สวัสดีครับท่านผู้อ่าน headlightmag.com ทุกท่าน เรากลับมาพบกันอีกครั้งในเทศกาลดูรถประจำหน้าร้อนของปี

โดยงานนี้จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 27 มีนาคม – 7 เมษายน 2561 ณ Challenger Hall 1-3 เมืองทองธานี ด้วย Concept งาน “Enjoyment of Automobiles” สุนทรียภาพทางอารมณ์ ซึ่งมีความแหวกแนว ตรงที่เทรนด์ในระยะหลังมักสนับสนุนเรื่องพลังงานทางเลือก มลภาวะ หรือการขับขี่แบบกึ่งอัตโนมัติ แต่ในงานครั้งนี้กลับพยายามชูความสัมพันธ์ระหว่างคนกับรถแบบที่พวกเราคุ้นเคย คือการเลือกรถที่ใช่ ซื้อรถที่ชอบ แล้วขับไปด้วยความเพลิดเพลิน

ในครั้งนี้ การจัดงาน ใช้พื้นรวมกว่า 60,000 ตารางเมตร นี่แค่เฉพาะในอาคาร แล้วยังมีบริษัทรถยนต์เข้าร่วมจัดแสดงอีก 30 ค่าย นับเป็นงานโชว์รถที่ไม่เคยแผ่วเลยในเรื่องการอวดโฉมของรถซึ่งมีหลายคันที่ไม่เคยเผยโฉมต่อสาธารณชนชาวไทยมาก่อน

เรามาดูไฮไลท์กันดีกว่าครับว่างานนี้มีอะไรให้คุณชมบ้าง และขอให้มีความสุขกับการเดินชมรถ ไม่ว่าคุณจะมาเดินในงานกันเป็นคู่..เป็นกลุ่ม..เป็นสายลุยเดี่ยว..หรือมาคนเดียวแล้วค่อยมาหาคู่ในงาน (หากทำได้) และอย่าลืมติดตามข่าวสารเพิ่มเติมจากทางเพจ Headlightmag ใน Facebook เพราะนอกจากจะมีบทความนี้แล้ว ทางคุณหมู ธีรพัฒน์ ยังได้ทำกระทู้เจาะลึกสำหรับรถรุ่นต่างๆ และมีรายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับรถบางรุ่นที่คุณอาจสนใจเป็นพิเศษ

ทั้งนี้ ขอบอกไว้ก่อนว่า ภาพที่ได้จากงานในรอบ VIP และรอบสื่อมวลชน อาจจะมีตำแหน่งการจอดรถสำหรับการโชว์ที่ต่างจากรอบสาธารณะ ดังนั้นถ้าเจอคันไหนที่เคยอยู่เบื้องล่าง ไปอยู่บนเวที หรือที่จอดสลับกันบ้างก็อย่าแปลกใจนะครับ

 

Aston Martin

  • DBS Superleggera
  • Valkyrie AMR Pro

Aston Martin Bangkok ผู้แทนจำหน่ายในเครือ MGC-Asia ลุยหนักเอาจริงกับแบรนด์สปอร์ตอังกฤษ ขนรถมาจอดเรียงกันตั้งแต่ Rapide ซาลูนหรูที่เกิดมามีทรงเฉี่ยวเปรียวลมราวกับซูเปอร์คาร์ Vanquish V12 สายพันธุ์สปอร์ตเครื่องไร้เทอร์โบตัวสุดท้ายจากวิถีโลกเดิมของ Aston มาจนถึงสปอร์ตตัวเล็กหมัดหนักอย่าง V8 Vantage ตัวเล็กแต่ดุด้วยเครื่องยนต์ 4.0 ลิตรเทอร์โบคู่ 510 แรงม้า และ Aston Martin DB11 สปอร์ตระดับสูงของค่ายเครื่อง V12 ทวินเทอร์โบ 608 แรงม้า ที่มีรุ่น V8 4.0 ลิตรเป็นอีกทางเลือก

ไฮไลท์เด่นของงานคือการเปิดตัว DBS Superleggera อย่างเป็นทางการ ชื่อของรถรุ่นนี้มาจากบริษัทผู้สร้าง/ประกอบตัวถังรถยนต์ในอิตาลีชื่อ Carrozzeria Touring Superleggera ซึ่งมีบทบาทในการช่วย Aston Martin คิดค้นวิธีสร้างบอดี้รถให้มีน้ำหนักเบาลงในช่วงยุค 60s-70s ส่วนพื้นฐานของตัวรถนั้นก็มาจาก DB11 ใส่ชิ้นส่วนน้ำหนักเบา และถ้าติดตั้งชุดหลังคาคาร์บอนไฟเบอร์ด้วยแล้ว DBS จะเบากว่า DB11 ได้ 70 กิโลกรัม (โครงสร้างหลักเป็นอะลูมิเนียมอยู่แล้ว เช่นเดียวกับ DB11)

เครื่องยนต์ของ DBS Superleggera เป็นแบบ AE31 V12 ทวินเทอร์โบ 5.2 ลิตร เช่นเดียวกับ DB11 รุ่น 12 สูบ แต่ได้รับการปรับแต่งใหม่ เพิ่มแรงม้าเป็น 715 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 900 นิวตันเมตร นับเป็น Aston ที่มีแรงบิดสูงที่สุดนับตั้งแต่ค่ายนี้ก่อตั้งมา ใช้เกียร์อัตโนมัติของ ZF 8 จังหวะ ติดตั้งที่ท้ายรถ ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ภายใน 3.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 340 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

และนี่..คือที่สุดแห่งยนตรกรรมผู้นำแห่งความแพงระยับ อาจเป็นรถรุ่นเดียวที่ใช้คำเปรียบเปรยได้ว่า “คนบ่นไม่ซื้อ แต่คนจะซื้อ..รวยล้นฟ้าก็ใช่ว่าจะซื้อทัน” ด้วยราคาประมาณการณ์สูงถึง 300 ล้านบาทไทย นอกจากรวยจนเผาเงินแทนถ่านบาร์บีคิวได้แล้ว คุณยังต้องมีวาสนาและ Connection ที่ดีเลิศถึงจะได้เป็นผู้โชคดี 25 คนในโลกที่ได้เป็นเจ้าของเจ้า Valkyrie AMR Pro คันนี้ และถึงแม้เป็นเจ้าของ..คุณก็ไม่สามารถขับบนถนนหลวงได้ ต้องวิ่งในสนามแข่งเท่านั้น

Valkyrie AMR Pro เป็นรถที่สร้างมาเพื่อวิ่งบนสนาม ต่างจาก Valkyrie รุ่นปกติ (ซึ่งผลิต 150 คัน) รถคันนี้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยมันสมองของกลุ่มคนที่บ้ารถและมีประสบการณ์โชกโชนจาก Aston Martin, ทีมแข่ง Redbull Racing, บริษัทเครื่องยนต์ Cosworth, Rimac และอื่นๆอีกมากมาย ในการสร้าง Valkyrie นั้น คนออกแบบตัวถังคือ Marek Reichman ร่วมมือกับ Adrian Newey วิศวกรออกแบบ F1 ประจำทีม Redbull

ในการสร้างเครื่องยนต์ของรถรุ่นนี้ ถือว่ายากสุดๆ เพราะ Aston กับ Redbull ต้องการให้ Valkyrie มีลักษณะเหมือนรถแข่ง F1 ในยุคที่ยังใช้เครื่อง 10-12 สูบ มันจึงต้องมีพลังมหาศาลโดยไม่ต้องพึ่งพาเทอร์โบ ทาง Cosworth ลงทุนสร้างเครื่องต้นแบบที่มี 3 สูบโดยใช้ Component ทุกอย่างหาร 4 จากเครื่องจริงที่มี 12 สูบ ต้องทดสอบจนมั่นใจว่าเมื่อทุกอย่างคุณ 4 แล้วจะได้พลังตามที่ Aston ขอโดยไม่แหกกฎหมายเสียงและมลภาวะของนานาประเทศ จากนั้นจึงเริ่มทำเครื่องจริงออกมา

Valkyrie และ Valkyrie AMR Pro ใช้เครื่องยนต์ V12 สูบวางกลางลำ ความจุ 6.5 ลิตร มีระบบ KERS แบบ F1 ที่ทำโดย Rimac ทำให้มีกำลังสูงสุดเกินกว่า 1,100 แรงม้า และแม้ขนาดความจุจะเยอะ แต่ตัวเครื่องยนต์นี้มีเรดไลน์สูงถึง 11,000 รอบต่อนาที..มันคือ 86 จาก Initial D ที่มีแรงม้าเพิ่มขึ้น 4 เท่าตัว และน้ำหนักตัวก็เบาเท่าอีโคคาร์ แค่ประมาณ 1.1 ตันเท่านั้น

รถรุ่น AMR Pro ที่ใช้เฉพาะในสนามแข่งจะยิ่งร้ายกาจ เพราะไม่ต้องห่วงเรื่องมลภาวะทางเสียง สตาร์ททีสะเทือนไปถึงดวงจันทร์ แล้วยังถอดระบบ Infotainment ออก ติดตั้งอุปกรณ์สำหรับรถแข่ง ช่วงล่างปรับแต่งใหม่ เบรกคาร์บอน เปลี่ยนล้อขนาดเล็กลงเป็น 18 นิ้วเพื่อให้สวมยางแข่ง Michelin แบบเดียวกับรถแข่งคลาส LMP1 ได้ AMR Pro สามารถรับแรงเหวี่ยงขณะเข้าโค้งได้มากถึง 3.3G (รถบ้านกึ่งสปอร์ต ได้ 1.2-1.4G ก็เจ๋งป้าดแล้ว) และ 3.5G เมื่อเหยียบเบรกเต็มแรง ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 2.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 360 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วพบว่ามีเงินพอ อยากซื้อเจ้าเขียวมะนาวสาวหูหนวกคันนี้มาขับ ก็ขอแสดงความเสียใจด้วย เพราะขายหมดไปนานแล้วจ้า และไม่ต้องคิดไปตอดๆเจ้าของ 25 คนนั้นให้ขาย เพราะ Andy Palmer CEO เคยทวิตเอาไว้ด้วยว่า ถ้าใครซื้อรถ Valkyrie ไปแล้วขายต่อแบบเอากำไร เขาจะเอาชื่อขึ้น Blacklist และไม่สามารถซื้อรถรุ่นพิเศษของ Aston ได้อีก นี่คือโลกของรถร้อยล้านเขาคุยกัน!

รายละเอียดเพิ่มเติม

รายละเอียดเพิ่มเติม เครื่องยนต์ 1,100 ม้า 11,000 รอบ ของ Valkyrie

พาไปชมรถคันจริง Aston Martin Vantage V8

 


 

Audi

  • Audi A7 Sportback 45TFSI quattro
  • Audi TT ไมเนอร์เชนจ์
  • Audi e-tron

ทำยอดขายทะลุเป้ามาตลอดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ในวันนี้ Meister Technik ทยอยเปิดตัวรถใหม่อย่างต่อเนื่อง และนำมาโชว์ในงานครั้งนี้อย่างหลากหลาย สำหรับซูเปอร์คาร์ R8 ราคา 18,999,000 บาท  รวมไปถึงตระกูล Avant อย่าง A4 และ A6 ที่ช่วยให้รถสเตชั่นแวก้อนกลายเป็นไอเท็มเซ็กซี่ยั่วยวนใจขึ้นมาได้ และรถตระกูล Q ไม่ว่าจะเป็น Q7 SUV ขนาดใหญ่ที่มีให้เลือก 3 ขุมพลังกับ 4 ระดับการตกแต่ง และ Q8 SUV ครึ่งควบลูกคูเป้ที่ซ่อนร่างกายขนาดใหญ่ไว้กับหลังคาทรงลาดและขุมพลัง Mild Hybrid 6 สูบ 3.0 ลิตร 340 แรงม้า

รถใหม่ในงานนี้ คันแรกคือ A7 Sportback รุ่นย่อยใหม่ 45TFSI quattro ใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเทอร์โบ 245 แรงม้า ซึ่งในปีก่อนจะมีรุ่น 55TFSI quattro ราคา 5,399,000 บาทอยู่ พอทางค่ายดาวสามแฉกเอา CLS300d มาประกอบในประเทศแล้วลดราคาลงเหลือ 4,390,000 บาท Audi ก็กลัวเบนซ์เหงา เพราะตลาดรถพรีเมียมคูเป้ 4 ประตูหลังคาเตี้ยมีผู้เล่นน้อย ก็เลยเอาเครื่องยนต์ 4 สูบมาใส่ แล้วลดราคาลงมาเหลือ 4,399,000 บาท ฟัดกันแบบตรงๆ ใครชอบดีเซล ไปดาว ใครชอบเบนซิน มาสี่ห่วง ออพชั่นต่างๆ ลดลงจากรุ่น 55TFSI เช่น ไม่มีเครื่องเสียง Bang & Olufsen ล้ออัลลอยเปลี่ยนจาก 20 เป็น 19 นิ้ว ไม่มีชุดแต่ง S-line ไม่มีกล้องรอบคัน เอาช่วงล่างแบบสปอร์ตออก แต่หน้าปัด Virtual Cockpit แดชบอร์ดทรงล้ำยุค และซันรูฟยังอยู่

มาละครับ รถขายดีที่สุดของค่ายนี้ในไทย เพราะเกือบครึ่งของยอดขาย Audi ในประเทศนี้ก็คือ TT จากกลยุทธ์เฉือนเนื้อแลกเอ็น ทางผู้แทนจำหน่ายยอมใส่ล้อหน้าตาเห่ยๆ แต่คุมราคาจากเมืองนอกได้และยังทำให้ค่า CO2 น้อยลงจนได้เรตสรรพสามิตต่ำ และทำราคาได้ถูกจนลูกค้าเหลือเงินไปเปลี่ยนล้อตามชอบได้สบาย นี่คือ Audi TT ไมเนอร์เชนจ์ แต่อย่าเพิ่งดีใจว่าในราคา 3,299,000 บาท (เพิ่มจากรุ่นเดิม 100,000 บาท) จะได้รถล้อสวย มีหางหลังแบบในภาพนะครับ คันนี้เป็นรถโชว์เฉยๆ ก็ดูดิพวงมาลัยยังอยู่ด้านซ้ายเลย

สิ่งที่เปลี่ยนไปในรถ TT ไมเนอร์เชนจ์คันจริง จะประกอบไปด้วยกระจังหน้าใหม่ กันชนหน้า-หลังใหม่ เปลี่ยนชุดแต่งรอบคัน S-Line ดีไซน์ใหม่ ตามเมืองนอก แต่ถ้าเพิ่มราคาแสนบาทแล้วให้แค่นี้มีหวังลูกค้ามองบน ดังนั้นจึงเพิ่มไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร เซนเซอร์ช่วยกะระยะด้านหน้า และกล้องมองหลังมาให้

ส่วนล้อนั้น คันจริงน่าจะเป็น 17 นิ้วเท่าเดิม จะเปลี่ยนลายไหมไม่ทราบ เครื่องยนต์ของ TT ไมเนอร์เชนจ์เวอร์ชั่นไทยก็จะใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเทอร์โบ 230 แรงม้า กับเกียร์ S-tronic 6 จังหวะเหมือนรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ทุกประการ

แต่ที่นับว่าน่าตกใจคือนี่ครับ Audi e-tron รถพลังไฟฟ้าสำหรับการจำหน่ายจริงรุ่นแรกของ Audi ที่ผมตกใจนิดๆ เพราะว่า 2 ปีก่อนหน้านี้ พอถามถึงรถยนต์ไฟฟ้าหรือไฮบริดเสียบปลั๊ก ผู้บริหาร Audi จะไม่ค่อยพูดแล้วตาลุกวาวอย่าง Passionate แบบบางค่าย ล่อซะคนเขียนตายใจว่าค่ายนี้คงไม่เน้นรถถ่าน ไปๆมาๆก็เอา e-tron มาจอดเซอร์ไพรส์ในงานแถลงข่าวเดือนมีนาคม พร้อมทั้งประกาศราคา 5,099,000 บาท ชนิด EQC ของเบนซ์ยังไม่มีโอกาสได้ออกหมัดในไทยสักนิดเลยด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากเมืองนอกคิวสั่งซื้อยาวมาก ถ้าคุณจอง e-tron วันนี้ รับรถอย่างเร็วก็ปลายปีนะครับ

e-tron ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวสำหรับล้อคู่หน้าและหลัง ในโหมดปกติจะมีพลัง 360 แรงม้า แต่เมื่อกดโหมดเค้นพลังจะเพิ่มเป็น 408 แรงม้า เพียงพอให้เร่งความเร็วถึง 100 ได้ภายใน 5.7 วินาที ทำไมดูช้ากว่า Jaguar I-Pace? ส่วนหนึ่งอาจเพราะ..แม้ว่าในภาพจะดูเหมือนครอสโอเวอร์คันเล็ก แต่จริงๆแล้ว e-tron เป็นรถขนาดใหญ่ ด้วยความยาว 4.9 เมตร ขนาดตัวจึงอยู่ระหว่าง Q5 และ Q7 แบตเตอรี่ของ e-tron มีความจุ 95 หน่วย เมื่อชาร์จเต็มแล้วสามารถวิ่งได้ไกล 417 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP =ชุดแบตเตอรี่ แบบ 36 Modules ติดตั้งอยู่ใต้พื้นรถ สามารถเปลี่ยนซ่อม Repairable แยก Modules ได้

อุปกรณ์ภายในต่างๆ มีจอ Virtual Cockpit จอทัชสกรีนที่ดูเหมือนแข็งแต่กดแล้วมีเสียงแต๊กเหมือนกดปุ่มจริงๆ หลายอย่างก็ดูล้ำยุคไม่มากไปกว่าแดชบอร์ดของ Audi A7 หรือ A6 แต่มีจุดเด่นที่กระจกมองข้างซึ่งเป็นกล้องคล้ายรถต้นแบบ ฉายภาพมาโชว์บนจอซึ่งติดตั้งบริเวณขอบบนของประตู Meister Technik บอกว่าชิ้นนี้จะต้องเพิ่มเงินเอาถ้าอยากได้ เพราะเชื่อว่าลูกค้าบางส่วนคงชอบกระจกมองข้างแบบปกติมากกว่า

โปรโมชั่นงาน Bangkok International Motor Show

  • ออกเงินดาวน์ให้ 2 แสนถึง 5 แสนบาท (ตามเงื่อนไขที่บริษัทกำหนด)
  • จองรถยนต์ Audi รุ่นใดก็ได้ (ยกเว้น e-tron) มีสิทธิ์ลุ้นเป็นเจ้าของ Audi Q7 Black Edition มูลค่า 5.999 ล้านบาท

รายละเอียดเพิ่มเติม

รายละเอียด อุปกรณ์ รูปภาพเพิ่มเติม Audi e-tron

รายละเอียด อุปกรณ์ รูปภาพเพิ่มเติม Audi A7 Sportback 45TFSI quattro

รายละเอียด อุปกรณ์ รูปภาพเพิ่มเติม Audi TT ไมเนอร์เชนจ์

Full Review ทดลองขับ Audi A4 Avant 45TFSI quattro

 


 

BENTLEY

  • Continental GT Convertible W12

Bentley ใช้เวทีงาน Bangkok International Motor Show ในการเผยโฉม New Continental GT Convertible W12 และถือเป็นวาระพิเศษในการฉลองครบรอบ 100 ปีของแบรนด์ไปพร้อมๆกัน

All-new Continental GT Convertible คือรถเปิดประทุนระดับหรู ใช้เครื่องยนต์ 12 สูบ (W)   6.0 ลิตร  ทำแรงม้าได้ถึง 635 PS แรงบิด 900 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ใน 3.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 333 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กลไกหลังคาผ้าใบได้รับการปรับปรุงจากรุ่นเดิม ให้ใช้เวลาในการเปิด/ปิดเพียง 19 วินาที และสนามารถทำได้ที่ความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง หลังคามีให้เลือก 7 สีและมีวัสดุให้เลือกหลายแบบ

ภายในนั้นได้ออกแบบ ช่องอุ่นคอได้รับการออกแบบใหม่ให้เป็นชิ้นเดียวกับเบาะ Comfort Seat พร้อมฮีตเตอร์ในตัว เพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของกระแสลมบริเวณหมอนรองศีรษะปรับไฟฟ้า จุดเด่นของช่องอุ่นคอแบบใหม่ เป็นเส้นโครเมียมคาดกลางยาวจรดขอบ นอกจากนั้น พวงมาลัย, เบาะ และที่พักแขนก็มีฮีตเตอร์ในตัว ช่วยให้ผู้ขับรู้สึกสบาย ในทุกสภาพอากาศ ทันสมัยด้วยจอ Bentley Rotating Display ซึ่งในภาพ จะเห็นว่ากลางแดชบอร์ดเป็นจอขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว พื้นที่ตรงนั้นสามารถหมุนไปมาสลับกันได้ ว่าจะโชว์จอ หรือมาตรวัด 3 ช่องแบบรถคลาสสิค หรือเป็นแผงลายไม้

ราคาของ Continental GT Convertible ตั้งไว้ที่ 23,800,000 บาท

นอกจากนี้รถที่นำมาโชว์ ก็มี Continental GT W12  สนนราคาอยู่ที่ 22,100,000 บาท และ Bentayga Petrol V8 ซึ่งใช้เครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตรทวินเทอร์โบ ให้พลังสูงสุด 550 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 770 นิวตันเมตร สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 290 กิโลเมตร/ชั่วโมงทั้งที่ตัวรถใหญ่ หนา และหนักถึง 2,388 กิโลกรัม มีเครื่องเสียงBentley Signature Audio ล้อขนาด 22 นิ้ว และตกแต่งภายในมาอย่างสวยหรู วางราคาเริ่มต้นเอาไว้ที่ 21,500,000 บาท

 


 

BMW/MINI

  • BMW X7
  • BMW Z4 (G29)
  • BMW 330i (G20)
  • MINI Cooper S 60 Years Edition

มาบูธ BMW กันต่อ มีรถทุกรุ่นให้เลือกชมในไลน์อัพปกติ ที่เด่นคือบรรดารถจากตระกูล M ทั้งหลาย ตั้งแต่ M2 Competition, M4CS ไปจนถึง M5 จอดให้ดูกันอย่างใกล้ชิด แต่รถที่เป็นไฮไลท์ของงานนี้คือรถรุ่นอื่น

และนี่คือ X7 M50d รถอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ที่สุดของ BMW ภายนอกใหญ่กำยำด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่ขนาดใหญ่ ไฟหน้า BMW Laserlight และล้ออัลลอย BMW Individual ขนาด 22 นิ้วลาย Y-Spoke ภายในรถออกแบบตามแนวทางเดียวกับ BMW รุ่นใหม่แต่มีเบาะนั่ง 3 แถว จุผู้โดยสารได้ 7 ที่นั่งโดยที่เบาะทุกตัวปรับได้ด้วยไฟฟ้า หุ้มหนังแท้ Merino ห้องเก็บของท้ายรถขนาดใหญ่ แม้กางเบาะนั่ง 7 คนเต็มยังมีที่ 326 ลิตร และถ้าพับเบาะแถว 3 จะได้ความจุ 750 ลิตร

X7 M50d ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ M Performance TwinPower Turbo เทอร์โบชาร์จ 4 ตัว แบ่งเป็นเทอร์โบเล็กทำงานใต้แรงดันสูง 2 ตัว และเทอร์โบใหญ่แรงดันต่ำ 2 ตัว ให้แรงม้าสูงสุด 400 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 760 นิวตันเมตร ทำความเร็วสูงสุดได้ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นิ่งแน่น มั่นใจด้วยช่วงล่าง Executive Drive Pro ที่ปรับความแข็งได้ตามลักษณะการขับขี่ ราคาค่าตัวสำหรับรถยักษ์นำเข้า 400 แรงม้าคันนี้ อยู่ที่ 8,999,000 บาท

ต่อมาคือ Toyota Supra Convertible..ไม่ใช่..เอาใหม่..ต่อมาคือ BMW Z4 รถสปอร์ตเปิดประทุน 2 ที่นั่งล่าสุดจากตระกูล Z ของ BMW ที่พลิกแนวจากเดิมในรุ่นตัวถัง E89 ซึ่งใช้หลังคาแข็งแบบพับได้ คราวนี้เปลี่ยนมาเป็นหลังคาผ้าใบ ซึ่งเบาและออกแบบให้ใช้เนื้อที่จัดเก็บไม่มาก ช่วยให้พื้นที่ด้านท้ายมีความจุเพิ่ม 50% จากรุ่นเก่า กลายเป็น 281 ลิตร อีกทั้งยังทำงานเร็ว ใช้เวลาเปิด/ปิดเพียงแค่ 10 วินาทีได้ที่ความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

Z4 มีขุมพลังให้เลือก 2 แบบ สำหรับคนที่ต้องการความพอดีระหว่างราคาและความแรง มีรุ่น sDrive30i เครื่องยนต์ 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบ ให้พลัง 258 แรงม้า ราคา 3,999,000 บาท สำหรับคนที่เน้นความแรงแบบถึงใจ ต้องข้ามไปคบกับรุ่น M40i 6 สูบ 3.0 ลิตรเทอร์โบ ซึ่งมีกำลัง 340 แรงม้า ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายในเวลาแค่ 4.5 วินาที นอกจากนี้ในรุ่น M40i ยังได้ช่วงล่างปรับความหนืดได้อัตโนมัติแบบ Adaptive M Suspension ได้ระบบเบรก M Sport, เบาะนั่งหนังแท้ M Sport และพวงมาลัยดีไซน์ M กับชุดเครื่องเสียง Harman Kardon ทั้งหมดนี้ เป็นของคุณในราคา 4,999,000 บาท

รถ Mainstream ยอดนิยมของ BMW คงจะเป็นรุ่นใดมิได้นอกจากซีรีส์ 3 ใหม่ ซึ่งรับเอานวัตกรรมต่างๆที่ทันสมัยจากซีรีส์ 5 มาอยุ่ในตัว และพัฒนาไปไกลยิ่งกว่า แม้ขนาดตัวจะโตกว่ารุ่นเดิม แต่ด้วยการใช้วัสดุผสมและอะลูมิเนียมในจุดต่างๆ เช่นฝากระโปรงและกันชนหน้า ก็ทำให้น้ำหนักตัวรถเบาลงได้ 55 กิโลกรัม ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศลดจาก 0.29 เหลือ 0.26 ด้วยระบบ Active Air Flap แผ่นปิดกระจังหน้า และการจัดระเบียบอากาศด้านหน้าที่ช่วยลดแรงเสียดทานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

BMW ซีรีส์ 3 ใหม่ ในล็อตแรกๆ จะเป็นแบบนำเข้ามาทั้งคัน เริ่มต้นด้วยรุ่น 320d Sport ราคา 2,959,000 บาท พลังเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 4 สูบ 190 แรงม้า ตกแต่งตามแบบ Sport ด้วยพวงมาลัย 3 ก้าน ล้ออัลลอยลาย V Spoke ขอบ 18 นิ้ว และกรอบกระจกประตูสีดำตามแบบชุดแต่ง BMW Individual high-gloss Shadow Line ภายในตกแต่งด้วยวัสดุอะลูมิเนียมลาย Mesh effect เรียกได้ว่ามาครบหมดยกเว้นกล้องหลัง..(มีแต่เซนเซอร์กะระยะหน้า-หลัง)

ส่วนอีกรุ่น คือ 330i M Sport ที่มีราคา 3,359,000 บาท ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตรเทอร์โบ 258 แรงม้าบล็อคเดียวกับ Z4 sDrive30i และยังได้ชุดแต่งภายนอกแบบ M Sport ล้ออัลลอย M 18 นิ้วลาย Double Spoke ใช้ยางหน้าและหลังต่างขนาดกัน มีช่วงล่าง เบรก M Sport และพวงมาลัยหนังแท้ M ภายในตกแต่งด้วยวัสดุลายอะลูมเนียมแบบ Tetragon

หันมาทางเล็กพริกขี้หนูอย่าง MINI ก็มีของเด็ด เป็น MINI Cooper S 60 Years Edition ฉลองครบรอบ 60 ปีของแบรนด์ พยายามตกแต่งโดยผสานระหว่างความน่ารักซ่อนเผ็ด บวกกับสไตล์ Retro ที่ชวนให้นึกถึง Mini รุ่นคลาสสิค เริ่มจากภายนอก ให้โทนสีเขียว British Racing Green ตัดด้วยหลังคาและกระจกมองข้างสีขาว Pepper White มีการตกแต่งด้วยสัญลักษณ์ 60 ปีตามจุดต่างๆบนตัวรถ ไฟท้าย LED เป็นลายธงอังกฤษ เอกลักษณ์เฉพาะตัวของ MINI และมาแปลกด้วยการใช้ล้อขอบ 17 นิ้ว (ใน Cooper S High trim จะใช้ขนาด 18 นิ้ว)

ภายในของ MINI มีความล้ำสมัยปนคลาสสิคมาตลอดอยู่แล้ว สิ่งที่ทำเพิ่มคือบรรดาโลโก้ 60 ปีบนพวงมาลัยและเบาะ ส่วนตัวเบาะนั้นก็เป็นแบบ MINI Yours Leather Lounge 60 Years สี Dark Maroon ตัดด้วยตะเข็บสีเขียว และไฟเรืองแสงที่คอนโซลเป็นลาย 60 Years เช่นกัน

MINI รุ่นพิเศษนี้ มีให้เลือกทั้งแบบ 3 ประตู ในราคา 2,900,000 บาท และ 5 ประตูในราคา 2,940,000 บาท แต่อย่าคิดนาน เพราะประเทศไทย ได้โควต้า 2 บอดี้นี้รวมกันแค่ 17 คันเท่านั้น!

โปรโมชั่นงาน Bangkok International Motor Show

ลูกค้า BMW ที่จองรถในงาน และรับรถภายใน 30 เมษายน ได้รับสิทธิประโยชน์ดังนี้

  • ทุกรุ่น ยกเว้นรถตระกูล M และ i3 กับ i8 – เมื่อซื้อแพ็คเกจ BSI Ultimate ฟรี ขยายระยะเวลาบำรุงรักษา จาก 5 ปี / 100,000 กิโลเมตร เป็น 6 ปี / 120,000 กิโลเมตร และขยายโปรแกรมการรับประกันเพิ่มเป็น 6 ปี ไม่จำกัดระยะทาง + BMW Mobility Service 6 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
  • รถ Plug-in Hybrid ทุกรุ่น ฟรีประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี
  • สำหรับ 320d GT ที่ซื้อผ่าน BMW Financial Service รับเงื่อนไขดาวน์ 0%

ลูกค้า MINI ที่จองรถในงาน และรับรถภายใน 30 เมษายน 2018 ได้รับสิทธิประโยชน์ดังนี้

  • MINI Cooper Hatch 3, Hatch 5, Cooper D 3 และ 5 ประตู และ Cooper S Countryman ฟรียกระดับ MSI Standard จาก 3 ปี / 60,000 กิโลเมตร เป็น 10 ปี / 100,000 กิโลเมตร + MINI Mobility Service 5 ปีไม่จำกัดระยะทาง
  • ทุกรุ่น จองเสร็จรับฟรีร่ม MINI

รายละเอียดเพิ่มเติม

รายละเอียด ราคา และอุปกรณ์ BMW 320d/330i ใหม่

รายละเอียด ราคา และอุปกรณ์ BMW X7 M50d

รายละเอียด ราคา และอุปกรณ์ MINI Cooper S 60 Years Edition

 


 

CHEVROLET

  • Chevrolet Captiva (โชว์เฉยๆจ้า ยังไม่ขาย)

น้ำตาอาบแก้มด้วยความปลื้มปิติเป็นอย่างยิ่ง เพราะหลังจากที่ไม่มีรถแบบ All-new ใหม่ถอดด้ามมาขายในไทยเลย 5 ปี ในวันนี้ Chevrolet find new road ของพวกเขาเจอแล้ว และถนนที่ว่านี้ก็คือการมุ่งสู่ความเป็นผู้นำในการขายรถแบบปิคอัพ, รถอเนกประสงค์ทั้งแบบ SUV/PPV หรือครอสโอเวอร์ และรถยนต์พลังงานไฟฟ้า นี่คือทิศทางที่เราจะได้เห็นจาก Chevrolet ประเทศไทยนับแต่นี้เป็นต้นไป

ก้าวแรกของการส่งสัญญาณบอกว่าพี่ยังอยู่นะเว้ย คือการเปิดตัวรถใหม่ อย่าง Chevrolet Captiva ซึ่งพวกเขาบอกว่ามันคือรุ่นแรกที่จะมาขายจริง หลังจาก Chevrolet ได้ find new road เจอแล้ว และหลังจากนั้นก็จะพยายามนำรถใหม่เข้ามาเรื่อยๆอีก ปีละ 1 รุ่นถ้าทำได้จนกว่าจะครบตามนโยบายถนนสายใหม่

Captiva ใหม่นี้ มีการปรับตำแหน่งการทำตลาด จากเดิมแข่งกับรถอย่าง Honda CR-V โดยตรง (C-SUV) กลายมาเป็น B/C-SUV พูดง่ายๆคือสอดตรงกลางระหว่างรถระดับ CR-V และ HR-V นั่นเอง ทาง Chevrolet ยังไม่เผยรายละเอียดใดๆมากนัก และรถคันที่โชว์ก็ไม่ได้อนุญาตให้เปิดดูภายใน มีคำบอกใบ้มาว่า แดชบอร์ดจะไม่เหมือนกับคู่แฝด Badge Engineering อย่าง Baojun 530 และจะมีให้เลือกทั้งแบบ 5 และ 7 ที่นั่ง มีหลังคา Panoramic

ที่สำคัญคือรุ่นเริ่มต้นจะมีราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท! นี่น่าจะเป็นผลมาจากการที่ลองทำราคา Trailblazer 999,000 บาทแล้วจู่ๆยอดขายจากเดิมเป็นแมวหลับกลับเดินดีจนชนะรถหน้าใหม่อย่าง Terra ได้อย่างอัศจรรย์

ทีมวิจัย Chevrolet ที่เฝ้าดูพฤติกรรมของผู้ซื้อรถยนต์ในกลุ่มนี้มานาน และสังเกตได้ว่าคนไทยซื้อรถ SUV เล็กด้วยเหตุผลแค่ 2 อย่างหลักๆคือชอบในรูปทรง หรือไม่ก็มีงบไม่มากพอที่จะเล่นรถใหญ่ จึงเลือกที่จะวางตำแหน่ง Captiva ใหม่สอดกลาง และผู้เขียนเชื่อว่าราคาก็น่าจะอยู่ในช่วงประมาณ 9 แสนปลายไปจนถึงประมาณ 1.3 ล้านบาท เราจะนำเสนอข่าวอีกครั้งเมื่อมีข้อมูลเพิ่มเติม ที่แน่นอนคือ Chevrolet ฟันธงว่าพร้อมจำหน่ายจริงในครึ่งหลังของปี

 

โปรโมชั่น Chevrolet Superdeal (ได้ทั้งนอกในและงานมอเตอร์โชว์ ถึง 30 เม.ย.)

  • Trailblazer 4×2 A/T LT  – รับราคาพิเศษ จาก 1,244,000 เหลือ 999,000 บาท แถมสติกเกอร์แต่งและซุ้มล้อ
  • Trailblazer 4×2 A/T LTZ – ราคาลดพิเศษจาก 1,379,000 เหลือ 1,189,000 บาท
  • Trailblazer 4×4 A/T LTZ – ราคาลดพิเศษจาก 1,479,000 เหลือ 1,299,000 บาท
  • Trailblazer 4×4 A/T Z71 – ราคาลดพิเศษจาก 1,499,000 เหลือ 1,319,000 บาท
  • Colorado Tornado Edition 4×2 M/T LT Z71 – ราคาพิเศษ 799,000 บาท จากราคาขายปลีกปกติ 822,000 บาท พร้อมสติกเกอร์และชุดแต่งซุ้มล้อ / หรือดาวน์ 15% ผ่อนเดือนละ 6,999 บาทใน 12 เดือนแรก
  • Colorado C-Cab 4×2 M/T LT – ดาวน์ 15% ผ่อนเดือนละ 5,999 บาทใน 12 เดือนแรก
  • Colorado X-Cab 2 ประตู M/T LT – ดาวน์ 15% ผ่อนเดือนละ 4,999 บาทใน 12 เดือนแรก
  • Colorado High Country – ดาวน์ 15% รุ่น 4×2 ผ่อนเดือนละ 9,299 บาทใน 12 เดือนแรก รุ่น 4×4 ผ่อนเดือนละ 10,299 บาทใน 12 เดือนแรก (รุ่น STORM เพิ่มเดือนละ 700 บาทในแต่ละรุ่น/เดือน)

หมายเหตุ: แคมเปญดาวน์ 15% ของ Colorado จะมีการเพิ่มยอดผ่อนต่อเดือนหลังจากเดือนที่ 13 เป็นต้นไป และต้องผ่อนทั้งหมด 72 งวด โปรดขอดูรายละเอียดจากผู้ขายก่อนซื้อ

รายละเอียดเพิ่มเติม

บทความรายละเอียดและข้อมูลคาดการณ์ของ Captiva ใหม่

Full Review ทดลองขับ Chevrolet Colorado High Country by Pan

Full Review ทดลองขับ Chevrolet Trailblazer 2.5VGT by J!MMY

 


 

FOMM (EV)


FOMM One  เป็นรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กสำหรับคนเมือง ลำตัวที่ยาวเพียง 2,585 มิลลิเมตร โดดเด่นด้วยพวงมาลัยทรงคล้ายเครื่องบิน และติดตั้งคันเร่งเอาไว้ที่พวงมาลัยนั่นเอง ใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็กจุ 2.96 kWh จำนวน 4 ก้อน ทำให้สามารถถอดแยกเปลี่ยนได้ในอนาคต และที่สำคัญ FOMM ยังริเริ่มเครือข่าย Battery Cloud ที่ลูกค้าสามารถขับเข้าไปเปลี่ยนได้เมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมด ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องต้องไปหาแย่งจุดชาร์จกับชาวบ้าน

เมื่อชาร์จไฟจนเต็ม FOMM One สามารถแล่นได้ไกล 160 กิโลเมตรตามมาตรฐานการวัด WLTC (ใกล้เคียงกับ LEAF รุ่นแรกๆ) และสามารถใช้ความเร็วสูงสุดได้ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เริ่มเปิดรับจองตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา สำหรับลูกค้า 2,000 คันแรก จะได้ส่วนลดราคาจาก 664,000 บาทเหลือ 599,900 บาท

ถึงแม้ FOMM One จะมีราคาเท่ากับรถอีโคคาร์รุ่นกลางค่อนข้างสูง แต่ทางบริษัทก็ชูจุดเด่นว่าค่าบำรักษาของ FOMM จะต่ำกว่ารถเบนซินทั่วไปถึง 9 เท่าเพราะมีชิ้นส่วนที่ต้องดูแลน้อย ไม่ต้องเติมน้ำมัน น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ แถมใครที่กลัวรถไฟฟ้าจะแพ้น้ำ FOMM เขาก็เอาไปลองลุยน้ำลงสระมาให้ดูแล้วว่าไม่มีอะไรต้องกลัว

 


 

Ford


ในงานนี้ ยังไม่มีรถโมเดลใหม่ ตัวเด่นของบูธ ก็ยังคงเป็น Ford Ranger Raptor กระบะพันธุ์แสบ ด้วยเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรดีเซล Compound Turbo 213 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร เกียร์ 10 สปีดพร้อม Paddle shift แล้วยังติดตั้งโช้คอัพ Fox Racing Shox 4 ล้อ ระบบขับสี่ Terrain Management System พร้อมโหมด Baja (อ่านว่าบาฮา..ไม่ใช่รองเท้า) มี Diff-lock หลังแบบไฟฟ้า แม้ว่าอุปกรณ์ในด้านความหรูหราอำนวยความสะดวกกับ Safety kit จะน้อยกว่ารุ่น Wildtrak ก็เชื่อว่ายังมีคนอยากได้ ถ้าเขาคนนั้นไม่กลัวยานแม่ หรือเคสต่างๆแบบตามที่เห็นในโซเชียลมีเดีย

ภายในงาน ก็ยังมี Raptor ที่ตกแต่งพิเศษมาเพื่อให้ดูโหดขึ้น และ Everest ที่พยายามแต่งแนวดุดัน มาจอดอยู่ข้างบูธ ตอนแรกตกใจนึกว่าจะได้เห็น Everest Raptor ซะแล้ว หุหุ..ส่วน Mustang พี่ม้าแรงฤทธิ์แห่งตำนานของเรา ก็มาโชว์ตัวทั้งรุ่น 2.3 Ecoboost และ 5.0GT มีการอัปเดตสำหรับปี 2019 คือรุ่น 2.3 ลิตร จะได้สปอยเลอร์หลังเพิ่มมา

โปรโมชั่นงาน Bangkok International Motor Show

  • Ranger รุ่น Standard Cab รุ่น Open Cab XL และ XLS: ส่วนลดพิเศษสูงสุด 35,000 บาท พร้อมฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Ford Ensure
  • Ranger รุ่น Open Cab XL+: ดาวน์เพียง 9,999 บาท พร้อมฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Ford Ensure
  • Ranger รุ่น Open Cab และ Double Cab XLT และรุ่น Wildtrak: อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 0% ดาวน์ 25% ผ่อนนาน 48 เดือน พร้อมฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Ford Ensure
  • Ranger Raptor: อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 0% ดาวน์ 25% ผ่อนนาน 48 เดือน พร้อมฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Ford Ensure และโปรแกรม ฟอร์ด พรีเมี่ยม แคร์ นาน 5 ปี*
  • Everest: อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 0% ดาวน์ 35% ผ่อนนาน 24 เดือน พร้อมฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Ford Ensure
  • Mustang: ฟรีโปรแกรม ฟอร์ด พรีเมี่ยม แคร์ นาน 5 ปี*

เฉพาะในงานมอเตอร์โชว์ สำหรับการจองรถภายในงาน ดังรายละเอียดต่อไปนี้

  • ฟรี เครื่องฟอกอากาศ (มูลค่า 9,000 บาท) เมื่อจองรถ Ford รุ่นใดก็ได้ (ยกเว้น Ranger STD SWB และ Mustang)
  • ฟรี บัตรเติมน้ำมัน (มูลค่า 10,000 บาท) เมื่อจอง Ford Ranger รุ่นใดก็ได้ (ยกเว้น Ranger Raptor) และออกรถภายใน 30 เมษายน 2019

รายละเอียดเพิ่มเติม

First Impression รีวิว ทดลองขับ Ford Ranger Raptor ที่ออสเตรเลีย by J!MMY

First Impression รีวิว ทดลองขับ Ford Ranger Wildtrak 2.0 Bi-turbo by Moo Cnoe

First Impression รีวิว ทดลองขับ Ford Ranger Limited โบเดี่ยวก็เปรี้ยวได้ by Pan

พาไปชมคันจริง + รีวิวแบบสั้น Ford Mustang 2.3 Ecoboost

 


 

Honda

  • All-new Honda Accord
 

ในงานนี้ส่งพระเอกหน้าใหม่มาคือ Honda Accord Gen.10 อันที่จริงงานเมื่อปลายปีก็ส่งมา แต่มาแค่คันเดียว คราวนี้มากัน 5-6 คันแถมเปิดให้ชมภายในด้วย Honda Accord ใหม่จะมีรุ่นย่อยทั้งหมด 3 รุ่น เป็นเครื่องเบนซิน 1.5 ลิตร เทอร์โบ 190 แรงม้า เกียร์ CVT 1 รุ่นและเป็นขุมพลัง Hybrid 2.0 ลิตร Atkinson Cycle+Motor ที่ให้พลังรวม 215 แรงม้าอีก 2 รุ่น

หลังจากที่เห็นตัวจริงก็รู้สึกว่า Accord เป็นรถที่ถ่ายรูปไม่ขึ้น ดีไซน์ของมันดูล้ำยุคกว่า Civic ขึ้นอีกขั้นด้วยซ้ำ จะมีก็แต่ไฟท้ายที่ยังดูขัดตาแปลกๆ ถ้าคิดว่าไฟท้าย Civic Sedan กวนโอ๊ยแล้ว Accord กลับจะดูกวนใจยิ่งกว่า ส่วนภายในนั้น เปลี่ยนไปจากรุ่นเดิมอย่างสิ้นเชิง มีทั้งส่วนที่ดูแพรวพราวน้อยลง กับส่วนที่ทันสมัยขึ้นสลับกันไป ดูเหมือนจะเป็นเทรนด์ของซีดาน D-Segment ยุคนี้ที่พอทำมาเอาใจคนอเมริกันกับออสเตรเลียมากขึ้น กลับดูหรูน้อยลง เช่นเดียวกับ Camry หรือ Teana

รายละเอียดด้านอุปกรณ์ เมื่อพิจารณาจากของจริง พบว่ารุ่น 1.5 เทอร์โบที่เป็นรุ่นล่างสุดนั้น ให้ล้อขนาด 17 นิ้วที่ไม่สวยเต็มเหมือนของ Hybrid ตัวท้อป อย่างไรก็ตาม มองภายในรถผ่านๆ ดูไม่ต่างกันมากนัก ผมลองไปนั่งเบาะหลังแล้ว พบว่าหัวติดเวลานั่งหลังตรง แต่พื้นที่วางขานั้นเหลือเฟือ

สำหรับราคาขายนั้น Honda จะประกาศอีกทีในเดือนพฤษภาคม แต่ก็มีการบอกใบ้มาว่าเริ่มต้นที่ไม่เกิน 1.5 ล้านในรุ่นเทอร์โบตัวถูกสุด และจบที่ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทในรุ่น Hybrid TECH ตัวแพงที่สุด อาจจะรอเผยราคาเมื่อพร้อม หรือไม่ก็ใจดี รอให้ Camry โกยยอดเล่นๆไปก่อนแล้วค่อยตามตบทีหลัง

สำหรับท่านที่ถามถึง Civic Hatchback ว่าไมเนอร์เชนจ์หรือยัง เช็คมาแล้ว ตอบได้ว่า “ยัง” ดังนั้นเก็บเงินรอไปก่อนครับ

 

โปรโมชั่นงาน Bangkok Motor Show

  • แคมเปญ Double Smile เลือกได้ว่าจะดาวน์ 0 บาท หรือเลือกผ่อนสบายพร้อมฟรีประกันภัยชั้น 1
  • แคมเปญ Honda ช่วยผ่อน โดยเริ่มต้นตั้งแต่ช่วยผ่อนเดือนละ 1,000 บาท และสูงสุดเดือนละ 10,000 บาท นาน 12 เดือน
  • รับบัตรเติมน้ำมันมูลค่า 3,000 บาทเมื่อจอง Honda รุ่นใดก็ได้ภายใน 9 เมษายน และรับรถภายใน 30 เมษายน ผ่านทางผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ Honda
  • รับบัตรกำนัล Starbucks 1,000 บาทเมื่อจองและใช้บริการ Honda Leasing ภายใน 7 เมษายน (รับรถไม่เกิน 31 พ.ค. 2019)
  • สินเชื่อรถติดกล่อง Honda Connect Get Good Deal รับบัตรเติมน้ำมัน 2,000 บาท และค่าบริการเครือข่ายโทรศัพท์เพื่อการส่งข้อมูลฟรี 2 ปี เมื่อโหลดแอปฯ Honda Connect Thai พร้อมติดตั้งอุปกรณ์รับส่งข้อมูล TCU กับตัวรถและใช้บริการสินเชื่อ Honda Leasing ภายใน 30 เมษายน
  • สำหรับคนที่เป็นลูกค้า Honda อยู่แล้ว ออก Honda คันใหม่รับดอกเบี้ยพิเศษลดลงอีก 0.15% จากลูกค้าทั่วไป

รายละเอียดเพิ่มเติม

First Impression รีวิว ทดลองขับ Honda Accord สเป็คอเมริกา

พาไปชมรถคันจริงพร้อม Review ฉบับสั้น Honda Civic 1.5 RS ไมเนอร์เชนจ์

Full Review: ทดลองขับ Honda CR-V เบนซินและดีเซล

รวม Link ทดลองขับ Honda BR-V/Civic/Civic Hatchback

 


 

Hyundai

  • KONA electric
  • H-1 Limited III

ค่ายนี้เขาเป็นประเภทเจ็บคอ ไม่พูดอะไรมาก แต่มาถึงก็ซัดจนเหวอทั้งวงการ งาน BIMS ปี 2018ก็ช็อคไปทีนึงแล้วด้วยการนำเอา Hyundai IONIC Electric มาขายแบบ “เออ จะขายอ่ะ ต้องบอกใครด้วยเหรอ” จากนั้นในงาน Motor Expo 2018 ก็เอา KONA electric มาจอดโชว์หยั่งเชิง เพียงไม่กี่เดือนก็เอามาเปิดตัวขายอย่างเป็นทางการ เห็นเล็กๆ เงียบๆ ไม่ได้โฆษณาความเป็นไฟฟ้าออกสื่อบ่อยนัก แต่บัดนี้ Hyundai กลายเป็นจ้าวแห่ง EV ในระดับราคาที่คนพอเอื้อมถึงซะแล้ว

และนับว่าฉลาดมาก ที่ Hyundai ประเทศไทยเลือกเอา KONA electric เข้ามาสองรุ่น ถ้าเครียดน้อย ก็กินรุ่น SE ซึ่งมีราคา 1,849,000 บาท คุณจะได้มอเตอร์ 136 แรงม้า แรงบิด 395 นิวตันเมตร (มากกว่า IONIC Electric 100 นิวตัน) กับแบตเตอรี่ที่มีความจุไฟ 39.2 หน่วย (มากกว่า IONIC 11.2 หน่วย) เร่ง 0-100 ได้ใน 9.7 วินาที และทดสอบระยะทางวิ่งต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้งตามมาตรฐาน WLTP (โหดกว่า NEDC) ได้ 312 กิโลเมตร ชาร์จด้วยไฟบ้าน 2.3kWh ใช้เวลา 19 ชั่วโมง ชาร์จ Wallbox 7.2 kWh ใช้เวลา 6 ชั่วโมง 10 นาที Fast Charging ตามสถานี เติมแบต 80% ได้ใน 54 นาที

แต่ถ้าคุณซีเรียสมากกับเรื่องระยะทางวิ่งต่อการชาร์จ ก็กินรุ่น SEL สิครับ เพิ่มราคาเป็น 2,259,000 บาท แต่คุณได้อุปกรณ์เพิ่มเช่นจอ HUD เซนเซอร์กะระยะด้านหน้า เบาะคุมอุณหภูมิ และได้มอเตอร์ 204 แรงม้า ได้แบตเตอรี่จุไฟ 64 หน่วย ทำให้วิ่งได้ไกลเพิ่มขึ้นเป็น 482 กิโลเมตรและเร่ง 0-100 ได้ภายใน 7.6 วิ เร็ว..และวิ่งได้ไกล แต่พอแบตโต เวลาในการชาร์จด้วยไฟบ้านและ Wallbox ก็เพิมเป็น 31 และ 9 ชั่วโมงครึ่งตามลำดับ รับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี/160,000 กิโลเมตร

ที่บอกว่าฉลาดเพราะพกอุปกรณ์มาเยอะกว่า Nissan LEAF ทรวดทรงรถเป็นครอสโอเวอร์ถูกใจกระแสส่วนใหญ่ แต่ด้วยความที่แบตเตอรี่จุเยอะมันแพง เลยทำเป็น 2 รุ่น รุ่นแบตเล็ก ความจุน้อยกว่า LEAF ไม่มาก ตั้งราคากวนใจ LEAF ได้ แล้วก็มีรุ่นแบตโตที่เอาไว้ขายคนที่ไม่แคร์งบแต่ต้องการพลังและประสิทธิภาพสูงสุด

 

แต่ถ้าเป้าหมายที่คุณจะไปมันไกลเกินระยะทำการของ KONA และคุณมีแผนจะพาลิงเก้งค่างช้างบ่างชะนีไปเที่ยวกันทั้งโขลง บางที H-1 น่าจะเหมาะกับงานแบบนี้มากกว่า สำหรับงานนี้ Hyundai เล่นมุกรุ่นพิเศษเหมือนเคย ปีก่อนมีรุ่น Black Series ดำไปทั้งตัว ปีนี้กลับมา กับ Limited III สีขาวกะทิชาวเกาะ ผลิตจำนวนจำกัดเพียงแค่ 300 คันเท่านั้น ค่าตัวอยู่ที่ 1,679,000 บาท แพงกว่ารุ่น Elite 150,000 บาท ถูกกว่ารุ่น Deluxe 50,000 บาท

สิ่งที่คุณได้ในรุ่นย่อยพิเศษนี้ คือหลังคามูนรูฟไฟฟ้าคู่ ล้ออัลลอย Y-spoke ขนาด 17 นิ้ว ภายในเป็นหนังและลายไม้สีเทา มีระบบ Cruise Control, ไฟตกแต่งห้องโดยสาร Ambient Light ปรับสีได้, จอเครื่องเสียง 7 นิ้ว, จอติดตั้งหลังเบาะแยกสองข้างขนาด 10.1 นิ้ว เพิ่มกล้องมองหลัง ไฟหน้าอัตโนมัติ กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ บางรายการนี่รุ่น Deluxe ตัวท้อปก็ไม่มีให้นะครับ แต่ถ้าจะเอากล้องรอบคัน ประตูไฟฟ้า ถุงลมข้าง และ ESP ก็ต้องอุดหนุน Deluxe อยู่ดีเพราะไม่มีให้ในตัว Limited

เนื่องจาก Hyundai ยังต้องใช้ตัวถังหลักนี้ทำตลาดไปอีกนาน ดังนั้นทางเดียวที่จะคงความสามารถในการแข่งขันได้ก็คือเพิ่มความสดด้วยการไมเนอร์เชนจ์ ซึ่งทำไปเมื่อสิงหาคมปี 2018 แล้วก็ต้องพยายามคิดค้นรุ่นย่อยที่ให้อุปกรณ์คุ้มเมื่อเทียบกับราคาออกมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะในเมื่อปากซอยนี้มี Kia Carnival ยึดสูบยากระดิกเท้ารอถีบทีเผลออยู่

โปรโมชั่นงาน Bangkok International Motor Show

  • จองรถ Hyundai รุ่นไหนก็ได้ รับฟรี ประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี
  • เฉพาะ H-1 รุ่น Elite และ Touring ฟรีค่าบำรุงรักษา 30,000 กิโลเมตร

รายละเอียดเพิ่มเติม

Full Review ทดลองขับ Hyundai Ionic Electric by J!MMY

รายละเอียดเพิ่มเติม Hyundai KONA electric

รายละเอียดเพิ่มเติม Hyundai H-1 Limited III

 


 

Isuzu

  • MU-X Onyx

 

เทรนด์กระบะโหดปีนี้มาแรง หลายบูธก็พยายามเอารถของตัวเองมาใส่การตกแต่งแบบ Custom Made ซึ่งช่วยให้ลูกค้าที่เดินในงานจินตการได้ง่ายขึ้นว่าเมื่อซื้อรถไปแล้วจะแต่งยังไงให้ดูดี (หรือแต่งอย่างไรให้เมียด่า) Isuzu เป็นค่ายที่อยู่ในใจชาวกระบะพันธุ์แรงมาตลอด ของแต่งเพียบโมขึ้น แรงได้ง่าย งานนี้ก็เลยมีทั้งสไตล์ท้องเตี้ย อย่างพี่เขียวคันบนที่เป็นรถ Safety Car ในการแข่งทางเรียบของรุ่น 1.9 ลิตร เป็นรถที่ถูกมาปรับแต่งเครื่องยนต์ให้มีแรงม้ามากถึง 350 แรงม้า พัฒนาช่วงล่าง ระบบเบรก และเพิ่มชุด Roll Cage พร้อมเข็มขัดนิรภัย Sabelt 6 จุด

ส่วนอีกคัน เป็น D-Max V-Cross Max 4×4 แต่งโหดแบบเน้นลุย กับชุดแต่งสไตล์สปอร์ต ออฟโรด ด้วยกันชนหน้า ARB พร้อมรอกไฟฟ้า ชุดไฟสปอตไลท์หน้า ARB ชุดกันกระแทกด้านข้างพร้อมบันไดข้าง ARB ชุดกันชนหลัง ARB ล้อ Fuel Baja ยาง BF Goodrich A/T 285/55R20 และชุดฝาปิดกระบะท้ายพร้อมราวหลังคาและอื่นๆ อีกหลายจุด

สำหรับรถใหม่ในงานนี้ ก็มีรถที่เพิ่งเปิดตัวไปอย่าง MU-X The Onyx ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นหรูพิเศษ ปรับราคาเพิ่มจาก Iconic อีก 10,000 บาท แต่ได้สีแดงใหม่ Etna Red บวกกับกระจังหน้าและกันชนหน้า/หลังดีไซน์ใหม่ ล้ออัลลอย 18 นิ้ว Flash Black Design ซุ้มล้อกับบันไดข้างสีดำด้าน ไฟท้ายรมดำ ส่วนภายในมี Ambient Light สีแดง และยังเพิ่มความปลอดภัยด้วยถุงลมนิรภัย 6 ใบ (เท่าชาวบ้านเขาซะที) และระบบตัดการทำงานคันเร่งด้วยการเหยียบเบรก (BOS-Brake Override System)

ส่วนคันที่จอดบนเวที เป็น MU-X The Onyx ที่ แต่งพิเศษด้วยล้ออัลลอยยี่ห้อ NAYA รุ่น TECHART ขนาด 10.5 x 22 นิ้ว ยาง TOYO รุ่น ST3 ขนาด 265/40 R22 พร้อมชุดโหลด

MU-X The Onyx มีให้เลือก 2 รุ่น คือรุ่น 1.9 ลิตรเกียร์อัตโมัติ 6 จังหวะ ราคา 1,364,000 บาท และ 3.0 ลิตรเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ 1,409,000 บาท

โปรโมชั่นงาน Bangkok International Motor Show

  • MU-X รับดอกเบี้ยสุดพิเศษ 1.40% พร้อมประกันภัยชั้น 1 และขับอุ่นใจ กับโปรแกรมบำรุงรักษารถตามระยะ ฟรี 3 ปี
  • D-Max Spark ตอนเดียว ดาวน์ต่ำ 26,xxx บาท
  • D-Max Spacecab S 1.9 ดาวน์ต่ำ 29,xxx บาท
  • D-Max X-Series – รุ่น Speed ผ่อนเริ่มต้น 7,xxx บาทต่อเดือน Speed Cab4 ผ่อนเริ่มต้น 8,xxx บาทต่อเดือน ไม่ต้องมีคนค้ำ
  • D-Max Hi-Lander L 2 ประตู – ดาวน์ 35,000 บาท รับบัตรกำนัลมูลค่าสูงสุด 25,000 บาท
  • D-Max 1.9 และ 3.0 เลือกรับดอกเบี้ยต่ำ 1.23% หรือดาวน์ต่ำ เริ่มต้น 29,000 บาท
  • ซื้อ Isuzu ทุกรุ่น ทำสัญญากับ Isuzu Leasing ภายในงาน รับบัตรเติมน้ำมัน 1,500 บาท

รายละเอียดเพิ่มเติม

รูปภาพ รายละเอียด อุปกรณ์ Isuzu MU-X The Onyx

ภาพเปรียบเทียบ Isuzu D-Max แต่ละรุ่นย่อย

 

 


 

Jaguar/Land Rover

  • I-Pace

บริษัท Inchcape ตัวแทนจำหน่ายรถแบรนด์ Jaguar/Land Rover ยังรุกต่อเนื่อง หลังจากที่ปรับราคารถ Land Rover ใหม่จนสามารถแข่งขันได้ ปีนี้ ก็เป็นคิวของ Jaguar ยกตัวอย่างเช่นครอสโอเวอร์รุ่นเล็กอย่าง E-Pace ก็ปรับราคาจากเดิม 3.6 ล้านบาทเหลือ 3.299 ล้านบาท และฝั่ง Land Rover รุ่น Discovery Sport ก็ลดราคาจาก 3,499,000 ลงเหลือ 3,199,000 บาท

แต่ความสำคัญของครั้งนี้ อยู่ที่การเปิดตัวรถยนต์พลังไฟฟ้ารุ่นแรกของค่ายเสือทะยาน Jaguar I-PACE นี่คือก้าวแรกของปรัชญาใหม่ในการสร้างรถ ซึ่งจะเป็นแนวทางของ Jaguar ในการนำเอายานยนต์พลังไฟฟ้ามาเป็นทางเลือกให้มากขึ้นในอนาคต

I-Pace เป็นรถ SUV ห้าที่นั่ง ขนาดตัวไม่ใหญ่ ยาว 4,682 มิลลิเมตร แต่ด้วยความที่เป็นรถพลังไฟฟ้าอย่างแท้จริง (ไม่มีรุ่นเครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซลโดยเด็ดขาด) ทำให้สามารถออกแบบห้องโดยสารได้กว้างน้องๆ F-Pace และมีพื้นที่จุสัมภาระด้านท้าย 686 ลิตรโดยไม่ต้องพับเบาะหลัง

สำหรับขุมพลังขับเคลื่อน I-Pace ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนความจุ 90 หน่วย ส่งกำลังไฟฟ้าไปยังมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้าและหลังอย่างละชุด ให้กำลังขับรวม 400 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 696 นิวตันเมตร เพียงพอที่จะทำให้ SUV ป้อมๆ คันนี้เร่งจาก 0-100 ได้ในเวลาแค่ 4.8 วินาที เรียกได้ว่ากดคันเร่งวิ่งไปกับรถสปอร์ตอย่าง F-Type แล้วมองหน้ากันไปได้พักใหญ่ เมื่อชาร์จไฟเต็มหม้อจะวิ่งได้ไกล 470 กิโลเมตร

I-Pace มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย คือรุ่น S ราคา 5,499,000 บาท รุ่น SE ราคา 6,299,000 บาท และรุ่น HSE ราคา 6,999,000 บาท ยังไม่มีรายละเอียดของอุปกรณ์ว่าแต่ละรุ่นต่างกันอย่างไร แต่ทราบว่ารุ่นแพงๆจะมีช่วงล่างถุงลม Adaptive Dynamics ที่ปรับความแข็งอัตโนมัติและลดความสูงของรถลงเมื่อวิ่งเกิน 105 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ถ้าสนใจ ก็ต้องรีบหน่อย เพราะปี 2019 นี้ ทาง Inchcape เจรจา ได้โควค้า I-Pace มาแค่ 12 คันเท่านั้น ถ้าคุณดันไปจองเป็นคนที่ 13 กว่าจะได้รถก็ต้องรออย่างต่ำๆต้นปีหน้านะครับ

 

โปรโมชั่นงาน Bangkok International Motor Show

  • Jaguar I-Pace – ฟรี แท่นชาร์จ Wallbox สำหรับรองรับการชาร์จไฟรถยนต์ที่บ้าน
  • Jaguar E-Pace – ราคาเริ่มต้น 3.299 ล้านบาท ดอกเบี้ย 0% นาน 48 เดือน ฟรีประกันภัยชั้น 1
  • Jaguar F-Pace, Jaguar XE และ XF – ดอกเบี้ย 0% นาน 36 เดือน ฟรีประกันภัยชั้น 1
  • Land Rover Discovery Sport – ราคาเริ่มต้น 3.199 ล้านบาท ดอกเบี้ย 0.99% นาน 48 เดือน
  • Range Rover Evoque และ Velar – ดอกเบี้ย 0% นาน 48 เดือน พร้อมฟรีประกันภัยชั้น 1
  • เจ้าของ Range Rover Sport นำรถมาเปลี่ยนเป็น Range Rover Sport Plug-in Hybrid บวกมูลค่าให้คันเก่า 5 แสนบาท
  • Jaguar และ Land Rover ทุกรุ่น รับ Worry-Free Program รับประกันนาน 5 ปี บริการซ่อมบำรุงฟรี 5 ปี และช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมงนาน 5 ปี

 


 

Kia

 

งานนี้ยังไม่มีรถใหม่ แต่ขนรถ MPV ยอดนิยมของค่ายอย่าง Grand Carnival มาให้เลือกกัน 3 รุ่นตามกำลังทรัพย์ ได้แก่

  • 2.2 D LX 8AT  1,622,000 บาท
  • 2.2 D EX 8AT  1,991,000 บาท
  • 2.2 SXL 8AT  2,292,000 บาท

Grand Carnival ทั้ง 3 รุ่นใช้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.2 ลิตร 197 แรงม้า เปลี่ยนระบบส่งกำลังใหม่จากเดิน 6 เป็น 8 จังหวะ โดยมีรุ่น LX เป็นรุ่นประหยัดงบ แต่ 2.2 EX ขึ้นไป จะมีระบบควบคุมการทรงตัว ระบบกันไถลมาให้ มีกระจกไฟฟ้าขึ้น/ลงอัตโนมัติที่ด้านคนขับ ล้ออัลลอย 18 นิ้วและขยายจอภาพของผู้โดยสารด้านหลังจาก 14 เป็น 15.6 นิ้ว

ส่วนรุ่น SXL เป็นรุ่นย่อยใหม่ที่เพิ่มทั้งความหรู ด้วยซันรูฟหน้า/หลัง หน้าปัดจอ MID สีแบบ TFT ระบบแจ้งเตือนรถในจุดบอดกระจกมองข้าง เบาะปรับไฟฟ้าพร้อมระบบความจำ กระจกหน้าต่างแบบ One-Touch ทั้ง 4 บ้าน และอุปกรณ์อื่นๆอีกมาก นับว่าเป็นการพา Grand Carnival เข้าไปอยู่ในจุดที่เหลือจุดอ่อนไม่มาก เพราะข้อเสียเรื่องอุปกรณ์ขาดๆเกินๆก็ถูกปิดจนเกือบหมด

นอกจากนี้แล้วในบูธก็ยังมี Stinger ราคา 2,999,000 บาทจอดอยู่ สำหรับคนที่อยากรู้ว่าเมื่อค่ายเกาหลีไปชิงเอาวิศวกรช่วงล่างมาจาก BMW แล้วมาให้ช่วยเซ็ตรถขับหลังให้ ผลจะออกมาเป็นอย่างไร ก็ลองติดต่อดูเผื่อขอลองขับได้

รายละเอียดเพิ่มเติม

รูปภาพ รายละเอียดเพิ่มเติม และจังหวัด/ผู้แทนจำหน่าย 17 แห่งของ Kia

เจาะสเป็ค ราคา อุปกรณ์ของ Kia Grand Carnival ทั้ง 3 รุ่นย่อย

Full Review ทดลองขับ Kia Grand Carnival 2.2 SXL by J!MMY

 


 

Lamborghini

  • Huracan EVO

ดาวเด่นของงาน คือกระทิงเล็ก Huracan EVO ที่เพิ่งเผยโฉมไปเมื่อช่วงปีใหม่ เป็นรถที่มาทำตลาดแทน Huracan LP610-4 Coupe เดิม ถือเป็นการไมเนอร์เชนจ์ก็ได้ เครื่องยนต์ของ EVO นั้น ยกมาจากรุ่น Performante ทำให้มีกำลังมากถึง 640 แรงม้า ตัวถังด้วยอลูมิเนียมผสมกับคาร์บอนไฟเบอร์ ทำให้ตัวรถมีน้ำหนักเพียง 1,422 กิโลกรัม ช่วยให้ระยะเบรกจาก 100-0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีระยะเพียง 31.9 เมตร

สิ่งที่ถือว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ใน EVO คือระบบควบคุมการขับเคลื่อน LDVI – Lamborghini Dinamica Veicolo Integrata (LDVI) ระบบสมองกลอัจฉริยะที่ประมวลผลความต้องการล่วงหน้าของผู้ขับขี่จากการใช้งานตัวรถตามโหมดการขับขี่ จากนั้นจึงสั่งการควบคุมประสิทธิภาพการทำงานระบบต่างๆ ของตัวรถ เช่น ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ระบบเลี้ยวล้อหลัง (เป็น Lambo รุ่นแรกที่มีระบบเลี้ยวล้อหลังด้วย) เพื่อการตอบสนองที่รวดเร็ว ทำให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถได้อย่างสมบูรณ์แบบ และปรับได้ว่าจะเอาแนวมั่น หรือให้พยศแบบที่กระทิงควรเป็น

ภายในของ Huracan EVO ยังมีระบบ Infotainment มาพร้อมจอทัชสกรีนขนาด 8.4 นิ้ว ที่บริเวณคอนโซลกลาง รองรับฟีเจอร์การเชื่อมต่อมากยิ่งขึ้น เพื่อวิวัฒนาการเหนือระดับสู่สุนทรียภาพแห่งการขับขี่สูงสุด ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 24.59 ล้านบาท

นอกจาก Huracan EVO แล้ว รถที่เป็นสุดยอดของทางค่ายกระทิงดุ ณ ปัจจุบันอย่าง Lamborghini Aventador SVJ ก็มาโชว์ตัวเช่นกัน มันคือรถยนต์แบบโปรดักชั่นที่สามารถทำลายสถิติเวลาต่อรอบเร็วที่สุดในสนามแข่งระดับโลกอย่าง Nurburgring ได้ภายใน 6:44.97 นาที ใช้เครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร ที่มีพลัง 770 แรงม้า มีระบบอากาศพลศาสตร์ ALA (Aerodynamica Lamborghini Attiva) แสนกล Lamborghini ผลิตรถรุ่นนี้เพียงแค่ 900 คันเท่านั้น และราคาในไทยก็อยู่ที่ 44.5 ล้านบาท

อีกคันกลางบูธ เป็น SUV/Crossover คันแรกของค่าย Lamborghini Urus เครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบ 4.0 ลิตร 650 แรงม้า ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ ชม. ในเวลาเพียง 3.6 วินาที และทำความเร็วสูงสุดกว่า 300 กม./ ชม. Urus ยังมาพร้อมจานเบรกแบบคาร์บอนเซรามิกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยขนาด 440 มม. ในด้านหน้า และขนาด 370 มม.ในด้านหลัง ทำให้ระยะเบรกจาก 100-0 กม./ ชม. มีระยะเพียง 33.7 เมตรเท่านั้น ราคาเริ่มต้น 23.42 ล้านบาท

รายละเอียดเพิ่มเติม

รูปภาพ ราคา รายละเอียด ของ Lamborghini Huracan EVO

 


 

Maserati

  • Quattroporte MY2019
  • Levanta Vulcano Limited Edition

ปีนี้ทางผู้แทนจำหน่าย MGC-Asia นำรถ Model Year 2019 มาให้ชม 3 คัน โดยรุ่นแรกก็คือ Maserati GranTurismo ใหม่ ยนตรกรรมคันงามจากฝีมือของ Pininfarina ที่หากไม่บอกก็คงไม่รู้ว่าบอดี้นี้เปิดตัวครั้งแรกที่เจนีวาตั้งแต่ปี 2007 ถึงจะแก่แต่ก็เก๋าเพราะเกิดในยุคที่โลกยังรักเครื่อง NA เจ้า GranTurismo นี้ใช้เครื่องยนต์ Ferrari/Maserati F136Y แบบ V8 4.7 ลิตร ที่ให้พลัง 460 แรงม้า แผดเสียงกังวานเร้าใจไร้หอยมาขวางทางรัก ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะของ ZF และเร่ง 0-100 ได้ภายใน 4.8 วินาที

ในรถ GranTurismo ปี 2019 นี้ มีแดชบอร์ดดีไซน์ใหม่ นาฬิกา แป้นควบคุมแบบ Rotary Control พร้อมทั้งอัปเกรดจอทัชสกรีนให้มีความละเอียดในการแสดงผลสูง ติดตั้งเครื่องเสียง Harman Kardon Premium Sound System ราคารถรวม Premium Maintenance Program อยู่ที่ 14.99 ล้านบาท อย่าคิดนานถ้าคุณยังอยากได้อิตาลี V8 แผดลั่นๆที่ไม่มีเทอร์โบหรือมอเตอร์ไฟฟ้า!

แต่ถ้าหาก GranTurismo คับแคบไป และรถลิโม่หรูในกระแสอาจไม่ใช่คำตอบของคุณ บางที New Quattroporte น่าจะตอบโจทย์นั้นได้ วิ่งๆไปไม่ต้องกลัวจะมีเพื่อนร่วมรุ่นเป็นแท็กซี่โรงแรมห้าดาวอย่างแน่นอน Quattroporte เป็นรถประจำตำแหน่งของประธานาธิบดีอิตาลี มีไฟหน้าใหม่แบบ Adaptive Matrix LED ตัวถังใช้วัสดุผสมอะลูมิเนียม/แม็กนีเซียม

ในรุ่น Quattroporte GTS ใช้เครื่องยนต์ F154A V8 ความจุ 3.8 ลิตร แผดไม่ลั่นเท่า GranTurismo เพราะมีทวินเทอร์โบช่วยชาร์จ แต่พละกำลังน่ากลัวระดับ 530 แรงม้า และสามารถใช้ความเร็วสูงสุดได้ถึง 310 กิโลเมตร/ชั่วโมง เข้าสู่เขตแดนของซูเปอร์คาร์อย่างงามสง่าแถมสบายกว่าด้วยห้องโดยสารบุหนังแท้เกรดพรีเมียม ลายไม้แท้ที่ไม่ใช่พลาสติกปลอมๆแบบที่พบกันทั่วไป หรือถ้ารุ่นไหนมีคาร์บอนไฟเบอร์ก็เป็นงานแท้ชิ้นสวยสมราคารถ

ปิดท้ายกันด้วย Maserati Levante Vulcano SUV รุ่นแรกของทางค่ายที่มากับรุ่นพิเศษผลิตจำนวนจำกัดเพียง 150 คันทั่วโลก และทางไทยได้โควต้ามา 10 คันเท่านั้น เอกลักษณ์ของรถรุ่นนี้คือตัวถังสีเทาด้าน Grigio Lava ภายนอกยังมีชุดแต่ง Nerrissimo Pack ซึ่งมีกระจังหน้าและโลโก้โครเมียมรมดำ กรอบหน้าตาสีดำ และไฟท้ายแบบสีเข้ม คาลิเปอร์เบรกพ่นสีแดง และล้ออัลลอยลาย Helios พ่นสีเงินด้าน ขนาดโต 21 นิ้ว ภายในมีเบาะสปอร์ตหุ้มหนัง Pieno Fiore พวงมาลัยหนังสลับคาร์บอนไฟเบอร์ บริเวณคอนโซลเกียร์มีโลโก้ตรีศูล (สามง่าม อาวุธของเทพเจ้าที่มีชื่อคล้ายสถานผ่อนคลายจริตชายชื่อดัง)  และมีคำว่า “One of 150” หรือหนึ่งใน 150 คัน แปะไว้ด้วย

Levante Vulcano ใช้เครื่องยนต์เบนซิน V6 สูบแบบ F160 3.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ 350 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะของ ZF ขับเคลื่อนสี่ล้อ สามารถทำความเร็วสูงสุดได้มากกว่า 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ราคาเท่าไหร่ ต้องลองไปถามทาง MGC-Asia ดู แต่ถ้าเป็น Levante รุ่นธรรมดาจะเริ่มต้นที่ 7.59 ล้านบาท (รวม Premium Maintenance Service)

ข้อเสนอพิเศษในงาน Bangkok International Motor Show

  • ลูกค้าที่จองในงาน รับสิทธิขยายระยะการรับประกันเพิ่มในปีที่ 4 และปีที่ 5 ไม่จำกัดระยะทาง และเงื่อนไขพิเศษสำหรับ Trade-in Supercar

รายละเอียดเพิ่มเติม

First Impression ทดลองขับ Maserati Levante, Ghibli และ GranTurismo by J!MMY


 

Mazda

  • KAI Concept
  • CX-3 Exclusive MODS

รถต้นแบบ MAZDA KAI CONCEPT เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของมาสด้าในอนาคต ดำเนินรอยการออกแบบตามแนวทาง KODO Ver 2.0  ซึ่งมีการออกแบบที่เฉียบคม สวยงาม ลดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นออก และทำให้เกิดการออกแบบรถแฮตช์แบคที่มองเห็นถึงความแข็งแรง แสดงออกถึงศิลปะและสุนทรียศาสตร์แบบญี่ปุ่น

KAI CONCEPT มาพร้อมกับเครื่องยนต์สันดาปภายใน SKYACTIV-G และเครื่องยนต์ SKYACTIV-X เครื่องยนต์ใหม่ที่ทาง Mazda พัฒนามาสำหรับรถเจเนอเรชั่นถัดไป ที่เรียกว่า Spark Controlled Compression Ignition (SPCCI) SKYACTIV-X ถือเป็นเครื่องยนต์เบนซินติดตั้งรถยนต์นั่งรายแรกของโลกที่ใช้การจุดระเบิดด้วยการอัดอากาศ ที่รวมเอาวิธีการทำงานแบบของเครื่องยนต์เบนซินและเครื่องยนต์ดีเซลไว้ด้วยกัน

น้ำจะดันไหม..อย่าเพิ่งถาม ขนาดขับ ผู้เขียนยังไม่เคยขับเลย อย่าถามด้วยว่าจะมาถึงเมืองไทยเมื่อไหร่สำหรับ SKYACTIV-X เพราะไม่ทราบ

ส่วนรถที่ขายอยู่ในไลน์อัพขนาดนี้ ก็มี CX-3 รุ่นพิเศษ Exclusive MODS ที่นำเอารุ่น 2.0SP มาเพิ่มอุปกรณ์ตกแต่ง โดยมีเบาะนั่งหุ้มหนัง Nappa สีแดงเข้ม เดินตะเข็บสีขาว เบาะคนขับปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทางพร้อมระบบความจำ เครื่องเสียงรองรับ Apple CarPlay/Android Auto และล้อ 18 นิ้วสี Dark Silver ขายในราคา 1,110,000 บาท

โปรโมชั่นงาน Bangkok International Motor Show

  • CX-5 ดอกเบี้ยต่ำสุด 0% และประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance นาน 2 ปี
  • Mazda3 ดอกเบี้ย 0.99% และประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance นาน 2 ปี
  • CX-3 ดอกเบี้ย 1.33% และประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance นาน 2 ปี
  • Mazda2 ดอกเบี้ย 2.19% ประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance นาน 1 ปี และ Mazda Care (แพ็คเกจบำรุงรักษา) นาน 3 ปี
  • BT-50 PRO ผ่อนเริ่มต้น 5,900 บาทและประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance นาน 2 ปี
  • MX-5 Mazda Added Protection โปรแกรมขยายการรับประกันคุณภาพสูงสุด 5 ปี และประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance นาน 1 ปี

รายละเอียดเพิ่มเติม

รูป ราคา และรายละเอียดเพิ่มเติม สำหรับ Mazda CX-3 Exclusive MODS

 


 

McLaren

  • McLaren 720S Spider (Thailand Debut 28.5 ล้าน)

Niche Cars ผู้แทนจำหน่าย McLaren ในประเทศไทย เผยโฉม 720S Spider อันเป็นเวอร์ชั่นเปิดหลังคาของ Super Series 720S ซึ่งใช้เครื่องยนต์ M840T V8 4.0 ลิตรเทอร์โบคู่ ให้กำลังถึง 720 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 341 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตัวถัง Carbon Tub ยกมาจากรุ่นหลังคาแข็ง ได้รับการทดสอบว่าแข็งแกร่งเพียงพออยู่แล้ว พอมาเป็นรุ่น Spider จึงไม่จำเป็นต้องมีการเสริมความแข็งแกร่งส่วนใดๆเพิ่มแม้จะตัดเส้นส่วนหลังคาออกเพื่อให้เปิดได้ตามรูปแบบของรถก็ตาม น้ำหนักตัวรถจึงเพิ่มขึ้นจากรุ่นหลังคาแข็งเพียง 45 กิโลกรัม

กลไกหลังคาของ 720S Spider ทำการเปิด/ปิดได้ภายในเวลา 11 วินาที เร็วกว่า 650S Spider 6 วินาที และยังออกแบบให้กรองเสียงรบกวนจากภายนอกออกได้มากขึ้นเพื่อให้คนขับได้ยินเสียงเครื่องและมีสมาธิกับการขับขี่ที่ดี ราคาเริ่มต้นขณะนี้ อยู่ที่ 29.5 ล้านบาทครับ


 

Mercedes-Benz

  • S 560 e Plug-in Hybrid
  • E 53 4MATIC+ Coupe
  • CLS 53 4MATIC+

ในงานครั้งนี้ ค่ายดาวสามแฉกขนรถมา 29 คัน และยังมีธีมการจัดคล้ายเดิมด้วยหลังคาบูธเหงือกปลา แสงสีแบบกึ่งชวนเคลิ้มกึ่งแสบตา มีการจัดแยกเป็นโซนระหว่างโซนเสี่ยปกติ (Mercedes-Benz) และโซนเสี่ยเท้าหนัก (Mercedes-AMG) เช่นเคย ใครอยากดูรถรุ่นไหน มีให้เกือบครบตั้งแต่ CLA, GLA ไปจนถึง AMG GT R จะขาดก็แค่ E 63 S ที่ผมเดินดูแล้วไม่เจอ

งานนี้ค่อนข้างผิดวิสัยเบนซ์อย่างเดียว คือมีรถรุ่นใหม่สดแบบ First time เพียงรุ่นเดียว ทั้งๆที่ปกติมีงานยิ่งใหญ่ขนาดนี้เบนซ์จะปล่อยของดีของเด็ดราวกับหมัดคอมโบ เอ๊ะ หรือว่าเป็นกลยุทธ์ให้ค่ายอื่นตายใจ? รถรุ่นเดียวที่มานี่ก็คือ Mercedes-Benz S 560 e AMG Premium เป็นการนำเสนอรถถ่านอีกครั้งหลังจากที่ S 500 e เกิด แก่ เจ็บ และตายไปโดยทิ้งให้ S 350 d ดีเซล 3.0 ลิตร 286 แรงม้ารับศึกเพียงผู้เดียวมาพักใหญ่

S 560 e ใช้เครื่องยนต์หลักเป็น V6 3.0 ลิตรทวินเทอร์โบ 367 แรงม้าจาก C 43 AMG รุ่นแรก แต่ปรับจูนรายละเอียดและบวกมอเตอร์ขับเคลื่อน 122 แรงม้าเพิ่มเข้าไป ทำให้ได้กำลังขับรวมถึง 476 แรงม้า เพิ่มจาก S 500 e 34 แรงม้า และยังเปลี่ยนระบบส่งกำลังจากเกียร์ 7 จังหวะเป็น 9 จังหวะ ส่วนหน้าตารถและการตกแต่งนั้นจะคล้ายกับ S 350 d รุ่น AMG Premium ราคาเปิดมาที่ 6,999,000 บาท แต่สำหรับคนที่ไม่ประสงค์ใช้รถถ่าน เวอร์ชั่นดีเซลทั้ง S 350 d Exclusive (6.39 ล้าน) และ S 350 d AMG Premium (ุ6.99 ล้านบาท) ก็ยังมีตัวตนอยู่ใน Price List แต่จะอยู่นานเท่าไหร่ก็อีกเรื่อง ทำใจ ค่ายนี้เขาเป็นสมาชิกสันนิบาตปลั๊ก เดี๋ยวเอาปลั๊กมา เดี๋ยวก็เอาดีเซลยัด นานๆจะมีขายพร้อมกันเสียทีก็รีบๆตัดสินใจ

ส่วนฝั่งแบรนด์ AMG นั้น เคยถามว่าพี่คะ เมื่อไหร่ C 43 Saloon ที่พี่สัญญาหนูไว้จะมาสักที คอยจนจะเก็บเงินไปออก M5 ได้ละค่ะ เขาก็ตอบกลับมาว่ายังไม่ลืม พี่แค่ยุ่งอยู่ ตอนนี้ AMG ไม่มีคำว่าถอย ทยอยรุกหนักอย่างต่อเนื่อง เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ก็เพิ่งเปิดตัว “คู่หู 53” ไป และก็นำมาโชว์ในงานนี้ด้วย ถือว่าเป็นมิติใหม่โดยเฉพาะสำหรับบอดี้ E-Class Coupe ซึ่งตลอดทศวรรษที่ผ่านมาได้ชื่อว่าเป็นเบนซ์ที่สวยเปรียวเฉี่ยวที่สุด แต่เบนซ์ไทยดันไม่เคยเอาเวอร์ชั่นเครื่องแรงๆมาขายเลยจนกระทั่ง E 53 มาถึง

ทั้ง E 53 และ CLS 53 ใช้ขุมพลังแบบเดียวกัน เป็นเครื่อง 6 สูบเรียงบล็อคใหม่ M256 ที่มาแทน M276 เดิมที่เป็นเครื่องแบบ V6 เครื่องยนต์ใหม่ใช้ระบบไฟฟ้า 48V ไม่มีสายพานหน้าเครื่อง ทุกอย่างใช้ไฟฟ้าปั่นแทน ไดสตาร์ททำหน้าที่เป็น EQ Boost เพิ่มพลังให้เครื่องยนต์ได้ 22 แรงม้า มีคอมเพรสเซอร์ไฟฟ้าของ BorgWarner ช่วยอัดอากาศรอบต่ำ ให้แรงม้าสูงสุด 435 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะและระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC+

สนนราคา รุ่น CLS 53 จะถูกกว่า คือแค่ 5,350,000 บาท เพราะเอามาประกอบในประเทศแล้ว ส่วน E 53 Coupe นั้นยังเป็นรถนำเข้า ทำให้ราคาโดดไปถึง 6,990,000 บาท

โปรโมชั่นงาน Bangkok International Motor Show

  • จองซื้อรถ GLA-class, E 350 e (สามรุ่นย่อย), GLC 250 d (สองรุ่นย่อย),  GLC 250 d 4MATIC Coupé AMG Plus, S 350 d (ทั้งสองรุ่นย่อย) รับฟรี iPhone XS Max 256 GB มูลค่า 49,900 บาท (มีจำนวนจำกัด)
  • อัตราดอกเบี้ย 0% สำหรับสัญญาเช่าซื้อระยะเวลา 48 เดือน เงินดาวน์ขั้นต่ำ 25% สำหรับลูกค้าที่ออกรถยนต์รุ่น GLC 250 d (Off road และ AMG Dynamic)
  • อัตราดอกเบี้ย 0% สำหรับสัญญาเช่าซื้อระยะเวลา 48 เดือน เงินดาวน์ขั้นต่ำ 25% สำหรับลูกค้าที่ออกรถยนต์ E 350 e Avantgarde, E 350 e Exclusive และ E 350 e AMG Dynamic พร้อมฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mercedes-Benz Protection เป็นระยะเวลา 1 ปี และแพ็คเกจ MBSP Excellent นาน 4 ปี
  • แคมเปญส่งเสริมการขายสำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาแบบมายสตาร์ (mySTAR) และ
    เช่าทางการเงิน (Finance Lease) กับเมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่ง จะได้รับฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mercedes-Benz Protection เป็นระยะเวลา 1 ปี

รายละเอียดเพิ่มเติม

รูปภาพและรายละเอียดเพิ่มเติม S 560 e AMG Premium

รูปภาพและรายละเอียดเพิ่มเติม CLS 53 4MATIC+ ประกอบในประเทศ

รูปภาพและรายละเอียดเพิ่มเติม E 53 4MATIC + นำเข้า

First Impression รีวิว ทดลองขับ C 220 d Avantgarde by Pan

 


 

MG

  • MG ZS EV
  • MG V80

แบรนด์ MG ปักหลักลงในประเทศไทยมานาน และในมุมมองของผู้บริหาร ในระยะเวลาไม่ถึง 5 ปีนับตั้งแต่ MG นำรุ่น 6 ล็อตแรกเข้ามาขายจนถึงปัจจุบัน ยอดขายสะสมที่มากกว่า 50,000 คันทำให้มองเห็นได้ว่าแบรนด์นี้ยังมีศักยภาพที่จะโตได้อีกมาก เมื่อมาถึงงานมอเตอร์โชว์ครั้งนี้ แม้จะไม่มีรถเก๋งเปิดตัวใหม่ แต่ก็ต้องไว้ลายมังกรจิบชาบ่ายสี่ด้วยการนำเทคโนโลยีของค่ายมาโชว์บ้าง

MG ZS EV รถยนต์ต้นแบบ นับเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของ MG ที่ใช้พลังงานทางเลือก “NetGreen” พัฒนาโดยบริษัทแม่อย่าง SAIC ใช้มอเตอร์ที่ให้กำลังขับสูงสุด 150 แรงม้า สร้างบนพื้นฐานของรถ MG ZS โดยติดตั้งชุดมอเตอร์แทนที่เครื่องยนต์สันดาปภายในด้านหน้า ส่วนแบตเตอรี่เป็นเซลล์ขนาดใหญ่อยู่ที่พื้นรถ เมื่อชาร์จไฟเต็ม สามารถวิ่งได้ไกล 335 กิโลเมตรตามมาตรฐานการวัดแบบเก่าของยุโรป (NEDC)

จุดที่แตกต่างจาก ZS 1.5 ลิตร พอสังเกตได้จากกระจังหน้าลายคล้าย Diamond Grill ของ Mercedes-Benz และล้ออัลลอยลายสวย (น่าจะเอามาใส่ใน ZS รุ่นปกติด้วย) มีช่องเสียบปลั๊กชาร์จซ่อนอยู่ในกระจังหน้า ส่วนภายใน เล่นโทนสีเทาดำหมด มีจอที่แดชบอร์ดขนาดใหญ่ต่างจากรุ่น ZS ในไทย หน้าปัดเปลี่ยนวัดรอบเป็นมาตรวัดการปล่อยพลังงาน และคันเกียร์ถูกแทนที่ด้วยปุ่มหมุนคล้ายรถเครือ Jaguar/Land Rover

MG แถลงว่าพวกเขากำลังจะลุยตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าอย่างจริงจัง และจะนำ ZS ไฟฟ้า เวอร์ชั่นพวงมาลัยขวามาขายในไทยให้ได้ในปีนี้..เอาแล้วสิ ถ้าพลังมอเตอร์เจ๋งจริง ZS ที่ไม่อืดก็จะมาให้พวกเราซื้อกัน แต่ราคาไม่น่าถูกแบบรุ่น 1.5 นะครับ

ต่อมา เป็นคิวของ Maxus เอ้ย ไม่ใช่สิ..MG V80 รถตู้จริงแท้ขนาดโต จุได้ 11 ที่นั่ง เครื่องยนต์วางด้านหน้า ขับเคลื่อนล้อหน้าพร้อประตูสไลด์ 2 ข้างและบันไดพับเก็บด้วยไฟฟ้าเพื่อให้สะดวกในการขึ้นลง MG V80 ใช้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบขนาด 2.5 ลิตร 136 แรงม้า แรงบิด 330 นิวตันเมตร มีระบบส่งกำลังให้เลือกสองแบบคือเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และเกียร์ SELEMATIC คลัตช์แห้งไฟฟ้า กลไกการทำงานคล้าย MG3 รุ่นแรก

สำหรับราคานั้น เคาะแล้วในงาน โดย MG V80 เกียร์ธรรมดา อยู่ที่ 988,000 บาท และรุ่นเกียร์ SELEMATIC อยู่ที่ 1,038,000 บาท

โปรโมชั่นงาน Bangkok Motor Show

  • MG 3, ZS, MG 5 และ MG GS ฟรีประกันชั้น 1 พร้อมพรบ. นาน 1 ปี
  • MG 3 – เลือกรับดาวน์เริ่มต้น 5% เพียง 25,950 บาท / หรือรับฟรีชุดแต่ง Body kit รอบคัน
  • MG 5 และ GS รุ่น 1.5T – ดอกเบี้ย 0% ผ่อนนาน 5 ปี ตามเงื่อนไขสถาบันการเงินที่ร่วมรายการ
  • MG ZS – ผ่อนเพียง 6,790 บาทต่อเดือน ตามเงื่อนไขสถาบันการเงินที่ร่วมรายการ

รายละเอียดเพิ่มเติม

รีวิว ทดลองขับ MG ZS 1.5 X by Pan

Full Review ทดลองขับ MG GS 1.5 X by J!MMY

รูปและรายละเอียดเพิ่มเติม MG V80

 


 

Mitsubishi

  • รถต้นแบบ e-Evolution
  • Triton Absolute

อยากจะถามคนมิตซูฯ มานานละว่าทำไมทุกงานจะต้องมีรถจอดทะแยงๆให้เสียวมันจะไหลลงมาแจ๊ะกับเรา ไม่ใช่แค่ที่เมืองไทยนะครับงานที่โตเกียวก็เอา Outlander มาจอดในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน คาดว่าคงเป็นเพราะต้องการสร้างบูธให้ดูน่าตื่นเต้นกว่าปกติ ถ้าอยากตื่นเต้นกว่านี้คราวหน้า ผมแนะนำให้ลองเอา Attrage ไปจอดทะแยงบ้างจะฮากว่า

Mitsubishi ก็ยังเป็นค่่ายที่ใจป้ำ เติมความเป็นอนาคตให้กับงานโชว์อย่างต่อเนื่องด้วยการขนรถต้นแบบมาแสดงวิสัยทัศน์ของบริษัทโดยตลอด ตอนแรกรถคันนี้ถูกคลุมผ้าดำเอาไว้ เห็นแต่ป้ายรุ่น อะไรนะ.. Evolution..Evolution! ทำให้ผู้เด็กวัยรุ่นขนลุกซู่นึกว่าจะได้เห็นทายาทสืบทอด Evo IV ที่พี่ชายมันขับ แต่พอเปิดผ้าคลุมมา ขอต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งอีโวไฟฟ้าที่มาในรูปแบบของครอสโอเวอร์…น้องครับ พี่จะบอกให้ว่าบริษัท Mitsubishi เขาแถลงนโยบายหลายปีแล้วว่าต่อไปนี้น่ะพวกเขาจะมุ่งเน้นการเป็นจ้าวแห่ง SUV/Crossover และพลังไฟฟ้าจ้า

แต่ถึีงกระนั้น ก็ต้องยอมรับว่ารถต้นแบบ “e-Evolution” คันนี้ มีทรวดทรงน่าเป็นเจ้าของชะมัด ด้วยกระจกหน้าที่ดูภายนอกเหมือนเชื่อมเป็นชิ้นเดียวกับบานข้าง (Wraparound) เหมือนรถแข่งในตำนานอย่าง Lancia Stratos หลังคาลาด ลิ่ม เตี้ย ภายในล้ำยุคมากด้วยพวงมาลัยตัดครึ่งและจอควบคุมต่างๆคล้าย Airbus A350 (บอกว่าเหมือน 737MAX ไม่ได้มั้งเดี๋ยวโดนสั่งงดบิน)

ขุมพลังขับเคลื่อนมาจากมอเตอร์ 3 ตัว ล้อหน้ามีมอเตอร์ข้างละตัว และอีกตัวหนึ่งส่งกำลังไปให้ล้อคู่หลัง มีระบบเฟืองทดเจ้าเล่ห์ AYC (Active Yaw Control) ผนวกกับมอเตอร์ในการจัดส่งแรงขับไปยังล้อแต่ละข้างให้ดีดออกจากโค้งได้ไว และเกาะถนนได้ดีที่สุด และยังมีระบบ Artificial Intelligence ที่ประหนึ่งเป็นสมองประจำรถ สามารถอ่านข้อมูลต่างๆจากสภาพถนน และโต้ตอบกับคนขับได้ นี่ล่ะคือแนวทางของ “Evo” ในแบบที่รุ่นหลานเราจะได้ขับ แล้วอย่ามาถามพี่นะว่าวาง 4G63 ได้มั้ย

รถเด่นอีกคันในบูธของ Mitsubishi คือเจ้า Triton Absolute รถที่พัฒนาขึ้นเพื่อสะท้อนแนวคิด “Build-up Robustness” ไม่ต้องเปิดพจนานุกรมแปลให้มากความ มันคืออีกฟอร์มหนึ่งของคำว่า “แกร่ง ลุยทุกอุปสรรค” ที่เป็นสโลแกนของ Triton แต่ทว่าที่ผ่านมา เราจะเห็นได้ว่าเกือบทุกขายในงานที่มีรถกระบะขาย เขาจะมีกระบะแต่งลุยโหดๆไว้โชว์ ดังนั้นมิตซูก็เลยต้องทำมาโชว์กับเขาบ้าง

มองจากระยะไกล สิ่งที่ทำให้ Triton Absolute ดูเปรี้ยวอำมหิต คือยาง Mud Terrain ของ Falken Wildpeak ดอกหนาเหยียบเท้าช้างร้อง แก้มหนาปีนหินมั่นใจ ล้ออัลลอยลายพิเศษสีดำ ชุดกันชนหน้าและโป่งด้านข้างเป็นลายคาร์บอนเคลือบเงา กระจังหน้าลายเฉพาะตัว ส่วนด้านหลังมีสปอร์ตบาร์ (สะกด บ-า-ร์ ค่ะลูก มาจากคำว่า BAR พี่เห็นบางคนเขียนสปอร์ตบรา มันของผู้หญิงเขาใส่เล่นโยคะ) ทรงลาดกำลังสวยและดูต่อเนื่องกันกับอุปกรณ์ตกแต่งเสริมบนหลังคา ช่วงล่างยกสูงขึ้นกว่ารถ Triton Doublecab 4WD รุ่นปกติอีก 50 มิลลิเมตร

ในปัจจุบัน Triton Absolute ยังเป็นรถต้นแบบที่ทำมาเพื่อหยั่งเชิงการตอบรับของลูกค้า โดยนำมาจัดแสดงที่งาน Bangkok Motor Show นี้เป็นแห่งแรกในโลกและจะนำไปโชว์ตัวที่ประเทศอื่นๆต่อไป หากกระแสตอบรับดีจริง ก็อาจได้มีโอกาสนำมาผลิตขายแข่งกับ Ford Ranger Raptor หรือในอีกทางหนึ่ง ถ้ากระแสตอบรับน้อย หรืองบพัฒนาไม่พอ ก็ยังมีโอกาสได้เป็น Limited Edition คล้ายๆกับรุ่น Athlete ดังนั้นถ้าอยากได้ ขอเสียงเชียร์ให้มิตซูเยอะๆครับ

โปรโมชั่นงาน Bangkok Motor Show (จองรถภายใน 7 เม.ย. และออกรถก่อนสิ้นเดือน)

  • ทุกรุ่น รับสิทธิ์ลุ้นรางวัล โปร Super Surprise Mitsubishi ผ่อนให้เลย (สอบถามเพิ่มเติมที่บูธ)
  • New Triton 2WD, Plus และ 4WD – ฟรีประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี ฟรีค่าแรงเช็คระยะ 5 ปี, ดอกเบี้ยอัตราพิเศษ 0% นาน 48 เดือน
  • Pajero Sport – ฟรีประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี, ฟรีค่าบำรุงรักษาตามระยะ 5 ปี, ฟรีค่าแรงเช็คระยะนาน 5 ปี, ดอกเบี้ยอัตราพิเศษ 0% นาน 36 เดือน
  • Mirage และ Attrage – ฟรีประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี+ฟรีค่าแรงเช็คระยะนาน 5 ปี
  • Xpander – ฟรีประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี+ฟรีค่าแรงเช็คระยะนาน 5 ปี และรับสิทธิ์ซื้อชุดแต่งรอบคันในราคา 17,000 บาท ฟรีเสื้อแจ็คเก็ต Xpander มูลค่า 3,690 บาท

รายละเอียดเพิ่มเติม

รูปภาพและรายละเอียดเพิ่มเติม Mitsubishi Triton Absolute

รายละเอียดเพิ่มเติม Mitsubishi Triton Doublecab

รูปภาพเพิ่มเติม Mitsubishi e-Evolution

รีวิว ทดลองขับ Mitsubishi Triton ไมเนอร์เชนจ์ by Pan

 


 

Nissan

  • X-Trail minorchange
  • Navara Black Edition II
  • Almera Sportech SV

Intelligent Mobility ของเราวันนี้ แม้จะยังไม่มีโมเดล All-new มาเปิดตัว แต่อย่างน้อยก็มี Intelligent SUV อย่าง Nissan X-Trail ไมเนอร์เชนจ์ที่เพิ่งจะเปิดตัวไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ มาแปลกด้วยการตัดเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเบนซินทิ้ง เหลือทำตลาดแค่รุ่น 2.5 ลิตรเบนซินกับ 3 รุ่นย่อยราคา 1.35-1.66 ล้านบาท และรุ่น Hybrid 2.0 กับ 2 รุ่นย่อย ราคา 1.537 และ 1.617 ล้านบาท ชูจุดเด่นด้านความปลอดภัยอัจฉริยะ ไม่ว่าจะเป็น Intelligent Cruise Control, Intelligent Around View Monitor, Intelligent Forward Collision Warning, Intelligent Emergency Braking และอื่นๆอีกมากมาย แถมยังมีสีส้มโทนใหม่ที่ทำให้รถดูเด่นขึ้น และล้อ 19 นิ้วใน 2.5VL 4WD ที่ดูสปอร์ตกว่าเดิม

แต่ถ้า Intelligent SUV แพงเกินงบ และคุณอยากได้ความหล่อแบบสมบุกสมบัน ต้องนี่เลย Intelligent Pick-up Truck กับ Nissan Navara Black Edition II ราคาเริ่มต้นรุ่น King Cab เกียร์ธรรมดาแค่ 790,000 บาท หรือถ้าชอบสี่ประตู ก็มีรุ่นเกียร์ธรรมดา  877,000 บาท และเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ 950,000 บาท มีเครื่องยนต์แบบเดียวคือ 2.5 ลิตร YD25 163 แรงม้า และเป็นรถแบบ Calibre ยกสูง ขับเคลื่อนล้อหลังทั้งหมด

แนวทางของรถ ดำเนินรอยตาม Black Edition รุ่นแรก ด้วยชุดแต่งรอบคันเฉพาะรุ่นจากหน้าจรดท้าย ดุดันด้วยลายกราฟฟิกดีไซน์ใหม่  เสริมด้วยสติกเกอร์ลายเส้นสีส้ม ทั้งกันชนหน้า กระจกมองข้างและบันไดข้าง แกร่งเข้มด้วยซุ้มล้อสีดำขนาดใหญ่และล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ภายในมี Cruise Control ให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานทุกรุ่น สู่อีกขั้นของความ Intelligent ด้วยกล้องมองภาพรอบทิศทาง (Around View Monitor) และวิทยุใหม่ที่สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่าน Nissan Connectได้ ทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto

นอกจากนี้ สำหรับคนที่ชอบรถเก๋งขนาดเล็กประหยัดน้ำมัน ก็ยังมี Nissan Almera Sportech SV ซึ่งก็คือ Almera โฉมสุดท้ายของตัวถังนี้ ที่ได้รับการเปลี่ยนสเกิร์ตรอบคันใหม่ บวกกับสปอยเลอร์หลังสีดำ นอกนั้นออพชั่นทุกอย่างก็มีพื้นฐานมาจากรุ่นย่อยกลางของ Almera คือรุ่น E ราคาเพิ่มจาก 537,000 บาท เป็น 550,000 บาท ถือว่าเป็นสีสันเล็กน้อยเพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคในราคาที่ง่ายต่อการเป็นเจ้าของ..ระหว่างรถโมเดลใหม่มานะครับ

กลับมา Intelligent กันอีกรอบก่อนออกจากบูธ ใครที่มองหารถ SUV พื้นฐานกระบะที่อัตราเร่งถึงใจ ประหยัดน้ำมันอันดับต้นของกลุ่ม แถมยังมีกระจกมองหลัง Intelligent Rear View Mirror อย่าลืมแวะชม Terra 2.3 Twin Turbo ซึ่งในงานมอเตอร์โชว์นี้ ดูดีๆนะครับ กระจังหน้าของรถโชว์ ได้กระจังซี่ดำมาแล้ว ดูหล่อน่าฟันอเมริกันบิ๊กบอยขึ้นเยอะ ถ้าใครอยากได้ ก็สามารถสั่งซื้อได้แล้วเพราะเป็นพาร์ทที่ Nissan จำหน่ายเองอย่างเป็นทางการ คุณสามารถซื้อเป็นชุด กระจังหน้าซี่ดำ สปอยเลอร์หลังคา คิ้วกันสาด ปลอกท่อไอเสีย และแผ่นสีเงินแปะซุ้มล้อ จากราคาปกติ 13,950 บาทเหลือเพียง 9,000 บาท เฉพาะในงานนี้

และถ้าซื้อผ่าน Nissan Leasing คุณสามารถเอาราคาของแต่งไปรวบยอดกับราคารถแล้วผ่อนไปเลยก็ได้

โปรโมชั่นงาน Bangkok International Motor Show

  • March – ฟรีประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี รับทองคำหนัก 2 บาท /หรือ เลือกซื้อรุ่น 1.2S เกียร์ธรรมดาในราคา 369,000 บาท (ไม่แถมทอง)
  • Almera – ฟรีประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี รับทองคำหนัก 1 บาท /หรือ ซื้อรุ่น 1.2 E Sportech รับอัตราดอกเบี้ย 1.54% ผ่อนเดือนละ 3,490 บาท 60 งวด งวดที่ 61 ปิดยอดอีก 161,100 บาท (ไม่แถมทอง แต่แถมบัตรเติมน้ำมัน 5,000 บาท)
  • Sylphy – ฟรีประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี  รับทองคำหนัก 1 บาท /หรือ รับเงื่อนไขดอกเบี้ย 0% (ไม่แถมทอง) ระยะเวลาการผ่อนสูงสุด 36-60 เดือนแล้วแต่รุ่นย่อย โปรดสอบถามกับพนักงานขาย
  • X-Trail – ฟรีประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี รับทองคำหนัก 3 บาท
  • Terra – ฟรีประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี รับทองคำหนัก 4 บาท /หรือ ซื้อรุ่น 2.3 V รับราคา 1,199,000 บาทภายใต้เงื่อนไข ดาวน์ 32% ดอกเบี้ย 4.79% ผ่อน 60 งวด งวดละ 9,900 บาท และปิดท้ายที่งวด 61 จ่ายอีก 419,650 บาท
  • Navara – เยอะ พิมพ์เมื่อยนิ้ว..รบกวนคลิกดูที่นี่

 

รายละเอียดเพิ่มเติม

เจาะสเป็ค ราคา และอุปกรณ์ Nissan X-Trail ไมเนอร์เชนจ์

รายละเอียดเพิ่มเติม Nissan Navara Black Edition 2

Full Review ทดลองขับ Nissan Terra by J!MMY

 


 

Porsche

  • All-New Porsche 911 (992)
  • 911 GT3RS (991)

AAS Auto Service ผู้แทนจำหน่าย Porsche อย่างเป็นทางการขนรถมาร่วมจัดแสดงในงานครบทุกรุ่น ตั้งแต่พิกัด 4 สูบอย่าง 718 Cayman, Panamera 4 E-Hybrid Executive รวมถึงรถ SUV/Crossover ที่ได้รับความนิยมยอดขายสูงอย่าง Cayenne e-Hybrid ราคาเริ่มต้น 6 ล้านกลาง และ Macan ราคาเริ่มต้น 4.8 ล้านบาท ซึ่งสองรุ่นหลังนี้มีส่วนช่วยผลักดันให้ยอดขายรวมปี 2018 ของค่ายนี้ในประเทศไทย สูงเป็นประวัติการณ์

หน้าบูธของ Porsche ในปีนี้ ต้อนรับแขกผู้มาเยือนด้วย 911 GT3RS ซึ่งเป็นรถเวอร์ชั่นไร้เทอร์โบที่มีความร้ายกาจที่สุดจากคอกของ Porsche ด้วยเครื่องยนต์พื้นฐานจากรุ่น GT3 ขนาด 4.0 ลิตร 6 สูบนอน Boxer ปรับเพิ่มกำลังจาก 500 เป็น 520 แรงม้า ลากรอบได้ถึง 9,000 รอบต่อนาที มีชุดแต่งสเกิร์ตข้าง และสปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่ที่ดูล้ายอสูรโหด GT2RS พร้อมรูร่องช่องระบายความร้อนตามจุดต่างๆ และเบาะหลังแข็งพร้อมโรลเคจครึ่งหลังภายในห้องโดยสาร

GT3RS สามารถวิ่งรอบ Nurburgring ได้ภายใน 6:56.4 นาที เป็น Porsche คันที่สามหลังจาก 918 Spyder และ GT2RS ที่สามารถทลายกำแพง 7 นาทีได้สำเร็จ

 

ไฮไลท์เด่นตัวจริงของงานนี้ คือ 911 เจนเนอเรชั่นใหม่ รหัส 992 ซึงเผยโฉมเป็นครั้งแรกในเอเชียที่ประเทศไทย โดยรุ่นที่มีขายในขณะนี้ทั้งโลก ก็มีแค่รุ่น Carrera S ขับเคลื่อนล้อหลัง และ Carrera 4S ขับเคลื่อนสีล้อ All-wheel drive

แม้ว่า 992 จะมีหน้าตาคล้ายกับ 991.2 รุ่นที่แล้ว แต่ในทางเทคนิค มีพัฒนาการใหม่เข้ามาหลายส่วน ยกตัวอย่างเช่นภายในรถ ซึ่งเปลี่ยนแนวจากเดิมคนละเรื่อง มีหน้าจอสัมผัสความละเอียดสูงขนาด 10.9 นิ้วเข้ามา มีการจัดวางชุดสวิตช์ต่างๆใหม่ เปลี่ยนลักษณะหัวเกียร์ ส่วนเครื่องยนต์นั้น แม้จะเป็นบล็อคพื้นฐาน 3.0 ลิตรทวินเทอร์โบ Boxer-6 คล้ายเดิม แต่มีการปรับจูนการจ่ายเชื้อเพลิงและการจุดระเบิดใหม่ ปรับย้ายตำแหน่งเทอร์โบชาร์จเจอร์ และเพิ่มประสิทธิภาพอินเตอร์คูลเลอร์ ระบบส่งกำลังคลัตช์คู่ PDK เพิ่มจาก 7 เป็น 8 จังหวะ นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยเหลือการขับขี่ Wet mode ที่อาศัยเซนเซอร์ตรวจจับปริมาณน้ำขังบนพื้นถนนเพื่อแจ้งเตือนและปรับลักษณะการตอบสนองให้ปลอดภัยขึ้น

สำหรับเรื่องสมรรถนะนั้น Carrera S ขับหลังธรรมดาก็สามารถเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 3.7 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 308 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้ว ส่วนรุ่นขับสี่ Carrera 4S จะลดเวลา 0-100 ลงเหลือ 3.6 วินาที และความเร็วสูงสุดเหลือ 306 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือว่ายกระดับจากสมัยก่อน เพราะ 992 Carrera S นี้ก็เทียบกับได้ Carrera GTS ของรุ่น 991 แล้ว

ราคาเริ่มต้น สำหรับรุ่น Carrera S แบบไม่ใส่ออพชั่น Thai package จะอยู่ที่ 12,150,000 บาท และรุ่น Carrera 4S อยู่ที่ 12,850,000 บาท แต่สำหรับรถที่มีพร้อมส่งในสต็อคจากทาง AAS จะติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม (Thai Option) ที่มีไฟหน้า LED PDLS, Sport Chrono Pack, กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ, เซนเซอร์ช่วยจอดและกล้องถอยหลัง, โลโก้บนล้ออัลลอยทำสี, กระจกมองข้างพับไฟฟ้าและระบบ Lane Change Assist ซึ่งทำให้ราคาเพิ่มเป็น 12,808,800 บาท และ 13,508,800 บาทตามลำดับ

ซึ่งแนะนำว่า ไหนๆจะซื้อรถสิบกว่าล้านแล้ว เอาคันที่มีออพชั่นครบไปเลยดีกว่าครับ ลูกค้าตัวจริงส่วนมากจะสั่งเพิ่มนู่นนี่ไปอีกเยอะเลยด้วยซ้ำ

 

รายละเอียดเพิ่มเติม

รูปภาพและรายละเอียดเพิ่มเติม Porsche 911 Carrera S/4S (992)

รีวิว ทดลองขับ Porsche Cayenne S (สเป็คเยอรมัน) และ Cayenne e-Hybrid (สเป็คไทย) by Pan

รีวิว ทดลองขับ Porsche 718 Boxster S

รีวิว ทดลองขับ Porsche Panamera 4 e-Hybrid/4S/ Turbo Executive


 

Rolls-Royce

อัครมหายานยนต์สำหรับอัครมหาเศรษฐีของแท้ Rolls-Royce Phantom รุ่นใหม่นี้ถือเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 8 แล้ว คงไม่ต้องพูดถึงความหรูหราภายในกับวัสดุชั้นเลิศ ไม่ว่าจะต้องล้มวัวล้มแกะหรือโค่นไม้กี่ต้น รถจากค่ายนี้จะยังเป็นผู้นำสูงสุดของโลกยานยนต์เสมอเมื่อนึกถึงคำว่างานฝีมือภายในรถยนต์ ห้องโดยสารบุด้วยวัสดุเก็บเสียงชั้นดี ดีชนิดที่ว่าสตาร์ทเครื่องแล้วไปจอดเดินเบาเงียบๆ ทำเข็มหล่นยังได้ยิน

Phantom ใช้เครื่องยนต์ V12 สูบทวินเทอร์โบ 6.75 ลิตร ให้พลัง 563 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 900 นิวตันเมตร มีตัวถังให้เลือกสองแบบ คือแบบฐานล้อปกติที่มีตัวรถยาว 5,762 มิลลิเมตร กับรุ่นฐานล้อยาว ที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 5,982 มิลลิเมตร ราคาค่าตัวเริ่มตั้งแต่ 53,500,000 บาท ไปจนถึง 59,500,000 บาท

นอกจากราชาแห่งยนตรกรรมอย่าง Phantom แล้ว ปีนี้ MGC-Asia ผู้แทนจำหน่ายนำ Rolls-Royce มาโชว์ครบทั้ง 5 รุ่น ไม่ว่าจะเป็น Ghost ตัวเล็กกว่า Phantom แต่เบากว่าเล็กกว่าโดยที่มีแรงม้าเท่ากัน รูปทรงดูคล้ายกันบางทีคนไม่รู้เรื่องรถแยกไม่ออก, Wraith คูเป้อลังการ มากับรุ่นย่อยพิเศษ Black Badge ที่แม้ชื่อจะดำ แต่เปิดโอกาสให้ลูกค้าเลือกสีภายนอก ภายในและออพชั่นต่างๆได้ตามต้องการ มาพร้อมขุมพลัง V12 ทวินเทอร์โบ 624 แรงม้า ต่อมาด้วยรุ่น Dawn รถเปิดประทุน 4 ที่นั่งเครื่องยนต์เดียวกับ Wraith เป็นรถเปิดประทุนหลังคาผ้า 4 ชั้นที่ได้ชื่อว่าเก็บเสียงดีที่สุดในโลก

และที่โดดเด่นอยู่กลางบูธเลยก็คือ SUV รุ่นแรกของทางค่าย Rolls-Royce Cullinan Supreme Liberty ด้วยสีพิเศษ Infinity Black Metallic ตัดกับแถบสีส้ม Mandarin เบาะหลังเป็นแบบแยกส่วนมีคอนโซลคั่นกลาง ภายในมีตู้แช่และชุดวางเครื่องดื่ม ติดตั้งแผงกันระหว่างห้องโดยสารกับห้องเก็บสัมภาระเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัว นับเป็นไอเดียที่เข้าท่าสำหรับสีเข้มและล้อลายนี้ ทำให้ Cullinan ที่เคยดูเก้ๆกังๆ กลับมาสง่างามน่าเกรงขามอย่างที่ Rolls-Royce ควรเป็นได้อย่างน่าทึ่ง

 


 

Subaru

  • Subaru XV GT Edition

งานนี้ รถที่ใหม่ที่สุด ก็น่าจะเป็น Forester ประกอบในประเทศ ซึ่งก็ใกล้พร้อมส่งมอบให้ลูกค้าแล้ว แต่ถ้าใครอยากได้รถมี Eyesight ก็คงต้องรอปีหน้า นอกจากนี้แล้ว ยังมีรถ Subaru XV ที่ได้รับการตกแต่ง เรียกเป็นรุ่นใหม่ว่า XV GT Edition มาเป็นทางเลือกใหม่ให้กับลูกค้า

Subaru XV GT Edition เกิดจากความร่วมมือระหว่าง Motor Image Group ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ซูบารุใน 10 ประเทศในภูมิภาคเอเชียกับบริษัทวิศวกรรมชั้นนำ Giken และ มร. มาซาฮิโกะ โกบายาชิ หรือแจ็ค อดีตหัวหน้านักออกแบบระดับแนวหน้าของซูบารุในการออกแบบชิ้นส่วนต่างๆมาติดตั้งลงใน Subaru XV อันประกอบไปด้วย ชายกันชนหน้า, สเกิร์ตข้าง, สปอยเลอร์หลังคา และ ชายกันชนหลัง สำหรับประเทศไทยจะมีล้ออัลลอยขนาด 17 และ 18 นิ้วให้เลือก (หน้าตาคล้ายล้อ C-HR เนอะ..หรือผมคิดไปเอง) ส่วนภายในเป็นเบาะหนังทั้งตัว แต่งสีดำสลับขาว

Subaru XV GT Edition มีสองทางเลือก รุ่นล้อ 17 นิ้ว ราคา 1,338,000 บาท และรุ่นล้อ 18 นิ้ว ราคา 1,358,000 บาท

รายละเอียดเพิ่มเติม

รูปภาพ รายละเอียดเพิ่มเติม Subaru XV GT Edition

Full Review ทดลองขับ Subaru XV

 

 


 

Suzuki

  • All-new Suzuki JIMNY (นำเข้าจากญี่ปุ่น)
  • Suzuki Ertiga 2019

บูธ Suzuki โดยปกติช่วงที่ไม่มีรถโมเดลใหม่ๆก็จะโล่ง เดินสบาย แต่ปีนี้น่าจะต่างกันออกไป ไม่ใช่เพราะ Ciaz หรือ Swift ที่ขายอยู่ แต่เป็นเพราะในช่วงเวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือน Suzuki ประเทศไทยมีการเปิดตัวรถโมเดลใหม่ถึง 2 รุ่นที่เป็น All-new หนึ่งในนั้นเป็นรถที่เน้นการขายจริงจัง และอีกหนึ่งเอามาขายเพื่อสนองต่อสมุดบัญชีของคนที่คัน อยากจ่ายเงินแต่ไม่มีรถให้จ่าย ทั้งสองรุ่นนี้ ผนึกกำลังกันทำให้บูธ Suzuki ที่ปกติจะเงียบเหงา กลายเป็นบูธที่มีคนมาแวะเวียนเยี่ยมชมหนาแน่นตลอดเวลา

Talk of the town NUMBER ONE ที่ไม่พูดถึงไม่ได้แล้ว คือ Suzuki Jimny (จิมนี่..ไม่ใช่จิมมี่) รถจี๊ปขนาดจิ๋ว มรดกแม่ไม้มวยลุยจากญี่ปุ่น ซึ่งเริ่มต้นพัฒนารถจี๊ปสำหรับการใช้งานแบบสมบุกสมบันมาตั้งแต่ปี 1970 โดยมีการสร้างรถให้ขนาดเล็ก น้ำหนักเบา ดูแลง่าย ไม่เปลืองน้ำมัน แนวคิดนี้ก็ออกมาเป็นรุ่น LJ10 เครื่อง 2 สูบ 359 ซี.ซี. ซึ่งมีศักดิ์เป็น Jimny เจนเนอเรชั่นแรก  ขายอยู่นาน 11 ปี ก็กลายมาเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 2 ซึ่งในประเทศไทยรู้จักกันในชื่อ Suzuki Caribian ถ้าคุณจำความเล็กแต่ลุยใจถึงแบบเจ้านั่นได้ Jimny ใหม่ก็ถอดแบบมาจากมันล่ะครับ

Jimny ใหม่ใช้เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร (K15B) 102 แรงม้า เปิดราคามา 1,550,000 บาท สำหรับรุ่นเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และ 1,650,000 บาทสำหรับรถรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ (สีทูโทนบวกเพิ่มอีก 30,000 บาท) โดยเปิดให้จอง Online ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม

พอเปิดราคามา มีแต่คนด่าท่วมเมือง ว่าทำไมแพงจัง ราคานี้ซื้อ SUV ขับดีกว่า เหตุผลก็คือรถนำเข้าจากญี่ปุ่นทั้งคันมันจะไม่ได้รับสิทธิในการยกเว้นภาษีนำเข้าแบบพวกรถที่ CBU มาจากอาเซียน ประกอบกับค่า CO2 ที่รุ่นเกียร์อัตโนมัติสูงเกิน 150 กรัม/กิโลเมตร มันก็เลยได้ราคานี้ และอันที่จริงจะบอกว่าได้รถนำเข้ามาขายก่อนนี่ก็บุญหนักหนาแล้วเพราะตอนแรกแทบจะไม่มีโอกาสเลย เนื่องจากที่ญี่ปุ่น Back-order ของรถรุ่นนี้นานเกือบปี

ต่อให้แพงล้านกว่า แต่พอเปิดรับสั่ง Online รถล็อตแรก 30 คัน หมดเกลี้ยงภายใน 6 ชั่วโมงหลังเปิดตัว และตอนนี้ก็มีคนสั่งเพิ่มจนต้องเปิดล็อตสอง มาอีก 11 คัน ซึ่งพี่วัลลภ ผู้บริหารบอกว่า “บางคนอาจจะได้รับรถนู่น ปลายปีนะ ด่าได้แต่อย่าแรง”

พี่วัลลภครับ..ผู้เขียนขอเรียนตามตรง ผู้เขียนไม่สนจี๊ปป่าอิเล็กทรอนิกส์ราคาล้านกลางเลยครับ ว่าแต่ Swift เกียร์ธรรมดาล่ะพี่ เมื่อไหร่จะมาดีพี่

สำหรับ Ertiga 2019 ก็ไม่ต้องพูดให้มากความ ถึงอุปกรณ์ติดรถจะไม่เท่าไหร่ หน้าตา..บางคนก็บอกว่ารุ่นเก่าดูวัยรุ่นกว่า แต่พอเคาะราคาตัวท้อปออกมา 695,000 บาท งานก็เข้า Suzuki Thailand ต้องเจรจาขอให้ทางอินโดนีเซียอัดฉีดโควต้าส่งรถมาให้ทางไทยเยอะขึ้น รถรุ่นใหม่นี้ ใช้โครงสร้างตัวรถแบบ HEARTECT เหมือนกับ All-new Swift ซึ่งทำให้ตัวถังรถมีพื้นที่แข็งแกร่งขึ้น เครื่องยนต์จากเดิม 1.4 ลิตร ขยับเป็น 1.5 ลิตร (K15B) 105 แรงม้า (ที่แรงกว่าเครื่องใน Jimny เพราะเพิ่มอัตราส่วนกำลังอัดจาก 10.0 เป็น 10.5 : 1) แต่ยังคงไว้ซึ่งเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดรุ่นเราสู้

เห็นมีคนบ่นว่า รถมาแล้ว แต่ชุดแต่งยังไม่มาสักที ในงานนี้ก็แอบเห็น Ertiga สีขาวคันนึงที่กระจังหน้าและช่องดักอากาศข้างล่าง เปลี่ยนจากเส้นตรงเป็นลายตาข่าย ยังไม่ทราบว่านี่จะเป็นชุดแต่งที่จะเข้ามาขายเลยหรือไม่ และราคาเท่าไหร่ แต่บางท่านอาจจะสนเพราะทำให้หน้าตารถดูหนุ่มแน่นขึ้นเยอะ ..อาจารย์เจษฎาสนมั้ยครับ?

โปรโมชั่นงาน Bangkok International Motor Show

  • New Ertiga, New Swift, Ciaz และ Celerio ได้ประกันภัยชั้น 1 ฟรี 1 ปี และโปรแกรมช่วยเหลือฉุกเฉินจาก AWP Services เป็นระยะเวลา 3 ปี
  • New Ertiga – เลือกรับข้อเสนอพิเศษ ขับฟรี 90 วัน หรือผ่อนเริ่มต้นเดือนละ 3,947 บาท หรือส่วนลดอุปกรณ์ตกแต่งมูลค่าสูงสุด 10,000 บาท
  • New Swift – ขับฟรี 90 วัน หรือเลือกรับส่วนลดอุปกรณ์ตกแต่งมูลค่าสูงสุด 30,000 บาท ฟรีบัตรเติมน้ำมัน 5,000 บาท
  • Ciaz – ฟรีบัตรเติมน้ำมันมูลค่า 5,000 บาท และเลือกรับข้อเสนอ ขับฟรี 90 วัน หรือดาวน์ 0% หรือดอกเบี้ย 0% หรือเลือกรับส่วนลดอุปกรณ์ตกแต่งมูลค่าสูงสุด 55,000 บาท
  • Celerio – รับข้อเสนอขับฟรี 90 วัน หรือเลือกรับส่วนลดอุปกรณ์ตกแต่งมูลค่าสูงสุด 40,000 บาท
  • Carry – ฟรี ประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี ส่วนลดพร้อมอุปกรณ์ตกแต่งมูลค่าสูงสุด 20,000 บาท

รายละเอียดเพิ่มเติม

ราคาและข้อมูลเพิ่มเติม Suzuki Jimny

Full Review: ทดลองขับ Suzuki Ertiga 2019

Full Review: ทดลองขับ Suzuki Swift GLX Navi 2018

เปรียบเทียบอุปกรณ์และราคาของ New Swift ครบ 4 รุ่นย่อย

 


 

Toyota/Lexus

  • All-new Supra
  • All-new Commuter
  • Lexus UX

พระเอกในบูธ Toyota คราวนี้คงหนีไม่พ้น BMW Z4 Hardtop..ไม่ใช่สิ เอาใหม่..คงหนีไม่พ้น Toyota Supra A90 รถสปอร์ตสานต่อตำนานของชื่อ Supra ซึ่งเลิกผลิตไป 17 ปีกว่าจะกลับมาใหม่ Supra A90 นี้มีคนออกแบบชื่อ Tetsuya Tada กับ Nobi Nakamura คนแรกคุณอาจจะคุ้นชื่อ เพราะเขามีศักดิ์เป็นพ่อผู้สร้างของ Toyota 86/Subaru BRZ นั่นเอง ถ้าใครเคยขับรถสองรุ่นนี้แล้วคงเดาทางได้ว่าอารมณ์การขับขี่ของ Supra ใหม่จะมาเป็นแบบไหน

ในเมืองนอก Supra ใหม่จะใช้รหัสตัวถัง A90 ในการโปรโมต แต่รหัสตัวถังที่ปั๊มบนรถจริงกลับจะมีโค้ดคล้าย BMW คือ J29 ครับ เครื่องยนต์ก็มีให้เลือก 3 แบบ คือ 2.0 ลิตรเทอร์โบ 184 แรงม้า 2.0 ลิตรเทอร์โบ 258 แรงม้า และ 3.0 ลิตรเทอร์โบ 340 แรงม้า ทั้งหมดเป็นเครื่องยนต์เดียวกับที่อยู่ใน BMW Z4 แม้แต่โครงสร้างหลักของรถ และช่วงล่างก็แชร์กัน เพียงแต่ตอนจูน เซ็ตช่วงล่างกับเครื่อง ก็เลือกที่จะไปทางใครทางมันมากกว่า

สำหรับในประเทศไทยนั้น ยังไม่มีใครให้ข้อมูลที่แน่ชัดได้แบบ 100% ว่า Toyota จะเอายังไงกับอนาคตของ Supra แต่หลังจากที่ฟังกรองมาหลายๆคน มันคงไม่ได้มาขายช่วงสงกรานต์หรือพฤษภาคมนี้ แต่ Toyota ไทยกำลังมองหาลู่ทางที่จะใช้รถรุ่นนี้สร้างภาพลักษณ์สปอร์ต สอดคล้องกับสโลแกน Live Alive จะอยู่ก็อยู่ให้เหมือนมีชีวิต ดังนั้น ถ้าให้ผมเดา ภายในปลายปีนี้ คนไทยน่าจะมีสิทธิ์ได้สัมผัส หรืออย่างน้อยก็ได้จอง Toyota Supra ที่แน่ๆ สายอู่จูนวางเจไม่ต้องเล็งรุ่น 2.0 ลิตรนะครับ เพราะถ้ามา ก็คงมีแค่ 3.0 ลิตร ส่วนราคานั้น พอ BMW Z4 M40i ตั้งมา 4.999 ล้านบาท Toyota จะขาย Supra แพงกว่ากันมาก ก็คงไม่รอด

 

งานนี้ ต้องรอดู แต่ผมบอกเลยว่า ตอนไปดูคันจริง ความรู้สึกในแง่ลบที่เคยมีกับรูปทรงรถ Supra นั้น เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ด้านหน้ารถ เห็นชัดเลยว่าสืบทอดเส้นสายจาก Supra JZA70 แต่ท้ายรถ ไม่รู้ใครไปเข้าฝัน ดีไซน์ออกมาพิลึกเหมือน Alfa ในวันท้องเสีย

ปรับอารมณ์แทบไม่ทัน เมื่อกี้รถสปอร์ตอยู่ดีๆ โผล่มาอีกทีกลายเป็นรถขนส่งมวลชนซะละ นี่คือ Toyota Commuter ใหม่ ซึ่งแม้จะยังไม่ทราบเรื่องราคา แต่ดูจากขนาดรถแล้วใหญ่โตน่ากลัวมาก ถ้าผู้เขียนเดินตัดหน้าแล้วโดนรถคันนี้ชน คงไม่ใช่แค่เจ็บ แต่ตัวน่าจะระเบิดไปในอากาศเลย ด้วยความยาว 5,915 มิลลิเมตร กว้าง 1,950 มิลลิเมตร และฐานล้อยาวถึง 3,860 มิลลิเมตร นี่คือยักษ์ใหญ่แห่งท้องถนนชัด ขนาดรุ่นเดิมก็ไม่เล็กแล้ว แต่นี้ยาวขึ้นอีกฟุตเศษๆ

จากข้อมูลที่ทราบมา Commuter เวอร์ชั่นไทย จะใช้เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ รหัส 1GD-FTV ขนาด 2.8 ลิตร VN-Turbo ซึ่งถ้าหากไม่ได้มีการปรับจูนอะไร พละกำลังของมันก็จะเท่าๆกับเครื่องยนต์ของ Fortuner 2.8 ลิตร คือ 177 แรงม้า และแรงบิด 420-450 นิวตันเมตร นี่คือสิ่งที่เราบอกได้ในขณะนี้ Toyota ยังไม่มีการกำหนดวันเปิดตัวหรือราคาขายใดๆ ณ จุดนี้บอกแค่ว่า “กลางปีแหละพ่อหนุ่ม”

สำหรับรถรุ่นอื่นๆที่นำมาโชว์ ก็ยังมี Toyota Hi-lux REVO Z Edition ซึ่งก็คือกระบะ 2 และ 4 ประตูตัวเตี้ย ที่ในที่สุดก็ได้รับกระจังหน้า และโป่งข้างแบบเดียวกับรถรุ่นยกสูงที่ไมเนอร์เชนจ์ไปก่อนหน้านี้ มีจุดเด่นตรงที่เป็นรถเจ้าเดียวในตลาดกระบะที่มีรุ่นเกียร์อัตโนมัติให้เลือกกับบอดี้แบบเตี้ย ราคา 599,000-699,000 บาทในรุ่นแค็บ 2 ประตู และ 690,000-784,000 บาทในรุ่น 4 ประตู

Toyota ส่ง REVO Z Edition มาทั้งรถสภาพเดิมๆโรงงาน และรถแต่งใส่ล้อลายพิเศษที่สร้างโดยความร่วมมือจาก TRD กับ Lenso ประเทศไทย ถ้าอยากรู้จักคนออกแบบล้อ ลองไปถามดูใน Rare car club บน Facebook น่าจะเจอตัว แล้วก็ยังมี C-HR ที่เพิ่มปรับปรุงโฉมรับปี 2019 กับล้อลายกงจักรที่ดูแพงขึ้นกว่าเดิม เพิ่มเบาะหนังในรุ่นถูกสุด และแน่นอน Camry TNGA ใหม่ ก็มาจอดโชว์เช่นกัน

 

สำหรับฝั่ง Lexus นั้น มีรถใหม่ชูโรงเป็น Lexus UX250h Hybrid เป็นรถขนาดเล็กกระทัด ทำตัวเป็นครอสโอเวอร์หลังคาเตี้ย ถ้าให้เทียบตรงรุ่น ก็น่าจะปะฉะดะกับ BMW X2 และ Mercedes-Benz GLA นั่นล่ะตรงอย่างไม่รู้จะตรงอย่างไรแล้ว

UX เป็น Lexus รุ่นแรกที่มีหัวหน้าวิศวกรโครงการเป็นสุภาพสตรี ชื่อคุณ Chika Kako แนวคิดการออกแบบต่างๆที่ทางทีมทำมาเสนอ จะต้องผ่านการอนุมัติจากเธอ คุณ Chika เน้นเส้นสายของรถที่เรียบง่าย ล้ำสมัย และเล่นกับสายลมโดยพยายามออกแบบส่วนท้ายให้ค่อยๆแหวกฝ่าแนวลมโดยกันไม่ให้อากาศไปม้วนตรงท้ายรถ ส่วนภายในนั้น ให้ความสำคัญกับทัศนะวิสัยโดยคุณ Chika ทดลองนั่งและปรับรายละเอียดต่างๆเอง จนแม้ว่าปรับเบาะลงต่ำสุด ผู้หญิงความสูง 155-160 เซนติเมตรก็ยังสามารถมองเห็นทางข้างหน้ารถได้ชัดเจน แล้วยังมีลูกเล่นทันสมัยกับ Touchpad แบบสั่นและกำหนดทางเลื่อนได้ (Lexus Touch Tracer) ที่เอาไว้ใช้คุมระบบ Infotainment..ใครเป็นคนคิดและทำ? ก็คุณ Chika นี่ล่ะครับ

UX250h ใช้ขุมพลัง Hybrid M20A-KXS (เริ่มปวดหัวกับการตั้งชื่อเครื่องบล็อคใหม่ๆของค่ายนี้) 2.0 ลิตร Atkinson Cycle ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ได้พลังรวมสูงสุด 184 แรงม้า มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย คือรุ่น Luxury 2.49 ล้านบาท รุ่น Grand Luxury 2.69 ล้านบาท และรุ่น F-Sport AWD ราคาโดดไป 3.62 ล้านบาท เพราะรุ่นขับสี่นี่คือ CO2 สูงกว่า ทำให้ต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงกว่า 2 รุ่นที่เหลือ

โปรโมชั่นงาน Bangkok International Motor Show

Yaris/Yaris ATIV

  • ผ่อนสบายเริ่มต้น  6,000 บาท และฟรีประกันภัยชั้น 1 (Toyota Care) หรือ อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.45% เมื่อดาวน์ 25% ขึ้นไป ผ่อนนาน 48 เดือนและฟรีประกันภัยชั้น 1 (Toyota Care)

Corolla Altis (เฉพาะรุ่น 1.8 ลิตร)

  • อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.89% เมื่อดาวน์ 25% ขึ้นไป ผ่อนนาน 48 เดือนหรือ ประกันภัยชั้น 1 (Toyota Care)

Camry

  • อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.89% เมื่อดาวน์ 20% ขึ้นไป ผ่อนนาน 60 เดือน หรือ *ผ่อนสบายเริ่มต้น  15,000 บาท สำหรับรุ่น 2.5G  พร้อมขยายระยะเวลารับประกันคุณภาพจาก 3 ปี เป็น 5 ปี พร้อมทั้งฟรีค่าแรงเช็คระยะจนถึง 100,000 กม. พิเศษ  สำหรับเครื่องยนต์ไฮบริด ขยายระยะเวลารับรองการใช้งานแบตเตอรี่ ไฮบริด  10 ปี (ช่วงปีที่ 6-10) และรับประกันระบบไฮบริด 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง

C-HR (2019)

  • ผ่อนสบายเริ่มต้น 8,500 บาท พร้อมขยายระยะเวลารับประกันคุณภาพจาก 3 ปี เป็น 5 ปี พร้อมทั้งฟรีค่าแรงเช็คระยะจนถึง 100,000 กม. พิเศษ สำหรับเครื่องยนต์ไฮบริด ขยายระยะเวลารับรองการใช้งานแบตเตอรี่ ไฮบริด 10 ปี (ช่วงปีที่ 6-10) และรับประกันระบบไฮบริด 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง

Hilux Revo

  • สมาร์ทแค็บ พรีรันเนอร์ (C-Cab ขับเคลื่อน 2 ล้อ ยกสูง)ดาวน์ต่ำเริ่มต้นที่ 27,900 บาท (คำนวณจากไฮลักซ์ รีโว่ สมาร์ทแค็ป 2.4J + พรีรันเนอร์ขับเคลื่อน 2 ล้อ ยกสูง ราคา 679,000 บาท ดาวน์ 10% ที่ 67,900 บาท)

รายละเอียดเพิ่มเติม

รูปภาพ รายละเอียดเพิ่มเติม Lexus UX

รูปภาพ รายละเอียดเพิ่มเติม Toyota Hi-lux REVO Z Edition

 


Volvo


ในงานนี้ยังไม่มีรถใหม่เพิ่มจากงาน Motor Expo ช่วงปลายปี แต่กระนั้นก็ยังไม่น่าเดินผ่านง่ายๆ เพราะ Volvo ได้ชื่อว่านำเสนอรถยนต์ระดับพรีเมียมโดยมีหมัดเด็ดเป็นเรื่องราคามาแต่ไหนแต่ไร รวมถึงพละกำลังจากรถรุ่น T8 Twin Engine ทั้งหลายที่ให้แรงม้าสูงสุดทะลุ 400 ตัว และอุปกรณ์ความปลอดภัยที่รถจาก Volvo ประเคนให้เหนือคู่แข่ง รวมถึงระบบขับเคลื่อนกึ่งอัตโนมัติที่สามารถเพิ่มและลดความเร็วตามรถคันหน้า รวมถึงเบรกจนหยุดนิ่งได้เองอย่าง Pilot Assist

แต่ถ้าคุณไม่ชอบรถลัทธิเขียว แถมยังเรื่องมากไม่ชอบรถดีเซล อีกต่างหาก เอ้า ถ้างั้นก็ลองไปดู Volvo XC40 ที่มีตั้งแต่รุ่น T4 Momentum 190 แรงม้า และ T5 R-Design 252 แรงม้า เบนซินเทอร์โบทั้งคู่ ราคาเริ่มต้น 2,090,000 บาท อัดอุปกรณ์ความปลอดภัยมาไม่แพ้รุ่นพี่ และไม่ต้องแบกถ่านให้หนักตัว ไม่ต้องกลัวในอนาคตว่าแบตจะอยู่ได้นานกี่ปี แถมมีตะขอเกี่ยวซ่อนที่ลิ้นชักเก็บของหน้ารถไว้แขวนถุงแฟนต้าได้อีกต่างหาก

โปรโมชั่นงาน Bangkok Motor Show กับแคมเปญ “Drive Your Desire”

แคมเปญ Drive Your Desire คือ เมื่อคุณตกลงใจซื้อ Volvo สักรุ่นที่ไม่ใช่รุ่นย่อยสูงๆ Volvo จะเสนอฟรีอัปเกรดเป็นวงเงินจำนวนหนึ่งให้คุณสามารถ “เลื่อนขั้น” รุ่นย่อยของรถที่คุณมองไว้ ให้เป็นรุ่นที่สูงกว่า พูดง่ายๆคือ “จ่ายเท่าราคารุ่นล่างๆ แต่ขับรุ่นสูงๆ กลับบ้าน” เช่นสมมติคุณสนใจ Volvo XC60T8 Momentum แล้ว Volvo บอกว่า ฟรีอัปเกรดในงบ 400,000 บาท คุณก็เอาราคารถ XC60 T8 Momentum ซึ่งอยู่ที่ 3.29 ล้านบาท บวกไป 400,000 ก็เป็น 3.69 ล้านบาท แปลว่าคุณสามารถเลือกเอารุ่นย่อยใดก็ได้ที่ราคาไม่เกินนั้น (ถ้ายังไม่เข้าใจ เชิญคุยกับคนขายเถอะ)

  • XC40, XC60, XC90 และ S90 รับข้อเสนอบริการซ่อมบำรุงนาน 10 ปี รวมบริการ Service & Maintenance นาน 10 ปีหรือ 100,000 กิโลเมตร ส่วน Volvo Warranty นาน 5 ปี 150,000 กิโลเมตรพร้อม Roadside Assistance นาน 5 ปี
  • XC60 – ฟรีอัปเกรดสูงสุด 400,000 บาท ดอกเบี้ย 0% นาน 48 เดือน
  • XC90 – ฟรีอัปเกรดสูงสุด 500,000 บาท ดอกเบี้ย 0% นาน 48 เดือน
  • S90 – ฟรีอัปเกรดสูงสุด 500,000 บาท ดอกเบี้ย 0% นาน 48 เดือน

รายละเอียดเพิ่มเติม

เจาะสเป็ค ราคาและอุปกรณ์อย่างละเอียดของ Volvo XC40

The Clip รีวิว ทดลองขับ Volvo XC60 T8 R-Design