ในยุค Ford Model T รถยนต์คือสิ่งที่ผู้คนใช้เพื่อเดินทางด้วยความรวดเร็ว และเมื่อเราเริ่มรู้จักคำว่าพละกำลัง เราก็เริ่มรู้จักกับการแข่งรถ เช่นเดียวกับที่เราจับสัตว์ทุกชนิดมาแข่ง ทั้งม้า วัว ไก่ และปลากัด นอกจากเรื่องนี้แล้ว รถยนต์ก็มีวิวัฒนาการทางด้านการออกแบบ ทำให้แต่ละค่ายมีเอกลักษณ์ ทำให้รถยนต์มีอีกหน้าที่หนึ่ง เป็นการสะท้อนรสนิยมผู้เป็นเจ้าของ ใครจะคาดเดาได้ว่าอีก 20 ปีข้างหน้า รถยนต์จะยังมีหน้าที่แบบเดิมหรือเปล่า การเป็นเจ้าของรถอาจเป็นเรื่องโบราณฟุ่มเฟือย ในโลกอนาคตที่รถเกือบทุกคันดีไซน์เหมือนกัน และมีหน้าที่เหมือนเป็นกระเปาะอวกาศที่ใครจะขึ้นจะลงจากรถเมื่อไหร่ก็ได้เมื่อจำเป็น

นั่นคือเรื่องของมุมมองที่เรามีต่อรถ..

นอกจากการตอบสนองรสนิยมอันเกิดจากมุมมองที่แตกต่างของลูกค้านับล้านคนแล้ว บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ยังได้พัฒนาอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเพิ่มเติมอย่างรวดเร็ว 20 ปีที่แล้วเรายังทึ่งกับรถขนาดกลางที่มี Cruise Control ในปัจจุบันเราอยู่ในยุคที่รถขนาดกลางมี Radar-based Cruise Control และระบบเบรกอัตโนมัติ แต่ในอีก 10 ปีข้างหน้า รถขนาดเล็กอาจมีระบบขับเคลื่อนตัวเองอัตโนมัติเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่นท้อปแล้วก็ได้

มุมมองของคนเปลี่ยนแปลง..ความสามารถของรถยนต์ ก็เปลี่ยนแปลงเช่นกัน..

ด้วยปัจจัยเหล่านี้ จึงเป็นที่มาของธีมงาน Tokyo Motor Show 2017 (TMS2017) ว่า Beyond The Motor ซึ่งสื่อถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์กับรถยนต์ และสิ่งต่างๆที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งสำคัญที่เราสามารถพบได้ในงานมอเตอร์โชว์ระดับนานาชาติแบบนี้ คือการจัดงานแบบ All for show, not for sales ความสำเร็จของแต่ละค่าย ขึ้นอยู่กับนวัตกรรมที่นำเสนอในบริเวณพื้นที่จัดงาน และจำนวนผู้ให้ความสนใจเข้าชมในแต่ละค่าย นั่นทำให้รูปแบบการจัดพื้นที่ แสง สี เสียง ไม่ธรรมดา และยังเป็นแหล่งแสดงอภินิหารของค่ายญี่ปุ่น (ส่วนมาก) ในการงัดรถต้นแบบเด็ดๆออกมาโชว์ เรียกได้ว่าบางทีรถต้นแบบจากค่ายเดียวในงานนี้ ก็เกือบเท่ากับจำนวนที่เราเห็นในงาน ณ บ้านเกิดทั้งปีแล้ว

ทั้งนี้ ผมต้องขอขอบคุณบริษัท Honda Automobiles ประเทศไทย ซึ่งนอกจากจะชวนผมให้มาทดลองขับรถรุ่นใหม่ (ที่ไม่มีขายในไทย และอาจจะไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนั้น) และยังช่วยเป็นรุ่นพี่ค่ายอาสา พาน้องตัวเล็กๆน่ารักอย่างผมเข้าชมงาน Tokyo Motor Show ในครั้งนี้

จะมีรถอะไรบ้างที่น่าสนใจ มีนวัตกรรมใหม่ๆหรือไม่ เชิญอ่านกันได้เลยครับ

หมายเหตุไว้นิดนึงว่า วันที่ 25 และ 26 ตุลาคม จัดเป็นรอบสื่อมวลชน ซึ่งทั้งสองวันนี้บางบูธจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบและรุ่นของรถที่จัดแสดง อย่าตกใจถ้าคุณมาเดินงานนี้เองแล้วพบว่าจำนวนรุ่นรถหรือตำแหน่งการจอดจะมีการสลับกันบ้างนะครับ

 

Audi

เป็นค่ายเยอรมันที่มีแววรุ่งพุ่งแรงในตลาดญี่ปุ่น เพราะไม่ว่าจะไปไหนๆในแถบ Tokyo หรือขับออกไปถึง Hakone สมัยนี้เราพบเจอรถของค่ายสี่ห่วงเยอะกว่าแบรนด์พรีเมียมจากเยอรมันเจ้าอื่นแล้ว ในงาน Tokyo Motorshow ครั้งนี้ Audi นำตัวแรงอย่าง RS4 และ RS5 มาจอดคู่กันกับ R8 V10 Spyder เด่นอยู่ด้านหน้า แต่ของเด็ดจริงๆ จะอยู่อีกด้านของบูธ

นี่คือ Audi Elaine Concept ซึ่งเผยโฉมไปแล้วที่งาน IAA บางท่านอาจจะคุ้นหน้าตาก็ไม่แปลกเพราะโดยเปลือกนอกนั้น มันก็คือ Audi e-Tron Sportback ที่เคยโชว์โฉมไปในเดือนพฤษภาคมที่เซี่ยงไฮ้นั่นเอง Elaine เป็นรถยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนด้วยพลังจากมอเตอร์ 3 ตัว (หน้า 1 หลัง 2) ที่ให้แรงม้าสูงสุดถึง 435 แรงม้า พร้อม Boost Mode ที่สามารถปรับพลังเพิ่มเป็น 500 แรงม้าได้ชั่วคราว แบตเตอรี่จุ 95kWh สามารถจุพลังงานพอให้รถวิ่งได้ไกล 500 กิโลเมตร

จุดเด่นของ Elaine อีกประการหนึ่งคือระบบปัญญาประดิษฐ์ (A.I.) และระบบการสื่อสารระหว่างรถกับรถ และกับคนเดินถนน นอกจากสามารถเรียนรู้และจดจำถนน ป้าย และสิ่งแวดล้อมอื่นๆได้แล้ว Elaine ยังมีชุดแผงไฟ Digital Matrix Projector ซึ่งสามารถฉายภาพ อักษร รูปเตือนหรือสิ่งต่างๆไปบนถนนตรงหน้าได้ เป็นวิธีการเตือน หรือสื่อสารกับรถหรือคนที่ Elaine กำลังจะวิ่งผ่าน (ไม่แน่ใจว่าฉายเป็นคำตำหนิภาษาไทยเพราะๆไว้ด่าพวกขับช้าแช่ขวาได้หรือไม่)

ระบบ A.I. ที่ติดตั้งใน Elaine ยังช่วยให้รถคันนี้กลายเป็นยานยนต์ขับเคลื่อนตัวเองอัตโนมัติระดับที่ 4 ซึ่งหมายความว่ามันสามารถพาตัวเองไปยังจุดหมายได้โดยที่คนขับไม่ต้องจับพวงมาลัยหรือแตะเบรกเลย หรือเมื่อขับขึ้นทางด่วนแล้วเซ็ตความเร็วที่ต้องการเอาไว้ มันจะสามารถเร่ง ชะลอความเร็ว เปลี่ยนเลน และเลี้ยวไปตามทางสู่จุดหมายได้โดยที่คนขับจะกดมือถือเล่น ROV ไปก็ไม่ต้องกลัวจะชน แต่ระบบนี้จะล็อคความเร็วสูงสุดแค่ 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง

รถต้นแบบคันต่อมา คือ Q8 Concept ซึ่งหน้าตาก็ละม้ายคล้ายกับคันสีฟ้าที่เคยโชว์ตัวใน North American International Motorshow มาก่อนแล้ว แต่เปลี่ยนกระจังหน้าจากซี่ตั้ง เป็นลายตาข่าย เปลี่ยนทรงของกันชนหลังและท่อไอเสียใหม่ ขุมพลังยังเป็นแบบ Hybrid ซึ่งผสมผสานเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร V6 TFSI ทวินเทอร์โบ 450 แรงม้า เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้าท้ายเครื่อง ที่ให้พลัง 37 แรงม้า พลังรวมทั้ง 2 ระบบ อยู่ที่ 476 แรงม้า ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ภายใน 4.7 วินาที

เคล็ดลับของอัตราเร่งออกตัวที่ไวนั้น นอกจากจะมาจากพลังขับเคลื่อนของมันเองแล้ว ยังมี Compressor อัดอากาศที่สามารถหมุนเร็วจี๋ถึง 70,000 รอบต่อนาที และเร่งความเร็วในการหมุนได้ภายใน 250 m/s เท่านั้น ทำให้ช่วยอัดไอดีเข้าห้องเผาไหม้ ขจัดอาการรอรอบไปได้อย่างดี

Q8 Concept นั้นเป็นรถต้นแบบก็จริง แต่มันคือผลิตผลที่ใกล้สุกงอมของ Audi เพราะพวกเขาจะเผยโฉมเวอร์ชั่นจำหน่ายจริงในปี 2018 ล่าสุดทีมวิศวกรกำลังทดสอบการวิ่งอยู่ที่อินเดีย ส่วนโอกาสที่จะมาจำหน่ายในประเทศไทยนั้นก็ไม่แน่ เพราะถ้า Q7 ยังมาได้ Q8 ก็มีสิทธิ์

เผยโฉมต่อตลาดโลกไปเมื่อเดือนกรกฎาคม และมาเปิดตัวในญี่ปุ่นที่งาน Tokyo Motorshow แห่งนี้ นี่คือ Audi A8 และ A8L ซึ่งเป็นรถซาลูนคันโตสุด หรูสุด และแพงที่สุดของทางค่าย มีจุดเด่นสำคัญอยู่ที่โครงสร้างตัวถังน้ำหนักเบา Audi Space Frame ที่ประกอบไปด้วยวัสดุตัวถัง 4 แบบรวมเข้าไว้ด้วยกัน อาทิ อะลูมิเนียม, โลหะ, แม็กนีเซียมและคาร์บอนไฟเบอร์ ที่ทำให้ตัวถังมีความเหนียวแกร่งแต่น้ำหนักเบา ให้การขับขี่ที่คล่องตัว ไม่เหมือนลิมูซีนยักษ์ที่ยาวกว่า 5 เมตร

เวอร์ชั่นญี่ปุ่นที่นำมาโชว์ เป็นรุ่น A8 55TFSI ซึ่งใช้เครื่องยนต์ 3.0 ลิตรทวินเทอร์โบ ให้พลัง 340 แรงม้า พร้อมทั้งติดตั้งระบบ Autonomous Driving Level 3 (Audi AI Traffic Jam) ซึ่งสามารถพาตัวเองวิ่งไปบนถนนขณะรถติด และวิ่งตามกันเป็นขบวนได้ แต่ไม่ต้องคอยจับพวงมาลัยเป็นพักๆ แบบรถขับเคลื่อนอัตโนมัติ Level 2

R8 V10 Spyder สีเหลืองเด่น โครงสร้างตัวถังแชร์กันใช้กับ Lamborghini Huracan รวมถึงเครื่องยนต์แบบ 10 สูบ 5.2 ลิตร แต่พอมาอยู่ใน Audi กลับถูกลดทอนแรงม้าลงจาก 580-610 แรงม้า ลงมาเหลือ 540 แรงม้า ส่วนคันสีเทาข้างหลังนั้นคือ RS5 ซึ่งเป็นตัวแรงสุดของอนุกรม A5 ทั้งมวล เมื่อก่อนเคยใช้เครื่อง V8 4.2 ลิตรหมุนรอบจัด มาวันนี้ต้องคล้อยตามเทรนด์ Downsizing และ Sharing เลยได้เครื่องยนต์ V6 2.9 ลิตรมาแทน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแย่นักเพราะมันก็คือเครื่องยนต์เดียวกับ Porsche Panamera 4S ซึ่งให้กำลังถึง 450 แรงม้า

 

BMW

ในงานนี้ BMW ที่ญี่ปุ่นขนรถตระกูล M มาเพียบ ไม่ว่าจะเป็น M2, M4, M5 รวมไปถึงรถรุ่นใหญ่อย่าง M760Li Individual ที่ทำสีภายนอกเป็นสีดำด้าน (คันขวา) ตกแต่งห้องโดยสารด้วยหนังที่ตัดเย็บมาเหมือนเบาะรถชั้นสูงกว่า เป็นรถลิมูซีนตัวใหญ่เท่าช้างแต่ก็เป็นช้างที่จับเช็งกับชีตาห์แล้วชนะ ก็เล่นใส่เครื่อง V12 6.6 ลิตร ทวินเทอร์โบ 610 แรงม้า แรงบิดสูงถึง 800 นิวตัน-เมตร แถมยังมีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำให้มันกลายเป็น BMW ที่มีแรงม้ามากที่สุดและเร่ง 0-100 ได้ภายใน 3.7 วินาที เร็วเป็นอันดับสองรองจาก M5

รถต้นแบบคันแรก เคยเผยโฉมไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่เป็นการนำมาโชว์ที่ญี่ปุ่นครั้งแรก และนี่ก็คือ BMW Concept Z4 รถที่ทางค่ายใบพัดขาวฟ้าพัฒนาขึ้นเป็นโปรเจคท์คู่ขนานไปกับ Toyota Supra ตัวใหม่ แต่ความแตกต่างนั้นอยู่ที่ BMW จะทำแต่ตัวถังเปิดประทุน และ Toyota จะเล่นเฉพาะตัวถังคูเป้ (ตามข้อตกลงระหว่างค่ายเพื่อความแฟร์ทางธุรกิจ)

จุดเด่นของ Concept Z4 นั้น นอกจากเอกลักษณ์ตัวถังหน้ายาวท้ายสั้นตามแนวทางของตระกูล Z เสมอมาแล้ว ยังแอบมีความกวนในการออกแบบ โดยทำห้องโดยสารฝั่งคนนั่งเป็นสีเบจส้ม แต่ฝั่งคนขับเป็นสีดำ ณ ปัจจุบันยังไม่มีการยืนยันตัวเลขสมรรถนะ แรงม้า และแรงบิด แต่เท่าที่ทราบมา ทาง BMW บอกว่า Z4 เวอร์ชั่นผลิตขายจริงจะไม่มีรุ่น Plug-in Hybrid เพราะต้องการคุมน้ำหนัก ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าจะมีขุมพลัง 2.0 ลิตรเทอร์โบ 184-252 แรงม้าเป็นตัวยืนพื้น และเครื่อง 3.0 ลิตร 6 สูบเรียงแบบเดียวกับ 440i ในรุ่นแรง และอาจมีตัวโหดอย่าง Z4M ตามออกมาในภายหลัง

ต่อมาก็คือ BMW Concept 8 Series ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นต้นแบบของรถคูเป้ระดับสูงอีกหนึ่งรุ่นในบรรดา Elite Models รุ่นพิเศษที่ทาง BMW เพิ่งปรับแผนการทำตลาด เคียงคู่ไปกับ ซีรีส์ 7, X7 และ i8 โดยจะมีการปรับระดับความหรูให้ทิ้งห่างจากความเป็นพรีเมียมธรรมดาสุ่ระดับสูงขึ้นในด้านวัสดุ การประกอบ และเทคโนโลยีที่บรรจุไว้

ทั้งนี้ เมื่อถึงเวลาขายจริง เป็นที่คาดเดาได้ว่าขุมพลังขับเคลื่อนต่างๆจะยกมาจากซีรีส์ 7 นั่นก็หมายความว่าอาจมีตั้งแต่รุ่น 840e Plug-in Hybrid มาให้ใช้ แต่รุ่นเบนซินที่ยืนพื้น น่าจะเป็น 840i เครื่องยนต์ 6 สูบเทอร์โบ, 850i เครื่องยนต์ 4.4 ลิตร V8 เทอร์โบ และตัวแรงสุดก็คงหนีไม่พ้น M860i V12 6.6 ลิตร (N74B66) ที่มีแรงม้ามากกว่า 600 แรงม้า

M2 LCI มาแล้วที่ญี่ปุ่น ได้ไฟหน้า LED 6 เหลี่ยมใหม่ กับไฟท้ายดีไซน์ใหม่ ภายในมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดบางจุดเช่นการทำงานของชุดจอ iDrive และหน้าปัด เครื่องยนต์ที่ใช้ยังคงเป็นแบบ 3.0 ลิตรเทอร์โบ 370 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 465 นิวตัน-เมตร และสามารถเพิ่มขึ้นเป็น 500 นิวตัน-เมตรได้ในช่วง 5 วินาทีหลังตอกคันเร่งมิด

M5 Super Sedan คันแรงจากเยอรมัน มาเปิดตัวในประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกของทวีิปเอเชีย นอกจากแรงจัดด้วยขุมพลัง M TwinPower V8 ทวินเทอร์โบ 4.4 ลิตรที่มีแรงม้าสูงถึง 600 แรงม้าแล้ว ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ภายใน 3.4 วินาที และใช้เวลาเร่งจาก 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมงแค่ 11.1 วินาทีเท่านั้น

จุดเด่นอีกประการก็คือระบบ M xDrive ซึ่งเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่สามารถปรับนิสัยการทำงานได้ว่าจะให้เข้าโค้งไปแบบเกาะๆเนียนๆ หรือจะเอาแบบหน้าไวท้ายปัดนิดๆ และที่สำคัญ ยังสามารถปรับเป็นโหมดขับเคลื่อนล้อหลังได้ แต่ต้องปิดการทำงานของระบบควบคุมการทรงตัวเสียก่อน

X3 รุ่นใหม่ ก็มาเปิดตัวในงานนี้ เป็นแห่งแรกในทวีิปเอเชียเช่นเดียวกัน โดยรุ่นที่นำมาโชว์ในงานเป็นรุ่น xDrive20d ขับเคลื่อนสี่ล้อ ใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรดีเซล บล็อค B47 เทอร์โบ 190 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ส่วนแฟนพันธุ์แท้ BMW ที่เมืองไทยคนไหน ถ้าสนใจ X3 บอกได้เลยว่านับถอยหลังอีกไม่เกิน 3 สัปดาห์ ประเทศไทยก็จะได้มีโอกาสต้อนรับรถรุ่นนี้และเครื่องยนต์ตัวนี้อย่างแน่นอน (ถ้าไม่ใช่ 20d แล้วจะเป็นอะไรได้อีก คงไม่ใช่ xDrive30i หรอกมั้ง)

ที่บริเวณใกล้ๆกันนั้น ก็มีบูธของ Alpina ซึ่งเป็นสำนักแต่งคู่บุญบารมีของ BMW เคยทำรถแข่งลงสนามให้กับ BMW ในอดีต จนภายหลังสามารถประกอบเครื่องยนต์และตกแต่งภายในเองได้ มีวิชาแก่กล้าพอจนทำให้ BMW ยอมให้จดทะเบียนยี่ห้อรถเป็น “Alpina” และไม่ใช่ BMW ในเยอรมนี บางคนอาจสงสัยว่า M-Division ก็ทำรถแรง Alpina ก็ทำรถแรง แล้วไม่ทับซ้อนกันหรือ? ตำแหน่งทางการตลาดจะต่างกันครับ M-Division จะเป็นรถขับสนุก ดูวัยรุ่นในขณะที่ผลิตภัณฑ์ของ Alpina จะเน้น แรง-เรียบ-หรู คู่ใจวัยดึก

ในงาน Tokyo Motorshow นี้ ก็มีรถรุ่นใหม่ที่นำมาลงตลาดญี่ปุ่น ได้แก่ Alpina D5 S Limousine Allrad ซึ่งใช้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 3.0 ลิตร 6 สูบเรียง ปรับแต่งจนได้พลัง 326 แรงม้า แรงบิด 700 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ กับรุ่น B5 Biturbo Touring Allrad เครื่องยนต์เบนซิน V8 4.4 ลิตร ทวินเทอร์โบ มีกำลัง 608 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 800 นิวตัน-เมตร มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเช่นเดียวกัน

 

Citroen และ DS

การจับจองบูธของ 2 ค่ายนี้ออกจะแปลกๆอยู่บ้าง เพราะแม้จะเป็นเครือเดียวกัน มีความสัมพันธ์กันประหนึ่ง Toyota มีต่อ Lexus แต่ในขณะที่แบรนด์ DS อยู่ใน Hall ฝั่งตะวันออก ขดตัวอยู่กับ Peugeot ทางแบรนด์ Mass อย่าง Citroen กลับมาจอดปะกับ Volvo อยู่ที่ ปากทางเข้า Hall ฝั่งตะวันตก

C4 Picasso เป็นรถ MPV ขนาดกระทัดรัด ตัวถังยาว 4,428 มิลลิเมตรที่ขายมาตั้งแต่ปี 2013 ตัวถังภายนอก เป็นฝีมือออกแบบของคุณ Frederick Soubirou และยังมีเวอร์ชั่น 7 ที่นั่งที่อยู่ในภาพบนนี้ เรียกว่า C4 Grand Picasso ซึ่งเพิ่มความยาวตัวถังออกเป็น 4,600 มิลลิเมตร

Citroen C3 เป็นรถขนาดเล็กของทางค่ายที่เปิดตัวตั้งแต่ปี 2016 ใช้แนวทางการออกแบบที่ลอกมาจาก C4 Picasso ที่เปิดตัวไปก่อนหน้า สร้างขึ้นบนแพลทฟอร์ม PF1 ของ PSA ซึ่งใช้ร่วมกับ Peugeot 208 และ DS3

DS7 Cross back เพิ่งจะมาเปิดตัวในญี่ปุ่นที่งานนี้ มันคือรถ SUV/Crossover ขนาดตัวประมาณ Mazda CX-5 ตกแต่งมาหรูหราตามสไตล์แบรนด์ DS ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่า Citroen ปกติ โครงสร้างพื้นฐานของรถเป็นแบบ EMP2-platform ซึ่งใช้ร่วมกันกับ Peugeot 5008 DS7 Cross back นั้น นับว่าเป็น SUV รุ่นแรกที่ DS นำเข้าไปขายในยุโรปโดยเปิดตัวที่เจนีวาเมื่อเดือนมีนาคม 2017

 

Daihatsu

Daihatsu ขนรถยนต์ต้นแบบมากถึง 5 รุ่น หลากหลายรูปแบบตัวถัง มาจัดแสดงในงาน Tokyo Motor Show 2017 และที่เด็ดกว่านั้นคือรถยนต์ต้นแบบ 4 ใน 5 รุ่นนี้เปิดตัวเป็นครั้งแรกของโลกในงานดังกล่าว

Daihatsu DN Compagno เป็นรถยนต์ต้นแบบ 4 ประตู Compact สไตล์ Coupe มีสไตล์การออกแบบที่ดูย้อนยุคหน่อยๆ เนื่องจากนำอิทธิพลการออกแบบจากDaihatsu Compagno รุ่นปี 1963 มาประยุกต์ใช้ ส่วนภายในห้องโดยสาร ผ่านการตกแต่งมาเป็นอย่างดี มีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 แบบ คือ 1.0 ลิตรเทอร์โบ และ 1.2 ลิตรไฮบริด เห็นหน้าตาเป็นอย่างนี้ก็เถอะ กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเขาคือรุ่นพ่อรุ่นแม่วัยเกษียณ จึงออกแบบเบาะหน้าให้นั่งสบาย โปร่งโล่ง และขึ้นลงได้ง่าย ส่วนเบาะหลังคงมีไว้แค่วางของเพราะลูกๆคงโตเป็นม้ากันไปหมดแล้ว

Daihatsu DN Trec เป็นรถ SUV/Crossover ขนาดเล็กตัวยาว 3.98 เมตร ที่ออกแบบมาสำหรับชีวิตคนเมืองฮิปๆ แต่ต้องเผื่อประสิทธิภาพในการลุยนอกเมืองเอาไว้บ้าง ตามแนวคิด “Active, fun, and tough” มีขุมพลังให้เลือก 2 แบบเช่นเดียวกับ DN Compagno คือ 1.0 ลิตรเทอร์โบ และ 1.2 ลิตรไฮบริด

Daihatsu DN Multisix เป็นรถ MPV แบบ 6 ที่นั่ง ขนาดตัวยาว 4.31 เมตร ซึ่งเคยโชว์โฉมไปแล้วในงานมอเตอร์โชว์ที่อินโดนีเซียเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีการจัดแบ่งเบาะออกเป็น 3 แถว โดยเบาะแถวที่สองนั้นมีช่องเปิดทะลุเดินไปถึงเบาะแถวที่ 3 ได้ เน้นการใช้งานแบบครอบครัว ผ่อนคลาย ใช้ง่ายแต่ได้วัสดุและบรรยากาศพรีเมียม ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตรเบนซิน

Daihatsu DN U-Space เป็นรถต้นแบบ K-car เครื่องยนต์ 660 ซี.ซี. ที่ในใบปลิวประจำรุ่นบอกเลยว่า “รถยนต์ต้นแบบที่ออกแบบมาเพื่อแม่ที่ยังต้องเลี้ยงลูกเล็กอยู่” มาพร้อมกับประตูหลังสไลด์ขนาดใหญ่ ใช้งานง่าย ทั้งยังสามารถปรับเบาะให้เป็นโต๊ะอาหารได้ด้วย นอกจากนั้น ผู้โดยสารเบาะหน้ายังสามารถเดินทะลุไปเบาะหลังได้เผื่อคุณแม่จะจอดข้างทางเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก ปิดท้ายด้วยกระจกหน้าแบบ Panoramic ที่ให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ปลอดโปร่ง

Daihatsu DN Pro Cargo เป็นรถที่เอาอิทธิพลในการสร้างมาจาก Daihatsu Midget รถตู้พาณิชย์ขนาดเล็ก ซึ่งเปิดตัวตั้งแต่ปี 1957 ได้รับการออกแบบให้เน้นเนื้อที่ภายในห้องโดยสารเพื่อการบรรทุกแบบใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่า ขนาดห้องโดยสารนั้นสูงถึง 1.6 เมตร ทางเข้าออกจากรถจึงกว้างมาก ตัวรถเองก็ถูกออกแบบมาให้มีใต้ท้องเตี้ยเท่ารถเก๋ง ทำให้เป็นรถที่ขึ้นลงง่าย ถ่ายส่งสินค้าสบาย ขุมพลังที่ใช้ เป็นแบบมอเตอร์ไฟฟ้า

 

Honda

เป็นหนึ่งในค่ายที่เอารถมาร่วมสนุกกับงานค่อนข้างเยอะ บริเวณบูธกว้างขวางของ Honda นั้นมีความหลากหลายทางชีวภาพยานยนต์ กล่าวคือมีทั้งรถแบบครอบครัว รถเล็ก รถซิ่ง ซูเปอร์คาร์ รถรักโลก ไปจนถึงรถต้นแบบที่ขนมาบนเวทีก็ 3 คันเข้าไปแล้ว

Honda Sports EV Concept เป็นรถยนต์ไฟฟ้าทรงสปอร์ตแบบหน้ายาว มีดีไซน์แบบ Modern-Retro ซึ่งผสานกลิ่นอายของ Honda ตระกูล S600-S800 สมัยก่อนเข้ากับเส้นสายของรถยุคใหม่ ถ้าคุณคิดว่ามันสวย ก็ต้องไปกด Like ให้กับนาย Makoto Harada ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมคุมการออกแบบ วัย 34 ปี ซึ่งได้เล่าให้ฟังว่ารถคันนี้ทำขึ้นภายในเวลาที่จำกัดมาก และมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดต่างๆแม้กระทั่งนาทีสุดท้ายก่อนขนมาโชว์ที่งาน Harada บอกว่าเขาอยากทำให้รถนั้นดูเจ๋ง แต่ไม่ใช่เจ๋งแบบเห็นแล้วรู้สึกทิ่มแทงลูกตา ตรงกันข้าม เขาอยากให้ Sports EV Concept เป็นรถที่คนเห็นแล้ว “อยากเอามาอยู่เป็นเพื่อน”

Sports EV Concept สร้างขึ้นบนแพลทฟอร์ม BEV เช่นเดียวกับรถต้นแบบ Urban Concept ที่ออกมาก่อนหน้านี้ และยังใช้แผงไฟหน้า ไฟท้าย และแดชบอร์ดร่วมกัน แต่เปลี่ยนเบาะให้เป็นทรงสปอร์ตแค่นั้น ถือว่าไม่ใช่เรื่องน่าเกลียดเพราะนี่ยังเป็นแค่รถต้นแบบและทีมของ Harada เองก็มีเวลาที่จำกัดมากที่จะทำงานให้ทัน

แล้วเราจะมีสิทธิ์ลุ้นเวอร์ชั่นขายจริงหรือไม่? คำตอบจาก CEO ของ Honda คือ ต้องดูกระแสตอบรับจากลูกค้าในญี่ปุ่นกับยุโรปก่อน ถ้ามีกระแสดีพอ ก็มีสิทธิ์จะกลายมาเป็นความจริง

 

Honda Urban EV Concept เป็นรถต้นแบบขนาดเล็กที่เผยโฉมมาตั้งแต่งานที่ Frankfurt แล้ว มันผสานเอาดีไซน์ภายนอกแบบคลาสสิค Modern-Retro Look ที่ทำเหมือนจะรวมเอารถแฮทช์แบ็คยุค 70s-80s ของ Honda มาขัดเกลาและเคลือบด้วยดีไซน์ศตวรรษใหม่ ไฟหน้า LED ล้ออัลลอยสวมยางแบบ Low Profile ประตูแบบย้อน Suicide Doors และ กระจังหน้าซึ่งแท้จริงแล้วไม่ใช่กระจังหน้า แต่เป็นชุดแผงหน้าจอ ที่สามารถแสดงข้อมูลการชาร์จ และยังเอาไว้ใส่ข้อความทักทาย หรือคำแนะนำให้คนอื่นๆได้

ในขณะเดียวกัน ภายใต้ความล้ำสมัย ก็ครอบด้วยโครงสร้างของรถที่มีความเหลี่ยม เส้นสายที่เรียบง่ายไม่ฉวัดเฉวียน เสา A ที่มีความบาง ส่งผลให้รถมีกลิ่นอายความย้อนยุค ชวนให้นึกถึง Honda Civic รุ่นแรกของปี 1972 ถ้าใครอยากได้ ก็ควรเริ่มเก็บเงินรอเสียตั้งแต่วันนี้ เพราะ Honda มีแนวโน้มที่จะนำรถ Urban EV Concept ไปทำเป็นรถเวอร์ชั่นผลิตขายจริงในปี 2019 แต่ถ้าคาดหวังว่าจะได้ใช้ Hot Hatch เครื่อง VTEC Turbo ก็บอกได้เลยว่าทำใจเอาไว้ เพราะน่าจะมาขายเป็นเวอร์ชั่นรถถ่านมากกว่า

Honda NeuV เป็นชื่อที่ย่อมาจาก New Electric Urban Vehicle มันคือรถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบที่สามารถขับขี่ได้ด้วยตัวเอง โดยใช้ระบบ AI Emotion Engine ซึ่งจะวิเคราะห์อารมณ์ของผู้ขับขี่ว่าเป็นอย่างไรผ่านการแสดงออกทางสีหน้า และน้ำเสียง ก่อนปรับรูปแบบการขับขี่ให้เหมาะสมกับสภาวะอารมณ์ในขณะนั้นเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ทั้งยังเรียนรู้สิ่งที่ผู้ใช้งานชอบในด้าน Lifestyle ต่างๆ

ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อเราใช้ Honda NeuV เสร็จแล้ว เรายังสามารถตั้งค่าให้รถของเราไปให้บริการกับคนอื่นๆ ในละแวกย่านใกล้เคียงกันได้อีกด้วย! โดยผู้ใช้บริการอีกคน จะต้องขออนุญาตผ่านแอพพลิเคชั่นมายังเจ้าของรถ เมื่อเจ้าของรถกดตกลง ตัวรถก็จะวิ่งจี๋ออกไปหาผู้เรียกด้วยตัวมันเอง ส่วนการจ่ายเงินค่าตอบแทนใดๆก็ไปตกลงกันหลังบ้านเอาเอง หรืออาจมี Third Party Application ที่สามารถใช้เพื่อการชำระเงินแบบนี้ออกมา

เห็นเทคโนโลยีแบบนี้แล้วนึกถึงปัญหา Uber บ้านเรา กรมขนส่งจะมีปัญหากับการนำรถไปใช้รับจ้างหรือเปล่าในเมื่อรถไม่มีคนขับ? แล้วถ้าโดนแท็กซี่ท้องถิ่นหัวรุนแรงปิดล้อม จะมีใครให้ตะโกนด่าแลกกันถ่ายคลิปมั้ยในเมื่อในรถนั้นว่างเปล่า


All NEW Honda N-Box ซึ่งจัดอยู่ในประเภท K-Car ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้วที่ประเทศญี่ปุ่น ในวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา ภายใต้แนวคิด “เพื่อความสุขของครอบครัวชาวญี่ปุ่น” โดยใช้แพลทฟอร์มและขุมพลังที่พัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมด มีให้เลือกด้วยกัน 2 แบบ คือเบนซิน i-VTEC 660 ซี.ซี. 58 แรงม้า และเครื่องเทอร์โบ 660 ซี.ซี. 64 แรงม้า  ทั้งคู่ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT พร้อมทางเลือกระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหน้าหรือระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ

ทัศนวิสัยการขับขี่ของ All NEW Honda N-Box ปลอดโปร่งด้วยเสา A-Pillar ที่บางเฉียบ สำหรับรูปโฉมภายนอกนั้น จะแบ่งดีไซน์และการตกแต่งออกเป็น 2 รุ่น ซึ่งได้แก่ N-Box รุ่นปกติ ซึ่งมีดีไซน์เน้นหรู สง่า และสะอาดตา กับ N-Box Custom ซึ่งเน้นความกล้า ดุดัน ดูเป็นวัยรุ่นมากกว่า ถ้านึกไม่ออกให้ลองนึกถึงความแตกต่างระหว่าง Toyota Alphard กับ Vellfire ดูได้ครับ วิธีคิดใกล้เคียงกัน

Honda Odyssey Minorchange เอามาโชว์ก่อนขายให้ลูกค้าจริงในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยจะมาในรูปลักษณ์ที่หรูหรามากขึ้น ส่วนรุ่นย่อย Absolute จะยังคงเน้นความสปอร์ตมากกว่ารุ่นปกติเช่นเคย ภายในมีการเปลี่ยนแปลงวัสดุตกแต่งแผงแดชบอร์ด และวัสดุหุ้มเบาะ

ขุมพลัง Honda Odyssey Minorchange จะมีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์เบนซินและขุมพลัง Hybrid แบบ Sport Hybrid i-MMD ที่มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ในส่วนระบบความปลอดภัย มีการติดตั้ง Honda Sensing มาให้ในทุกรุ่นย่อย ซึ่งมีทั้งระบบ Radar Cruise Control, ระบบเบรกอัตโนมัติ, ระบบหลีกเลี่ยงการชนคนเดินถนน, ระบบรักษาช่องจราจร มีกระทั่งระบบคอยเตือนว่ารถคันหน้าออกตัวไปแล้ว เหมาะกับสังคมก้มหน้าหลังพวงมาลัยยิ่งนัก

Honda StepWGN Spada Minorchange มาโชว์ในงานนี้หลังจากเปิดตัวไปแล้วเมื่อ 28 กันยายน ส่วนที่แปลกก็คือ Honda เลือกที่จะทำการปรับโฉมเฉพาะรุ่น Spada เท่านั้น ส่วนรุ่นปกติคงไว้แบบเดิม หน้าตาของ Spada ใหม่ดูสปอร์ตคล้ายหุ่นยนต์หนักขึ้นกว่าเก่า ขุมพลังขับเคลื่อนที่ใช้ก็มีทั้งแบบ 1.5 ลิตรเบนซิน เทอร์โบ L15B 150 แรงม้า ซึ่งใช้พื้นฐานร่วมกับ Honda Jade และ Civic Turbo บ้านเรา ส่วนอีกขุมพลังหนึ่งเป็นแบบไฮบริดมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อน i-MMD ให้พลังรวมสูงสุด 184 แรงม้า อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่

Honda Clarity Plug-in Hybrid หนึ่งในสามรถซีรีส์ Clarity ที่เอาเรือนร่างแบบปัจจุบั๊นปัจจุบันมาห่อหุ้มขุมพลังแห่งอนาคตเอาไว้ รุ่น Plug-in จัดเป็นหัวหอกหลักในการทำตลาดเพราะไม่ต้องการระบบสาธารณูปโภคพิสดารใดๆมากกว่าปลั๊กไฟกับปั๊มน้ำมัน ใช้เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร Atkinson Cycle ผนวกกับมอเตอร์ไฟฟ้า (i-MMD) ให้พลังรวม 181 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 315 นิวตัน-เมตร ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไออ้อนจุไฟ 17kWh (มากกว่ารถ Plug-in ทั่วไปราว 7-8 kWh) ทำให้สามารถวิ่งโดยใช้พลังไฟฟ้าล้วนๆได้ไกลระดับ 100 กิโลเมตร

เตรียมรออ่าน First Impression Clarity ทั้ง 3 ขุมพลังจากผม Pan Paitoonpong ได้เร็วๆนี้ครับ

Honda Civic Type-R ใหม่ มาโชว์ในงานนี้ด้วยเช่นกัน แถมยังเปิดให้เข้านั่ง เหยียบคลัตช์สับเกียร์เล่นได้อีกต่างหาก เครื่องยนต์ของรถรุ่นนี้ ก็คือ K20C เทอร์โบ 2.0 ลิตร 320 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตัน-เมตรเหมือนกับ Type-R รุ่นก่อน แต่ได้รับการปรับจูนเรียกกำลังเพิ่มจากเดิม 10 แรงม้า ภายในหน้าปัดแดงคล้าย 1.5 RS บ้านเรา เบาะ Recaro โอบรัดใกล้เคียงรถสปอร์ตและซูเปอร์คาร์ คันเกียร์ 6 จังหวะ ระยะเข้าสั้นมากคล้าย Mazda MX-5 เกียร์ถอยหลังเป็นแบบโยกขวาสุดแล้วดันเข้า

รถรุ่นนี้จะมีการผลิตจากประเทศอังกฤษที่โรงงานใน Swindon ที่เดียวเท่านั้น แม้กระทั่งรถที่จำหน่ายในญี่ปุ่นเองก็ส่งมาจากอังกฤษ

เห็นบ้านเรามีความตื่นเต้นกับ Civic สีแดงที่กำลังจะมาจำหน่าย ผมเลยถ่าย Civic แดงแบบญี่ปุ่นมาให้ดู Civic ที่จำหน่ายในญี่ปุ่นนั้น หากเป็นบอดี้แฮทช์แบ็คเมื่อไหร่ บอกได้เลยว่าจะเป็นรถที่ผลิตส่งมาจากอังกฤษ (ไม่ใช่ไทย) รวมถึงแฮทช์แบ็ครุ่นธรรมดา 1.5 เทอร์โบที่ไม่ใช่ Type-R ด้วย ในรูปล่างเป็นภายในของรุ่นห้าประตูเทอร์โบสเป็คญี่ปุ่น ซึ่งได้เบาะผ้า และชุดเครื่องเสียงเป็นแบบ 2-DIN ของ Gathers จับใส่ตรงๆ ไม่ใช่จอแบบ Built-in ดีไซน์สวยๆแบบของบ้านเรา

อาจจะไม่ใช่รถใหม่ 100% แต่ก็น่าสนใจตรงที่มันเป็นรุ่น Hybrid ซึ่งบ้านเราไม่มีโอกาสได้ใช้ เพราะเขาเลือกคบกับรุ่นดีเซลไปเรียบร้อยแล้ว CR-V Hybrid ใช้ขุมพลังตัวเดียวกับ Accord Hybrid กล่าวคือเครื่องยนต์สันดาปภายใน เป็นขนาด 2.0 ลิตร ประกบกับมอเตอร์ไฟฟ้า i-MMD แต่ใน CR-V นั้นพละกำลังรวมสูงสุดจะมี 215 แรงม้า ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไออ้อนขนาดจุ 1.3kWh

เปิดตัวมานานแล้วแต่ยังเป็นดาวเด่นในทุกงานที่ไป กับ Honda NSX ซูเปอร์คาร์ตัวท้อปของค่าย ขุมพลัง V6 3.5 ลิตรเทอร์โบคู่พ่วงมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว ให้กำลังสูงสุด 581 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 646 นิวตัน-เมตร ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 2.9 วินาที

NSX ทุกคันจะประกอบด้วยมือ ตั้งแต่ขั้นตอนการร้อยน็อต ไปจนถึงการประกอบชิ้นส่วนภายนอก และภายในทุกชิ้น ในขั้นตอนการประกอบจะมีผู้เชี่ยวชาญจำนวน 16 คน และใช้เวลา 14 ชั่วโมงในการประกอบ NSX 1 คัน และ ใน 1 วันจะสามารถประกอบ NSX ได้ 10 คัน ตัวรถประกอบที่ Marrysville รัฐ Ohio และเครื่องยนต์ทำจากเมือง Anna รัฐเดียวกัน

 

Isuzu

อันที่จริงคอลัมน์นี้ว่าจะไม่เขียนถึงรถยนต์นั่งในเชิงพาณิชย์หรือรถปกติๆที่เราเห็นกันทั่วไป แต่คันนี้ขอเขียนให้หน่อยเพราะมันคือ Isuzu MU-X ที่ประกอบมาจากประเทศไทย มันไม่ได้ขายในญี่ปุ่นหรอกครับ แต่เอามาโชว์ในงานนี้โดย Label ให้กับผลิตภัณฑ์ว่าเป็นรถที่สร้างมาเพื่อแถบเอเชีย ดินแดนและหมู่เกาะแปซิฟิก ตะวันออกกลางและแอฟริกาใต้ เป็นรถที่ถูกออกแบบให้มีความทนมือทนเท้า วิ่งได้บนถนนหลากหลายแบบ ผมเห็นแขกและฝรั่งพากันตรวจนู่นวัดนี่แบบแอบๆ ก็เลยลองถามว่าเขาคิดอย่างไรกับการประกอบของรถ ก็ได้คำตอบที่น่าภูมิใจแทนคนไทย

เชื่อเสียทีเถอะครับ ฝีมือการประกอบรถบ้านเราน่ะ พอเอาจริงเมื่อไหร่ ฝีมือของเรานี่ระดับโลกมานานแล้วครับ ถ้าไม่ใช่ว่าคุณเอารถบ้านๆไปเทียบกับ Audi หรือ Lexus คันละ 4-5 ล้านบาท

ถ่าย MU-X ฝีมือคนไทยแล้ว ก็มาดูนวัตกรรมของคนญี่ปุ่นกันบ้าง Design Concept FD-SI ซึ่งจะว่าไปแล้ว มันก็คือวิธีที่ Isuzu มองอนาคตของรถส่งของว่าจะเป็นอย่างไร ทีมออกแบบใช้แรงบันดาลใจจากแมลง (น่าจะเป็นผึ้งมากกว่าอย่างอื่น) บวกกับการจัดพื้นที่ภายในของรถให้เหมาะสมกับการบรรทุกของ ออกแบบโครงสร้างให้มีสมดุลย์ที่ดีระหว่างความปลอดภัยและความสามารถในการจุสัมภาระ จุดเด่นของรถคันนี้คือคนขับจะนั่งอยู่ตรงกลาง เพื่อให้สามารถมองซ้ายมองขวา พารถเลาะเลี้ยวไปตามตรอกซอยแคบๆของญี่ปุ่นได้อย่างคล่องแคล่ว

 

Lexus

นำรถมาโชว์ในงานเกือบครบ ทั้ง CT, NX และ RX แต่ตัวเด่นของบูธในงานนี้คือการนำเอา Lexus LS ทั้งคันต้นแบบ และรถเวอร์ชั่นขายจริงมาจอดโชว์พร้อมกัน (ปกติเราจะไม่ค่อยพบบริษัทรถทำวิธีนี้)

Lexus LS+ Concept เป็นรถที่ทำขึ้นมาเพื่อโชว์ว่าทิศทางการออกแบบของรถรุ่นใหญ่สุดของค่ายจะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต ทั้งเส้นสายแบบ L-Finesse กระจังหน้า Spindle Grill ยังอยู่ครบ มีเอกลักษณ์สำคัญคือการออกแบบให้มีโอเปร่ากระจกหลัง (Six-window design) เป็นครั้งแรกที่รถยนต์ซาลูนจาก Lexus ใช้การออกแบบลักษณะนี้

อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญใน LS+ Concept คือการทำงานของระบบ AI ที่สามารถจดจำได้ทั้งถนนและคนขับ มันคือส่วนหนึ่งของระบบสมองกลอันซับซ้อนของรถที่ช่วยให้มันสามารถขับเคลื่อนตัวเองไปบนถนนได้อย่างปลอดภัย เรียกว่าระบบ Highway Teammate ซึ่งเมื่อตัวรถแล่นอยู่บนถนนที่ปลอดคน (เช่นถนนหลวงสายใหญ่ ทางด่วน หรือมอเตอร์เวย์ และไม่ใช่ถนนที่คนเดินพลุกพล่าน) มันจะสามารถขับพาตัวเองไปยังจุดหมาย เร่ง เบรก และรักษาระยะกับรถคันหน้าและหลังได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ส่วนรถเวอร์ชั่นขายจริงของ LS เจนเนอเรชั่นที่ 5 นั้น ก็เริ่มเผยโฉมมาทีละรุ่น เริ่มกันตั้งแต่ LS500 3.5 ลิตรทวินเทอร์โบ 422 แรงม้าตั้งแต่ช่วงต้นปี 2017 แล้วตามด้วย LS500h V6 3.5 ลิตรไร้เทอร์โบ แต่พ่วงมอเตอร์ พลังรวม 359 แรงม้าที่งานในเจนีวา เดือนมีนาคม จากนั้นตบท้ายด้วย LS350 V6 3.5 ลิตรไร้เทอร์โบ and No Motor พลัง 315 แรงม้า เปิดตัวที่เซี่ยงไฮ้

ตัวรถใช้พื้นฐานโครงสร้างใหม่ รถขับหลัง Premium Rear-Wheel drive  ที่ Lexus เรียกว่า all-new Lexus global architecture for Luxury vehicles (GA-L) โครงสร้างตัวถังทำจากเหล็ก Ultra-high tensile และ อะลูมิเนียม ทำให้ลดน้ำหนักลงจาก LS รุ่นเดิมได้มากถึง 90 กิโลกรัมทั้งๆที่ตัวรถนั้นทั้งยาวและกว้างขึ้นกว่าเดิม

สำหรับประเทศไทย เจอกัน เดือนพฤศจิกายนนี้ โปรดติดตามการนำเสนอของคุณหมู Moo Cnoe ไว้ให้ดี แต่บอกไว้ก่อนว่า เนื่องจากทุกรุ่นของ LS นั้นมีความจุเกิน 3.0 ลิตร ทำให้ต้องโดนภาษีสรรพสามิตขั้นเต็ม 50% ดังนั้น ราคาน่าจะสูงมากจนคู่แข่งลิมูซีนที่เขามีขุมพลังไฮบริดขายอาจจะหันมายิ้มเยาะๆก่อนจิบเบียร์คุยกันต่อไปตามประสาคนชาติเดียวกัน

Lexus LC500… ของที่คนไทยผู้ไม่มีเงินจะซื้อร่ำร้องอยากให้มา ส่วนคนที่มีเงินเยอะพอเขาจัดการกันไปเองหมดแล้ว LC นั้นจัดเป็นรถประเภท Grand Tourer ระดับสูงของทางค่าย (สูงกว่า RC แต่ไม่เท่า LFA ในตำนาน) ใช้เครื่องยนต์ 2UR-GSE V8 5.0 ลิตร ไม่คบเทอร์โบ เป่าเสกแรงม้าออกมาได้ 471 ตัว ซึ่งมันก็คือเครื่องยนต์ตัวเดียวกับ RC-F และ GS-F นั่นเอง

ส่วนอีกขุมพลังหนึ่งจะอยู่ในรุ่น LC500h ซึ่งใช้เครื่องยนต์เบนซิน V6 3.5 ลิตร บวกกับมอเตอร์ไฟฟ้าไฮบริด ให้พละกำลังรวม 354 แรงม้า ซึ่งก็ใกล้เคียงกับ LS500h นั่นเอง

 

Mazda


ถ้าคุณกำลังสงสัยว่า Mazda 3 เจนเนอเรชั่นต่อไปจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร เจ้า KAI Concept นี้น่าจะเป็นคำตอบให้คุณได้อย่างดี ทีมออกแบบ Mazda สานต่อแนวคิดทางการออกแบบ KODO Design ยุคที่สอง ซึ่งเน้นว่าการออกแบบรถให้สวยนั้น สัดส่วนของตัวรถ ด้านหน้า ด้านด้าน หลังคา และล้อ ต้องประสานรวมกันให้เกิดรูปทรงที่เซ็กซี่ แต่ในขณะเดียวกันนั้น KODO Design 2.0 ยังเน้นเส้นสายที่สะอาดตา ไม่เน้นมิติเน้นส่วนเว้าหรือโค้งมากจนดึงความสนใจไปจากสัดส่วนทองคำของรถ

KAI Concept ใช้เครื่องยนต์ SkyActiv-X แบบใหม่ล่าสุด ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เบนซิน หัวฉีดตรง และมีหัวเทียน (ย้ำอีกครั้งว่า มี-หัว-เทียน แม้หลายคนจะชอบพูดว่าเป็นเบนซินไร้หัวเทียนมาก่อนหน้านี้) แต่การทำงานของเครื่องยนต์ จะมีบางจังหวะที่เครื่องยนต์จะทำงานแบบเครื่องยนต์ดีเซลได้ (ซึ่งก็คือจุดระเบิดโดยใช้การอัดของลูกสูบ ไม่พึ่งพาประกายหัวเทียน)

ในช่วงเดินเบา หรือเดินทางด้วยความเร็วคงที่ เครื่องยนต์จะทำงานในโหมดเสมือนดีเซล ทำให้อัตราการสิ้นเปลืองและมลภาวะต่ำลง ส่วนจุดใดก็ตามที่ต้องใช้กำลังเครื่องยนต์มาก หรือใช้รอบสูง ซึ่งการจุดระเบิดแบบดีเซลไม่สามารถใช้ได้ เครื่องยนต์ก็จะใช้หัวเทียนในการกำหนดว่าจะให้จุดระเบิดตอนไหน หรือในช่วงบี้เต็มคันเร่ง ก็จะทำงานประหนึ่งเครื่องยนต์เบนซินทั่วไป

ทั้ง Mazda 3 บอดี้ใหม่ และเครื่องยนต์ SkyActiv-X จะเผยโฉมและให้ชาวโลกซื้อหาได้ในปี 2019

 

รถต้นแบบอีกคันที่เป็นตัวแทนของงานดีไซน์ KODO ภาคสอง ก็คือ Mazda VISION Coupe ซึ่งมีแนวทางการออกแบบคล้ายกันกับ KAI Concept ตรงนี้เน้น “สัดส่วนทองคำ” ใช้ขนาดของบอดี้รถในส่วนต่างๆที่คิดมาแล้วเป็นอย่างดี เพื่อให้รถสะท้อนบุคลิกตามประเภทของมันอย่างที่ควรเป็น และยังเน้นการทำเส้นสายต่างๆให้ดูสะอาดตา มีมิติ แต่ไม่เน้นเหลี่ยมสัน เว้าโค้งมากจนทำลายความงามของรถทั้งคัน

บางส่วนของตัวรถ จะเป็นพื้นที่โลหะที่ดูว่าง แต่ได้รับการคำนวณมาอย่างดีให้เล่นกลกับลูกตามนุษย์ เมื่อรถวิ่งผ่านแสงไฟในรูปแบบต่างๆ เมื่อรวมสิ่งเหล่านี้เข้ากับปรัชญาของ Mazda แล้วเติมความหรูหราแบบรถยุโรปชั้นสูงเข้าไปให้มากกว่า KAI Concept ผลที่ได้ก็คือ VISION Coupe คันนี้ ซึงได้รับคำชมถึงทรวดทรงว่าเป็นหนึ่งในรถต้นแบบที่น่ามองที่สุดของงาน Tokyo Motorshow เลยทีเดียว

ดูเผินๆ คุณอาจนึกว่ารถคันนี้คือ CX-5 ทว่าที่จริง มันคือ Mazda CX-8  ซึ่งเป็นรถประเภท SUV พื้นฐานเก๋ง ที่ถูกขยายความยาวฐานล้อออกไป 230 มิลลิเมตร ทำให้สามารถเพิ่มจำนวนผู้โดยสารจาก 5 เป็น 7 ที่นั่ง ซึ่งในญี่ปุ่นนั้น CX-8 จะเป็น SUV คันโตที่สุดของทางค่าย ทว่าในตลาดโลกนั้น CX-8 จะแทรกอยู่ตรงกลางระหว่าง CX-5 กับ CX-9 รวมถึงมีราคาค่าตัวสอดอยู่ระหว่างกลางทั้งสองรุ่น (แต่ค่อนไปทาง CX-5) เบาะแถวที่สองของ CX-8 จะมีทั้งแบบ Bench ยาวนั่งได้ 3 คน และแบบ Captain Seat ที่เป็นเบาะแยกคู่คล้ายรถ MPV ญี่ปุ่นสายไฮโซทั้งหลาย

CX-8 ในตลาดญี่ปุ่น มีเครื่องยนต์เพียงแบบเดียวคือ SkyActiv-D 2.2 ลิตร ซึ่งก็เป็นเครื่องยนต์เดียวกับ Mazda CX-5 แต่เพื่อให้คงระดับอัตราเร่งได้ใกล้เคียง CX-5 และชดเชยกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น เครื่องยนต์จึงถูกปรับจูนให้มีกำลังเพิ่มจาก 175 เป็น 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุดเพิ่มขึ้นจาก 420 เป็น 450 นิวตัน-เมตร

 

Mercedes-Benz/AMG/SMART

รวมพื้นที่กันทั้งหมดในเครือ ไม่ว่าจะเป็น Mercedes-Benz ในไลน์อัพปกติ Mercedes-AMG พันธุ์โหดหลายคัน หรือจะใหญ่และหรูสุดแบบ Maybach หรือเล็กจิ๋วสุดอย่าง SMART และ SMART Brabus ทั้งหมดรวมอยู่ในบริเวณขนาดใหญ่ของ East Hall ฝั่งใต้

ที่ฝั่งของ Mercedes-Benz จะพบได้ทั้ง G-Class ซึ่งเป็นที่ินิยมมากในบรรดาเศรษฐีญี่ปุ่น รวมถึง A/GLA/CLA ซึ่งเป็นรถขับหน้าที่เขาว่าขายดี (แต่กลับเห็นบนท้องถนนโตเกียวน้อยกว่า G หรือ S-Class เสียอีก)

Mercedes-AMG Project One รถที่เราน่าจะเรียกว่าเป็น “ไฮเปอร์คาร์ที่เกิดจากการเอาบอดี้ซูเปอร์คาร์ครอบลงไปบนรถ F1”

ขุมพลังสำหรับ Mercedes-AMG Project One เป็นเครื่องยนต์เบนซิน V6 ขนาด 1.6 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศ Turbocharged ผสานการทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัว (มอเตอร์ขับเคลื่อน 3+ มอเตอร์เทอร์โบ 1)

สำหรับมอเตอร์ 2 ตัวแรก ขนาด 2 x 120 กิโลวัตต์ (120 kW = 163 แรงม้า PS) จะถูกติดตั้งไว้ที่เพลาล้อหน้า มอเตอร์ตัวที่ 3 มีขนาด 90 กิโลวัตต์ (90 kW = 122 แรงม้า (PS)) ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบเทอร์โบชาร์จ โดยในรอบเครื่องยนต์ต่ำ มอเตอร์จะเป็นตัวปั่นใบพัดไอดีเพื่ออัดอากาศ จนกระทั่งถึงรอบเครื่องยนต์สูงๆ ก็จะตัดการทำงานและให้ใบพัดไอเสียทำหน้าที่ปั่นใบพัดไอดีแทน และท้ายสุด มอเตอร์ตัวที่ 4 มีขนาด 120 กิโลวัตต์ (120 kW = 163 แรงม้า (PS)) ถูกติดตั้งไว้ที่เครื่องยนต์ และ ส่งกำลังไปยังเกียร์ โดยมีชุดเฟืองตรง หรือ Spur Gear ช่วยในการตัดต่อกำลัง

โดยรวมแล้วพละกำลังของ AMG Project One น่าจะทะลุ 1,000 แรงม้าไปไกล สามารถเร่งความเร็ว 0-200 ไมล์/ชั่วโมงได้ภายในเวลาแค่ 6 วินาทีเท่านั้น

มาต่อกันที่ Mercedes-Benz EQA Concept เป็นรถยนต์ไฟฟ้าแฮทช์แบ็คขนาดตัวใกล้เคียงกับ A-Class ซึ่งเผยโฉมมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2017 มีเส้นสายการออกแบบชนิดที่ทางเบนซ์เรียกว่า Sensual Purity ซึ่งก็คือแนวทางการออกแบบพื้นผิวตัวถังที่เรียบ สะอาดตา แต่เก็บรายละเอียดส่วนอื่นให้ดูสวยงาม นอกจากนี้ EQA Concept ยังขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ขับเคลื่อน 4 ล้อ (มอเตอร์หน้า 1 ชุดและหลัง 1 ชุด) ให้พลังรวม 268 แรงม้า

รถต้นแบบอีกคันคือ Smart Vision EQ fortwo ซึ่งมาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนตัวเองอ้ัตโนมัติ (Autonomous Drive) Level 5 ซึ่งสามารถปล่อยให้รถขับเองโดยที่ตัวรถอาจไม่จำเป็นต้องมีพวงมาลัยด้วยซ้ำ จุดเด่นอีกประการของ Vision EQ fortwo คือกระจังหน้า ซึ่งอันที่จริงสำหรับรถยนต์ไฟฟ้านั้นคงไม่ต้องมีแล้ว ก็เปลี่ยนเป็นจอภาพขนาดใหญ่ที่สามารถแสดงข้อมูลภาพกับตัวอักษรได้หลากหลาย

ถ้าไม่นับรถเทพเทวดาขับอย่าง AMG Project One แล้ว รุ่นท้อปสุดของทางค่ายก็คงได้แก่ AMG GT-R ซึ่งเป็นรุ่นย่อยหนึ่งของอนุกรม GT/GT-S/GT-R ซึ่งเพิ่งจะผ่านการไมเนอร์เชนจ์ไปเมื่อไม่นานมานี้ โดย GT-R จะเป็นรุ่นที่แรงสุด โหดที่สุด และปรับจูนมาเพื่อการแข่งขันมากที่สุด GT-R ใช้เครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่วางซุกระหว่างแบงก์ฝาสูบ ความจุ 4.0 ลิตรที่ให้พลังถึง 585 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตัน-เมตร

สนนราคาในญี่ปุ่นก็โหดเอาการ เพราะในขณะที่ AMG GT รุ่นล่างสุดมีราคาเริ่มต้น 16.9 ล้านเยน GT-R บวกชุดแต่งครบแบบในภาพจะมีราคาสูงถึง 23-27.3 ล้านเยนเลยทีเดียว

 

ถ้าใครไม่อยากจ่ายเงินซื้อซูเปอร์คาร์แพงๆ แต่ยังอยากได้อัตราเร่งหลังติดเบาะไว้ใช้และไม่ชอบที่จะต้องเลื้อยๆคลานๆเวลาเจอปูดถนนใหญ่ๆ ขอเชิญไปลอง GLC63S 4Matic Coupe นี่คือ SUV ที่เร่งได้เร็วที่สุดที่มีขายโดยทาง Mercedes-AMG ในขณะนี้ ใช้เครื่อง V8 ทวินเทอร์โบบล็อคเดียวกับ GT/GT-S แต่เปลี่ยนเป็นอ่างน้ำมันเครื่องพร้อมปั๊มแบบรถปกติ แรงม้าสูงสุด 510 แรงม้าเท่า AMG GT-S แรงบิดสูงสุด 700 นิวตัน-เมตร ที่เมืองไทยยังไม่ได้เอาเข้ามาขาย เพราะปัจจุบัน GLC43 หกสูบก็แรงและราคากำลังสวย ถ้าเอาตัว V8 เข้ามา ราคาน่าจะสูง (แต่ถ้าเอามา เชื่อเถอะครับยังไงก็มีคนซื้อ)

Smart Fortwo BRABUS Sports รถเล็กซูเปอร์จิ๋วจากฝั่งเยอรมัน เอา Smart รุ่นปกติมาให้ทาง BRABUS ตกแต่งให้ โดดเด่นด้วยล้ออัลลอย Monoblock IX และชุดแต่งตัวถังสีตัดกัน คล่องตัวเป็นลิงด้วยรัศมีวงเลี้ยวที่แคบเพียง 3.3 เมตร มีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 บล็อคกับ 3 ระดับขุมพลัง ได้แก่ 1.0 ลิตร ไร้เทอร์โบ 71 แรงม้า ตามด้วย 0.9 ลิตรเทอร์โบ 90 แรงม้า และตัวแรงสุดคือ 0.9 ลิตรเทอร์โบ 109 แรงม้า แรงบิด 170 นิวตัน-เมตร..แรงบิดเท่ารถ 1.8 ลิตร แรงม้าเท่ารถ 1.5 ลิตรบ้านๆ แต่ลากน้ำหนักตัวแค่ประมาณ 980 กิโลกรัม ทำให้อัตราเร่ง 0-100 ทำได้ภายใน 9.5 วินาที

 

Mitsubishi

ถึงแม้จะมีชื่อที่ฟังดูคล้ายกัน แต่รถต้นแบบอย่าง Mitsubishi e-Evolution แทบไม่มีอะไรเหมือนกับ Lancer Evolution เลยแม้แต่น้อย มันคือรถครอสโอเวอร์จากอนาคตที่ใช้ขุมพลังไฟฟ้าจากมอเตอร์ 3 ชุด (ล้อหน้าข้างละชุด และล้อหลัง 1 ชุด) มีสไตล์การออกแบบที่ดูสปอร์ต แต่เน้นระยะโอเวอร์แฮงหน้าและหลังที่สั้น สามารถลุยไต่มุมชันได้สูง มีรูปร่างซีกบนที่ทันสมัย ดูเหมือนรถสปอร์ตมากกว่า SUV

นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งระบบ A.I (Artificial Intelligence) ขั้นทดสอบลงไปในรถ เพื่อให้ตัวรถนั้นสามารถเรียนรู้ และมีความคิดเองได้ ระบบ A.I. ของมัน สามารถเรียนรู้สภาพถนน การจราจร และความสามารถของคนขับในแต่ละคน เพื่อปรับรูปแบบการฝึกหัดคนขับ Coaching ผ่านจอแสดงผลและเสียง ซึ่งส่งผลให้ผู้ขับสามารถบังคับรถได้อย่างปลอดภัยและบริหารการใช้พลังไฟฟ้าได้อย่างคุ้มค่า

หลังจากที่ขายจริงในยุโรปไปเมื่อเดือนกันยายน Mitsubishi ก็ได้ฤกษ์เปิดตัว Eclipse Cross ในบ้านเกิดเมืองนอนเสียที นี่คือรถครอสโอเวอร์ที่ทาง Mitsubishi เล็งให้มีตำแหน่งทางการตลาดสอดอยู่ตรงกลางระหว่าง ASX (ขนาดเล็ก) และ Outlander (ซึ่งเป็นรถ SUV ขนาดค่อนข้างโต) ขนาดตัวของมันนั้นใหญ่กว่า B-SUV อย่าง HR-V แต่ใกล้เคียงกันกับ Subaru XV

Eclipse Cross มีเครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อนให้เลือก 2 แบบ ซึ่งได้แก่เครื่องยนต์ 1.5 ลิตรเทอร์โบรหัส 4B40 ให้พลัง 160 แรงม้า ส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า หรือขับเคลื่อน 4 ล้อผ่านเกียร์ CVT ที่สามารถล็อคอัตราทดได้ 8 จังหวะ และหลังจากนี้ไปจะมีเครื่องยนต์ 2.2 ลิตรดีเซลเทอร์โบรหัส 4N14 ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะตามมาอีกภายหลัง

รูปทรงของ Eclipse Cross เป็นการออกแบบแนวใหม่ที่นำเอาผลตอบรับจากลูกค้าในฝั่งยุโรปเป็นเกณฑ์พิจารณาสำคัญ ที่ผ่านมาแม้ว่า Mitsubishi จะพยายามสร้างรถให้ถูกใจคนยุโรปมากเท่าไหร่ก็ยังมีลูกค้าบางกลุ่มที่มองว่ารถของพวกเขาดูอนุรักษ์นิยมเกินไป Eclipse Cross คือรถที่จะมาเปลี่ยนความคิดเหล่านี้

 

Nissan

Nissan IMx คือรถต้นแบบพลังไฟฟ้า ขับเคลื่อน 4 ล้อด้วยพลังมอเตอร์หน้า 1 ชุดและหลัง 1 ชุด ให้พลังขับเคลื่อนรวม 320kW (435 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 700 นิวตัน-เมตร มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่ส่งผลให้รถสามารถวิ่งได้ไกลถึง 600 กิโลเมตรหลังการชาร์จไฟเต็ม

โครงสร้างของรถเป็นแพลตฟอร์มรถไฟฟ้าแบบที่ Nissan ทำขึ้นมาใหม่สำหรับใช้กับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ซึ่งจะแบกแบตเตอรี่เอาไว้ที่พื้นห้องโดยสารแทนส่วนที่เคยเป็นเพลากลาง และยังสามารถกดพื้นห้องโดยสารให้แบนราบโดยที่ได้จุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำเป็นของแถม Nissan กำลังวิจัยโครงสร้างแบบนี้เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับรถยนต์นั่งเวอร์ชั่นผลิตจริงที่จะตามออกมาในอนาคต

นอกจากจะมีพลังสูง พิสัยทำการไกลแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ Nissan ตั้งใจจะโชว์เคสในรถคันนี้ คือระบบ ProPilot ซึ่งก็คือระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติขั้นเต็ม ซึ่งเมื่อผู้ขับกดปุ่มให้ระบบทำงาน พวงมาลัยจะหดเข้าไปติดกับคอนโซล และเบาะนั่งแต่ละตัวจะเอนไปอยู่ในตำแหน่งที่ให้ความผ่อนคลายมากขึ้น ผู้โดยสารกับคนขับสามารถนั่งสนทนาเม้าท์มอยชาวบ้านได้ตามใจชอบ

ต่อกันด้วย Nissan LEAF NISMO ซึ่งเป็นเวอร์ชั่น Performance ของ Leaf รุ่นใหม่ที่เพิ่งจะเปิดตัวไปเดือนก่อน จุดเด่นที่แตกต่างจากรุ่นธรรมดา อยู่ที่ชุดกันชนหน้า สเกิร์ตข้าง และกันชนหลังที่มีการตกแต่งด้วยวัสดุสีแดง NISMO พร้อมล้ออัลลอยขนาดใหญ่ ส่วนภายในนั้น ก็เกือบจะเหมือนรถรุ่นปกติ เพียงแต่เลือกโทนสีเป็นสีดำ และมีการเพิ่มวัสดุขอบแดงไปตามจุดต่างๆ

ทาง Nissan บอกว่าทีมวิศวกรได้ทำการปรับจูนช่วงล่าง สปริงและโช้คอัพใหม่ พร้อมทั้งจูนลักษณะการตอบสนองของคันเร่งให้มีแรงกระชากเวลาตอกคันเร่งมาขึ่นกว่ารุ่นปกติ เพื่อให้เป็นรถที่ขับได้สนุกขึ้น

แต่นี่จะนับเป็น EV Hot Hatch หรือจะเป็นแค่รถรักโลกที่แต่งตัวเหมือนรถซิ่ง..เวลากับการทดสอบจะเป็นตัวพิสูจน์

เพิ่งจะเปิดตัวไปเมื่อ 6 กันยายน วันนี้เลยได้โอกาสนำมาโชว์ในงาน TMS 2017 ชื่อของ LEAF แปลว่า ใบไม้ ขณะเดียวกัน ก็ย่อมาจากคำหลายคำรวมกันคือ Leading/Environmentally friendly/Affordable/Family car การออกแบบภายนอกของ NEW Nissan Leaf ได้แรงบันดาลใจมาจากรถยนต์ต้นแบบ IDS Concept Car ที่เปิดตัวไปในปี 2015 มีเอกลักษณ์ประจำตัวของ Nissan ยุคใหม่คือกระจังหน้าแบบ V-Motion โคมไฟทรงบูมเมอแรง และหลังคาแบบ Floating Roof

ขุมพลังที่ใช้ เป็นมอเตอร์ไฟฟ้า AC Synchronous electric motor รหัส EM57 กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) ที่ 3,283 – 9,795 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ที่ 0 – 3,283 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ Single Speed ปล่อย CO2 0g./km. (Zero Emission) ระยะทางที่ NEW Nissan Leaf วิ่งได้สูงสุดต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้งอยู่ที่ 400 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน JC08 ประเทศญี่ปุ่น ) หรือ 240 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน EPA ประเทศสหรัฐฯ) หรือ 378 กิโลเมตร (ตามมาตรฐานฝั่ง Europe)

Nissan Serena e-Power มาโชว์โฉมในงานนี้ แต่ยังไม่มีการเผยรายละเอียดใดๆเกี่ยวกับระบบขับเคลื่อน เรารู้แค่เพียงว่ามันใช้หลักการแบบเดียวกันกับ Note e-Power ซึ่งจะขับเคลื่อนรถด้วยพละกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้าเท่านั้น ส่วนเครื่องยนต์มีหน้าที่ปั่นไฟไปให้แบตเตอรี่ ซึ่งส่งพลังไปขับชุดมอเตอร์ รถรุ่นนี้จะไม่มีปลั๊กเสียบชาร์จใดๆ ถ้าคิดจะเติมพลังงานให้รถ ก็แค่ขับไปปั๊มน้ำมันเท่านั้น

ภายนอก e-Power จะต่างจากรุ่นธรรมดาตรงกระจังหน้าสีน้ำเงิน และล้ออัลลอยลายเฉพาะรุ่น ส่วนภายในก็มีวัสดุตกแต่งบางจุดที่เป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกัน Serena e-Power มีกำหนดจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นในไตรมาสที่ 2 ของปี 2018

Nissan X-Trail ไมเนอร์เชนจ์ ขายมาได้สักพักแล้ว และสำหรับบ้านเราก็เตรียมพบกันได้ในเร็วๆนี้ เนื่องจากรุ่นปัจจุบันทำตลาดในประเทศไทยมาตั้งแต่ปลายปี 2014 ดังนั้นก็ได้เวลาอันสมควรแล้ว สิ่งที่แตกต่างจากรุ่นเดิมก็คือ กระจังหน้า V-Shape ที่ขยายขนาดให้ใหญ่โตขึ้น  มีการปรับเส้นสายของไฟหน้าเล็กน้อย เพิ่มขยัก และ เหลี่ยมมุม รวมถึงปรับภายในตัวโคม เป็นแบบ Projector Lens คู่ ตัวไฟ Daytime Running Light ในแนวนอนย่อขนาดลงให้กระชับมากขึ้น มาพร้อมระบบไฟสูงอัตโนมัติ กันชนหน้า/หลังเป็นทรงใหม่

ส่วนภายในนั้น ยังเป็นดีไซน์เดิม แค่มีการปรับเปลี่ยนวัสดุในบางจุดให้ดูหรูหราทันสมัยขึ้น และเปลี่ยนพวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้านท้ายตัด ดีไซน์คล้ายกับ Nissan Note นั่นเอง

 

Nissan NOTE e-Power NISMO คือเวอร์ชั่นตกแต่งพิเศษของ Note e-Power ใช้ขุมพลัง เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ รหัส HR12DE ขนาด 1.2 ลิตร  79 แรงม้า ปั่นไฟส่งไปมอเตอร์ไฟฟ้า EM57 High Power ที่สร้างพละกำลังสูงสุด 109 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 254 นิวตัน-เมตร น้ำหนักตัว 1,250 กิโลกรัม ส่วนที่ตกแต่งพิเศษคือกระจังหน้าตาข่าย Nismo กับกันชน สเกิร์ตข้าง ที่แซมสีแดง สปอยเลอร์หลัง Nismo และล้ออัลลอย Nismo ขอบ 16 จับคู่กับยางขนาด 195/55R16 ภายใน เป็นสีดำ ตัดขอบแดงตามช่องแอร์ และเปลี่ยนเบาะเป็นทรงสปอร์ตที่โอบรัดมากกว่าปกติ

 

Peugeot

ไม่ใช่รถยอดนิยมในญี่ปุ่น แต่ก็ยังยืนหยัดอยู่ได้ มีพื้นที่บูธค่อนข้างเล็ก เพราะว่ากันว่างาน Tokyo Motorshow นั้นมีเงื่อนไขการพิจารณาการให้พื้นที่บูธตามจำนวนยอดขายรถยนต์ ซึ่งแน่นอนว่า Peugeot ในญี่ปุ่นยังไม่ป๊อปเท่า Volkswagen

คันนี้ คือ 2008 Cross City เป็นเวอร์ชั่นพิเศษเฉพาะสำหรับประเทศญี่ปุ่น เป็นครอสโอเวอร์ 5 ที่นั่งขนาดกระทัดรัด ใช้เครื่องยนต์ 1.2 ลิตรเทอร์โบเบนซิน 110 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 205 นิวตัน-เมตร

Peugeot 5008 GT เป็นพรีเมียม SUV ขนาดกลาง 7 ที่นั่ง ความยาวลำตัว 4.64 เมตร ความกว้าง 1.86 เมตร ใช้เครื่องยนต์ BlueHDi ดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร ให้พลัง 180 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ราคาจำหน่ายในญี่ปุ่นอยู่ที่ 4,540,000 เยน

 

Porsche

เปิดตัวเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นกับ Cayenne เจนเนอเรชั่นที่ 3 ซึ่งพัฒนามาให่หมดจด ใช้ขุมพลังเครื่องยนต์เทอร์โบรุ่นใหม่ 3.0 ลิตร 340 แรงม้า ประกบคู่กับเกียร์ Tiptronic S 8 จังหวะ ภายในออกแบบใหม่โดยมีกลิ่นอายของรถรุ่นหลังๆอย่าง Panamera เข้าไปมากขึ้น มีจอสำหรับระบบมัลติมีเดีย และระบบเชื่อมต่อินเทอร์เน็ตที่ทันสมัยขึ้น

Cayenne รุ่นมาตรฐาน 340 แรงม้า สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ภายใน 6.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 245 กิโลเมตร/ชั่วโมง

Panamera Sport Turismo นี่ก็เผยโฉมเป็นครั้งแรกงานแรกในญี่ปุ่นเช่นกัน มีดีไซน์ด้านหลังเฉพาะที่เพิ่มพื้นที่การบรรทุกจาก Panamera รุ่นปกติ (และความเห็นผม ดูสวยกว่ารุ่นปกติด้วยซ้ำ) ฝาท้ายขนาดใหญ่ มีขอบล่างที่ต่ำลง ทำให้ขนถ่ายสัมภาระได้ง่ายขึ้น (แต่อย่าไปเทียบกับ Volvo V60 ข้างบ้านละกัน) เบาะนั่งจะเป็นแบบ 4+1 ที่นั่ง ซึ่งต่างจากรุ่นปกติที่เบาะหลังจะไม่สามารถนั่ง 3 คนได้

รุ่นที่นำมาโชว์ในงาน TMS2017 นี้ เป็นรุ่น Panamera 4 E-Hybrid Sport Turismo ซึ่งใช้เครื่องยนต์ V6 เทอร์โบคู่ 2.9 ลิตร จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้มีพละกำลังรวมสูงถึง 462 แรงม้า

 

Renault

บูธตั้งอยู่โซนใกล้ Nissan กับ Mitsubishi เพราะเขาเป็นญาติกัน Renault ในตลาดญี่ปุ่นนั้น มีลักษณะเป็นรถเล็กรสเปรี้ยวทางเลือกของคนที่ไม่อยากเอื้อมไปถึงตลาดพรีเมียม แต่ก็ไม่ชอบที่จะซื้อรถญี่ปุ่นตามข้างบ้าน ในงานนี้ รถเด่นที่นำมาโชว์ก็คือ Megane RS แฮทช์แบ็คสายแรง เครื่องยนต์ 1.8 ลิตรเทอร์โบ แต่ให้กำลังถึง 280 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 390 นิวตัน-เมตร ขนาดตัวรถไล่เลี่ยกันกับ Nissan Pulsar และมีประตูหลังที่ดูคล้าย Mercedes-Benz GLA เอามากๆ

นอกจาก Megane RS แล้วก็ยังมี Megane GT เครื่องยนต์ 1.6 ลิตรเทอร์โบ 205 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ EDC ซึ่งฟังดูแล้วน่าเสียดายมาก Nissan กับ Renault ก็เป็นญาติกัน ทำไม Nissan ไม่ลองเอาขุมพลังแบบนี้มาใส่ในรถขับหน้าแรงๆขายในบ้านเราบ้าง Honda Civic RS จะได้มีฝันร้ายกับเค้าเสียที

 

Subaru

Subaru VIZIV Performance Concept  คือรถต้นแบบที่ Subaru สร้างมาเพื่อโชว์ว่า WRX/WRX STi เจนเนอเรชั่นต่อไป จะมีเอกลักษณ์ทางการออกแบบอย่างไรบ้าง ดีไซน์ภายนอกยังคงยึดหลักแนวคิดการออกแบบ “Dynamic × Solid” มีเส้นสายที่คมชัด เน้นสันเหลี่ยมคมที่มีส่วนทำให้รถดูดุขึ้น จุดเด่นอีกประการที่เห็นได้แต่ไกลคือซุ้มล้อทรงหกเหลี่ยม ทำหน้าที่เป็นโป่งยื่นออกมาคลุมล้อด้วย มีการตกแต่งแซมด้วยคาร์บอนไฟเบอร์บริเวณกันชนหน้า ซุ้มล้อ และหลังคา

ขุมพลังขับเคลื่อน เป็นเครื่องยนต์ Boxer และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Symmetrical AWD และยังมีการติดตั้งระบบ EyeSight เจนเนอเรชั่นใหม่ที่ทำงานผสานกันกับกล้องและเรดาร์จนสามารถใช้เพื่อการขับขี่แบบอัตโนมัติ (Autonomous Driving)ได้อีกด้วย


แต่สิ่งที่เด่นที่สุดในบูธของ Subaru จากมุมมองของ “สาวกสูบนอน” ก็คงนี้ไม่พ้น “The Price of WRX” เจ้าชายไฮโซพลังสูงอย่าง WRX STi S208 ซึ่งเป็นรถเวอร์ชั่นพิเศษ ผลิตในจำนวนจำกัด สืบสานวัฒนธรรมรถแพงสุดของค่ายต่อจาก S207 ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อปี 2015 ที่สำคัญ Subaru จะทำ S208 ออกมาขายแค่ 450 คันเท่านั้น ถ้าจำนวนคนจองเยอะกว่าจำนวนรถ ก็จะใช้วิธีการจับสลากเอา เรียกได้ว่ารวยอย่างเดียวไม่พอ ต้องเฮงยกกำลังสี่ด้วย

รูปแบบของรถ ก็ยังคล้ายคลึงกับ S207 คุณเริ่มต้นด้วย WRX STi เวอร์ชั่นญี่ปุ่น เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ Twin Scroll จากนั้นก็ใส่เสื้อผ้าเจ้าชาย เช่นล้ออัลลอยฟอร์จน้ำหนักเบาขนาด 19 นิ้วของ BBS ใส่เบรก Brembo โตพิเศษ หน้า 6 Pot หลัง 2 Pot จากนั้นก็เลือกว่าจะเอารุ่นที่เป็นหางหลังตูดเป็ดคาร์บอนขนาดเล็ก หรือเป็น GT-Wing คาร์บอนขนาดใหญ่ (รุ่นธรรมดาแบบไร้หางก็มีเช่นกัน) ส่วนภายในนั้น จะมีเบาะ Recaro ทรงเฉพาะสำหรับรุ่น S แดชบอร์ดคาดวัสดุสีชมพู หน้าปัดไฟขาว กรอบแดง เข็มแดงแทนไฟส้มของ STi รุ่นปกติ

นอกจากนี้ก็ยังมีช่วงล่างสตรัทที่ปรับจูนเป็นพิเศษโดยทาง Bilstein เพื่อรถตระกูล S โดยเฉพาะ ค้ำช่วงล่างชุดรอบคันจาก STi และมีชุดปั๊มและหัวฉีดพ่นละอองน้ำใส่อินเตอร์คูลเลอร์เพื่อช่วยระบายความร้อน (แก้ปัญหาความร้อนสะสมของพวกรถอินเตอร์บน เวลาวิ่งที่ความเร็วต่ำแล้วลมตีเข้าสคูพไม่แรงพอ)

BRZ Sport เป็นเวอร์ชั่นพิเศษผลิตจำนวนจำกัดแค่เพียง 100 คันเท่านั้น ใครที่อยากเป็นเจ้าของจะต้องเข้าพิธีจับสลากเช่นเดียวกับ S208

จุดเด่นของรถรุ่นนี้ อยู่ที่ภายนอกซึ่งมาพร้อมกับสีตัวถังพิเศษ ฟ้าอมเทา Cool Gray Khaki กระจกมองตกแต่งด้วยสีดำเงา เสาอากาศเป็นแบบครีบฉลาม มาพร้อมล้ออัลลอยลายใหม่ ด้านท้ายมีสปอยเลอร์ขนาดเล็กติดตั้งมาด้วย ล้ออัลลอยสีดำขนาด 18 นิ้ว มีช่วงล่างที่เปลี่ยนใหม่ทั้งโช้คอัพและสปริง ทำโดย SACHS และออกแบบโดย ZF เพื่อใช้สำหรับ BRZ Sport 100 คันนี้โดยเฉพาะ

เครื่องยนต์ที่ใช้ ก็ยังเป็น FA20 D4S เหมือนเดิม แต่ได้รับการปรับจูนเพิ่มกำลังจาก 200 เป็น 217 แรงม้า แรงบิดสูงสุดเพิ่มจาก 205 เป็น 212 นิวตัน-เมตร ส่วนภายในห้องโดยสารมีการตกแต่งให้มีความเป็นสปอร์ต มีโลโก้สัญลักษณ์ STi ที่หมอนรองศีรษะ เบาะนั่งหุ้มด้วยผ้าสลับหนัง สีดำสลับสีแดง พวงมาลัยหุ้มด้วยหนัง เดินตะเข็บด้ายสีแดง

Suzuki

เน้นการโชว์รถต้นแบบขนาดเล็กและเบาในน้ำหนัก แต่ไม่เบาในสไตล์และความชิค อันเป็นสไตล์ถนัดของ Suzuki


Suzuki XBEE (อ่านว่าครอสบี) เป็นรถครอสโอเวอร์สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ออกแบบมาให้รองรับกับการใช้งานเหมือน SUV ของแท้ที่ย่อขนาดลงให้ขับในเมือง ใช้เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร เทอร์โบ หรือ 1.2 ลิตร NA+ระบบ Mild Hybrid มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่ปรับการทำงานให้เหมาะกับการขับขี่ทั้งบนถนนแห้ง ทางโคลน หิมะ และขับลงเขา

XBEE มีการตกแต่ง 3 แบบ คือ XBEE แบบมาตรฐานที่ดูเรียบง่าย ภายในดำ ตกแต่งคอนโซลสีขาวงาช้าง ตามด้วย XBEE Outdoor Adventure ซึ่งจะมีกาบข้างสีคล้ายลายไม้ ใช้โทนสีและการตกแต่งที่รับแรงบันดาลใจมาจากเตนท์คาราวานทะเลทราย ภายในตกแต่งด้วยลายไม้ กับ XBEE Street Adventure ซึ่งแต่งในสไตล์คนเมืองทันสมัย มีแพทเทอร์นเหลี่ยมที่กาบข้างและตกแต่งคอนโซลด้วยลายกราฟฟิค

Suzuki e-SURVIVOR Concept รถต้นแบบจอมลุยพลังมอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัวที่ล้อแต่ละข้าง เผยโฉมในงาน TMS 2017 นี้เป็นแห่งแรกในโลก มันคือวิสัยทัศน์ของ Suzuki ที่จะแสดงให้โลกเห็นว่าพวกเขามองอนาคตของรถจอมลุยในภายหน้าไว้ว่าควรเป็นอย่างไร ตามแนวคิด “An exciting and fun SUV of the future” เจ้า e-SURVIVOR Concept ใช้โครงสร้างแบบ Ladder frame น้ำหนักเบา มีขนาดตัวถังที่เล็กกระทัดรัด ตามความเชื่อในการสร้างรถลุยของ Suzuki ว่าเล็กกว่า เบากว่า คล่องกว่า ย่อมได้เปรียบ

ทั้งนี้ อย่าเพิ่งถามว่ามอเตอร์ 4 ตัวติดที่ล้อนั้น ถ้าเอาไปลุยน้ำแบบที่ภาคกลางตอนบนบ้านเราตอนนี้จะรอดหรือไม่ เพราะรถคันนี้ยังเป็นรถต้นแบบอยู่ครับ

Suzuki Spacia / Spacia Custom Concept เป็นรถ Tall wagon ขนมปังเหาะขนาดจิ๋วสไตล์ยอดนิยมแม่บ้านญี่ปุ่น เนื่องจากมีความคล่องตัวในเมืองสูงและนั่งแล้วรู้สึกปลอดโปร่งสบาย ใช้เครื่องยนต์ 658 ซี.ซี. 3 สูบพร้อมระบบวาล์วแปรผัน VVT และมีรุ่น Mild Hybrid ให้เลือก

Spacia Concept มีการตกแต่ง 2 แบบ ถ้าเป็นรุ่นธรรมดา จะเน้นรูปร่างที่ดูน่ารัก เรียบง่าย มีสีสัน ส่วน Spacia Custom จะเน้นหน้าตาที่ดุ ตกแต่งด้วยกระจังหน้าแบบ Dark Metallic ภายในสีดำ แซมวัสดุสีเงิน

ถึงแม้จะออกมานานแล้ว แต่คนไทยคนใดที่ได้มางาน TMS2017 ต้องไม่พลาดรถคันนี้ Swift Sport ใหม่ ที่ขนมา 2 คัน คันสีน้ำเงินเป็นรถเกียร์อัตโนมัติ และคันสีเหลืองเป็นรถเกียร์ธรรมดา (เชื่อว่าถ้าผมบอกแบบนี้ คุณๆที่เดินเข้าบูธวิ่งไปหาสีเหลืองก่อนแน่) Swift Sport ใช้เครื่องยนต์ 1.4 ลิตรเทอร์โบ BOOSTERJET K14C-DITC พร้อมระบบวาล์วแปรผัน VVT เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 140 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 220 นิวตัน-เมตร

อีกจุดขายสำคัญคือแพลทฟอร์มใหม่ Heartect ความแข็งแกร่งที่อยู่ภายใต้น้ำหนักที่เบากว่าเดิม มีการปรับโครงสร้างพื้นตัวถังส่วนล่างและโครงกระดูกงูพร้อมทั้งเสริมความแข็งแกร่งของโครงสร้างเพื่อความแข็งแรงแต่ไม่เบียดเนื้อที่ภายในห้องโดยสารและห้องสัมภาระ

เท่าที่ผมลองนั่งดู ตำแหน่งการขับขี่คล้ายรุ่นเดิมคือสูง แต่ดูคล่อง พวงมาลัย คันเร่ง เบรก เกียร์ อยู่ถูกที่ แต่อย่าหวังว่า Suzuki ประเทศไทยจะเอามาขาย เพราะถ้าขายก็ไม่รู้จะจดสรรพสามิตยังไงเนื่องจากเอา Swift 1.2 ไปจดเป็นอีโคคาร์เรียบร้อยแล้ว อย่างนี้ไม่ต้องคิดมากครับ รอหน้า/ท้ายตัดญี่ปุ่นมาแล้วกัน

Suzuki Jimny รถออฟโรดขนาดเล็กจากทางค่าย ที่มาโชว์ในงานนี้เป็นโฉมเก่าที่ขายมาตั้งแต่ปี 1997 นะครับ

ส่วนรุ่นใหม่ที่ใกล้จะมาแล้งนั้น มีแนวโน้มว่าจะมาประกอบขายในอาเซียน (อินโดนีเซีย) โดยใช้เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร ดังนั้นจึงมีลุ้นที่จะเข้าไทยเช่นกัน สายออฟโรดเล็กหลายคนรออยู่เยอะและทางเราจะหาข้อมูลมาป้อนให้เรื่อยๆนะครับ

 

Toyota


ล้ำสมัยด้วยบรรยากาศบูธแบบเมนทอสเป๊ปเปอร์มินท์ มีรถต้นแบบมาจัดแสดงเป็นจำนวนมาก แต่ในรอบวันที่ 25 ตุลาคม ดูเหมือนจะไม่ค่อยเน้นการโชว์รถแบบที่ขายในตลาดทั่วไปเท่าไหร่นัก

Toyota Fine Comfort Ride คือต้นแบบของรถ MPV แห่งอนาคต ที่ออกแบบด้วยแนวคิด “ Wearing Comfort ” หรือ การถูกล้อมรอบด้วยสะดวกสบาย จนทำให้ผู้โดยสารรู้สึกถึงคุณค่าที่มากกว่า การเป็นรถยนต์สำหรับโดยสารธรรมดา หรือ ไม่ใช่แค่การโดยสารห้องโดยสารลายล้อมไปด้วยจอแสดงผล แบบสัมผัส ที่จะอยู่รอบๆคนขับ และ ผู้โดยสาร เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุม และ เข้าถึงข้อมูลได้อย่างอิสระ สำหรับที่นั่งถูกออกแบบให้ปรับได้อย่างคล่องตัว และ ยืดหยุ่น เพื่อให้สอดรับกับความสบายในทุกทิศทาง

สำหรับรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า แบบ FCV (Fuel Cell) คันนี้ มอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกติดตั้งไว้ให้ใกล้มุมของตัวรถให้มากที่สุด เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพด้านการใช้พื้นที่ และ ประโยชน์ด้านการกระจายน้ำหนักของตัวถัง นอกจากนี้ยังทำให้ลดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสารได้ เมื่อมอเตอร์ไฟฟ้าทำงาน

Toyota Concept-i เป็นรถที่เน้นการออกแบบให้ล้ำยุค ด้วยการทำให้ด้านหน้าของรถยนต์ดูพุ่งไปด้านหน้า พร้อมเส้นสายลื่นตาตลอดคันทั้งภายนอกและภายใน โดยแผงแดชบอร์ดยังเชื่อมต่อกับชิ้นส่วนตัวถังภายนอกด้วย ภายในห้องโดยสารมาพร้อมกับระบบเชื่อมต่อ HMI Interaction และหน้าจอแสดงผล 3D Head-up Display

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ AI ใน Toyota Concept สามารถทำได้มากกว่าการขับขี่รถยนต์โดยอัตโนมัติ เนื่องจากสามารถประเมินการแสดงออกของคนขับได้หลายรูปแบบทั้งการแสดงสีหน้า การกระทำ และโทนเสียงการพูด รวมไปถึงกิจกรรมต่างๆ ในโลกออนไลน์ ประวัติการสนทนา และข้อมูลใน GPS

 

Toyota Concept i-Ride เป็นรถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบขนาดเล็ก ที่ออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้พิการโดยเฉพาะพร้อมประตูปีกนกแบบ gull-wing ที่ไม่ได้ติดตั้งมาเพื่อเน้นความสปอร์ต แต่เพื่อให้ผู้พิการที่ต้องใช้รถเข็นสามารถขึ้น – ลงรถยนต์โดยสะดวก ทั้งยังสามารถขึ้น – ลงได้ โดยใช้ช่องจอดรถยนต์ที่มีความกว้างตามปกติเพียง 1 ช่อง

ห้องโดยสารของ Toyota Concept-i RIDE ยังออกแบบมาเพื่อจุดประสงค์เดิม ด้วยการติดตั้งเบาะปรับไฟฟ้าให้การปรับเดินหน้า – ถอยหลังเพื่อเก็บรถเข็นสะดวกยิ่งขึ้น ส่วนการขับขี่จะควบคุมผ่าน joystick เท่านั้น และไม่มีพวงมาลัย แป้นคันเร่ง หรือแป้นเบรกมาให้เลย

TJ Cruiser เป็นการผสมผสานรถตู้ MPV เข้าด้วยกันกับ SUV เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการใช้รถยนต์ในการทำงาน และ ทำกิจกรรมในคันเดียว ส่วนขุมพลังนั้นเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร พร้อมระบบ Hybrid มีให้เลือกทั้งระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ ขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยชื่อของ Toyota TJ Cruiser นั้น T หมายถึง Toolbox (กล่องเครื่องมือ) และ J คือ Joy คือความสนุกสนาน

ในส่วนของการออกแบบนั้น มาในทรงกล่องสี่เหลี่ยมตามสไตล์รถตู้ พร้อมตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ด้านหน้าดูบึกบึนราวรถถัง พร้อมเสริมกลิ่นอายความเป็นรถยนต์ SUV เข้าไปด้วยช่วงล่างยกสูง ซุ้มล้อขนาดใหญ่รอบตัวถัง และล้อลายตันแน่นเต็มซุ้ม ภายในของ Toyota TJ Cruiser รองรับผู้โดยสาร 4 ที่นั่ง พร้อมตอบโจทย์การขนของด้วยความยาวในห้องโดยสารถึง 3 เมตร ซึ่งมากพอที่จะใส่กระดานโต้คลื่นได้ เบาะทั้ง 2 แถวยังสามารถพับเรียบไปกับพื้นรถยนต์ ส่วนประตูด้านข้างเป็นแบบสไลด์เพื่อให้ง่ายต่อการขนของหรือขึ้นลง

Crown Concept ถูกพัฒนาขึ้นบนชุดโครงสร้างพื้นตัวถังและงานวิศวกรรมร่วม TNGA (Toyota New Global Architecture) ที่จะช่วยฟื้นคืนสมรรถนะการขับขี่น่าสนุกสนานตามสโลแกน ‘Fun to Drive’ จนถึงขั้นนำรถยนต์ไปทดสอบในสนาม Nürburgring ประเทศเยอรมนี เพื่อให้แน่ใจว่า Toyota Crown Generation ที่ 15 มีสมรรถนะการบังคับควบคุม, มีเสถียรภาพขณะขับขี่ทั้งความเร็วต่ำและสูง บนพื้นผิวถนนทั้งแบบเรียบหรือทางขรุขระ โดยที่ผู้ขับขี่สามารถขับขี่ได้อย่างง่ายดาย และสามารถเข้าถึงความสนุกสนานในการขับขี่

การออกแบบตัวรถ เน้นความอนุรักษ์นิยมตามความชอบของกลุ่มลูกค้าหลักของ Crown โดยปล่อยให้กลุ่มที่ชอบดีไซน์แหวกแนวไปซื้อรถจาก Lexus แทน ดูๆไปแล้วด้านข้างเห็นแล้วนึกถึง Holden Commodore ตัวถัง VN มาก

Toyota GR HV Sports Concept เป็นรถต้นแบบที่ใช้พื้นฐาน Toyota 86 ที่ผ่านการแปลงหัว – ท้ายใหม่หมด พร้อมเฉือนหลังคาแข็งทิ้งและแทนที่ด้วยหลังคาเปิดประทุนแบบ Targa ส่วนหน้าของรถดูแล้วเหมือนกับรถแข่ง Le Mans TS030 ของ Toyota ขุมพลังของ Toyota GR HV Sports Concept ระบุเพียงแค่ว่าเป็นระบบ Hybrid มีเครื่องยนต์วางหน้า ขับเคลื่อนล้อหลัง และติดตั้งแบตเตอรี่ในตำแหน่งกึ่งกลางรถยนต์ เพื่อรักษาสมรรถนะของรถสปอร์ตเอาไว้

 

Toyota Century รถยนต์นั่งระดับสูงสุดของทางค่าย ใช้ขุมพลังเป็นเครื่องยนต์เบนซิน รหัส 2UR-FSE V8 สูบ DOHC 32 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผัน Dual VVT-i และ VVT-iE ขนาด 4,969 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 94.0 x 89.5 มิลลิเมตร กำลังอัด 11.8 : 1 หัวฉีด D4-S Direct Injection แรงม้าสูงสุด 389 แรงม้า ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 520 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้พละกำลังแรงม้าสูงสุด 221 แรงม้า แรงบิด 300 นิวตันเมตร

แบตเตอร์รี่เป็นแบบ Nickle Metal-Hydride 240 เซลล์ 288 โวลต์ 6.5 แอมป์ ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ E-CVT พร้อมอัตราทดให้เลือก 2 แบบ Low กับ High เมื่อรวมพละกำลังของเครื่องยนต์สันดาปและมอเตอร์ไฟฟ้า ให้พละกำลังสูงสุด 438 แรงม้า และ สามารถทำงานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียวได้

Toyota Japan Taxi รถแท็กซี่มาดใหม่ที่จะมาทำหน้าที่แทนฝูงแท็กซี่ Toyota Crown Comfort โดยที่ออกแบบให้กินที่บนท้องถนนน้อยลง แต่เบาะนั่งหลังสบายขึ้น และเพดานหลังคาสูงโปร่ง ฝั่งคนนั่งซ้ายเป็นประตูเปิดแบบบานเลื่อน ส่วนฝั่งขวาเป็นบานประตูแบบธรรมดา เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร Atkinson Cycle บวกกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบไฮบริด ส่วนเครื่องยนต์ Atkinson นั้นจะใช้ LPG เป็นเชื้อเพลิง
ดูแล้ว ผมอยากให้เอามาขายแท็กซี่ในประเทศไทยมากๆ แต่ขอให้เป็นเครื่องยนต์แบบเดียวกับ Altis และดัดแปลงขุมพลังให้หาซ่อมง่ายในประเทศไทย น่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากทีเดียวครับ

Volkswagen

VW I.D. Buzz เป็นรถต้นแบบ MPV ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ชุดที่ให้พลังรวมถึง 275kW และสามารถวิ่งได้ไกลถึง 600 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง ตัวรถออกแบบโดยใช้แรงบันดาลใจจาก Volkswagen Type 2 จากอดีต

VW Arteon R-Line เป็นรถยนต์นั่งขนาดกลางที่มาขายแทน Passat CC ใช้โครงสร้างตัวถังแพลทฟอร์ม MQB เช่นเดียวกับ VW Golf ใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเทอร์โบ 280 แรงม้า จับคู่กับเกียร์คลัตช์คู่ 7 จังหวะ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MOTION

 

Volvo

มีตัวเด่นคือ XC60 ซึ่งเป็นครอสโอเวอร์ขนาดตัวพอๆกับ X3 มีสองรุ่นคือ T5 เครื่องเบนซินเทอร์โบ 2.0 ลิตร 245 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร และรุ่น T8 Plug-in Hybrid ใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเทอร์โบ 318 แรงม้า บวกกับมอเตอร์ไฟฟ้าพลัง 65 kW ซึ่งแน่นอนว่าจะมาเปิดตัวในบ้านเราภายในปลายปีนี้ โปรดอดใจรอสักครู่..

 

—–/////——-