยัดระดับ 16.7 กิโลเมตรต่อลิตร (แต่ถ้าขับแบบอัดๆ
ก็จะกินพอๆกับรุ่น 2.0 ธรรมดา) มีถุงลมนิรภัยข้างเพิ่มมาจากรุ่น 2.0 ลิตร
ได้ความคุ้มค่าในภาพรวม กับราคาค่าตัวที่สมเหตุสมผลกว่ารุ่น 2.5 ลิตรมาก

 

อันดับที่ 15 Subaru Forester 2.0iP MY2016

เมื่อก่อนจะมีเพลง “ฟ้ายังฟ้าอยู่” แต่ในกรณีของ Forester นั้น คงต้องเปลี่ยน
เป็น “ป้ายังป้าอยู่” แม้ว่าหน้าตาของรุ่นไมเนอร์เชนจ์จะถูกปรับให้ทันสมัยขึ้นด้วย
กันชนและ DRL พร้อมทั้งเปลี่ยนล้อลายใหม่ แต่รูปทรงหลักๆก็ยังไม่กินใจนัก
ยิ่งไปเทียบกับคู่แข่งยิ่งรู้สึกเหมือนรถตกยุค แต่เมื่อก้าวเข้าไปนั่งข้างใน
ความรู้สึกจะดีขึ้นมาบ้างเพราะคุณได้ภายในที่ดูเกรดสูงขึ้นกว่ารุ่น XV และ
แอบคล้ายกับ WRX มีอุปกรณ์มาให้ครบครันทั้งเรื่องของเล่นและเรื่องความ
ปลอดภัย เบาะนั่งกับพวงมาลัยสามารถปรับได้หลายแบบเพื่อเข้ากับคนสรีระ
ต่างๆกัน มีแต่เบาะหลังที่ยังสบายสู้ X-Trail 2.0/2.5 ไม่ได้

เมื่อได้ลองขับ อคติที่เคยมีต่อรูปทรงของตัวรถจะลดลง..เปล่า เราไม่ได้กำลัง
จะชมขุมพลังของมัน เครื่อง 2.0 ลิตรกับเกียร์ CVT ก็ยังมีนิสัยน่าเบื่อเหมือนเดิม
แต่ช่วงล่างที่ได้รับการเซ็ตมาใหม่นั้นนุ่มนวลจนสามารถวิ่งลุยบนทางลูกรังที่
50 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้วแม่ยายไม่บ่น แม้ว่าจะยวบยาบกว่าคู่แข่งอย่าง
X-Trail หรือ CX-5 แต่เวลาหักหลบแรงๆ หรือทิ้งโค้งไวๆ แชสซีส์สามารถรับได้
สบาย ไม่หลุดไม่เป๋ง่ายๆ มีคุณสมบัติดีต่อการเป็นรถครอบครัวสำหรับการเดินทาง
ที่เยี่ยมยอด แต่ราคา 1,498,000 บาท ณ วันทดสอบนั้นออกจะแพงไปสักนิด
แม้ว่ามันจะถูกลงกว่าเวอร์ชั่นประกอบญี่ปุ่นมากแล้วก็ตาม..ใช่แล้ว มันมี SUV
ที่ใด้คะแนนในภาพรวมดีกว่าและขับมันส์กว่ามากในราคาที่แพงกว่านี้นิดเดียว

hlm_bestdrive2016_06

อันดับที่ 14 Lexus RC200t F-Sport 8AT

คูเป้หรูพันธุ์แฟรงเก้นสไตน์จาก Lexus ที่เกิดจากการผสมผสานวิศวกรรม
ระหว่าง Lexus IS กับ GS แล้วหดประตูลงให้เหลือ 2 บาน อาจจะเป็นสาเหตุที่
ทำให้ภายในมีพื้นที่เท่า IS แต่ตัวหนักแบบ GS ก็เป็นได้ (1,725 กก. – เท่า
GS200t และหนักกว่า C250Coupe ราว 160 กิโลกรัม) น้ำหนักตัวระดับนั้น
บวกกับการตอบสนองที่ “ป๊อด” ขนาดใส่โหมด Sport + เล่นเกียร์ Manual
Mode ตอกคันเร่งที่ 4,000 รอบยังอุตส่าห์อมบูสท์แบบค่อยๆปล่อยเหมือน
กลัวเกียร์จะพัง ทำให้ RC ในชื่อของมันน่าจะย่อมาจาก Relax Coupe มาก
กว่า Racing Coupe ..คือถ้าจะเอาคูเป้มาดสปอร์ตมาแล้วเซ็ตการตอบสนอง
แบบนี้ เอา RX200t มาให้ขับเสียยังจะดีกว่า

แต่ไม่ใช่ว่า RC เป็นรถที่ขาดพลัง เพราะถ้าคุณฟลอร์คันเร่งแบบไม่ยกเลย
เข็มความเร็วก็จะไหลขึ้นอย่างรวดเร็ว และต่อให้ขับทดสอบทำท้อปสปีด
ช่วงล่างก็ยังให้ความรู้สึกมั่นคงและมั่นใจ โดยที่เมื่อนำมาขับในเมืองก็สบาย
วัสดุและอุปกรณ์ภายในรถให้ความรู้สึกดีสมกับเป็น Lexus รถทั้งคันดูแน่นหนา
สวย ประณีต เก็บเสียงได้ดี และเครื่องเสียงก็ดี ภายนอกก็ดูแปลกเด่นกว่า
พรีเมียมคูเป้คันอื่นๆ แต่ยังฉงนอยู่ว่านี่เวอร์ชั่น F-Sport แต่ทำไมล้อมันดู
ธรรมดาเหลือเกิน..และหลังจากที่ผิดหวังกับการตอบสนองโหมดบู๊ แล้วก็
กำลังได้รับการปลอบใจด้วยช่วงล่างและความผาสุขภายใน คุณก็โดนตบ
หน้าคว่ำด้วยค่าตัว 5,490,000 บาท กรรมการทุกรายพร้อมใจกันชูโป้งลง
ให้กับราคามหาโหดนี้ซึ่งทำให้เรารู้สึกว่าต่อให้รถดีขนาดนี้ แต่ถ้าแพงกว่า
คู่แข่งมากขนาดนี้ ในชีวิตจริงคงซื้อไม่ลง

 

อันดับที่ 13 Honda Civic 1.8EL CVT

การเปิดตัว Civic เจนเนอเรชั่นใหม่ นำพากระแสน้ำเชี่ยวมาสู่โลกโซเชียล
และโลกในยอดขายจริง แต่ในการทดสอบของเรานั้น Civic 1.8 ไม่ได้มีข้อไหน
ที่ทำให้กรรมการร้องว้าวได้ขนาดนั้น เรื่องการออกแบบ อาจจะได้ความแปลก
ของรูปทรง แต่กรรมการส่วนมากก็เรตให้คะแนนประมาณ C+ หรือ B ส่วนห้อง
โดยสารนั้น ดีไซน์ใหม่ทำออกมาดูน่าใช้กว่าเดิมถ้าไม่นับเรื่องหน้าปัดที่อ่านยาก
เหลือทนเวลาต้องบู๊ไปมองไป เบาะนั่งหน้าสบายใช้ได้ เบาะหลังนี่เซอร์ไพรส์มาก
ที่มีพื้นที่เหลือเฟือทั้งส่วนขาและส่วนหัว แต่เราก็ทราบดีว่ามันเกิดจากการกด
ตัวเบาะให้ต่ำและเอนพนักพิงหลังลงไป

นอกจากนั้นในหัวข้ออื่นๆ Civic 1.8EL ไม่มีข้อไหนที่ทำได้แย่ ส่วนมากมักจะ
เกาะกลุ่มกับเพื่อนร่วมรุ่น สมรรถนะอัตราเร่งค่อนข้างธรรมดา อัตราการสิ้นเปลือง
ดีกว่าพรรคพวก 1.8 บ้างแต่ก็ไม่มาก ช่วงล่างดีกว่า Altis 1.8V แต่ก็ไม่มั่นใจเท่า
รุ่น ESport อุปกรณ์ที่มีให้เด่นพอควรด้วย Remote Engine Start กับ Auto
Brake Hold นอกนั้นก็ไม่เด่น อุปกรณ์ความปลอดภัยก็เท่าเกณฑ์เฉลี่ย ส่วนเรื่อง
การเก็บเสียงก็ดีไม่เท่า Toyota แต่ก็ดีกว่า Mazda 3 (ก่อนไมเนอร์เชนจ์) คือ
ไม่ทราบว่าพี่นี่สาวกของนโยบายทางสายกลางจริงๆใช่มั้ย! ถ้าใช่ เอ้า! งั้นพี่
ก็เอาอันดับ 13 ไปครับ กลางๆค่อนไปทางดี ดู match กับบุคลิกรถพี่ดีแล้ว

 

อันดับที่ 12 Volvo V40 Cross Country D4 8AT

มันจะดุอะไรอย่างนี้..ตกลงจะเป็นสปอร์ตซาลูนหรือเป็นครอสโอเวอร์เอาใจ
สาวมหาวิทยาลัยกันแน่ เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 190 แรงม้ากับเกียร์อัตโนมัติ
8 จังหวะ มาอยู่ในรถคันไม่โต แผลงฤทธิ์ได้น่ากลัวยาวตั้งแต่ต้นไปจนถึงปลาย
เร็วแทบจะฆ่า V40 T5 รุ่น 5 สูบได้เลยด้วยซ้ำ เกียร์ทำงานได้ดี ไม่ปอดแหกเกิน
ขับเร็วก็สะใจ ขับช้าๆก็ทำงานได้นุ่มนวล แถมจะได้อัตราสิ้นเปลือง 18.11 กิโลเมตร
ต่อลิตร ซึ่งเท่าๆกับรถไฮบริดตัวเตี้ยกว่าอย่าง Lexus CT200h อุปกรณ์ทางด้าน
ความปลอดภัยก็มาแบบจัดเต็ม เตือนคนข้ามถนน เตือนรถในจุดบอด ตอนรถเบี่ยง
ออกนอกเลน พร้อมระบบ City Brake ขึ้นชื่อว่า Volvo เซฟตี้ต้องจัดเต็มอยู่แล้ว
และเหนือกว่าคู่แข่งอย่างชัดเจน

ภายในออกแบบมากลางๆ ไม่หวือหวาแต่แอบล้ำยุคบางจุด จอมัลติมีเดีย
ควบคุมฟังก์ชั่นได้หลายอย่าง แถมยังสามารถปรับน้ำหนักพวงมาลัยได้ 3 ระดับ
แต่จุดที่ทำให้มันไต่ไม่ถึง Top Ten ก็น่าจะเป็นเรื่องพื้นที่ภายใน ซึ่งแม้จะดู
สบายเมื่อเทียบกับ Mercedes-Benz GLA แต่ก็ยังไม่โอ่โถงเท่า X1 รุ่นใหม่
การเข้าออกรถค่อนข้างยากเพราะหลังคาเตี้ย เบาะหลังยิ่งนั่งไม่ค่อยสบาย
ตามสไตล์รถเล็กจากฝั่งยุโรป ช่วงล่างแม้จะไม่แย่ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรน่าประทับใจ
เวลาลงสะพานแรงๆมีอาการเหมือนโช้คอัพยัน แต่พอวิ่งบนถนนขรุขระก็ยัง
รู้สึกมีความแข็งกระด้างเหลืออยู่  ไม่ได้กระด้างและกระชับแบบ X1 ถ้าปรับ
เรื่องช่วงล่างได้ อย่างน้อยก็ยังมีลุ้น Top Ten แต่เรื่องตัวถังคงปรับอะไรไม่ได้
แล้วก็ไม่มีจุดอื่นเหลือให้ปรับแล้วเพราะทำคะแนนได้ดีเกือบหมด

อันดับที่ 11 Mercedes-Benz E220d AMG Dynamic

ทุกวันนี้ Mercedes-Benz ดูจะเปลี่ยนแนวตัวเองอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น
ภายนอกที่ดูโค้งมน ไหลลื่น ทิ้งความเหลี่ยมคมของรุ่นที่แล้วไปหมด แล้วก็
ยังเป็นรถที่มีดีไซน์ส่งเสริมความสามัคคีในวงศ์ตระกูล หน้าตาหล่อเท่าพี่
และน้องไม่มีใครเสียเปรียบ ภายในดูตอนกลางวันก็สวย กลางคืนยิ่งสวยกว่า
ราวกับ Mercedes-Benz ส่งทีมออกแบบไปศึกษาเลานจ์ชั้นเลิศทั่วโลก
มาออกแบบทำให้ภายในของ E-Class ใหม่ดู “ยกระดับ” กว่าที่เคยเป็น
ไม่ต้องพูดถึงออพชั่นที่อัดมาให้เต็มพิกัด จะขาดก็แค่โช้คอัพปรับแข็ง/อ่อน

ที่แปลกใจมากคือเครื่องยนต์รุ่นใหม่ที่ลดม้าจากดีเซลรุ่นก่อนแต่กลับมี
พลังแรงดึงมหาศาล หวดทีเดียวรู้เลยว่าแรงกว่า E300 BlueTEC ตัวเก่า
เสียอีก แล้วก็ลืมพวงมาลัยยานๆเหนื่อยๆแบบเบนซ์ยุคเก่าไปได้เลย เพราะ
E-Class ใหม่มีพวงมาลัยที่ไวขึ้น แม่นขึ้น ขับสนุกขึ้น มันเป็นรถที่ดีขึ้นกว่าเดิม
ยกเว้นแต่เรื่องเบาะหลังที่นอกจากจะขาดความอบอุ่นนุ่มนวลแล้ว ยังมีมีพื้นที่
วางขากับพื้นที่เหนือศรีษะน้อยกว่าแต่ก่อน..ใช่ รุ่นเก่านั่งหลังสบายกว่า
นอกจากนี้การตอบสนองของช่วงล่างที่ความเร็วสูงยังน่าผิดหวัง มันมีอาการ
ส่ายเวลาเจอรอยต่อถนนที่ไม่เรียบ เวลาโดดลงคอสะพานในแนวเฉียง ท้ายรถ
จะมีอาการหยึกซ้ายหยึยขวามากกว่ารุ่นที่แล้ว ถ้าคอสะพานชันมาก โช้คอัพ
จะยันดังตึง เรามองว่าไม่ใช่เรื่องปกติเพราะซีรีส์ 5 F10 กับ GS250 ไม่มีอาการ
แบบนี้ หรูแล้ว แรงแล้วน่ะใช่ แต่ขอให้เซ็ตรถมาขับมั่นๆกว่านี้คะแนนจะดีเอง

 

และแล้ว เราก็เข้าสู่ช่วง TOP TEN!

Chevrolet_Colorado_HC_VG

อันดับที่ 10 Chevrolet Colorado 2.5 VGT High Country RWD

นี่คือรถเวอร์ชั่นไมเนอร์เชนจ์ที่ดูเหมือนทีมงานปรับปรุงลงแรงไปอย่างมาก
และมันเห็นผลอย่างชัดเจนเพราะเราไม่เคยคาดมาก่อนว่ารถกระบะจากค่าย
Chevrolet จะมาอยู่อันดับที่ 10 ได้…อันที่จริงสำหรับเว็บที่ไม่ได้เน้นรถกระบะ
การอยู่อันดับนี้ได้ถือว่าดีมากแล้วด้วยซ้ำไป ความจุเครื่องลดถอยลงจาก 2.8
เหลือ 2.5 ลิตร เรี่ยวแรงน้อยลงจากรุ่นก่อน แต่ก็ยังถือว่าพอๆกับ Colorado
ล็อตแรก 2.8 Series 1 ทำอัตราเร่งได้ดีพอกัน เร่งแซงได้เร็วกว่าและประหยัด
เชื้อเพลิงขึ้นเล็กน้อย ช่วงล่างได้รับการปรับแต่งใหม่ ขจัดบุคลิกดีดดิ้นอันน่า
รำคาญออกไปได้เกือบหมด เป็นกระบะที่บาลานซ์มาตรงกลางพอดีระหว่าง
ความนุ่มนวลกับความมั่นใจ อุปกรณ์ติดรถมามาให้เยอะ หน้าตาแดชบอร์ด
ของจริงดูทันสมัย ระบบความปลอดภัยมีครบ แต่ระบบควบคุมการทรงตัว
จะมาในแนวทำงานไวแบบขี้กลัว ลดความเร็วค่อนข้างเยอะ

โดยรวมแล้ว Colorado ไม่มีคุณสมบัติข้อไหนที่แย่ (ทุกข้อได้คะแนน
7 จาก 10 หรือมากกว่า) เบาะนั่งและพื้นที่ในการโดยสารอาจจะไม่ได้
เด่นกว่าเพื่อนมากนักเพราะกระบะเจ้าอื่นเขาก็มีตัวใหญ่ๆเบาะดีๆกันหลายรุ่น
ระบบเบรกไว้ใจได้แต่อาจจะต้องเซ็ตการทำงานของแป้นให้เป็นธรรมชาติ
กว่านี้สักนิด เพราะถ้าวัดกันที่น้ำหนักแป้น HiLux Revo จะมีความค่อยเป็น
ค่อยไปมากกว่า นอกเหนือจากนี้ไม่มีข้อใดที่แย่ ต้องบอกว่าในที่สุด Chevrolet
ก็ทำ Colorado ให้กลายเป็นกระบะที่ดีรอบด้านเสียที จากเดิมที่เคยเน้นแรง
เป็นหลัก

Lexus_RX200tFsport

อันดับที่ 9 Lexus RX200t F-Sport AWD

เราไม่เคยคิดมาก่อนว่า Lexus จะกลายเป็นค่ายแรกที่สามารถออกแบบรถ
ครอสโอเวอร์คันใหญ่ครึ่งบ้านให้ดูเฉียบคมและปราดเปรียวได้แบบนี้ กรรมการ
ทุกคนชูป้ายไฟดีไซน์ภายนอกให้ 8-9 จาก 10 คะแนนหมด ส่วนภายในนั้น
แม้ว่าดีไซน์บางส่วนจะดูขัดตา เช่นช่องแอร์กลางที่ดูโบราณผิดกับรูปลักษณ์
ภายนอกของรถ แต่บรรยากาศโดยรวมยังดูอบอุ่นไฮโซโอโมะเตนาชิแบบที่
Lexus สายสันติควรเป็น มีระบบ จอ ปุ่ม และฟังก์ชั่นต่างๆให้ใช้สมกับเป็นรถ
ระดับพรีเมียม เบาะนั่งสบายแม้ว่าพนักพิงศีรษะจะดันอยู่นิดๆ พื้นที่ภายในรถ
กว้างขวาง เบาะรองรับทั้งส่วนหัวและส่วนขาได้ดี

เมื่อสตาร์ทเครื่องแล้วขับออกไป ความประทับใจยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ ช่วงล่างนี่
อยากถามว่าใครเป็นคนเซ็ต แม้จะไม่มี Adaptive Variable Suspension แต่
ก็ช่างมันเถอะ ในเมื่อโช้คสปริงเหล็กธรรมดายังเซ็ตมาได้นุ่มนวล เก็บอาการดี
แต่พอโยนโค้งปุ๊บกลับมั่นคงราวกับรถเล็กๆทั้งที่นี่คือรถหนักสองตัน ยิ่งถ้าเป็น
ถนนแคบๆมันจะคล่องตัวและมั่นใจยิ่งกว่า X5, X6 หรือคู่แข่งจากยุโรปเสียอีก
การเก็บเสียงทำได้ดี ทุกอย่างดีหมดยกเว้น ข้อ 1 การตอบสนองคันเร่ง ที่เจอกับ
โรคระบาดป๊อดพลังแบบเดียวกันกับ RC กดไปแล้วรอบูสท์นานจนเหมือนกับ
ขับรถเทอร์โบหม้อหุงข้าว (ทั้งๆที่จริงลูกกะปิ๊ดนึง) และข้อ 2 ราคา 5,090,000
บาท ดูแล้วแพงชนิดระห่ำ แพงจนคู่แข่งจากยุโรปกลายเป็นของราคาถูกไป
นั่นล่ะคือจุดที่มันยังทำคะแนนได้ไม่ดีเท่าที่ควร

Mazda_CX3_15D

อันดับที่ 8 Mazda CX-3 1.5XD 6AT

ความรู้สึกส่วนตัวที่ผมมีกับรถคันนี้ในช่วงแรกที่เจอคือหมั่นไส้ ไม่เข้าใจว่าทำไม
คนทั้งเมืองดูจะหลงรักมันนักหนา จริงอยู่ว่าดีไซน์เฉียบ ดูแล้วสปอร์ตกร้าวกว่า
HR-V แต่ใครจะอยากได้ครอสโอเวอร์ที่ภายในแคบกว่าอีโคคาร์บางรุ่นเสียอีก
แต่พอได้ขับ..เริ่มเข้าใจว่ายังไง Mazda ก็ยังคงเป็น Mazda คุณสามารถคาดหวัง
ความสนุกได้จากทุกโค้งที่กำลังจะเข้ามา ที่สำคัญคือความเกาะถนนก็ไม่ได้มา
พร้อมความกระเด้งกระเด้ง มันอาจจะไม่ได้นุ่มแบบ Camry แต่แม่ยายคุณน่าจะ
พอรับได้อยู่ ออพชั่นครบ ระบบ City Brake, Lane Keeping, Blind spot พร้อม
TCS, VSC ถุงลม 6 ใบ..จะขาดก็แต่ Cruise Control

เครื่องยนต์ดีเซล ทำงานได้เงียบเสียงคนละเรื่องกับดีเซลรถกระบะ แต่ข้อดีจริงๆ
มันก็จบแค่นั้น เพราะอัตราเร่งไม่ได้หวือหวาอะไร จะโดน HR-V เขาทิ้งหายเอา
ด้วยซ้ำไป อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่เคยดีใน Mazda 2 พอมาเป็น CX-3 ดีเซล
กลับลงเหลือ 17.65 กิโลเมตรต่อลิตร ก็ต้องมองว่ามันประหยัดที่สุดแล้วในคลาส
นั่นล่ะ การตอบสนองของเกียร์ยังมีจังหวะหน่วงแบบเดียวกับ Mazda 2 เช่นกัน
ท้ายสุดพอมาดูราคาที่แพงกว่ารุ่นเบนซิน 2.0SP อยู่ 100,000 บาท เราก็เกิด
คำถามว่า แล้วจะเล่นตัวดีเซลทำไมถ้าไม่ใช่ว่าคุณอยากจะประหยัดค่าเชื้อเพลิง
แต่สูญเสียความมันส์ในชีวิตเพื่อแลกกับสิ่งนั้น ก็คงมีแค่เรื่องนี้กับเบาะหลังที่
แคบ มีบรรยากาศสุดแสนอึดอัดนั่นล่ะที่ทอนคะแนนของมันลงมา

Toyota_Camry25g

อันดับที่ 7 Toyota Camry 2.5G 6AT

เรากลับไม่แปลกใจที่เห็น Camry อยู่ในอันดับที่ 7 เพราะปีที่แล้วรุ่น 2.0G ทำได้
อันดับที่ 5 ด้วยซ้ำ มันเป็นรถที่ไม่มีจุดใดแย่ แต่มีหลายจุดที่ดี ยกตัวอย่างเช่น
เรื่องความสบาย เบาะหน้าก็สบาย เบาะหลังก็สบายกว่าคู่แข่งในภาพรวม การเก็บ
เสียงเกาะกลุ่ม การออกแบบภายในไม่ดูอลังการแบบ Accord 2.4 แต่วัสดุ
ต่างๆรวมถึงการประกอบดูเรียบร้อยดี เป็นรถที่มีบุคลิกผู้ใหญ่เต็ม 100% ทั้งนอก
และใน

การขับขี่ มีจุดเด่นที่อัตราเร่งออกตัว ถ้าจะชนะมันได้ก็ต้องคบกับพวกไฮบริด
พลังสูงเท่านั้น แต่อัตราเร่งช่วงแซงอาจจะแพ้ Teana 2.5 ซึ่งใช้เกียร์ CVT
ช่วงล่างยังห่างชั้นกับ Nissan แต่ก็มีเสถียรภาพปานกลางของกลุ่ม พวงมาลัย
ไม่ไวมากเกินไป ทำให้ขับเอาคล่องพอได้และวิ่งทางไกลไม่ต้องปวดเกร็งที่มือ
ราคาของรถ 1,599,000 อาจจะดูเหมือนแพง (ซึ่งก็แพงจริง) แต่ถ้าเทียบกับ
ความสามารถอันรอบด้านของมันแล้ว คะแนนแบบนี้ก็ดูเหมาะกับ Camry ดี
และเป็นตัวช่วยยืนยันว่า Camry สเป็คไทยมีความคุ้มค่าน่าซื้อมากกว่า
สเป็คออสเตรเลียเยอะ

Lexus_NX200t

อันดับที่ 6 Lexus NX200t F-Sport AWD

ถ้ามันเป็นเครื่องมือ รถคันนี้น่าจะเป็นมีด Swiss Army Knife ที่บรรจุเอาความ
สามารถนับสิบอย่างไว้ในแพ็คเกจที่ชวนให้เป็นเจ้าของ มีพลัง ขับสนุกเหมือน
Hot hatch เร่งดี แซงไว ช่วงล่าง Adaptive Variable Suspension แปรผัน
ความหนืดได้ จะเอานุ่ม..ได้นุ่ม..จะโยนโค้ง..ก็หนึบเป็นตีนตุ๊กแก พวงมาลัยไว
น้ำหนักกำลังดี และที่น่าดีใจที่สุดคือไม่เจอโรคระบาดคันเร่งป๊อด กดแล้วรอบูสท์
เหมือนสิ่งพิซซ่าอย่างที่เราพบในรถเครื่องยนต์ 8AR-FTS คันอื่นๆ แม้ความเร็ว
สูงสุดจะล็อคแค่ 205 แต่มันก็ไต่ไปถึงจุดนั้นได้เร็วมาก
เบาะหน้านั่งสบาย ขึ้นลงไม่ยาก ออพชั่นมาเต็ม หลังคากระจก ระบบนำทาง
ฝาท้ายไฟฟ้า มันคือจุดนัดพบที่ลงตัวระหว่างภรรยาที่อยากได้ RX200t กับ
สามีที่อยากได้ Golf GTi มือสองแต่ที่บ้านมีช่องว่างจอดรถคันเดียว แต่ทั้งนี้
มันก็ไม่ใช่รถที่ปราศจากข้อเสีย วัสดุต่างๆภายในดูเหมือนพยายามเซฟต้นทุน
มากกว่า Lexus รุ่นอื่นๆที่เราเคยเจอมา เบาะหน้านั่งสบาย แต่เบาะหลังพนักพิง
ศีรษะแข็งมากจนไม่น่ามาอยู่ในรถพรีเมียมแบบนี้ Touchpad/Haptic ที่เคยใช้
แล้วรู้สึกล้ำยุค พอมาใช้กับระบบนำทางแล้วยุ่งยากกว่าจอทัชสกรีนมาก ท้ายสุด
ก็เรื่องราคา 4,290,000 บาท งบขนาดนี้คุณสามารถซื้อ GLC250d ตัวท้อปๆ
แล้วยังเหลือเงินซื้ออีโคคาร์อีก 1 คัน แต่อย่างน้อยนี่ยังเป็นราคาที่พอทำใจได้
มากกว่าค่าตัวของ RX200t F-Sport และ RC200t F-Sport
 
Lexus_RX200tLuxo2

อันดับที่ 5 Lexus RX200t Luxury

นี่คือ RX200t F-Sport ที่ถูกตัดของหรูๆออกไป ดังนั้นอย่าแปลกใจถ้า
มาดของรถจะดูเรียบไปนิด ไฟหน้าดูไม่ทันสมัยเท่า กระจังหน้าดูแก่กว่า
ล้ออัลลอยขนาดเล็กว่า แม้แต่ไฟเลี้ยวข้างนอกรถ เวลาเปิดก็ไม่ได้กระพริบ
ไล่จากในออกนอกเหมือนรถป้ายกันเวลาซ่อมถนนบนทางด่วนอย่างที่
รุ่น F-Sport มี ยิ่งไปกว่านั้น กับรถราคา 3,990,000 บาท แต่ไม่มีระบบ
นำทางนี่คือจุดที่พีคสุดแล้วว่าจะเหนียวกันไปถึงไหน

แต่ถ้าไม่นับสิ่งเหล่านี้ คุณได้รถที่เหมือนกับเจ้า F-Sport 95% เบาะนั่ง
แม้จะทรงต่างกันเล็กน้อยแต่นั่งสบายไม่แพ้กันมากนัก หน้าปัดและสีสัน
ภายในยังให้ความหรูหราสมกับระดับรถ ช่วงล่างนุ่มกว่าและย้วยกว่ากัน
น้อยมากจนแทบไม่รู้สึก ให้ความคล่องตัวเกินคาดสำหรับรถใหญ่และหนัก
แบบนี้ พอของเล่นน้อย น้ำหนักตัวก็เบาลง อัตราเร่งและอัตราสิ้นเปลืองก็
ดีขึ้นกว่าตัว F-Sport เสียอีก เมื่อลงท้าย เราพิจารณาจากส่วนต่างราคา
1,100,000 บาท ผลที่ได้ออกมาก็คือ RX200t รุ่น Luxury ตัวถูกสุดนี่ล่ะ
คือรถที่มีประสิทธิภาพสูงและคุ้มค่าเงินที่จ่ายมากกว่าในภาพรวม

 

HondaCivicRS

อันดับที่ 4 Honda Civic Turbo RS

นี่คือหน้าตาของแชมป์ที่ได้รับโหวตจากผู้อ่าน Headlightmag มากที่สุด
ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะหลังจากที่ไม่มีอะไรใหม่ๆมากระตุกต่อมว้าวผู้บริโภค
นับตั้งแต่ FD 2.0 ปี 2005 ในวันนี้ Civic กลับมาผงาดพร้อมหลายสิ่งที่เปลี่ยน
จนแทบไม่เหลือเค้าเดิม ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มที่เอามาจาก Accord
ดีไซน์ตัวรถที่เน้นความแบนเตี้ย กระจกลาด มาดสปอร์ต ซึ่งถูกจริตวัยรุ่นไทย
ยิ่งนัก นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้ Turbo RS กลายเป็นปรากฏการณ์สำคัญคือการ
นำเครื่องยนต์เทอร์โบ L15B7 มาใช้ กลายเป็น Honda เก๋งรุ่นแรกในไทยที่ใช้
เครื่องยนต์มีระบบอัดอากาศ และพลังของมันก็ไม่เลวเลย ทำอัตราเร่งอยู่หัวแถว
ของกลุ่ม ตีค่ายอื่นแตกกระเจิงยกเว้นแค่ Sylphy/Pulsar Turbo เท่านั้น
แถมพอขับแบบเลี้ยงความเร็วนิ่งๆ ก็ประหยัดถึง 16.72 กิโลเมตรต่อลิตร
ถ้าจะกินน้ำมันน้อยกว่านี้..Prius เถอะครับ

แรง ประหยัด ห้องโดยสารสบายแม้ว่าเบาะจะค่อนข้างเตี้ยจม ออพชั่นที่ให้มา
ก็ถือว่าครบพอสมควร ใช้คำว่า “พอสมควร” เพราะยังขาดอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับ
ด้านความปลอดภัยไปนิด แต่ชดเชยด้วยลูกเล่นอย่าง Engine Remote Start
และ Auto Brake Hold ซึ่งในรถระดับนี้ มีแต่ Civic กับ MG6 เท่านั้นที่ให้มา
การเก็บเสียงดีกว่าตัว 1.8EL ซึ่งอาจเกี่ยวกับเกรดยางที่เลือกใช้ด้วยส่วนหนึ่ง
การบังคับควบคุมรถ ดีกว่าตัว 1.8 เช่นกันเพราะยางและล้อขอบ 17 กับแก้มที่
หนากำลังดี ช่วงล่างหลังคุมตัวบนทางโค้งขรุขระได้นิ่งกว่าตัว 1.8 แต่มันยัง
ไม่ใช่รถที่ช่วงล่างดีน่าชื่นชมอย่าง Ford Focus และความแม่นยำในการหัก
เลี้ยว ก็ยังไม่ดีเท่า Mazda 3 ส่วนราคา 1,199,000 นั้นก็แพงกว่า C-Segment
รุ่นอื่น ถ้าสมมติว่ามันราคาเท่า Ford ไม่แน่ RS อาจติดอันดับ Top Three

Mazda_CX5_22FWD

อันดับที่ 3 Mazda CX-5 2.2XD FWD

CX-5 รุ่น 2.5 ลิตรเคยเป็นแชมป์ Best DRIVE ปี 2014 มาแล้วดังนั้นการเริ่มต้น
จึงมาจากจุดที่มีความดีอยู่แล้วในระดับหนึ่ง ปีที่ผ่านมา Mazda จึงอัปเดตเพิ่ม
การไมเนอร์เชนจ์ของCX-5 มาพร้อมคอนโซลและการตกแต่งที่สวยขึ้น
คันเกียร์หรูวัสดุฐานเกียร์ไม่โยกคลอน หน้าปัดถ้าไม่ใช่รุ่นขับสี่จะดูคล้ายเดิม
เบาะนั่งหน้าเหมือนเดิม เบาะหลังรองต้นขายาวขึ้น เบาะรองนั่งนุ่มขึ้นแต่หลังพิงชัน
และเอนไม่ได้เหมือนเดิม ภายนอกหล่อขึ้นนิดๆ การเก็บเสียงขอบประตูดีขึ้นจริง
แต่ท่อนล่างกับซุ้มล้อดังเหมือนเดิม ภาพรวมออกมาเลยแค่เกาะกลุ่มไม่ได้เงียบ
กว่า CR-V อุปกรณ์ติดรถมีมาให้ไม่น่าเกลียด ระบบเตือนรถในจุดบอด ถุงลม 6 ใบ
เบาะไฟฟ้าข้างคนขับ ล้อวงโต19 นิ้ว แต่ไม่มีระบบนำทาง ไม่มีฝาท้ายไฟฟ้า
คุณได้ความประหยัดมากขึ้นจากเครื่องยนต์ดีเซล แต่การตอบสนองของเกียร์
จะช้าลงกว่ารุ่นเบนซิน 2.5 ลิตร ความสนุกจึงลดลงแม้ว่าแรงดึงจะมากขึ้นกว่า
แตก่อนก็ตาม กระนั้นต้องเข้าใจว่าบุคลิกของรถมันมีความเป็นวัยรุ่นสูงมาก
วิธีการจูนช่วงล่างก็ยังเน้นขับสนุกอยู่เหมือนเดิม คะแนนเรื่องความนุ่มนวลของ
ช่วงล่างสู้คู่แข่งคันอื่นไม่ได้ ก็มีเรื่องนี้ กับเรื่องเบาะหลังที่พัฒนายังไม่สุดเสียที
ที่เป็นตัวถ่วงคะแนนของ CX-5 2.2 ดีเซลคันนี้นี่คือสัญญาณที่ค่อนข้างน่ากลัว
สำหรับคู่แข่งคันอื่น เพราะถ้า CX-5 เจนเนอเรชั่นต่อไปสามารถปรับช่วงล่างให้
นุ่มขึ้นสัก 15% โดยยังเกาะถนนเท่าเดิมได้นั้น มันก็จะกลายเป็นรถที่ดีรอบด้าน
อย่างน้อยเรื่องเบาะหลังตอนนี้คอนเฟิร์มแล้วว่านั่งสบายกว่ารุ่นเก่าแน่นอน
Mazda_CX3_20

อันดับที่ 2 Mazda CX-3 2.0SP 6AT

นี่คือรถที่เกือบได้เข้ามาอยู่ในโรงรถเจ้าของเว็บจริงๆ ถ้าไม่ใช่ว่าเบาะหลังมันแคบ
จนพ่อแม่ไม่น่านั่งสะดวก แถมมีบรรยากาศเบาะหลังอึดอัด เซฟที่ตรงนั้นไว้
สำหรับสตรีและเด็กนั่งจะดีกว่า นอกจากนี้ รถราคาล้านนิดๆ แต่ไม่มี Cruise
Control นี่จะเหนียวไปไหน ต้นทุนการทำ Cruise Control ในรถยุคคันเร่ง
ไฟฟ้าอย่างสมัยนี้มันไม่ได้ซับซ้อนหรือแพงมากแบบสมัยก่อนด้วยซ้ำ ภายใน
ของรถก็ดูเหมือน Mazda 2 ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแย่ เพียงแต่ว่าเมื่อราคาของตัวรถ
อยู่คนละโลกกันกับเจ้า 2 ก็ควรจะมีวิธีทำให้มันดูแตกต่างกันขึ้นมาบ้าง

แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่นๆ CX-3 2.0SP ทำคะแนนได้ดีมาก ภายในแม้จะคับแคบ
แต่เบาะหน้าก็ให้ความรู้สึกรัดกุมเวลานั่ง ถ้าคุณเพิ่งลงจาก MX-5 ก็คงไม่บ่น
ว่ามันแคบหรอก ตำแหน่งที่อยู่ของพวงมาลัย เบาะ สวิตช์ คันเกียร์ คันเร่ง
เบรก ดูเหมือนเอาคนที่ทำรถสปอร์ตดีๆมาช่วยคิด ทำให้ได้อารมณ์เหมือน
ขับรถซิ่งดีๆ ที่ไม่ต้องคอยเลื้อยเป็นงูเมื่อขึ้นทางชันหรือหลบลูกระนาด อุปกรณ์
ด้านความปลอดภัยมีพร้อมเหมือนกับรุ่น 1.5XD ดีเซล แต่สิ่งที่ทำให้คะแนน
ของเวอร์ชั่นเบนซินดีกว่ามากคือเครื่องยนต์กับเกียร์ซึ่งยกของ Mazda 3 2.0
มาบวกกับเกียร์ที่ทดเฟืองท้ายให้จัดขึ้น แต่น้ำหนักรวมเบาลง บุคลิกของรถ
เวลาซิ่งในเมืองจึงดุดันกว่า Mazda 3 เสียอีก อุปกรณ์ความปลอดภัยก็มีมาให้
ค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับ B-SUV ระดับราคาใกล้เคียงกัน นอกจากนี้การ
เก็บเสียงก็ทำได้ดี ดีจน Mazda 3 (ก่อนไมเนอร์เชนจ์) ยังอาย

 

และนั่น..ก็หมายความว่า

 

Best DRIVE ประจำปี 2016 ได้แก่

VolvoXC90_1

อันดับที่ 1 Volvo XC90 T8 Momentum AWD

Volvo ไม่เคยได้ติดอันดับ Top 5 ของ Best DRIVE เลยมาตั้งแต่ปี 2011
ครั้งนั้น สูตรสำเร็จของ S80 D3 ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับความมันส์ในการขับ
แต่อยู่ที่ความสบายในการโดยสาร ความประหยัดน้ำมัน อุปกรณ์ความ
ปลอดภัย และราคาที่ถูกกว่ารถใหญ่ด้วยกันมาก

ในช่วงเวลาที่หายไป พวกเขาซุ่มพัฒนารถใหม่ โครงสร้างใหม่ ขุมพลังใหม่
และระบบความปลอดภัยแบบใหม่ แล้วกลับมาพร้อมกับ SUV หน้าตา
เหมือนเฟอร์นิเจอร์ไวกิ้งสไตล์โมเดิร์น..เจ้า XC90 T8 Momentum คันนี้
ใครเลยจะไปคาดคิดว่าเว็บที่เต็มไปด้วยคนชอบรถขับสนุก ขนาดตัวไม่ใหญ่
จะลงคะแนนให้รถตัวเท่าตึก ยาวเกือบ 5 เมตร น้ำหนักตัวพอๆกับ Ford
Everest ทั้งๆที่ดูแล้ว..ไม่น่ามีอะไรในกอไผ่ แต่หลังจากได้สัมผัสของจริง
ต้องขอบอกเลยว่า เหมือนตั้งใจจะซดแกงจืด แต่พอเข้าปากไปแล้วกลาย
เป็นต้มยำ คงต้องเปรียบด้วยวิธีนั้นจริงๆ

VolvoXC90_3

ภายในของ XC90 ให้บรรยากาศที่เหมือนอยู่ในห้องฟังเพลง มีจุดที่ดูโบราณ
มีจุดที่ดูทันสมัยปะปนกันไป มันไม่ได้ให้บรรยากาศห้องนักบินขับไล่แบบ X5
และไม่ได้เต็มไปด้วยเส้นสายซับซ้อนแบบ Lexus RX เบาะนั่งแต่ละตำแหน่ง
มีความสบาย ฟองน้ำหุ้มเบาะนุ่มกำลังดี Volvo เป็นค่ายที่จริงจังเรื่องการออก
แบบเบาะมากถึงขั้นทำวิจัยร่วมกับทีมแพทย์สวีเดนเพื่อหารูปแบบของเบาะที่
นั่งแล้วมีเปอร์เซ็นต์ปวดหลังน้อยที่สุด และส่งผลกระทบในการขับขี่น้อยที่สุด
เบาะหลังก็สบายดี พนักพิงศีรษะไม่แข็งเกินไป ในรถคันนี้คุณจะเลือกเป็นขับ
หรือเป็นเจ้านายเบาะหลังก็ได้ความสุขใกล้เคียงกัน

จอกลางขนาดใหญ่ รวมฟังก์ชั่นมากมายเอาไว้ชนิดที่สาธยายแทบไม่หมด
แต่สามารถปรับน้ำหนักพวงมาลัย 3 โหมด  และปรับการตอบสนองของเบรกได
อีก 2 โหมด พร้อมทั้งสามารถเปิด/ปิด และเซ็ตค่าของระบบส่องแสงภายใน
และภายนอกรถ ตั้งค่าการเปิด/ปิดล็อค และระบบความปลอดภัยเกือบทุกอย่าง
ที่รถมีให้ ถ้าเทียบกับคู่แข่งรายอื่นแล้ว Volvo XC90 คือรถยุคใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี
จอผสานกับระบบสื่อสารและอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆในรถแล้วนำมาประยุกต์เพื่อให้
คนขับสามารถเลือกปรับรับสิ่งที่ตัวเองถนัดได้มากที่สุด ไม่มีคู่แข่งรายไหนที่
สามารถเทียบได้ในเรื่องนี้

ระบบความปลอดภัยต่างๆคงไม่ต้องพูดถึง ทุกระบบที่โลกของ Production Car
รู้จัก มีอยู่ในรถคันนี้หมด ถ้าใครบอกว่ารถคันนี้ออพชั่นความปลอดภัยไม่พอกรุณา
ไปซื้อเรือดำน้ำขี่เถอะครับ รถคันนี้สามารถขับคาอยู่ที่ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง จากนั้น
เบรกเองเมื่อมีรถขวาง-เบรกจนเหลือ 0 เมื่อรถหยุด หรือถ้ารถหยุดไม่เกิน 2 วินาที
มันก็สามารถเลื่อนตัวไปข้างหน้าต่อได้เอง คลานตามรถคันอื่นได้เองโดยมีคุณคุม
แค่พวงมาลัย ไม่ต้องพูดถึงระบบแจ้งเตือนรถในจุดบอดท้างด้านข้างและด้านหลัง
ระบบตรวจจับคนริมถนน คนขี่จักรยาน คนเดิน คนขายล็อตเตอรี่อะไรมากมากที่
สามารถทำได้ด้วยชุดกล้องที่อยู่บนกระจกหน้า ระบบไฟสูงอัตโนมัติ ระบบรักษา
ช่องทางวิ่งอัตโนมัติ ระบบเตือนก่อนชน เบรกก่อนฉะ ตัดก่อนตาย เตือนก่อน
วายวอด ไม่มี SUV ระดับพรีเมียมในงบเท่านี้คันอื่นใดจะให้มากกว่านี้อีกแล้ว

อุปกรณ์ต่างๆมีมาให้เพียบ ลูกเล่นเยอะจนเทียบเท่ารถหรูระดับลิโม่ 5 เมตรขึ้นอย่าง
พวก 730Ld, S-Class แล้ว เพียงแต่เครื่องเสียงของรุ่น Momentum นี้ยังแค่ระดับ
พอใช้ได้ จะให้ดีเลยต้องเอารุ่น Inscription ที่เครื่องเสียงจัดเต็มกว่า

VolvoXC90_4

เห็นหน้าตาเหมือนพอบ้านง่วงแบบนี้ก็เถอะ หรือเวลาไปจอดข้างแก๊งซิ่งแล้ว
โดนเด็กถามว่าพี่ เครื่องอะไร พอคุณตอบไปว่า 4 สูบเทอร์โบ เด็กพวกนั้นจะ
หัวเราะจนเสียงดังถึงดวงอาทิตย์ก็ปล่อยเขาไป เพราะถึงจะเป็น 4 สูบพ่วงหอย
แต่เฉพาะตัวเครื่องยนต์นี่ก็มี 320 แรงม้า/440 นิวตัน-เมตรแล้ว ไม่ธรรมดา

และพระเจ้ากับ Thor จะให้อภัยคุณ ที่ไม่ยอมบอกเด็กพวกนั้นว่าข้างหลัง
ยังมีมอเตอร์ไฟฟ้าระดับ 87 แรงม้า ที่มีแรงถีบระดับ Super-instant
240 นิวตัน-เมตรอยู่อีกด้วย เมื่อรวมพลังกันทั้ง 2 ระบบ ต่อให้นี่เป็น SUV หนัก
2 ตัน แต่คุณมีพลัง 407 แรงม้า กับแรงบิด 640 นิวตัน-เมตร นั่นคือพลังระดับ
เครื่อง V12 สูบ 5.6-6.0ลิตรได้แล้วนะครับ ตบคันเร่งแล้วเตรียมเกร็งนมเกร็งพุง
ไว้ให้ดี เพราะแรงดึงที่เกิดขึ้นจะมากมหาศาลจนทำให้ล้อฟรีทิ้งนิดๆก่อนพุ่ง
ออกไปราวกับพิตบูลไล่งับเหยื่อ มันจะเร่งแตะ 100 ได้ภายใน 6.96 วินาที
80-120 ได้ภายใน 5.42 วินาที ความเร็วสูงสุด 236 กิโลเมตร/ชั่วโมง

นั่นมันคือตัวเลขที่ปกติเราจะพบได้จากรถอย่าง WRX Lineartronic, Legacy GT,
Golf GTi หรือรถคันเบาๆ 1.3-1.4 ตันเท่านั้น แถมเวลาขับแบบโหมด
Hybrid Auto ปล่อยให้สมองกลเลือกการบริหารระบบไฟฟ้า/เครื่องยนต์เอง
ก็ยังได้อัตราสิ้นเปลืองกว่า 19 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งชนะอีโคคาร์ทุกรุ่นยกเว้น
Mazda 2 1.3 เบนซิน

What a powertrain! ขุมพลังอะไรแซ่บและประหยัดได้ขนาดนี้ไม่เคยพบเคยเห็น!

อย่างไรก็ตาม เราก็ยังพบว่ามีบางจุดที่สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้

น้ำหนักพวงมาลัยคืออย่างแรก ต่อให้ปรับ setting เป็นค่าหนักหน่วงมือที่สุดแล้ว
ก็ยังมีน้ำหนักเบาไป ไม่ให้ความรู้สึกหนักแน่น ดีดกลับดีแบบเป็นธรรมชาติอย่าง
Lexus RX หรือ BMW X5 ประการต่อมาคือช่วงล่าง ถ้าคุณไม่คิดจะวิ่งเกิน 170
กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็คงไม่รู้ว่าจุดอ่อนของมันจะเริ่มตรงนั้น ยังมีความรู้สึกหวิว
มากกว่ารถของคู่แข่งที่กล่าวมา ยิ่งถ้าเป็นการหักเปลี่ยนทิศทางแบบสลาลอม
รู้สึกได้เลยว่าช่วงล่างทำมาเพื่อการหลบหลีกที่ปลอดภัย และแค่นั้น ไม่สามารถ
มอบความมั่นใจให้คุณทำอะไรแผลงๆอย่างที่ RX ทำได้

ระบบเบรกสามารถปรับการตอบสนองได้ 2 แบบ แต่ดูเหมือนไร้สาระ เพราะโหมด
Dynamic เป็นเบรกแบบชั่วร้าย (ในความคิดของผม)ที่กะน้ำหนักเบรกยาก กดแรกๆ
เบรกไม่ค่อยจับ พอกดต่ออีกนิดเดียวกลายเป็นหน้าทิ่ม พอปรับเป็นโหมด Normal
ชีวิตจะดีขึ้น กะน้ำหนักแล้วเบรกรถหยุดแบบนุ่มๆได้ง่ายกว่า

เรื่องระบบไฟฟ้าของมันคงไม่ขอพูดมาก เพราะมันก็คือระบบ Plug-in แบบที่รถหรู
กำลังฮิต แต่สายเสียบของ Volvo ต้องใช้กับไฟบ้านแบบที่มีสายกราวนด์ อาจจะ
เป็นอุปสรรคสำหรับบ้านเก่าๆหลายบ้าน ในขณะที่ BMW เสียบสายไฟปกติได้
เวลาจะปลดปลั๊กชาร์จต้องกด Unlock ที่รีโมตก่อน

 

Volvo_XC90_2

และเช่นเดียวกันกับรถ Plug-in Hybrid ทั้งหลายคือ คุณจะได้ความประหยัด
คุ้มค่าด้านเชื้อเพลิงจริงๆก็ต้องชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มหรือเกือบเต็มไว้เสมอ
เพราะถ้าไม่เช่นนั้น หากรถต้องวิ่งไปด้วยพร้อมชาร์จแบตเตอรี่กลับหม้อไปด้วย
ช่วงนั้นรถจะกินน้ำมันมาก หากเป็นการเดินทางไกลที่เจ้าของขยันกดคันเร่งมากๆ
XC90 ก็จะบริโภคเชื้อเพลิงเหมือนปิศาจมากกว่านางฟ้า ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา
X-5 xDrive40e ก็มีนิสัยคล้ายกัน

แต่ในการชาร์จไฟนี่สิครับ BMW เขาสามารถชาร์จกับไฟแบบธรรมดาได้ แต่ของ
XC90 คุณต้องชาร์จกับปลั๊กที่มีช่องเสียบกราวนด์เท่านั้น แล้วประเทศไทยก็
ไม่ได้หาปลั๊กแบบนี้เจอกันง่ายๆเสียด้วยสิ

เห็นไหมครับ แม้ว่า XC90 T8 จะมีข้อดีหลายด้าน ทำตัวเป็นเด็กเกรด A ใน
หลายเรื่องทั้งด้านอัตราเร่ง ความประหยัด ความสะดวกสบายตัวของผู้โดยสาร
การเก็บเสียง อุปกรณ์ที่มีให้ ความปลอดภัยที่ให้มา และมีความนุ่มนวลของ
ช่วงล่างที่เหมาะกับรูปแบบรถ แต่ในท้ายสุด เราก็พบว่ามันยังสามารถปรับปรุง
ช่วงล่าง พวงมาลัย และปรับเปลี่ยนปลั๊กสำหรับการชาร์จไฟได้อีก

สำหรับทุกอย่างที่คุณได้ ในราคา 4,490,000 บาท เรามองว่านี่คือราคาที่
คุ้มค่า ในขณะที่ 4,699,000 บาท (ราคาเวอร์ชั่นประกอบใน เดือน 11/2016)
นั้น ต่อให้ถูกลงกว่าตัวนอกแล้ว ก็ยังรู้สึกว่าแพงไปนิด ส่วน Lexus RX200t
F-Sport นั้นไม่ต้องพูดถึง ถ้าไม่ใช่เพราะช่วงล่างกับหน้าตาที่คมคาย เรานึก
ไม่ออกเลยว่าทำไมคุณต้องจ่ายเพิ่ม 600,000 บาทเพื่อรถที่วิ่งช้ากว่า กินน้ำมัน
มากกว่า และอุปกรณ์ความปลอดภัยน้อยกว่า ทั้งที่ได้ความสบายเท่ากัน
(เว้นเสียแต่ว่าคุณแอนตี้ระบบไฮบริด)

Volvo XC90 T8 Momentum นี่ล่ะครับ คือ Best DRIVE 2016 ตัวจริง
เป็นรถที่ให้ประสิทธิภาพคุ้มค่าเม็ดเงิน และมีความปลอดภัย มีความสะดวก
สบาย ที่มากับความทันสมัยจนหาจุดที่จะตัดคะแนนได้ยาก

นี่คือ Best DRIVE ของเรา

แต่มันจะเป็น Best DRIVE ของคุณหรือเปล่านั้น เราขอแนะนำว่า อย่าลืมค้นหา
ข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนที่เราไม่ได้นำมาคิดในการให้คะแนนด้วย เช่นเรื่องศูนย์
บริการ เรื่องความทนทาน/หรือแนวโน้มอายุการใช้งานของระบบต่างๆ โดย
เฉพาะเมื่อคุณคิดจะซื้อรถไฮบริด สิ่งเหล่านี้ เราไม่สามารถจัดทำการทดสอบ
เพื่อตอบคำถามให้กับคุณได้ ครั้นจะสรุปว่าดีหรือแย่ ก็ไม่สามารถทำบนพื้นฐาน
ของข้อมูลจากการสัมผัสด้วยประสบการณ์ตรงได้ ไม่เหมือนกับประสิทธิภาพ
ตัวรถ ซึ่งเราใช้เวลาทดสอบ 5-7 วันก็สามารถหาข้อมูลมาให้คุณได้

โดยเฉพาะแบรนด์พรีเมียมแบบ Volvo ซึ่งเราก็ทราบกันดีว่าบางครั้งยังพบ
รถมีปัญหา พบวิธีการแก้ไขที่ยังไม่เฉียบขาด หรือบางครั้งก็เกิดเรื่องที่สร้างความ
ไม่พอใจให้ลูกค้า พยายามเก็บสะสมข้อมูลเหล่านี้เอาไว้ แล้วรอดูว่า Volvo
ประเทศไทยภายใต้การบริหารงานของผู้บริหารคนใหม่ จะสามารถทำให้
Best DRIVE 2016 ของ Headlightmag กลายเป็น Best DRIVE ของครอบครัว
คุณได้ด้วยหรือเปล่า

ขอฝากไว้เพียงเท่านี้ล่ะครับ

 


 

Headlightmag’s Best Drive 2009 – 2010
http://www.headlightmag.com/HEADLIGHTMAG%5C%27S2386/

Headlightmag’s Best Drive 2011
http://www.headlightmag.com/HEADLIGHTMAG-Be3594/

Headlightmag’s Best Drive 2012
http://www.headlightmag.com/HEADLIGHTMAG-Be5333/

Headlightmag’s Best Drive 2013
http://www.headlightmag.com/HEADLIGHTMAG%5C%27s7557/

Headlightmag’s Best Drive 2014
http://www.headlightmag.com/bestdrive-2014-8716/

Headlightmag’s Best Drive 2015
http://www.headlightmag.com/headlightmags-best-drive-2015/