กลับมาอีกครั้งกับมหกรรมงานจัดแสดงยานยนต์ซึ่งจัดโดยบริษัทสื่อสากล ซึ่งในปีนี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน-10 ธันวาคม 2019 ท่านที่สนใจมาร่วมชมงานในวันธรรมดา ท่านสามารถเข้าชมได้ตั้งแต่เวลา 12.00 น. ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการ จะเปิดเร็วขึ้นเป็น 11.00 น. และเลิกงาน ในเวลา 22.00 น. ของทุกวัน

สำหรับงาน Motor Expo ในปี 2019 นี้ ใช้ธีมประจำงานว่า Ride and Drive Together Now หรือ โลดแล่นทันใด ทะยานไปด้วยกัน ซึ่งในการนี้ ผู้จัดงานหมายถึง ความหลากหลายของยานยนต์ที่เรามี ไม่ว่าจะเป็นรถทั่วไป รถอเนกประสงค์ รถสปอร์ต รถเพื่อการพาณิชย์ต่างๆ รวมถึงพลังงานสำหรับการขับเคลื่อนที่มีทั้งแบบใช้เชื้อเพลิงเผาไหม้ ไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้าล้วน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นรถแบบไหน ขับเคลื่อนด้วยพลังใด ก็สามารถทะยานไปด้วยกัน ขับเคลื่อนชีวิตของมวลชนไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน

ในปีนี้ พบว่ารถต้นแบบสำหรับโชว์แนวคิด ที่เป็นงานรังสรรค์จากเมืองนอกนั้นไม่มีมาให้เห็นเลย รถทั้งหมดเป็นเวอร์ชั่นที่มีอยู่ในเมืองนอกจำหน่ายให้ลูกค้าทั่วไป หรือไม่ก็เป็นรถที่เราสามารถพบเห็นได้ทั่วไป อย่างไรก็ตาม รถที่เปิดตัวใหม่เมื่อเร็วๆนี้และเปิดตัวในงาน ล้วนครอบคลุมความต้องการของคนหลายฐานะ หลากรูปแบบการใช้ชีวิต ไม่ได้มีแต่ของเล่นคนรวยเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นตลาดอีโคคาร์ที่มีทั้งรถใหม่สด และรถรุ่นเดิมอัปเดต รถปิคอัพที่มี D-Max เป็นโมเดลเชนจ์ รวมถึงรถยนต์สำหรับครอบครัวหลายที่นั่งอย่าง Mazda CX-8 และล่าสุดกับ Kia Grand Carnival รุ่นย่อย LX ที่ราคาแค่ 1.397 ล้านบาท

นับว่าเป็นงานโชว์ที่ผู้คนทุกระดับ ทุกฐานะจะสามารถค้นหารถในฝันของตัวเองได้ไม่ยาก

อย่าลืมติดตามข่าวสารเพิ่มเติมจากทางเพจ Headlightmag ใน Facebook เพราะนอกจากจะมีบทความนี้แล้ว ทางคุณหมู ธีรพัฒน์ ยังได้ทำกระทู้เจาะลึกสำหรับรถรุ่นต่างๆ และมีรายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับรถบางรุ่นที่คุณอาจสนใจเป็นพิเศษ ผมได้ใส่ลิงค์เอาไว้ให้แล้วในหลายคัน

หมายเหตุ – โปรดอย่ายึดติดกับรูปแบบของบูธ เพราะส่วนมาก รอบประชาชนกับรอบสื่อมวลชนจะมีการสลับตำแหน่งรถกัน

AUDI

ไม่มีการเปิดตัวรถใหม่ภายในงาน เพราะชิงออกหมัดเด็ดไปก่อนหลายรุ่นแล้วก่อนหน้านี้ รถรุ่นใหม่ที่สุดของทางค่าย ได้แก่ Audi Q3 และ Q3 Sportback ครอสโอเวอร์ขนาดกระทัดรัด พิกัดเดียวกับ BMW X1 และ Volvo XC40 ซึ่งเพิ่งจะเปิดตัวลงขายที่ยุโรปไปเมื่อช่วงต้นปีนี้ ตลาดครอสโอเวอร์ในไทยนั้นเติบโตเร็วเช่นเดียวกับเมืองนอก Audi ประเทศไทยโดยผู้แทนจำหน่าย Meister Technik จึงเห็นโอกาสในการจับตลาดวัยรุ่นที่อยากเปลี่ยนจากแบรนด์หรูกระแสหลักมาลองของดีจากเมือง Ingolstadt กันบ้าง

Q3 เป็นรถที่ออกแบบกระเดียดไปทาง SUV มีขนาดโตขึ้นกว่ารถรุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัด เพิ่มความอเนกประสงค์ ในขณะที่ Q3 Sportback นั้นสร้างบนพื้นฐานเดียวกัน แต่ลดความสูงของหลังคา เนื้อที่เหนือศีรษะโดยเฉพาะด้านหลังนั้นแคบลงมาก แต่แลกกับเส้นแนวหลังคาที่ทำให้รถดูแปลกใหม่ปราดเปรียวสไตล์ SUV-Coupe รถที่นำมาโชว์ทั้งสองคัน ยังเป็นเวอร์ชั่นพวงมาลัยซ้าย ดังนั้นอุปกรณ์อาจจะยังไม่เหมือนคันจำหน่ายจริง รถที่ Meister Technik นำมาขาย จะใช้ขุมพลัง 1.4 ลิตรเบนซิน เทอร์โบ 150 แรงม้าทั้งหมด แต่มีให้เลือก 3 รุ่น ได้แก่ Q3 35 TFSI ราคา 2,299,000 บาท ตามด้วย Q3 TFSI S line 2,499,000 บาท และ Q3 Sportback 35 TFSI S line 2,649,000 บาท

สำหรับคนที่ชอบรถเล็ก งานนี้มีแคมเปญพิเศษสำหรับ Audi A1 Sportback 35 TFSI จากราคาปกติ 2,149,000 บาท คราวนี้เปิดราคาพิเศษให้ 1,999,000 บาท เท่ากับราคาพิเศษของรุ่น Q2 นับเป็นประตูสู่รถค่ายสี่ห่วงป้ายแดงที่ทำราคาได้น่าสนใจ แลกกับรถนำเข้าทั้งคัน ขนาดตัวแม้จะเล็กแต่มีเอกลักษณ์การออกแบบของ Audi อยู่เต็มขั้น ใช้เครื่องยนต์ 1.4 ลิตร เทอร์โบ 150 แรงม้าเช่นเดียวกันกับ Q3 แต่ด้วยน้ำหนักที่เบากว่า A1 น่าจะสร้างความจี๊ดยามเร่งได้พอสมควร

A6 Avant เปิดตัวในไทยไปตั้งแต่งาน Motor Expo ปีที่แล้ว กับรุ่น 55 TFSI เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร Mild-Hybrid 340 แรงม้า ทว่าราคา 4,999,000 บาทในขณะนั้นอาจจะเกินคว้าสำหรับใครหลายคน คราวนี้ Meister Technik ทำการบ้านมาใหม่ และส่งเวอร์ชั่น 45 TFSI ลดความโหดเครื่องยนต์ลงมาเป็น 2.0 ลิตร เทอร์โบ Mild-Hybrid 245 แรงม้า แต่มีอุปกรณ์ครบทั้งหลังคา Panoramic, ช่วงล่าง Sport-tuned, หน้าปัดแบบดิจิตอลจอใหญ่ ลดขนาดล้ออัลลอยมาเป็น 19 นิ้ว (นี่คือลดแล้ว?) ทั้งหมดนี้ มาในราคา 4,299,000 บาท

A6 Avant ทำตลาดอย่างไร้คู่แข่งเปรียบตรง เพราะทั้ง Mercedes-Benz และ BMW ต่างก็ปลดรุ่นสเตชั่นแวก้อนจากการขายไปหมดแล้ว แต่สำหรับ Audi ก็ไม่แน่ เพราะขนาด A4 รุ่นน้อง บอดี้ Avant กลับเป็นที่นิยมอย่างมาก

อ่านรีวิว Audi A6 Avant 45 TFSI quattro S line Black Edition by Pan คลิกที่นี่

 


 

BMW/MINI

เข้าบูธมาก็เจอกับแฝดคู่โหดอย่าง BMW X3 M และ X4 M รถครอบครัวสำหรับการปิคนิคที่บุรีรัมย์ เอารถจอด ขนของลง ให้แฟนตั้งเตนท์ตั้งโต๊ะ เอาลูกๆลง แล้วให้พ่อบ้านใส่หมวกกันน็อคขับมันลงสนามได้เลย ใครว่าเป็นรถอเนกประสงค์ทรงนี้แล้วไม่แรง ระวังตกยุค X3 M และ X4 M ใช้เครื่องยนต์บล็อคใหม่ล่าสุดอย่าง S58 ซึ่งเตรียมเข้าประจำการใน M3 กับ M4 ใหม่ในอนาคต ความจุ 3.0 ลิตร ให้พลัง 480 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร ออกตัวกดคันเร่งมิดนับห้าวิก็เกินร้อยไปแล้ว

เรื่องอื่นนอกจากความแรงก็ใช่ว่าจะน้อย ช่วงล่างเป็นแบบปรับความหนืดอัตโนมัติตามการขับขี่ เมียนั่งก็นุ่ม ไล่เมียลง วิ่งเข้าสนามก็ปรับให้แข็งขึ้นได้ ไม่ใช่ช่วงล่างแบบตายตัวอย่างของ M2 หรือ M4 ตัวปัจจุบัน แล้วยังมีอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยอย่างระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ ระบบเตือนรถในจุดบอดกระจกมองข้าง ไฟหน้า Adaptive LED ปรับการส่องได้อัตโนมัติ แต่ในความครบนี้ คนจ่ายเงินก็ต้องใจถึงหน่อย X3 M ราคา 7,699,000 บาท และ X4 M ราคา 7,999,000 บาท ราคานี้รวม BSI Standard แล้ว

รถหรูอย่าง M850i Convertible ที่เพิ่งเผยโฉมไปเมื่อเดือนกันยายนก็มาโชว์ ส่วน M5 นั้น ขออภัยที่ต้องเรียนตามตรงว่าตอนแรกเดินผ่านไม่ได้สังเกตอะไร มาทราบเอาตอนหลังว่ารถคันนี้คือ “M5 Edition 35 Years” ซึ่งเป็นรถรุ่นพิเศษ เฉลิมฉลองวาระครบรอบ 35 ปีนับตั้งแต่ M5 คันแรกโฉม E28 กำเนิดขึ้นมาบนโลก ตัวรถรุ่นพิเศษนี้ ใช้พื้นฐานจาก M5 Competition ซึ่งใช้เครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตรทวินเทอร์โบ 625 แรงม้า สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ภายใน 10.8 วินาทีเท่านั้น

M5 35 Years Edition ใช้สีพิเศษ BMW Individual Frozen Dark Grey II อันเป็นสีเมทัลลิกซึ่งมีขั้นตอนการพ่นแบบพิเศษ ทำให้ผิวสีมีความเงาหรือความด้านเหมือนกับส่องผ้าไหม นอกจากนี้ยังมีล้ออัลลอย Y Spoke ขนาด 20 นิ้ว ทำสีพิเศษ Graphite Grey ซึ่งจะมีเพียงรุ่น 35 Years Edition เท่านั้นที่ได้ล้อสีนี้/แบบนี้ ส่วนระบบเบรก เป็นแบบ M Compound Brake System รถคันที่มาโชว์ใช้เบรกคาร์บอนเซรามิก ซึ่งมีคาลิเปอร์สีทอง ภายในมีจุดเด่นที่วัสดุตกแต่ง อะลูมิเนียมคาร์บอนสีทองอโนไดซ์ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกและรุ่นแรกที่ทาง BMW Individual ทำมาให้

ราคาอยู่ที่ 13,999,000 บาท แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับการที่มันมีจำนวนเพียง 350 คันเท่านั้นบนโลกนี้ ส่วนทางไทยไม่ทราบเหมือนกันว่าได้โควต้ามากี่คัน แต่คันที่จอดในงานน่าจะถูกจับจองไปแล้ว ณ วันที่บทความนี้ออก

อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณชอบของที่แรงพอเหมาะ แต่เน้นความสบายจากขนาดตัวที่โตกว่า BMW X5 xDrive 45e M Sport ประกอบในประเทศ ได้มาเปิดตัวแล้วในงานนี้ด้วยราคาเพียง 4,999,000 บาท ซึ่งถูกลงกว่ารุ่น xDrive30d ตัวนำเข้าถึง 700,000 บาท แต่รุ่น 45e จะใช้ล้ออัลลอยขนาด 21 นิ้วในขณะที่รุ่นดีเซลนำเข้าจะได้ล้อ 22 นิ้ว

ระบบขับเคลื่อนและขุมพลัง มาในแบบเต็มอิ่มชนิดที่ใครถอย X5 xDrive40e ตัวเก่าไปน่าจะมีน้ำตาตก เพราะคราวนี้ตัวเครื่องยนต์สันดาปภายใน เป็น 6 สูบเรียงเสียงหวานแถมยังพ่วงเทอร์โบชาร์จเจอร์ จนพละกำลังเครื่องยนต์อย่างเดียวก็มี 286 แรงม้า/450 นิวตันเมตรแล้ว พอพ่วงมอเตอร์เข้าไป ทำให้ได้กำลังสูงสุด 394 แรงม้า กับแรงบิด 600 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ลิเธียมไออ้อน ความจุไฟ 24 kWh ส่งผลให้วิ่งด้วยไฟฟ้าอย่างเดียวได้ไกล 67-87 กิโลเมตร โดยที่เรื่องความหรูและอุปกรณ์ต่างๆนั้นไม่ได้น้อยหน้ารุ่น 30d ตัวนำเข้าเลย

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่

นอกจากนี้ ถ้าใครรอโอกาสอยากขับ 3 Series มานาน BMW กำลังจัดโปรโมชั่นให้ 320d Sport G20 รุ่นนำเข้า ลดลงมาจาก 2,959,000 เหลือแค่ 2,499,000 บาท แต่รีบหน่อยนะครับ เพราะหมดแล้วหมดเลย

มาทางด้านแบรนด์ MINI กันบ้าง เห็นเอาเจ้าเขียวหัวเป็ดมาจอดหน้าบูธสองคัน ก็เผลอนึกว่ารุ่นเดิม (พวก BMW/MINI นี่เขาชอบมีของดีของแรงแบบซ่อนๆ) จนกระทั่งอ่านป้าย Eco sticker แล้วเห็นเครื่องยนต์รหัส “B48A20E” เอ๊ะ..นี่มันเครื่องใหม่นี่หว่า เอ้า! ก็แน่นอนสิครับ นี่คือ MINI John Cooper Works Countryman และ John Cooper Works Clubman ที่แม้จะบอดี้เดิม แต่เพิ่มเติมคือความโหด รุ่นเดิม 231 แรงม้า/350 นิวตันเมตร เราลองขับแล้วก็บอกแรงดี แต่ยังไม่ถึงขนาดหลังติดเบาะ MINI เขาเลยเสกพลังเพิ่มให้เป็น 306 แรงม้า ส่วนแรงบิดยิ่งโหดเพราะล่อเข้าไป 450 นิวตันเมตร นี่จะไปไล่ฆ่าพวก 3.0 เทอร์โบได้แล้ว ทาง MINI เขาเคลมว่า 0-100 ทดเวลาลงไปได้ตั้ง 1.4-1.5 วินาที นี่พี่จะไปไล่ WRX กับ EVO ที่ไหนเหรอครับ?

นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับระบบแยกจับพลังลงล้อแต่ละข้างด้วยไฟฟ้า และแน่นอน ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ALL4 จับม้าทุกเม็ดลงพื้นให้เจ้าของกระแทกคันเร่งดีดตัวออกได้อย่างสบายใจ ทั้ง JCW Countryman และ Clubman ตั้งราคาเอาไว้ 3,648,000 บาท

ถ้าหากว่า John Cooper Works มันไม่ Work กับงบของคุณ ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งลาขาดจาก MINI เพราะงานนี้ก็มี Clubman รุ่นปกติที่อัปเดตใหม่ เปลี่ยนไฟท้ายธง Union Jack ทรงใหม่ล้ำสมัยขึ้น Cooper Clubman รุ่นถูกสุด สตาร์ทที่ราคา 2,430,000 บาท มาพร้อมเครื่องแรงระดับนมอุ่น 3 สูบ 1.5 ลิตร 136 แรงม้า ซึ่งถ้าคุณใจร้อน แนะนำครับว่าข้ามไปหา Cooper S Clubman เลยทันที จะได้อัพเลเวลเป็น 2.0 ลิตร 192 แรงม้า แต่ราคาก็ 3,130,000 บาท ถ้าไหวก็สู้เถอะลูก ขับมันส์กว่ากันคนละเรื่อง

นอกจากนี้ยังมีรุ่นที่ตกแต่งภายนอกและภายในด้วยโทนสีพิเศษ Cooper S Clubman Yours Edition จ่ายเพิ่มสองแสนบาท แล้วจะได้ตัวถังสีดำ Enigmatic Black metallic ล้ออัลลอย  ลาย British Spoke สองสี พร้อมตัวเลือกชุดแต่งอย่าง พวงมาลัย MINI Yours เบาะหนังแท้สีดำตัดเย็บพิเศษ Leather Lounge Carbon Black พร้อมเบาะรองศีรษะในลายธงยูเนียน แจ็ค และเลือกตกแต่างภายในด้วยวัสดุ Piano Black illuminated, Frozen Blue illuminated หรือ Fibre Alloy illuminated


 

CHEVROLET

ก่อนจะลืม ขอแจ้งให้ทราบว่า Chevrolet ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการในงานแล้ว ว่า Colorado และ Trailblazer รุ่นที่ขายอยู่ในปัจจุบันนั้น รองรับเชื้อเพลิงไบโอดีเซล B20 ได้เรียบร้อยแล้ว

ภายในบูธของ Chevrolet ปีนี้ รถใหม่ที่สุดที่นำมาโชว์ตั้งแต่งานต้นปี และขายจริงมาได้สักพักแล้วก็คือ Captiva รถอเนกประสงค์ 5-7 ที่นั่ง ขนาดตัวไม่เล็ก โดยเฉพาะที่นั่งแถวสามนั้น มีพื้นที่ไม่แพ้พวก SUV พื้นฐานกระบะคันใหญ่ๆ ใช้เครื่องยนต์ 1.5 ลิตรเทอร์โบ 143 แรงม้า ราคาเริ่มต้น 999,000 บาท ซึ่งเมื่อตอนเปิดตัวจะมีส่วนลดพิเศษ 40,000 บาทให้กับลูกค้า 300 ท่านแรกที่จองรุ่น 1.5 LS นี้ ไม่แน่ใจว่าหมดโควต้าหรือยังเพราะตัวเลขยอดขายเดือนตุลาคมออกมา ฟันยอดได้เกิน 400 คัน ซึ่งถือว่าเกินคาดไปเยอะ

ส่วนฝั่งรถปิคอัพ ยังไม่มีตัวขายเด็ดที่น่าสนใจ รุ่น RS Limited Edition ที่ผลิตจำกัด 200 คัน ก็เป็นรถ Cosmetic change ที่มีแค่กระจังหน้า กระโปรงหน้า หลังคาและท้ายทาสีดำ ราคาเริ่มต้น 665,000 บาท

อย่างไรก็ตาม เราก็พอจะเห็นเหตุผลล่ะว่าทำไม Chevrolet ถึงทำรถอย่างรุ่น RS เพราะเมื่อนำไปตกแต่งอย่างในภาพข้างบน ก็น่าจะโดนใจวัยรุ่นสร้างตัวอยู่ไม่น้อย อันที่จริงเจ้ารถสีส้มโหลดเตี้ยข้างบนนี่เขาตั้งใจทำมาโชว์เป็นรถต้นแบบกระบะเตี้ย (ถึงแม้จะเป็นรถต้นแบบ แบบที่เจอได้เยอะบนท้องถนนก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม) เรียกว่า Colorado RS Street ซึ่งรถเดิมเป็น Colorado X-cab LT RS นำมาใส่ช่วงล่าง ล้ออัลลอย 18 นิ้ว  คาดสติกเกอร์ข้าง ดิสก์เบรกหน้า/หลังจาก Brembo ติดมาตรวัดเสริมเรียงเป็นตับฝั่งคนนั่ง

ส่วนรถคันสีดำ คือ Chevrolet Colorado Panther เป็นรถโชว์แนวอีกเช่นกัน ต่างกันที่คันนี้จะไปเล่นสไตล์ยกสูง เอา Colorado Midnight Edition มาปรุงแต่ง ติดชุดแผ่นเหล็กกันกระแทกแบบ 3 ชิ้น, รอกมอเตอร์ของ Warn, ติดตั้งแผงบนกันชนเหล็กแบบออฟโรด, ติดตั้งชุดลากพ่วง, พ่นเคลือบกระบะท้าย ด้วยวัสดุกันกระแทก, ชุดแผงไฟ Spot light ด้านหน้าแบบ LED สีดำ, กันชนท้ายแบบออฟโรด สีดำ พร้อมที่เหยียบด้านข้าง, ล้อแบบออฟโรดขับเคลื่อน 4 ล้อ, ยางลุยโคลนรุ่น KM3 จาก BF Goodrich และชุดช่วงล่าง OLD MAN EMU

อ่านรีวิวของ Chevrolet Captiva LS/LT/Premier by Pan ได้ที่นี่

อ่านรีวิวของ Chevrolet Colorado High Country ได้ที่นี่


 

FORD

 

Ranger กระบะตัวทำเงินของค่าย ปลายปี 2019 นี้มีการอัปเดตผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม ตัวแรกที่น่าสนใจคือ Ford Ranger FX4 ซึ่งเกิดจากการนำเอารุ่น XLT มาใส่ของแต่งเพิ่ม เป็นกระบะยกสูงขับหลังแต่งสวยจากโรงงาน  เพิ่มสปอร์ตบาร์ กระจังหน้าดำ ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วสีดำ ชุดแต่งกันชนหน้า/หลังสีดำ เพิ่มปู Liner พื้นกระบะ ส่วนภายใน ให้เบาะหนังสีดำเย็บตะเข็บด้ายสีแดง เครื่องยนต์เป็นแบบเดียวกับ XLT 2.2 ลิตร PUMA บล็อคเก่า 160 แรงม้า มีให้เลือกแค่เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ราคาขายพิเศษจนถึงสิ้นปีนี้คือ 899,000 บาท ซึ่งแพงกว่ารุ่น XLT เพียง 30,000 บาท แต่ได้ของเพิ่มชนิดคุ้มค่า (หลังสิ้นปี ราคาจะเพิ่มเป็น 919,000 บาท)

Ford Ranger Wildtrak โมเดล 2019 ล็อตใหม่ มาในราคาเดิม เปลี่ยนล้อลายใหม่ เพิ่มไฟหน้าใหม่ Projector Bi-LED และช่องเสียบไฟฟ้า USB บริเวณกระจกมองหลัง ในงานนี้ มีการนำรุ่น Wildtrak X เป็นรุ่นพิเศษมา และไม่ได้มาโชว์เฉยๆ แต่มาขายจริง ติดตั้งกันชนเสริมด้านหน้า, สนอร์กเกิล, ซุ้มล้อใหม่ที่มีสัญลักษณ์ Ford ที่หมุด และตบท้ายด้วยล้ออัลลอยลายใหม่ ใครอยากได้ ขอแค่สั่ง “ไม่ต้องเพิ่มเงิน” ราคาเดียวกับ Wildtrak Bi-turbo คือ 1,265,000 บาท

กระบะจอมโดดอย่าง Raptor ก็ได้อานิสงส์ท้ายปีเช่นกัน นอกจากจะเพิ่มสีน้ำเงินใหม่ Performance Blue แล้ว ยังได้ไฟหน้าและช่องเสียบ USB กระจกมองหลังเช่นเดียวกับ Wildtrak แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาแล้วน่าสนใจจริงๆก็คือระบบ Active Safety เช่นระบบเตือนเบรก ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ ระบบเตือนรถเฉออกนอกเลน ซึ่งเดิม Wildtrak จะมี แต่ไม่ได้ติดตั้งใน Raptor ทั้งหมดนี้ มาในราคาเดิม 1,699,000 บาท

Ford Everest Sport เป็นรุ่นย่อยใหม่ที่ถูกนำมาคั่นกลางระหว่างรุ่น 2.0 Titanium และ Titanium + ตัวรถนั้นมีพื้นฐานมาจากรุ่น 2.0 ลิตรเทอร์โบเดี่ยว 180 แรงม้า แล้วนำมาไหว้ของดำ (กระจังหน้าดำ ล้ออัลลอย 20 นิ้วสีดำ ชุดแต่งสีดำ ภายในดำเดินตะเข็บด้ายสีน้ำเงินและวัสดุตกแต่งคอนโซลหน้าสีน้ำเงิน) สำหรับรุ่นพิเศษนี้ ทาง Ford เองไม่ได้จู่ๆอยากทำก็ทำขึ้นมา แต่วิจัยมานานพอสมควรว่าลูกค้าที่ซื้อรถ Ford Everest อยากแต่งรถตัวเองไปในแนวทางไหน คำตอบก็คือแนวโหดนี่ล่ะเหมาะที่สุด แต่ราคาไม่ได้โหดตาม เพราะตั้งเอาไว้ที่เพียง 1,399,000 บาท แต่ต้องรีบหน่อย เพราะถ้าสิ้นปีนี้แล้ว ราคาจะกลับไปอยู่ที่ 1,469,000 บาทครับ

นอกจากนี้ก็ยังมี Everest รุ่น Titanium + ที่มาพร้อมกับสีน้ำเงิน Deep Crystal Blue โทนใหม่ นำมาจัดแสดงภายในงานด้วย


 

HONDA

พระเอกของงาน คงต้องยกให้ Honda City ที่เพิ่งเปิดตัวก่อนหน้านี้ไปแค่ไม่กี่วัน ราคาเริ่มต้น 579,500 บาทในรุ่น S (จะแถม 500 มาอิหยัง?) และจบกับรุ่น RS อุปกรณ์ครบล้อ 16 นิ้ว ที่ราคา 739,000 บาท ถึงแม้หน้าตาของรถรุ่นใหม่จะได้รับความเห็นทั้งบวกและลบแตกต่างกันสุดขั้ว พอถึงวันงานจริง บูท Honda ก็มีเจ้านี่แหละเป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้คนชนิดแทบจะต้องต่อคิวกันดูรถเลยทีเดียว

จุดที่น่าสนใจของ City ใหม่ ไม่ใช่เรื่องอุปกรณ์ เพราะแทบไม่ต่างจากเดิม บางรุ่นย่อยเหมือนโดนถอดของออกไปด้วยซ้ำ แต่เครื่องยนต์ 1.0 ลิตรเทอร์โบใน Honda City นี่ล่ะ คือสิ่งที่หลายคนรอคอย ปอดไม่โต แต่ได้พลัง 122 แรงม้า มากกว่ารุ่นเดิม และแรงบิด 173 นิวตันเมตร เรียกได้ว่าแรงม้าเท่ารถ 1.5-1.6 ลิตร แต่แรงบิดนี่เท่ารถ 1.8 ลิตรเลยทีเดียว แถมยังมีระบบแปรผันองศาเพลาลูกเบี้ยวทั้งฝั่งไอดี/ไอเสีย มีระบบปรับระยะยกวาล์วที่ฝั่งไอดี จึงสามารถเรียกว่า VTEC Turbo จริงๆได้ไม่อายฟ้าดิน ส่วนเชื้อเพลิงจากเดิมรองรับ E85 รุ่นใหม่นี้จะรองรับแค่ E20 เพราะในรุ่นเดิมที่คิดสรรพสามิตตามอัตรารถปกติ จะได้ส่วนลดภาษี 5% เมื่อรถสามารถเติม E85 ได้ แต่ City รุ่นใหม่นี้เขาจดเข้ารับสรรพสามิตอัตราอีโคคาร์ไปเรียบร้อย ต่อให้เติม E85 ได้ก็ไม่ได้รับส่วนลดเพิ่มเติม มันก็เป็นอย่างนี้แหละจ้ะนายจ๋า

ดูสเป็ครถ ราคา และอุปกรณ์แบบครบทุกรุ่นย่อยของ City คลิกที่นี่

Civic Hatchback ก็จัดเป็นรถใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อ 8 พฤศจิกายน อัปเกรดจากรุ่น TURBO เดิม เป็น TURBO RS ดังนั้นจึงได้ล้ออัลลอยลายเดียวกับรุ่นสี่ประตู มีการเพิ่มการตกแต่งด้วยวัสดุรมดำเข้าไป เปลี่ยนกันชนหน้า/หลังใหม่ ท่อไอเสียแบบออกท้ายคู่ตรงกลางรูเบ้อเริ่ม ภายใน อัปออพชั่นเท่า RS สี่ประตู ที่สำคัญคือเพิ่มระบบความปลอดภัย Honda Sensing, ไฟสูงอัตโนมัติ และ Adaptive Cruise Control เข้าไปด้วย ราคาเพิ่มจากรุ่น 1.5 TURBO เดิม 60,000 บาท

ในงาน ยังมีการนำรุ่น Hatchback มาแต่ง Modulo โชวไว้ข้างๆกัน ผมถ่ายราคาอะไหล่แต่ละชิ้นมาด้วย เผื่อใครอยากลองติดตั้งใส่รถตัวเองดูครับ


 

HYUNDAI

บูธของ Hyundai มีการนำ Veloster รถทรงแปลกมาโชว์ ด้านซ้ายมีประตูสองบาน ด้านขวามีบานเดียว ไม่ Symmetrical (Subaru ไม่ถูกใจสิ่งนี้) ขนาดตัว พอฟัดพอเหวี่ยงกับ Hot Hatch ยุโรปอย่าง MINI Hatch และ VW Golf แต่ทั้งนี้ บอกแค่เพียงว่าจะมีการเปิดราคาขายจริงในปีหน้า สำหรับวันนี้มาดูหยั่งเสียงประชาราษฎร์ก่อนว่าชอบมากแค่ไหน ขุมพลังในเวอร์ชั่นเมืองนอก มีตั้งแต่ 1.4 ลิตรเทอร์โบ 140 แรงม้า, 2.0 ลิตรไร้เทอร์โบ 149 แรงม้า, 1.6 ลิตรเทอร์โบ 204 แรงม้า และเด็ดสุดกับรุ่น 2.0 เทอร์โบ 250-275 แรงม้า

ส่วนรถที่ขายอยู่ก็มีการการนำมาโชว์ KONA Electric SEL รถยนต์ไฟฟ้าบ้าพลัง เร่งแรงเหมือน Audi quattro ทรวดทรงใกล้เคียง HR-V พร้อมกับแบตเตอรี่ลูกใหญ่ ชาร์จเต็มที่ วิ่งได้เกิน 400 กิโลเมตร ส่วนรถตู้ MPV ขนาดใหญ่อย่าง H-1 ในปลายปี 2019 มีการอัปเดตให้กับทั้งรุ่นย่อย Touring, Elite, และ Deluxe เช่น เปลี่ยนลายล้ออัลลอย เปลี่ยนลายกระจังหน้า เพิ่ม Daytime Running Light ขายในราคาเดิมทุกรุ่นย่อย คือ 1,329,000-1,729,000 บาท

ดูภาพเพิ่มเติม เช็คเทียบอุปกรณ์แต่ละรุ่นย่อยของ H-1 ได้ที่นี่


 

ISUZU

ปีทองของตรีเพชร หลังจากที่ขายออลนิวจนเลิกนิวไปนานคนยังเรียกออลนิวอยู่ ปี 2019 D-Max โมเดลเชนจ์ก็เผยโฉมออกมา และ Motor Expo ครั้งนี้ ก็เป็นงานโชว์ครั้งแรกของ D-Max รุ่นใหม่ ซึ่งได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม นอกจากรุ่น 1.9 กับ 3.0 V-Cross ที่นำมาโชว์ในงานหลายแบบแล้ว ตามธรรมเนียมของ Isuzu ต้องมีรถกระบะแต่งมาโชว์ ในปีนี้ บนเวทีจึงมี Isuzu D-Max Cab4 1.9 ลิตรตัวเตี้ย แต่งตามเทรนด์วัยรุ่นนิยม และ V-Cross 3.0 แต่งยกสูง ล้อใหญ่ เอาใจขาลุย

ตัวเครื่องยนต์ จะเป็นการนำเครื่องจากรุ่นเดิมมาปรับปรุงในหลายจุด ทั้ง 1.9 ลิตร 150 แรงม้าและ 3.0 ลิตร ที่เพิ่มแรงม้าเป็น 190 ตัว แต่ในส่วนอื่นๆ เช่นห้องโดยสาร และช่วงล่าง พัฒนาไปไกลกว่าเดิม อยากรู้ว่าเป็นอย่างไร ก็คลิกบทความรีวิวข้างล่างนี้ได้เลยครับ ผมขับมาเรียบร้อยแล้ว

อ่านบทความรีวิว Isuzu D-Max V-Cross 3.0 M 4×4 คลิกที่นี่

เจาะสเป็ค-ออพชั่น-ราคา ทุกรุ่นย่อยของ D-Max 4 ประตู คลิกที่นี่

 


 

JAGUAR/LAND ROVER

ขนมาโชว์ครบทุกรุ่น แต่รุ่นที่ได้รับความสนใจในงานมากที่สุด คือ ALL NEW Range Rover Evoque น้องเล็กหน้าตาคมคายไม่เหมือนใครในเซกเมนต์เดียวกัน ภายนอกดูเหมือนรถเล็กแต่แท้จริงแล้วไม่เล็ก เพราะล้ออัลลอยที่ให้มามีขนาด 20 นิ้ว หลังคาสีดำเงาตามเอกลักษณ์ของรุ่น ภายในดูล้ำสมัยราวกับรถต้นแบบด้วยจอสี ทั้งหน้าปัด, จอกลาง และจอสำหรับเครื่องปรับอากาศ เบาะและประตูหุ้มด้วยหนังชั้นดี ส่วนเรื่องลุย แม้จะไม่ค่อยมีใครพูดถึงสำหรับรถระดับนี้ แต่ Range Rover ก็บอกมาว่า Evoque สามารถลุยน้ำได้ลึกสุด 600 มิลลิเมตร ซึ่งพอสำหรับหน้าฝนในเมืองกทม. อย่างแน่นอน

Range Rover Evoque Plug-in Hybrid SE ราคา 3,999,000 บาท และรุ่น Plug-in Hybrid SE R-Dynamic ราคา 4,499,000 บาท ทั้งสองรุ่นใช้ขุมพลังใหม่ ตัวเครื่องยนต์สันดาปภายใน มีขนาดความจุแค่ 1.5 ลิตร 3 สูบเทอร์โบ แต่รวมพลังกับมอเตอร์แล้ว ได้ม้าออกมาถึง 300 ตัว ส่งกำลังสู่เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และถ้าใครเป็นโรคแอนตี้ไฮบริด ก็ยังมีทางเลือก กับรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล Ingenium 2.0 ลิตรเทอร์โบ 180 แรงม้า โดยรุ่น 2.0 Diesel SE ตั้งราคาเอาไว้ 4,999,000 บาท และรุ่น 2.0 Diesel SE R-Dynamic ราคา 5,499,000 บาท


 

KIA

นอกจาก Kia SOUL EV รถยนต์ไฟฟ้าล้วนที่มีพื้นฐานกลไกร่วมกับ Hyundai Kona แล้ว ก็มีรถ MPV อย่าง Grand Carnival 11 ที่นั่ง ซึ่งนำเอารุ่นย่อย 2.2 LX ไปประกอบที่เวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศสมาชิกอาเซียน ส่งผลให้ได้รับการงดเว้นภาษีนำเข้า Kia จึงสามารถตั้งราคาได้ถูกลงโดยที่มีการเพิ่มอุปกรณ์เข้าไปจากเดิม เช่น ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ 18 นิ้ว, เครื่องเสียงแบบที่รองรับ Apple CarPlay และยังเพิ่มระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว+ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และระบบออกตัวบนทางลาดชัน ซึ่งแต่เดิมการขาดสิ่งเหล่านี้ คือจุดอ่อนที่ทำให้บางที่ที่งบไม่พอเล่นรุ่นย่อยสูงๆ ยังไม่สามารถตัดสินใจได้

อุปกรณ์เพิ่ม..แต่ราคาลด เหลือเพียง 1,397,000 บาท ถูกกว่า LX ประกอบจากเกาหลีรุ่นเดิมถึง 225,000 บาท กลายเป็นตัวเลือกใหม่สำหรับครอบครัวที่มีสมาชิกเยอะ ได้รถจุ 11 ที่นั่ง อุปกรณ์สมเหตุสมผล ในราคาเท่า SUV พื้นฐานกระบะรุ่นย่อยล่างๆ แต่ได้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.2 ลิตร 197 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ต้องยอมรับตามตรงว่าราคาบาท/ที่นั่ง และได้เครื่องเคราสเป็คนี้ ไม่ได้โผล่มาให้เห็นทุกปีจริงๆ

ดูรูปภายใน และรายการอุปกรณ์ของ Kia Carnival LX ปี 2019 ได้ที่นี่

อ่านรีวิว ทดลองขับ Kia Soul EV ได้ที่นี่

 


 

LAMBORGHINI

Lamborghini โดย บริษัท เรนาสโซ่ มอเตอร์ จำกัด ผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เผยโฉม Lamborghini Huracán EVO Spyder ใหม่ในงาน Motor Expo ปีนี้ หลังจากที่ช่วงต้นปี เปิดตัวเวอร์ชั่นหลังคาแข็งของ EVO ไปแล้ว รถรุ่นนี้ ถือเป็นการอัปเดตช่วงกลางเจนเนอเรชั่นของ Lamborghini Huracán Spyder ที่ได้กันชนหน้า/หลัง และเปลี่ยนการออกแบบภายใน เปลี่ยนระบบ Infotainment ให้สอดคล้องกับรุ่น EVO หลังคาแข็ง

ขุมพลังของกระทิงเขียวคันนี้ เป็นเครื่องยนต์แบบ V10 5.2 ลิตร รอบจัดทะลุ 8 พัน ยกมาจาก Lamborghini Huracán Performante ทำให้มีแรงม้าถึง 640 แรงม้า เมื่อบวกกับตัวถังที่สร้างด้วยเทคโนโลยีอะลูมิเนียมและคาร์บอนไฟเบอร์ ทำให้มีน้ำหนักเปล่าเบาแค่ 1,542 กิโลกรัม ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบใหม่ ผนวกโปรแกรมควบคุมแบบ LDVI ที่คาดการณ์ความเคลื่อนไหวของรถ และปรับตามโหมดกับพฤติกรรมการขับเพื่อให้มีบุคลิกรถในลักษณะตามที่ผู้ขับชื่นชอบ ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ภายใน 3.1 วินาที ความเร็วสูงสุด 325 กิโลเมตร/ชั่วโมง

 


 

MASERATI

หน้าบูธดำทะมึนน่าเกรงขาม ในงานนี้ MGC-Asia ผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของแบรนด์ Maserati เปิดตัวรถรุ่นย่อยใหม่ 2 รุ่น เริ่มต้นกับ Maserati Ghibli Nerissimo Edition ซึ่งเป็นลักษณะการตกแต่งแบบพิเศษ ในเมืองนอกสามารถเลือกจับคู่มาดดำดุแบบนี้กับรุ่น Ghibli, Ghibli S และ Ghibli S Q4 เสริมความดุด้วยสีดำสนิททั้งภายนอก และยังตกแต่งภายในห้องโดยสารด้วยโทนสีดำ แม้แต่ชิ้นส่วนที่ใช้ตกแต่งอย่างโลโก้, กรอบกระจังหน้า, มือจับเปิดประตู, กรอบหน้าต่าง, ล้ออัลลอย แม้แต่ปลายท่อไอเสียก็พ่นสีดำสนิท

นอกจากนี้ ยังมีการนำรุ่น Ghibli และ Levante ที่ใช้เครื่องยนต์แบบ V6 ดีเซล 3.0 ลิตร 275 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร เป็นทางเลือกใหม่ที่ช่วยให้เป็นเจ้าของ Maserati ในราคาที่ฟังแล้วไม่เป็นลม โดย Ghibli Diesel ตั้งราคาขายเอาไว้ที่ 6,890,000 บาท และ Levante Diesel ราคาอยู่ที่ 6,990,000 บาท


 

MAZDA

ปีนี้ดูท่าจะเหนื่อยเพราะงานเยอะ ฝั่งเซอร์วิสและศูนย์บริการก็ยังต้องคอยตามแก้ปัญหา Defect กันต่อไป แต่ฝั่งการตลาด ก็วุ่นกับการเปิดตัวรถ 6 รุ่นเฉพาะในปี 2019 ขยันขยับตัวเพื่อให้สามารถสู้กับคู่แข่งในตลาดต่อไปได้ ในงาน Motor Expo ปีนี้ มีทั้ง ALL NEW MODEL อย่าง Mazda 3 รถนั่ง C-segment ที่เพิ่งได้รับรางวัล Car of the year จากสมาคมผู้สื่อข่าวยานยนต์แห่งประเทศไทย เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร แรงไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ ช่วงล่างด้านหลังเปลี่ยนเป็นทอร์ชั่นบีม แต่ใช้ความสามารถในการออกแบบและเทคโนโลยี GVC Plus ทำให้การบังคับควบคุมช่วงล่างและตัวถังดีกว่ารุ่นเดิม

ALL NEW อีกรุ่นที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นานนี้ และได้รับความสนใจเกินคาด คือ Mazda CX-8 รถ 6-7 ที่นั่งซึ่งเกิดจากการนำแนวคิดทุกอย่างของ Mazda ในการสร้างรถไม่ว่าจะเป็นช่วงล่างขับสนุก การตอบสนองที่ดี ภายในที่ดูดี มาบวกกับเรือนร่างใหญ่บ้านบึ้ม เป็น Mazda ที่คนทุกไซส์นั่งได้สบายเพราะฐานล้อยาวกว่ารถ PPV เสียอีก มีทางเลือก 2 ขุมพลัง กับเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร และดีเซล 2.2 ลิตร เฉพาะรุ่นท้อป 2.2 XDL Exclusive ได้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และเบาะนั่งแถวสองแบบแยกจากกัน (Captain Seat) ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1,599,000 บาท

ถ้าใครคิดว่า CX-8 ใหญ่ไป และอยากได้ความแรงแบบไม่อายรถสปอร์ต ขอเชิญสัมผัส Mazda CX-5 2.5 TURBO 231 แรงม้าในบูธ Mazda ได้เช่นกัน

อ่านรีวิว First Impression Mazda 3 ใหม่ โฉม 2019 ได้ที่นี่

อ่านรีวิว First Impression Mazda CX-8 2.5 SP 7 ที่นั่ง ได้ที่นี่

ไฮไลท์ของงาน คือการเปิดตัว Mazda 2 ไมเนอร์เชนจ์ ตั้งราคาเริ่มต้น 1.3 E เอาไว้ที่ 546,000 บาท และแพงสุดในรุ่น 1.5 D XDL ที่ 799,000 บาท ซึ่งแต่ละรุ่นย่อยจะแพงขึ้นกว่าเดิมประมาณ 7,000-20,000 บาท สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือ ไฟหน้า, ไฟท้าย, กันชนหน้า/หลัง และอัปเกรดระบบ G-Vectoring Control เป็น G-Vectoring Control PLUS ซึ่งเพิ่มฟังก์ชั่นควบคุมการหักเลี้ยวโดยใช้ระบบเบรกเข้าช่วย จากเดิมที่ระบบ GVC ธรรมดาจะพึ่งพาการคุมพลังจากเครื่องยนต์อย่างเดียว รุ่น 1.5 XD และ XDL ได้ล้ออัลลอย 16 นิ้วลายใหม่

นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนสีผ้าที่หุ้มเบาะ ได้โทนสีน้ำตาล และน้ำเงิน รุ่นสูงจะเป็นเบาะหนังสลับผ้าอย่างดี อีกทั้งยังมีการเพิ่มกล้องมองรอบคัน 360 องศา และเซนเซอร์กะระยะด้านหน้า 4 ตำแหน่งเข้ามาด้วย ถือเป็นการพยายามเสริมความน่าสนใจให้ตัวผลิตภัณฑ์ในฐานะที่เป็นรถทำเงินของทางค่าย และในขณะนี้ยังมีคู่แข่งอย่าง Almera และ City ที่เป็นตัวถังใหม่สด ถ้าไม่ขยับอะไรเลยก็คงอยู่ลำบาก


 

McLAREN

นอกจาก 720S Spider สีน้ำเงินที่อยู่ในบูธ งานนี้มีรถใหม่มานำเสนออีกคัน ซึ่งก็คือ McLaren GT ซึ่งเป็นรถที่มีโครงสร้างพื้นฐานแบบเดียวกันกับ 720S แต่นำมาปรับปรุงพื้นที่บริเวณเหนือเครื่องยนต์ให้สามารถบรรทุกสัมภาระได้มากขึ้นกว่าเดิม (Monocell II T-Chassis) น้ำหนักตัวถังเปล่าอยู่ที่ 1,530 กิโลกรัม ถ้าคุณดูเจ้า GT แล้วรู้สึกว่ามันหรูหราผู้ดีกว่ารุ่นอื่นๆที่แล้วมา ก็ไม่ผิด เพราะ McLaren ตั้งตำแหน่งทางการตลาดอย่างแตกต่าง 720S สำหรับคนที่ต้องการสมรรถนะสูง ส่วน GT นั้นสร้างมาสำหรับการวิ่งบนถนนเป็นหลัก จึงเน้นภายในที่ดูดีด้วยวัสดุหนังตัดเย็บอย่างประณีต เบาะนั่งสบาย ใส่ถุงกอล์ฟและสัมภาระเที่ยวกับแฟนสองคนได้

แต่ถ้าหรูแล้วคิดว่าไม่แรง..เลิกคิดได้เลย เพราะเครื่องยนต์ M840TE V8 4.0 ลิตรทวินเทอร์โบนั้น ก็ใช้พื้นฐานเดียวกับ 720S แต่ปรับเปลี่ยนรายละเอียดปลีกย่อยหลายจุด ลดขนาดเทอร์โบชาร์จเจอร์ลง แลกแรงม้าที่รอบสูงไป แต่ได้แรงบิดรอบต่ำที่คล่องตัว เรียกใช้ได้รวดเร็ว เป็นรถที่ขับง่ายตามจุดประสงค์หลักคือ เร็ว และสบาย กระนั้น ก็ยังมีม้าให้ใช้ 620 PS ทำอัตราเร่ง 0-100 ภายใน 3.2 วินาที 0-200 จบใน 9 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 326 กิโลเมตร/ชั่วโมง ช่วงล่างเป็นระบบควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ Proactive Chassis Control เทคโนโลยีเดียวกับ 720S

ส่วนคันนี้..จอดอยู่ในห้องปิด เฉพาะ VIP เท่านั้นที่จะได้เข้าชม เพราะมันคือรถขั้นเทพ Ultimate Series ของ McLaren ที่มีศักดิ์เทียบได้กับ F1 ในตำนานและ P1 ที่โด่งดังเมื่อหลายปีก่อน McLaren SENNA ตั้งชื่อตามนักแข่งมือพระกาฬชาวบราซิล Ayrton SENNA ที่เคยเป็นนักแข่งคู่บุญของทีม McLaren ในช่วงยุค 80s-90s ตอนต้นก่อนจบชีวิตที่สนาม Imola ในปี 1993

SENNA เป็นรถที่สร้างมาเพื่อสิ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือการสร้างสถิติความเร็วในสนามแข่ง โครงสร้าง Monocage II เป็นเวอร์ชั่นที่ใช้พื้นฐานร่วมกับ 720S แต่เปลี่ยนหรือปรับชิ้นส่วนเพื่อให้คงทนต่อการขับที่ทารุณสุดขีด แล้วยังทำให้น้ำหนักรวมของตัวรถเบาหวิวเพียง 1.2 ตัน เครื่องยนต์ M840TR V8 4.0 ลิตรทวินเทอร์โบ ไม่มีมอเตอร์ใดๆช่วยถีบเหมือนรุ่น P1 แต่ทำแรงม้าสูงสุดได้ 800 แรงม้า แรงบิด 800 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์คลัตช์คู่ของ McLaren มันสามารถวิ่งควอเตอร์ไมล์ได้ภายใน 9.9 วินาที ออกจากจุดหยุดนิ่งถึง 300 กิโลเมตร/ชั่วโมงใช้เวลาแค่ 17.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 340 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ไม่ได้ล็อคแต่สุดเรดไลน์ที่เกียร์สุดท้ายพอดี)

McLaren สร้าง SENNA ขึ้นมาเพียง 500 คันทั่วโลก ทุกคันมีเจ้าของหมดแล้ว รวมถึงคันนี้ บวกกับมูลค่าตัวรถที่แพง 150-170 ล้านบาท ก็คงไม่แปลกที่ต้องเก็บในห้องไว้ให้ VIP ชมอย่างเดียว ถ้าออกวิ่งบนถนนแล้วใครเผลอขับรถไปชนท้ายคงร้องไห้ เพราะนอกจากโครงสร้างพิเศษแล้ว สปอยเลอร์ ดิฟฟิวเซอร์รอบคัน ยังเป็นแบบปรับองศาด้วยระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์เพื่อรีดความเร็วบนสนามแบบสุดๆ


 

MERCEDES-BENZ

 

ถึงงาน Motor Expo ทีไร ค่ายดาวสามแฉกไม่เคยทำให้ผิดหวัง อย่างในปีนี้ ก็มีการเปิดตัวรถใหม่ในงานถึง 5 รุ่นด้วยกัน เริ่มจากรุ่นที่ผู้คนมีโอกาสเป็นเจ้าของกันได้หน่อย อย่าง E-Class ขุมพลัง EQ Power จากเดิมที่เป็นรุ่น E 350 e คราวนี้ปรับเปลี่ยนเป็นรุ่น E 300 e มอเตอร์ใหม่ 122 แรงม้า และแบตเตอรี่ที่เพิ่มความจุขึ้นจากเดิมเป็น 13.5 kWh เมื่อรวมกับเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเทอร์โบชาร์จเจอร์ 211 แรงม้า ได้พลังรวม 320 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร ซึ่ง C-Class ได้ใช้ขุมพลังนี้ไปก่อนแล้วตั้งแต่ช่วงกลางปี

E 300 e ใหม่ มีการตกแต่งให้เลือก 3 แบบ คือ Avantgarde ราคา 3,190,000 บาท Exclusive ราคา 3,440,000 บาท และ AMG Dynamic ราคา 3,770,000 บาท โดยรุ่น Exclusive และ AMG Dynamic จะมีระบบ Cruise Control ปรับความเร็วอัตโนมัติ, กล้อง 360 องศา ไฟหน้าอัจฉริยะ ปรับทิศทาง ความเข้มของแสงและการส่องโดยอัตโนมัติ ล้ออัลลอย 19 นิ้ว เฉพาะรุ่น Exclusive มีประตูดูด และเฉพาะรุ่น AMG จะมีหลังคา Panoramic, จอ HUD, เบาะหนัง Nappa และเครื่องเสียง Burmester

หรือถ้าใครอยากได้รถใหญ่ราคาดี E 350 e Final Edition ล็อตสุดท้ายก็ยังเหลืออยู่ ในราคาเริ่มต้นที่ 2,900,000 บาท

SUV อย่าง GLE 300 d 4MATIC ซึ่งเปิดตัวมาก่อนหน้านี้ในฐานะรถนำเข้า บัดนี้ เวอร์ชั่นประกอบในประเทศ เผยโฉมแล้ว ได้ออพชั่นไม่น้อยไปกว่าเดิม (ตัดออกแค่ที่วางแก้วแบบปรับอุณหภูมิ) แต่ทำราคาลดลงจาก 6,060,000 เหลือ 5,190,000 บาท ใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ดีเซล เทอร์โบ OM654 245 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ ล้ออัลลอยขนาด 21 นิ้ว หลังคา Panoramic ฝาท้ายไฟฟ้าแบบไม่ต้องใช้มือกดเปิด อีกทั้งยังได้ภายในหุ้มด้วยหนัง Nappa และระบบความปลอดภัยครบครัน

รถรุ่น GLC Coupe ก็มีการเปิดตัวรุ่นใหม่ คันสีขาวคือ Mercedes-AMG GLC 63 S 4 MATIC Coupe ราคา 10,790,000 บาท เด่นด้วยเครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตรเทอร์โบคู่ บล็อคเดียวกันกับ C 63 S ซึ่งมีแรงม้า 510 ตัว แรงบิด 700 นิวตันเมตร มาพร้อม AMG package ที่ปลดล็อคความเร็ว 250 ให้ซ่าได้ 280 กิโลเมตรต่อชั่วโมงถ้าหาที่วิ่งได้และไม่กลัวตาย ภายนอก มีกระจังหน้าซี่ตั้งแบบเฉพาะของ AMG ซึ่งจะถูกใช้ในรถแบรนด์ Mercedes-AMG ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ช่วงล่างแบบ AMG Ride Control ปรับความแข็งได้ มีจอ HUD ไฟหน้า Multi-beam LED

สำหรับคนที่มองหาความแรง แต่ยังไม่พร้อมจะพลีสิบล้าน มี GLC 43 4 MATIC Coupe เครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตรทวินเทอร์โบ 390 แรงม้าเป็นทางเลือกไว้ปลอบใจ ออพชั่นไม่น้อยหน้ารุ่นใหญ่ เพราะได้ช่วงล่างถุงลม AMG Ride Control ไฟหน้า Multi-beam และจอ HUD เหมือนกัน แถมรุ่นน้องยังได้ Cruise Control แบบปรับความเร็วตามสถานการณ์อัตโนมัติ DISTRONIC ทั้งหมดนี้มาในราคา 4,990,000 บาท

คันนี้ ใหญ่เด่นสง่าอยู่กลางบูธ กับ GLS 350 d 4 MATIC AMG Premium SUV ขนาดใหญ่ 7 ที่นั่งสำหรับคนที่คิดว่า GLE-Class ยังใหญ่ไม่พอ ราคาก็ใหญ่ตามขนาดตัวคือ 8,859,000 บาท ระยะฐานล้อยาวขึ้นกว่ารุ่นเดิมถึง 60 มิลลิเมตร เพิ่มพื้นที่จน Mercedes-Benz กล้าเคลมว่าเบาะแถวสาม ยังออกแบบเผื่อผู้โดยสารที่ตัวสูงถึง 194 เซนติเมตรได้ ไฟหน้า Multi-beam LED ของ GLS 350 d มีจำนวนหลอดไฟต่อข้างถึง 112 หลอด ปรับการส่องตามความเร็ว การหักเลี้ยวของพวงมาลัย และมาพร้อมระบบไฟสูงที่ปรับส่องต่ำอัตโนมัติเมื่อมีรถสวย หลังคา Panoramic และเบาะแถวสองปรับเลื่อนได้ 10 เซนติเมตร และปรับเอนด้วยระบบไฟฟ้า

เครื่องยนต์ของ GLS 350 d เป็นเครื่องดีเซล 6 สูบเรียง 3.0 ลิตรเทอร์โบ แบบเดียวกับของ S 350 d ซึ่งให้กำลังสูงสุด 286 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร แม้จะต้องลากสังขารใหญ่บ้านบึ้มของ GLS (ใหญ่จนทำให้ล้อ 21 นิ้ว ไม่เคยดูเล็กขนาดนี้มาก่อนในรถคันอื่น) แต่ก็ยังเคลมอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ 7 วินาที ถึงจะใหญ่แต่ก็ไม่อุ้ยอ้ายแน่ถ้าทางเปิด

เท่าที่ลองนั่งดู ห้องโดยสารของ GLS 350 d ดูเหมือนจะใหญ่โตกว่า BMW X7 เสียด้วยซ้ำ BMW ตั้งราคา X7 M50d เอาไว้ 8,999,000 บาท แต่มีข้อได้เปรียบจากพลังแรงม้าที่สูงกว่า งานนี้ สำหรับคนที่รู้ความต้องการตัวเอง สามารถเลือกได้ง่ายเลยว่าต้องการพื้นที่บรรทุก และชื่อชั้นสูงเท่ากันในราคาถูกกว่า หรือยอมจ่ายเพิ่มแต่ขอรถ SUV คันโตที่แรงแบบรถสปอร์ตมีหนาว


 

MG

 

งานนี้ ไม่มีการเผยรถใหม่ เพราะระหว่างปีที่ผ่านมาก็จัดไปแล้ว 3 รุ่น กับ MG ZS EV, MG Extender และ MG HS ซึ่งเมื่อพิจารณาจากยอดขายตามข้อมูลล่าสุด ZS EV เป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบขนาดเท่ารถจริง (ไม่นับพวกรถขนาด Micro/Mini) ที่สร้างยอดขายได้ดีที่สุด และ HS ก็กระโดดขึ้นคว้าอันดับสองในยอดขายเดือนตุลาคมด้วยราคากับออพชั่นที่ดึงดูดลูกค้าได้จำนวนมาก อย่างไรก็ตาม Extender นี่อาการยังน่าเป็นห่วง ทาง MG จึงต้องเปิดตัวพรีเซนเตอร์ใหม่อย่าง คุณบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ มาช่วยประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น

 


 

MITSUBISHI

Triton เวอร์ชั่นแต่ง “Athlete” เปิดตัวแล้วในงานนี้ โดยสิ่งที่คุณจะได้เพิ่มจากรุ่นปกตินั้นมีตั้งแต่ กระจังหน้า, ชุดตกแต่งกันชนหน้า, หลังคา, กระจกมองข้าง, บันไดข้าง, มือจับเปิดประตู และกันชนหลัง ทั้งหมดนี้พ่นสีดำ นอกจากนั้นแล้วยังได้ล้ออัลลอยขอบ 18 นิ้ว ดำทั้งวง ไฟหน้า Bi-LED รมดำ สติกเกอร์ตกแต่งรอบคันและปูพื้นกระบะมาให้ ส่วนภายในนั้นใช้เบาะหนังสลับผ้าโทนสีดำตัดส้ม คอนโซลกลางด้านข้างมีบุหนังสีส้มเพิ่ม ตกแต่งภายในด้วยตะเข็บด้ายสีส้ม มีให้เลือก 2 รุ่นคือ Triton Athlete 2.4 Plus ขับเคลื่อนล้อหลัง ราคา 1,035,000 บาท และ Triton Athlete 2.4 4WD ราคา 1,146,000 บาท แพงขึ้นกว่ารุ่น GT Premium ปกติประมาณ 47,000-52,000 บาท

ไฮไลท์ที่เปิดตัวในงานอีกรุ่น ก็คือ Mitsubishi Mirage และ Attrage ไมเนอร์เชนจ์ครั้งใหญ่ เปลี่ยนไฟหน้า ไฟตัดหมอก กระจังหน้า กันชนหน้า/หลัง กับล้ออัลลอยลายใหม่ ภายใน มีการเปลี่ยนมาตรวัดเพิ่มขอบสีแดง จอทัชสกรีน 7 นิ้วแบบใหม่และเบาะหนังสีดำเดินตะเข็บด้ายสีขาว ปรับราคาเพิ่มขึ้น 7,000-19,000 บาท ตามแต่ละรุ่นย่อย ส่วนเครื่องยนต์ ยังใช้เครื่องเดิม Mirage วางราคาไว้ที่ 474,000-619,000 บาท ส่วน Attrage 494,000-624,000 บาท ปรับเพิ่มประมาณ 7,000-19,000 บาทตามแต่ละรุ่นย่อย

ที่ราคารุ่นเริ่มต้นของ Mirage และ Attrage ไม่ข้ามหลัก 500,000 เพราะทั้งสองรุ่นนั้นเป็นเกียร์ธรรมดา ซึ่งนับเป็นการสวนกระแสของตลาด เพราะทุกวันนี้เหลือเพียงอีโคคาร์ของ Mitsubishi และ Suzuki Ciaz/Celerio เท่านั้นที่ยังเหลือทางเลือกสับเองเหยียบเองให้คนที่ชอบอรรถรสดั้งเดิมอยู่

อ่าน Full Review by J!MMY-Mitsubishi Mirage และ Attrage ใหม่ ได้ที่นี่


 

NISSAN

เห็นสีหน้าของทีมงานกับผู้บริหารแล้วรู้สึกอิ่มใจแทน หวังว่าปีนี้คงมีโบนัสดีๆ เพราะนานเหลือเกินที่ไม่ได้เห็นผู้คนจำนวนมากขนาดนี้ในบูธของ Nissan ซึ่งมีดาวเด่นเป็น Almera 1.0 Turbo ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ด้วยราคาตั้งแต่ 499,000 บาท ถึง 639,000 บาท นับเป็นอีโคคาร์รุ่นแรกที่เปิดศักราชขุมพลังแห่งอีโคคาร์ยุคใหม่ด้วยการใช้เครื่อง 1.0 ลิตร เทอร์โบ (ถ้าไม่นับ Fiesta Ecoboost นะ) ขยับพลังจาก 79 เป็น 100 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 152 นิวตันเมตร ก้าวไกลจากเดิมมาก แต่ยังเลขไม่สวยเท่าเครื่องยนต์ของ City

อย่างไรก็ตาม ด้วยกลยุทธ์ทางด้านราคาที่แทบจะไม่ต่างจากรุ่นเดิม ซึ่งทีมไทยสู้ยิบตาเจรจาโต๊ะแตกกว่าจะได้เรตราคาระดับนี้ แต่ภาพรวมของตัวรถดีขึ้น ทั้งเรื่องความทันสมัย อุปกรณ์ติดรถในรุ่นสูงถือว่าค่อนข้างดี มีหน้าปัดอนาล็อกผสมจอสีขนาดไม่เล็ก มีกล้องมองรอบคันบวกกับภาพลักษณ์ของรถที่ดูวัยรุ่นขึ้นทั้งภายนอกและภายใน ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่มองหารถที่มีระดับราคาเทียบกับสิ่งที่ได้แล้ว ดูคุ้มเม็ดเงินที่จ่าย

ในวาระพิเศษ ฉลองครบรอบ 50 ปีแห่งสัญลักษณ์ความแรง GT-R ในงานนี้ทาง Nissan ก็ได้เผยโฉม “GT-R 50th Anniversary” และประกาศราคาขาย 11,300,000 บาท ซึ่งจะว่าไปแล้ว ถูกลงว่ารุ่นปกติที่เปิดตัวจำหน่ายปีก่อนอยู่โข นับเป็นหนึ่งในทางเลือกถูกที่สุดถ้าคุณอยากสัมผัสกับรถแรงทะลุ 500 ม้าจากโรงงาน แล้วเป็นรถแบบ Dedicated model-ตัวถังพิเศษที่สร้างขึ้นมาเป็น Performance car เลย ไม่ใช่รถตัวถังปกติที่อัพเกรดเครื่องกับช่วงล่างให้แรงเฉยๆ GT-R 50th Anniversary มาพร้อมกับเครื่องยนต์ VR38DETT V6 3.8 ลิตร ทวินเทอร์โบ ให้พลัง 555 แรงม้า กับแรงบิด 632 นิวตันเมตร เกียร์คลัตช์คู่ 6 จังหวะ และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่นำเอาเกียร์ไปวางไว้ท้ายรถเพื่อการกระจายน้ำหนักที่ดี..ในรถหนัก 1.77 ตัน เรื่องแบบนี้ยิ่งสำคัญ

นอกจากเรื่องความแรงแล้ว เอกลักษณ์เด่นของรุ่นฉลองครบรอบ 50 ปี ยังอยู่ที่ล้ออัลลอยแบบฟอร์จยี่ห้อ RAYS ขนาด 20 นิ้ว ซึ่งมีการทำสีน้ำเงินเลื่อมบนล้อ ห้องโดยสารหุ้มด้วยหนัง/วัสดุสีน้ำเงินเทา เพดานและที่บังแดดหุ้มด้วยอัลคันทาร่า เท่าที่ลองนั่งดู สบายกว่าที่คิด เป็นรถพันธุ์แรงที่คุณไม่ต้องผอมก็ขึ้นลงได้ไม่ยาก นั่งสบายไม่อึดอัด รุ่นฉลองครบรอบ 50 ปีนี้ไม่ได้ผลิตแบบจำกัดจำนวน สามารถสั่งได้เรื่อยๆจนกว่า Nissan จะเลิกผลิต มีทั้งสีน้ำเงินคาดขาว สีขาวคาดแดง และสีเงินคาดแถบขาวให้เลือก

นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงรถยนต์ต้นแบบ Nissan Navara N-TREK Warrior ที่มาพร้อมกับชุดแต่งเสริมความบึกบึน อาทิ แผงกันชนเหล็ก กันกระแทกบริเวณใต้เครื่องยนต์ แถบไฟ LED ครอบไฟตัดหมอกสีส้มเข้มที่มาพร้อมกับ ‘bark buster’ ล้ออัลลอยสีดำที่เป็นเอกลักษณ์ขนาด 17 นิ้ว ยางคูเปอร์ (Cooper) ขนาด 32.2 นิ้ว และพนักพิงศีรษะด้านหน้าปักสัญลักษณ์

ส่วน Nissan X-TRAIL NISMO ที่จอดโชว์อยู่นี้ สอบถามแล้ว ได้ความว่าเอามาโชว์เฉยๆ ไม่ได้ประกาศว่าจะขาย ดังนั้น เชิญที่บูธต่อไปกันดีกว่าครับ


 

PEUGEOT

นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่รู้สึกว่าบูธ Peugeot ดูมีชีวิตชีวาเปล่งปลั่งเหมือนสาวแรกรุ่น เพราะที่ผ่านมาไม่ค่อยมีรถแบบที่น่าสนใจ แต่เมื่อ MGC-Asia เจรจาดีลกับบริษัทแม่ และก่อตั้งบริษัท Peugeot Thailand สำเร็จ ก็พร้อมที่จะนำแบรนด์ราชสีห์เบรกแดนซ์กลับมาผงาดในไทยอย่างเต็มภาคภูมิอีกครั้ง

Peugeot เลือกนำ SUV/Crossover ของทางค่ายมาจำหน่ายสองรุ่น ได้แก่ 3008 ท้ายสั้น 5 ที่นั่ง และ 5008 ท้ายยาว 7 ที่นั่ง ลำตัวส่วนหน้ารถจะเหมือนกัน แต่ประตูหลังและส่วนท้ายของรถกับลายล้ออัลลอยจะแตกต่าง (ให้นึกถึง CX-5 กับ CX-8 ไว้) ทั้งสองรุ่นใช้เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร เทอร์โบ 4 สูบเรียง 167 แรงม้า  แรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ 6 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า จุดขายของรถอยู่ที่ดีไซน์ ซึ่งเป็นไปตามเอกลักษณ์ใหม่ของ Peugeot ที่ผสมเส้นคมไว้บนโครงสร้างหลักที่โค้งมน รอยหยักที่ไฟหน้านั้น แท้จริงต้องการสื่อให้เห็นถึงเขี้ยวของราชสีห์ แต่ทำไมมีแค่เขี้ยวล่างล่ะ

ภายในของ 3008/5008 ยิ่งช็อคกว่าภายนอก เพราะครั้งแรกในบรรดา SUV/Crossover ราคาระดับนี้ ที่มีภายในล้ำยุคจนเหมือนรถ Concept car ดีๆที่โชว์ในเมืองนอก คันเกียร์ไฟฟ้า รูปทรงเหมือนคันโยกปรับพลังยานอวกาศจาก Star Wars พวงมาลัยที่เล็กผิดปกติ รูปทรงประหลาด กับหน้าปัดที่อยู่เกือบเท่าระดับสายตา คุณอาจจะรู้สึกแปลกว่ามันนั่งขับได้ดีจริงหรือ บอกเลยครับว่าพอคุ้นปุ๊บ จะสนุกกับมัน (เดี๋ยวมีบทความรีวิว 3008 มาให้อ่านกันหลังจากนี้ครับ)

Peugeot ประเทศไทย ตั้งราคา 3008 เอาไว้ 1,549,000-1,699,000 บาท ส่วนรุ่น 5008 เพิ่มเป็น 1,749,000-1,899,000 บาท พูดง่ายๆคือราคาเกาะกลุ่มไปกับ CX-5, CX-8 และ CR-V เลยทีเดียว ที่ได้ราคานี้ก็อานิสงส์จากการมีโรงงานประกอบในอาเซียน บวกกับแรงสนับสนุนจากบริษัทแม่ที่อยากเห็นแบรนด์นี้กลับมาแจ้งเกิดในไทยอีกครั้ง


 

PORSCHE

ค่าย Porsche ในงานนี้ Taycan ยังรอเทคานเสร็จอยู่ ยังไม่เปิดขาย แต่เท่าที่ทราบลูกค้ามากกว่า 50 ท่านก็จองไปแล้วโดยที่รถคันจริงยังมาไม่ถึงประเทศไทยด้วยซ้ำ แหล่งข่าวยังไม่คอนเฟิร์ม แต่ทราบมาว่าราคาของรุ่น 4S น่าจะสอดตรงกลางระหว่าง Cayenne e-Hybrid และ Panamera e-Hybrid และพยายามจะค่อนไปทาง Cayenne ให้ได้มากที่สุดเท่าที่สถานการณ์และสำนักงานใหญ่จะอำนวย หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ไม่น่าแปลกใจถ้าจะมีลูกค้ายอมจองจำนวนมากขนาดนั้น

ส่วนรถที่เผยโฉมในไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรกในงานนี้ ก็ได้แก่ Porsche Cayenne Coupe ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นหลังคาลาดของ Cayenne รุ่นที่นำมาโชว์กลางงานคันสีส้ม เป็นรุ่นพื้นฐาน เครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตรเทอร์โบชาร์จ 340 แรงม้า ราคา 8,100,000 บาท มีระบบ PCM เวอร์ชั่นใหม่ รองรับ Apple CarPlay และระบบเครื่องเสียง BOSE แต่นอกจากรุ่นนี้แล้ว ยังมี Cayenne Coupe e-Hybrid ซึ่งเพิ่มมอเตอร์ขับเคลื่อน อัปพลังเป็น 462 แรงม้า แต่ได้ภาษีสรรพสามิตถูกลง จนทาง AAS สามารถทำราคาเริ่มต้นได้ 6,500,000 บาท ใกล้เคียงกับ Cayenne e-Hybrid รุ่นปกติ ถ้าใครสนใจ กรุณารีบติดต่อเซลส์แล้วกันครับ เพราะเห็นมาเงียบๆแบบนี้ ยอดสั่งจองพุ่งเร็วมาก เดี๋ยวไม่งั้นต้องฉลองคริสมาสต์ 2020 ก่อนถึงจะได้รับรถ

ส่วนทางด้านรถสปอร์ต ก็ไม่ได้มีแต่รุ่นราคาหลักสิบล้าน ในงานนี้ AAS เขาสั่งรถ 718 Cayman รุ่นพิเศษ “AAS Sport Package” ซึ่งเป็นการนำ 718 Cayman รุ่น 2.0 ลิตรเทอร์โบ 300 แรงม้า มาตกแต่งภายนอกด้วยล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้วลาย Carrera S พ่นสีดำ High Gloass และเพิ่มสติกเกอร์คาดกลางสีดำ ตั้งราคาไว้ 6,900,000 บาท แต่จะมีรถสเป็คนี้ขายจำนวนจำกัดเพียงแค่ 9 คันเท่านั้น


 

SUBARU

ทาง Subaru ในงาน Motor Expo ปีนี้ยังไม่มีรถใหม่ ดังนั้นในบูธ ก็ยังมี Forester ประกอบในประเทศไทย, XV, WRX, Outback และ BRZ ให้ดูเท่าเดิม อย่างไรก็ตามยอดขายของ Forester ประกอบในประเทศที่มีการทำราคาน่าสนใจ ประกอบกับเป็นรุ่นแรกที่มีการนำระบบช่วยเหลือในการขับขี่ EyeSight มาใช้ในประเทศไทย ก็สามารถกวาดยอดจองได้ดีจนน่าพอใจ

สำหรับลูกค้า Forester และ XV นั้น ทาง T.C. Subaru ยังมีการนำเสนอออพชั่นเพิ่มเงินแบบใหม่ สำหรับ Forester 2.0i-S และ XV 2.0i-P นั่นก็คือกล้องมองรอบคัน 360 องศา ซึ่งรถสองรุ่นนี้จะสามารถติดตั้งกล้องแบบดังกล่าวจากศูนย์บริการได้เลย ลูกค้าจ่ายเพิ่ม 20,000 บาท

ดูคลิป รีวิว Subaru Forester 2.0i-S ได้ที่นี่

ดูคลิป รีวิว Subaru XV 2.0i-P ได้ที่นี่

 


 

SUZUKI

ปีนี้มีรถ All New ที่เปิดตัวไปแล้วอย่าง Carry 1.5 ลิตร รถคู่ใจชนชั้นพึ่งพาตนเอง 2 ที่นั่ง เกียร์ธรรมดา กระบะท้ายเปิดได้สามด้าน มีพื้นที่เยอะกว่ารถกระบะขนาด 1 ตันทั่วไป  เฟืองท้ายทดจัดปี๊ดออกตัวไว ขึ้นเนินได้ เหมาะสำหรับการขนส่งในระยะใกล้ หรือใช้ทำ Food Truck ด้วยค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่ประหยัดเงินในกระเป๋า นอกจากนี้ Ciaz รุ่น GL Plus ก็มีมาให้ชม เป็นตัวเลือกใหม่ที่เอารุ่น GL มาเพิ่มอุปกรณ์เช่นชุดแต่ง สปอยเลอร์หลัง เครื่องเสียงแบบจอทัชสกรีน และกล้องมองถอยหลัง ทั้งหมดมาในราคา 568,000 บาท

สำหรับ Suzuki Swift ที่ไม่มีความเคลื่อนไหวตั้งแต่เปิดตัว คราวนี้ มีรุ่นย่อยใหม่มาเพิ่ม คือ Swift GL Sport Edition ซึ่งตกแต่งด้วยชุดสเกิร์ตรอบคัน สปอยเลอร์หลัง สติกเกอร์ด้านข้าง และเสาอากาศแบบครีบฉลาม ตั้งราคาขายไว้ที่ 541,000 บาท เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกและช่วยสร้างยอดขายให้กับ Swift ซึ่งตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา จากจำนวนรถ 20,426 คันที่ Suzuki ขายไปนั้น 10,719 คันคือยอดของ Swift นับเป็นหัวแรงสำคัญในการนำพาลูกค้ามาสู่ค่ายอย่างมีนัยสำคัญ

ดูคลิป รีวิว Suzuki Swift GLX Navi ได้ที่นี่

อ่าน Full Review by J!MMY – Suzuki Carry 1.5 ได้ที่นี่


 

TOYOTA/LEXUS

บูธ Toyota ในงานนี้ มี Corolla Altis ใหม่ เป็นพระเอกชูโรงสำหรับกลุ่มตลาด C-Segment ซึ่งมุ่งเน้นการขายไปที่ตัว Hybrid จากการจัดออพชั่นที่คุ้มค่าในราคาที่ถูกลงกว่าตัวท้อปรุ่นเก่า และยังได้ระบบ Adaptive Cruise Control สำหรับการเดินทางไกล สามารถปรับความเร็วตามรถคันหน้าจนเหลือศูนย์ และแล่นตามที่ความเร็วต่ำได้ ส่วนรถระดับอีโคคาร์นั้น มี Yaris ATIV และ Yaris ที่เพิ่งได้รับการอัปเดตเครื่องยนต์เป็น 3NR-FKE เพิ่มแรงม้าจากเดิม 86 เป็น 92 แรงม้า ด้วยอัตราส่วนกำลังอัดที่สูงขึ้น ตอบสนองต่อคันเร่งไวขึ้น เพิ่มระบบ Auto Start/Stop และกล้องบันทึกเหตุการณ์หน้ารถเข้าไป และในรุ่นสูง เปลี่ยนจอเครื่องเสียง 6.7 นิ้วดีไซน์ใหม่ด้วย

Yaris ATIV และ Yaris Hatchback เปลี่ยนวิธีการจัดรุ่นย่อยตามแนวทางใหม่ของ Toyota จากเดิม J Eco/J/E/G/G+ เป็น Entry/MID และ High แนวเดียวกับ C-HR และ Altis รุ่น ATIV สี่ประตู ราคาตั้งไว้ 529,000-649,000 บาท สามารถสั่งชุดแต่ง GT Edition เพิ่มการตกแต่งภายนอกโดยจ่ายเพียง 7,000 บาท ส่วนรุ่น Hatchback ราคา 539,000-649,000 บาท

สำหรับคนที่อยากยกสูงหนีน้ำ รุ่น Hatchback จะสามารถเลือกแพ็คเกจตกแต่ง Yaris Cross ซึ่งได้ล้อขนาด 16 นิ้ว ยาง 195/50 แล้วยังมีชุดสปริงกับโช้คอัพใหม่ยกความสูงใต้ท้องเพิ่มอีก 30 มิลลิเมตร รวมถึงชุดแต่งลิ้นหน้า สเกิร์ตข้าง และโป่งล้อ ทั้งหมดนี้ จ่ายเพิ่ม 35,000 บาท

อ่านรีวิว First Impression – Toyota Corolla Altis Hybrid High ได้ที่นี่

Celeb ประจำงานนี้ของบูธ คือ Toyota Supra ใหม่ รหัสตัวถังจริงๆคือ J29 แต่ก็มีการใช้เลข A90 ในเชิงการตลาดที่เมืองนอกเพื่อให้ดูมีสายสัมพันธ์เหมือนสืบทอดมาจาก JZA80 รุ่นในตำนานที่ราคาทะยานยิ่งกว่านกหลังสิ้นเสียงปืนอยู่ในขณะนี้

รุ่นที่ทางบ้านเรานำเข้ามาขาย ใช้ชื่อ Toyota GR Supra ซึ่ง GR ก็คือ Gazoo Racing ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสัตว์สงวนที่คล้ายแรด แต่มีหน้าที่คล้ายหน่วยพิเศษของ Toyota ที่รับผิดชอบในการปรุงแต่งรถแรง ซึ่ง Supra เจนเนอเรชั่นใหม่ก็คือผลิตผลของสำนัก GR และดูแลบริหารงานพัฒนาโดย Tetsuya Tada พ่อบังเกิดเกล้าของ Toyota 86/Subaru BRZ ซึ่งขึ้นชื่อในความชื่นชอบที่มีต่อรถประเภทขับเคลื่อนล้อหลัง น้ำหนักเบา ขับสนุก และชอบคิดรถไว้เผื่อสำหรับการโมดิฟาย

GR Supra เวอร์ชั่นไทย เป็นรุ่น J29DB4 ซึ่งได้เครื่องยนต์ BMW B58 3.0 ลิตร หกสูบเรียง เทอร์โบชาร์จ 340 แรงม้า กับแรงบิดมหาศาล 500 นิวตันเมตร มีระบบส่งกำลังให้เลือกเพียงแบบเดียวไม่ว่าจะที่ไหนในโลกคือเกียร์อัตโนมัติ ZF 8 จังหวะ ทั้งเครื่องยนต์ เกียร์ และช่วงล่าง มีพื้นฐานร่วมกับ BMW Z4 G29 แต่ทางคุณ Tada และทีมได้ทำการปรับจูนใหม่หมด โดยเน้นสมรรถนะจากการขับขี่มากขึ้นกว่า Z4 ส่วนรุ่น 2.0 ลิตรเทอร์โบ 197 แรงม้า (J29DB8) และ 2.0 ลิตรเทอร์โบ 258 แรงม้า (J29DB2) นั้นยังไม่ได้นำเข้ามา

สำหรับลูกค้าที่โชคดีสั่งในล็อตแรก Toyota กำหนดราคาของ GR Supra เอาไว้ที่ 4,999,000 บาท เรียกได้ว่าตั้งใจชนกับ BMW Z4 โดยตรง ขึ้นอยู่กับว่าใครชอบเยอรมันโรดสเตอร์หรือญี่ปุ่นหลังคาแข็ง แต่หลังจากนี้ไปอาจจะมีการปรับราคาเพิ่ม จะเป็นเท่าไหร่ยังไม่อาจทราบ

สำหรับฝั่ง Lexus มีการโชว์ตัว RX300 ไมเนอร์เชนจ์ ซึ่งแต่เดิมมันก็คือ RX200t 2.0 ลิตรเทอร์โบ เป็นรถยนต์ SUV/Crossover พิกัดเดียวกับ BMW X5 และ Mercedes-Benz GLE Lexus RX300 ใช้ขุมพลังเดิม แต่งหน้าทาปากใหม่ แต่ยังคงเอกลักษณ์เดิมกับกระจังหน้าแบบ Spindle Grill มาพร้อมเทคโนโลยีไฟหน้าแบบ BladeScan Type Adaptive High-beam System ตั้งราคาเริ่มต้นไว้ที่รุ่น Luxury 4,230,000 บาท ตามมาด้วยรุ่น Premium 4,740,000 บาท และท้อปสุดกับรุ่น F-Sport ขับเคลื่อนสี่ล้อ ในราคา 5,350,000 บาท

 


 

VOLVO

ท้ายสุดกับค่ายไวกิ้ง Volvo ในงานนี้ มีทีเด็ด คือ Volvo V60 ใหม่ มีให้เลือกเพียงขุมพลังเดียวคือ T8 Twin Engine Plug-in Hybrid ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบเทอร์โบ + ซูเปอร์ชาร์จ + มอเตอร์ไฟฟ้า แบ่งการขับเคลื่อนโดยให้เครื่องยนต์หมุนล้อหน้า และให้มอเตอร์ไฟฟ้ารับภาระที่ล้อหลัง แตกต่างจากระบบ Plug-in Hybrid ของค่ายเยอรมัน ทำให้มีพลังรวมทั้งสิ้น 407 แรงม้า แรงบิดรวม 640 นิวตันเมตร

รุ่น Momentum ตั้งราคาเอาไว้ยั่วใจมาก เพียง 2,290,000 บาท แต่ออพชั่นผิดกับราคา จ่ายแค่นี้ได้ 407 แรงม้า แต่มีระบบความปลอดภัยมาให้เต็มพิกัด ไม่ว่าจะเป็นระบบเบรกอัตโนมัติทั้งเดินหน้าและถอยหลัง ระบบแจ้งเตือนรถในจุดบอดกระจกมองข้างพร้อมฟังก์ชั่นหักหลบอัตโนมัติ มีระบบ Pilot Assist ที่ควบคุมความเร็วตามรถคันหน้า และประคองพวงมาลัยขณะขับได้ (แต่ถ้าปล่อยมือจากพวงมาลัย ระบบจะเตือนให้จับดีๆ ไม่งั้นจะยกเลิกการทำงาน) เครื่องเสียงแบบ 11 ลำโพง พร้อม Subwoofer ล้ออัลลอย 18 นิ้ว

รุ่น Inscription เพิ่มเป็น 2,690,000 บาท ได้ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้วลายห้าก้าน และได้ห้องโดยสารที่ดูหรูกว่าด้วยคอนโซลเดินตะเข็บด้าย หัวเกียร์คริสตัล Orrefors เหมือนรถรุ่นแพงๆของค่าย ตกแต่งภายในด้วยวัสดุ Drift Wood Decor ไฟหน้าแบบปรับทิศทางส่องตามการเลี้ยวของพวงมาลัย อีกทั้งยังมีระบบช่วยจอดอัตโนมัติ หลังคา Panoramic และเครื่องเสียง Harman Kardon พร้อมแอมป์ 600 watt 14 ลำโพงและมี Subwoofer

นับเป็นการจ่ายเงินซื้อป้ายแดงม้าทะลุ 400 ตัวที่ราคาถูกที่สุดเท่าที่เคยมีมา

—-/////—-